ตอนที่ ๑๙ ทำบุญ
สัญญาณโทรศัพท์บนโต๊ะทำงานดังขึ้น เมื่อเห็นจากหน้าจอขึ้นชื่อจองฤกษ์ ณชะเลก็กดปุ่มรับสายระบายยิ้มพราย
“สวัสดีค่ะเสี่ย”
เด็กสาวนึกครึ้มพอที่จะทักเขาเช่นนั้น จองฤกษ์หัวเราะและทักตอบเก้อๆ
“เอ้อ… หวัดดี… หวัดดีคนสวย” ทักเสร็จก็เกือบพูดไม่ออก ความน่าหลงใหลของเพื่อนสาวมีอิทธิพลบีบให้เขาเก้อเขินไม่เลิกเสียที “อ่า… ทรายกำลังทำอะไรอยู่เหรอ? เราโทร.มากวนหรือเปล่า?”
“อือม์… มาตกลงกันไว้ก่อน ถ้าทรายยุ่งอยู่ หรือกำลังมีสมาธิกับการทำงาน ทรายจะยังไม่คุยด้วย”
“ตกลง! แล้วตอนนี้ล่ะคุยได้ไหม?”
“ตอนนี้…” หล่อนทอดเสียงเหลือบตาไปทางซ้ายเล็กน้อย “โอเค”
๑๖๕
เด็กหนุ่มถอนใจโล่งอก ความจริงเมื่อคืนก็โทร.หา แต่หล่อนบอกว่าการบ้านเยอะมากเลยต้องวางโดยไม่ทันคุยสักเท่าไหร่ นึกว่าคืนนี้จะซ้ำรอยเดิมอีกเสียแล้ว
“ค่อยยังชั่ว”
“ฤกษ์ไม่ต้องสะสางงานเป็นกระบุงเหรอ? หายไปทั้งอาทิตย์ แถมเมื่อวานยังโดดเป็นการทิ้งทวนอีก”
“ไม่เป็นไรหรอก ทรายก็รู้ว่าเราไม่จำเป็นต้องแคร์เรื่องเรียนเท่าไหร่”
เขาทำยะโสแบบทีเล่นทีจริง
“แต่ยังไงฤกษ์ก็ต้องมีวุฒิให้สังคมยอมรับนะ”
จองฤกษ์ยิ้มอ่อน สำเนียงอาทรของณชะเลฟังแล้วอบอุ่น แม้เป็นการเตือนสติในเรื่องเล็กๆน้อยๆที่เขาไม่รู้สึกว่าน่าเป็นห่วงแม้แต่นิดเดียว
“เราจะเรียนให้จบตรีก็แล้วกัน ทรายจะได้ไม่ต้องอายว่ามีแฟนจบแค่ ม.๖”
ณชะเลคอแข็งหน่อยๆ
“ใครเป็นแฟนเธอ?”
“ทราย…” จองฤกษ์เอ่ยหนักแน่นทว่านุ่มนวล “เรารักทรายนะ”
เด็กสาวนิ่งงันไป ไม่คาดฝันเลยว่าคำสารภาพรักของเขามีพลังพอจะหยุดโลกได้ชั่วขณะ
“หลายปีที่ผ่านมาเราคิดถึงทรายเสมอ” จองฤกษ์เผยความในใจเรียบๆ “เพิ่งรู้ว่าถ้าคิดถึงใครได้หลายปีไม่เลิก มันแปลว่าเรารักคนๆนั้นเกินกว่าจะลืมได้ลง”
สาวน้อยยังเงียบอีกเป็นครู่ก่อนเอ่ยถามเสียงเรียบเช่นเดียวกัน
“เคยบอกรักผู้หญิงมากี่คนแล้ว?”
“เพิ่งทรายนี่แหละ สาบาน”
“เป็นคนไม่มีเกียรติพอหรือไง ถึงต้องสาบาน?”
ณชะเลทำเสียงขึ้นจมูก จองฤกษ์ชะงักไปอึดใจก่อนแก้ตัวใหม่
“ได้! ต่อไปนี้จะไม่มีคำว่า ‘สาบาน’ หลุดจากปากเราอีก เพราะเราจะพูดแต่คำที่จริงกับทรายไปจนตาย!”
“ก็ดี…”
“แล้วทรายล่ะ มีใครบอกรักมากี่คนแล้ว?”
ณชะเลเลิกคิ้วนิดหนึ่ง ลากนิ้วขีดพื้นโต๊ะเล่นพลางตอบเนือยๆ
“ฤกษ์ไม่ใช่คนแรกก็แล้วกัน”
จองฤกษ์หัวเราะแปร่งๆ
“ถ้าต่อคิวกันที่หน้าบ้านทราย เราคงยืนอยู่แถวๆหาดชะอำ”
เด็กสาวยิ้มขำแล้วเบะปากหน่อยๆ
“ทุกคนเหมือนกันหมด หลงรูป!”
“ไม่จริง!” เด็กหนุ่มสวนคำ “เรารักความเป็นทราย ไม่ใช่ความสวยของรูป”
“แน่รื้อ?…”
“อยากให้ทำไงเพื่อพิสูจน์ล่ะ?”
๑๖๖
ณชะเลยิ้มนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนเอ่ย
“ทรายไม่ใช่เด็กเที่ยวนะ บอกซะก่อน ฤกษ์จะต้องแกร่วรออยู่ข้างนอกวัดเป็นเวลานาน ถ้าหากไม่มีใจฝักใฝ่งานบุญเหมือนอย่างทราย”
นั่นเท่ากับณชะเลตอบรับเป็นแฟนเขาแล้วโดยปริยาย จองฤกษ์จึงตอบอย่างลิงโลด
“เรื่องเล็ก! เราจะติดตามทรายไปทุกโบสถ์ ทุกวัด และทุกชาติ!”
“แรกๆก็พูดอย่างนี้แหละ”
เด็กสาวเหยาะสำเนียงหยันหน่อยๆ ขนาดที่เพื่อนหนุ่มฟังแล้วใจแป้ว
“แปลว่าเคยให้โอกาสใครสอบแล้วไม่ผ่านมาก่อนหรือ?”
“ปกติทรายจะมีแม่ พี่สาว และช่วงหลังก็น้าสาวร่วมขบวนไปทำบุญด้วยเสมอ เพราะฉะนั้นถ้ามีใครอยากลอง ทรายก็ไม่เคยขัด ถ้าไม่ใช่ของจริงก็จะหายหน้ากันไปเอง”
“ก็ถูกนะ” จองฤกษ์กลืนน้ำลายลงคอฝืดๆ “ถ้าแค่ครั้งสองครั้งจะให้คนเราปรากฏตัวที่ไหนก็ได้ แต่ถ้าให้ไปประจำ ที่ที่เราปรากฏตัวได้ก็คือที่ที่ใจเราอยู่ตรงนั้นจริงๆ”
“นั่นสิ… แล้วอย่างฤกษ์จะไปวัดได้ซักกี่น้ำ”
เด็กหนุ่มหายใจลึก
“รับรองว่าเราจะไม่หายหน้าไปไหน อยากฟังจากปากทรายให้เรามั่นใจคำเดียว ทรายรับเราเป็นแฟนนะ”
ขอตำแหน่งสำคัญเอาจากสาวตรงๆแบบลูกทุ่งเอเอ็ม จะได้ไม่ต้องถามตัวเองแล้วๆเล่าๆว่าหลงละเมอเพ้อพก ทึกทักบ้าบอไปคนเดียวหรือเปล่า
“ฤกษ์ก็ท่าทางซื่อๆดี ทรายชอบ” หล่อนตอบโดยปราศจากความเขินอาย “แต่ขอบเขตการเป็นแฟนสำหรับฤกษ์นี่แค่ไหนล่ะ? รู้หรือเปล่าว่าทรายเป็นผู้หญิงที่หลงยุคมาจากสมัยต้นรัตนโกสินทร์?”
“ของเราเป็นผู้ชายมาจากสมัยพระเจ้าอู่ทอง!” จองฤกษ์สวนคำเกทับ “ถ้าทรายห้าม เราก็จะไม่แตะแม้แต่ปลายเล็บ!”
ณชะเลยิ้มมุมปาก เขายังไม่เคยพยายามแตะหล่อนแม้แต่ปลายเล็บจริงๆ
“ทรายชอบผู้ชายที่เก่งกว่าทราย อย่างน้อยต้องเดินนำทรายได้ ที่ผ่านมาทรายก็ไม่เคยเจอใครเก่งเท่าฤกษ์ ทรายอาจจะปิ๊งฤกษ์ตรงจุดนี้ แต่… คบกันสักพักก็คงต้องบ๊ายบายอยู่ดีถ้าฤกษ์หาทางตามทรายไปวัดไม่ถูก”
เด็กสาวยั้งไว้ ไม่ตบท้ายด้วยประโยคเด็ดในใจคือ ‘ต่อให้มีเงินแค่ไหนก็ไม่แคร์!’
“เรารักทรายจนยอมอ่านพระไตรปิฎกทั้งตู้ได้สิบรอบ!”
ณชะเลหัวเราะขัน
“เธอเข้าใจผิดแล้ว พระไตรปิฎกไม่ใช่ตำราคอมพิวเตอร์ ถึงเธอท่องจำได้ทุกอักษร ก็ไม่ได้ชื่อว่าเคยอ่านเลยสักรอบถ้าขาดความเข้าถึง”
จองฤกษ์พยักหน้ายอมรับกับกระบอกโทรศัพท์
“ทรายมีบางสิ่งที่เราคงต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะตามทัน แต่แน่ใจเถอะว่าถ้าเราทุ่มเทกับสิ่งไหน เราจะไม่ย่ำอยู่กับตำแหน่งที่สองรองใครนานนัก!”
“เส้นทางนี้ไม่มีที่หนึ่งหรือที่สอง มีแต่ประคองกันไม่ให้ล้ม หรือก้มลงฉุดอีกคนให้ลุกขึ้นใหม่”
๑๖๗
“อ้าว! ก็ทรายบอกเองว่าชอบคนที่คิดนำทรายได้ “การ ‘นำ’ กับการ ‘เป็นที่หนึ่ง’ ต้องมาด้วยกันซิ”
“การนำในที่นี้อาจหมายถึงฤกษ์มีหัวคิดริเริ่มชวนทรายทำบุญ รวมทั้งเป็นแรงฉุดทรายไปข้างหน้าต่อได้ถ้าทรายเผลอถอยหลัง ส่วนการเป็นที่หนึ่งประสาคนในโลกจะเน้นการมีชัยอยู่เหนือใครอื่นรอบตัว”
หัวคิ้วจองฤกษ์คลายออก
“เอาเป็นว่าถ้าทรายต้องการแค่นั้นจริงก็สบายมาก เรามั่นใจในตัวเองพอ ที่ผ่านมาเราขาดความมั่นใจ เพราะ… เราไม่ใช่คนหล่อ”
“ฤกษ์ต้องรู้จักทรายให้ดี ทรายไม่ได้ถูกฝึกมาให้เป็นคนช่างฝันและร้องหาคนหล่อ”
เด็กหนุ่มถอนใจหัวเราะเสียงแปร่ง
“โล่งอกไปที ถึงเราไม่หล่อ แต่ก็รับรองว่าไม่ใช่ตะเข้ เรารู้จักธาตุแท้ของตะเข้ที่หน้าตาหล่อเหลาเป็นอย่างดี”
“สนิทกับคนหล่อเหรอ ถึงไปรู้จักธาตุแท้ของเขา?”
“เจ้าต่อย เพื่อนเราที่เห็นทรายแล้วทำหน้าเหวอๆเหมือนคนลืมนุ่งกางเกงไง”
ณชะเลเผลอหัวเราะออกมาดังๆ
“แล้วธาตุแท้คนหล่อเป็นยังไงเหรอ?”
“ก็… เห็นผู้หญิงสวยเป็นไม่ได้ ตะลึงตาปลิ้นลิ้นแลบตลอด”
จองฤกษ์พูดออมๆอย่างนึกขึ้นได้ว่าเขาไม่ควรโจมตีเพื่อนให้เกิดความเสียหายมากนัก เพราะยังอยากควงณชะเลไปอวดมันอยู่
“เขาก็ไม่เห็นออกอาการอะไรมากนี่ คงแค่งงๆมั้งว่าแฟนเก่าฤกษ์ไปไหน ทำไมควงใครมาแทน”
“ตรวจสอบประวัติย้อนหลังได้เลยทราย เราเดินคนเดียวมาทั้งชีวิต” ท้าพิสูจน์อย่างเชื่อมั่นในความใสสะอาดของตนแล้วเปลี่ยนเป็นถามเสียงอ่อย “ถามจริงๆเถอะ แบบเจ้าต่อยนี่ทรายปิ๊งมั่งหรือเปล่า?”
ณชะเลยิ้มเย็น
“ตอบตามตรงแล้วรับได้เหรอ?”
“คงพอฟังได้…”
“คำถามที่ไม่แน่ใจว่าจะรับได้หรือไม่ได้เนี่ย ผ่านๆไปเสียบ้างเถอะ เพราะทรายจะไม่โกหก มันเป็นสิ่งที่ฤกษ์จะต้องเรียนรู้นะว่าทรายตรงขนาดไหน”
จองฤกษ์ก้มหน้าคอตกอยู่อีกฝั่งหนึ่ง
“โอเค ตอบแค่นี้ก็รู้แล้ว”
ให้เขาเศร้าอยู่ครู่หนึ่งณชะเลก็ตอบชัดถ้อยชัดคำ
“ไม่ปิ๊ง!”
และนั่นก็ทำให้หน่วยตาคนฟังเปิดกว้างดังเดิม
“จริงเหรอ?”
“ปิ๊งไม่ลง! ดูเหมือนเพลย์บอย ท่าทางไม่น่าไว้ใจ เห็นผู้หญิงเป็นของเล่น และถ้าเดาไม่ผิดคงชอบเอาเรื่องที่เขาทำอะไรผู้หญิงมาโม้ให้เพื่อนสนิทฟังอย่างสนุกสนานเป็นประจำใช่ไหมล่ะ?”
“อ่านคนเก่งขนาดนั้น?”
๑๖๘
“บอกสิว่าทรายทายผิด”
จองฤกษ์เงียบไปครู่ เคยมีแต่ผู้หญิงเจอพฤหัสแล้วลมแทบจับกับความหล่อบาดใจ แต่นี่ณชะเลกลับมองผ่านรูปโฉมภายนอกทะลุเข้าไปเห็นตับไตไส้พุงได้ นับว่าเป็นเรื่องแปลกมาก ทบทวนดูก็พอเชื่อได้อยู่หรอก เพราะตั้งแต่เห็นพฤหัสที่ห้าง ณชะเลยังไม่เคยถามถึงหมอนั่นเลยสักแอะ เขาเคยรู้จักแต่ผู้หญิงที่มีท่าทีกระวนกระวาย พร่ำถามถึงพฤหัสราวกับโดนเสน่ห์ยาแฝดเสมอเพียงได้พบครั้งแรก
รู้จักหล่อนมากขึ้น ณชะเลเป็นตัวของตัวเอง หล่อนเห็นอะไรบางอย่างที่คนอื่นไม่เห็นในภาพหนึ่งๆ และนั่นก็ทำให้ปฏิกิริยาทางอารมณ์แตกต่างจากคนอื่น ความเป็นคนพิเศษของหล่อนทำให้เขารู้สึกพิเศษ อย่างน้อยก็ทำให้เขาหายวิตก บังเกิดความเชื่อมั่นว่าถ้าทำตัวดี หล่อนจะไม่หนีไปไหน ไม่ว่าจะพบชายผู้มีเปลือกนอกวิเศษวิโสเหนือเขาสักปานใด
“คบกับทรายสักเดือนเราคงเปลี่ยนไปจนจำตัวเองไม่ได้”
“ทำไมล่ะ?”
ถามอย่างไม่แน่ใจนักว่าเขามามุขไหน
“อยู่ใกล้ทีไร เรารู้สึกเหมือนสิ่งที่อยู่ในใจทรายเข้ามาอยู่ในใจเราด้วย อย่างน้อยเราก็ได้เรียนรู้ว่าถ้าปากกับใจตรงกันเป๊ะๆ ตัวตนของคนพูดจะชัดเจนในความรู้สึกของคนฟัง ฟังแล้วพลอยทำให้ความคิดแจ่มชัดตาม และติดนิสัยพูดตรงกับที่คิดไปด้วย”
ณชะเลยิ้มปลื้ม เพราะเพิ่งเคยมีคนเอ่ยกับหล่อนเช่นนั้นเป็นครั้งแรก แต่ก็ถ่อมตัวตามความเคยชิน
“ไม่หรอกมั้ง เพื่อนซี้ของทรายอยู่ด้วยกันมาหลายปียังไม่เห็นเปลี่ยนตรงไหนเลย”
“เพราะพวกเขาไม่ใช่คนที่จะอยู่กับทรายตลอดไปไง”
เด็กสาวยังระบายยิ้มอยู่ในหน้าไม่สร่าง
“ฤกษ์ก็ชักจินตนาการเก่งนะ ทำให้ทรายรู้สึกเหมือนคำว่า ‘ตลอดไป’ มีอยู่จริงงั้นแหละ… ว่าแต่มีความเปลี่ยนแปลงในทางสร้างสรรค์อื่นๆมาเล่าให้ฟังอีกหรือเปล่า?”
“กำลังจะพูดอยู่พอดี เราทำตามที่ทรายบอกแล้วนะ เราช่วยครอบครัวของคนโดดตึกแล้ว”
ณชะเลทำตาโตอุทาน
“เหรอ?” แล้วหล่อนก็อดถามไปอีกทางไม่ได้ “แปลว่าที่หมออุปการะทักเป็นความจริง?”
“ใช่…” รับรองเสียงอ่อย และไม่เห็นเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์อีกแล้วที่หมอดูผู้วิเศษพูดถูกพูดตรงราวกับตาเห็น “เมื่อวานเราสืบหาตัวคนโดดตึก ได้ความว่าชื่อครองสิทธิ์ และพอดีมีงานสวดวันสุดท้าย เราเลยตามไปที่วัด จากนั้นก็เลียบเคียงซักถามเพื่อนร่วมงานของเขา จนได้เค้าที่ชัดเจนว่าโทรจันของเรามีส่วนทำให้เขาคิดสั้นจริงๆ… แต่การฆ่าตัวตายของเขาก็ไม่ใช่ผลงานของเราโดดๆหรอกนะ คุณครองสิทธิ์มีเรื่องกับที่บ้านอยู่ก่อน พอเจอความกดดันใหม่ในเรื่องงาน เลยเกิดความคิดชั่ววูบขึ้นมา”
จองฤกษ์กล่าวอย่างคนที่ยังคงสำนึกผิด แต่ขณะเดียวกันก็เลิกโทษตัวเองคนเดียวแล้ว ณชะเลจึงไม่เห็นความจำเป็นต้องซ้ำเติมหรือปลอบโยนใดๆอีก เพียงเอ่ยด้วยใจอุเบกขา
“ช่างเถอะ ทุกคนอยู่ในอุ้งมือกรรม และเขาก็ไปอยู่ในอุ้งมือกรรมของตัวเองต่อแล้ว” เว้นวรรคเล็กน้อยก่อนเตือนความจำ “คำแนะนำให้ช่วยครอบครัวคนตายนี่เป็นของหมออุปการะนะ ไม่ใช่ทราย”
“นั่นแหละ ถ้าไม่ใช่เพราะทรายเราก็คงไม่ยอมฟังใครหรอก”
๑๖๙
“ว่าแต่ฤกษ์ช่วยพวกเขายังไงเหรอ?”
“เมียคุณครองสิทธิ์เดือดร้อนเรื่องค่ารักษาพยาบาลแม่ เราก็ให้ไปก้อนหนึ่ง เกินความต้องการไปเยอะทีเดียว เพราะกะให้เปิดร้านขายของ ช่วยตัวเองได้ในระยะยาวด้วย คุยกับเขาแล้วเห็นท่าว่ามีลู่ทางอยู่ เพียงแต่ขาดเงินทุนเท่านั้น”
ณชะเลฟังแล้วเกิดความปลาบปลื้มชื่นชมแฟนหนุ่มขึ้นมารำไร เขาเล่าด้วยน้ำเสียงปกติ แต่เป็นปกติแบบผู้ใหญ่ที่มีอำนาจจัดการเสกสรรให้ชีวิตผู้อื่นเปลี่ยนไปในทางดี กับทั้งมีความคิดอ่านมองการณ์ได้ไกล ไม่ใช่เอาแต่เงินฟาดหัวชดใช้ความผิดแบบขอไปที
“คงคลายความรู้สึกผิดให้ฤกษ์ได้เยอะซีนะ?”
“ก็เอาเป็นว่าคืนนี้มีหน้าโทร.หาทรายด้วยความรู้สึกว่ามีสิทธิ์กวดไล่หลังทรายมาบ้าง”
คำพูดของเขานำหล่อนมาเห็นความจริงประการหนึ่ง คือคนเราใช่จะมีธาตุแท้ตายตัวว่าชั่วดี ทุกคนเปลี่ยนแปลงได้ ขอเพียงมีเหตุปัจจัยพอจะชนะ ‘ธาตุเก่า’ เท่านั้น
“ฤกษ์คงไม่หยุดแผนการลบล้างความรู้สึกผิดไว้แค่ที่การช่วยเหลือครอบครัวคนตายใช่ไหม?”
“แน่นอน! ถ้าเราทำได้ เราจะไล่สืบหาทุกคนที่โดนเราแกล้ง แล้วตามช่วยทีละคน แต่ก็จนใจ เพราะรู้ว่ามันไม่มีทางเป็นจริง”
“งั้นก็คิดเรื่องที่ทำได้จริงสิ ระหว่างวันทรายก็นึกๆคิดๆนะว่าเธอจะเอาความเก่งกับเงินพันล้านไปช่วยให้โลกนี้ดีขึ้นได้ยังไง”
“เราก็คิด ไม่ใช่ไม่คิด อย่างที่ตกลงกับทรายไว้แล้ว กรอบความคิดของเรามีขอบเขตประมาณงานวิจัยทางไอทีอะไรสักอย่างที่จะเป็นประโยชน์สูงสุด แต่เหลียวไปแลมา สำรวจตรวจดูว่าพวกนักวิจัยไฮเทคกำลังทำอะไรกันอยู่บ้าง เราได้ข้อสรุปยังไงรู้ไหม? ทุกวันนี้คนยุคเราทุ่มกำลังสมอง ทุ่มทรัพยากร ทุ่มกำลังเงินไปให้กับการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งที่ตัวเองนึกว่าเป็นประโยชน์เฉพาะหน้า โดยที่ไม่เคยเฉลียวคิดเลยว่าอะไรคือประโยชน์อย่างแท้จริงในระยะยาว”
ณชะเลอมยิ้มด้วยความรู้สึกชื่นชมอีกครั้ง สัมผัสว่าเขาเปลี่ยนแปลงไปจริงๆ
“ทรายชักรู้สึกสนุกไปกับฤกษ์แล้วซี อยากเก่งคอมพ์เท่าเธอ เผื่อจะช่วยเหลืออะไรได้บ้าง”
“เราจะสอนทรายทุกอย่างที่รู้ให้เอาไหมล่ะ?”
“เอาซี ทำไมไม่เอา”
“พูดจริงหรือเปล่า? ต้องใช้เวลานะ”
ความกระตือรือร้นของเด็กสาวพุ่งขึ้นถึงขีดเดียวกับความกระตือรือร้นของฝ่ายยื่นข้อเสนอ
“ทรายอยากเอาดีทางนี้ เคยบอกแล้วไงว่าจะเอ็นฯเข้าวิศวคอมพ์ เอางี้ไหม ทรายจะเรียนพิเศษกับฤกษ์ โดยมีข้อแม้ว่าฤกษ์ต้องทำตัวเป็นครูสอนพิเศษจริงๆ แล้วก็ต้องรับเงินค่าสอนจากทรายด้วย ไม่ใช่มาสอนฟรีๆ”
“ฮี้!” จองฤกษ์อุทานลั่น “ถ้าทำอะไรให้แฟนแล้วต้องรับเงิน อย่างนี้จะเป็นแฟนไปทำไม?”
“มันอาจฟังดูตลกเหมือนยาจกควักเงินให้เศรษฐี แต่นั่นจะเป็นเหตุผลที่ดีพอให้ฤกษ์มาป้วนเปี้ยนที่บ้านทรายได้ทุกวันไง”
คำทิ้งท้ายของณชะเลทำให้จองฤกษ์ลิงโลด และยอมตามเงื่อนไขแฟนสาวทุกประการ
“ก็ได้! แต่คุณครูคนนี้ก็มีข้อแม้เหมือนกัน คือขอเป็นคนคิดอัตราค่าสอนเองนะ”
“ค่ะ… เอาเท่าไหร่ดีคะครู?”
๑๗๐
เด็กหนุ่มเกือบตอบเล่นๆว่าขอหอมแก้มทีหนึ่ง แต่สังหรณ์บางอย่างยับยั้งเขาไว้ เปลี่ยนเป็น
“ทรายต้องทำกับข้าวให้เรากิน สอนหนึ่งครั้งแลกหนึ่งมื้อ”
“โอ๋ย! ไม่ไหวหรอก เจียวไข่ยังไม่ค่อยจะได้รสเลย เปลี่ยนเป็นค่าจ้างตรงๆดีกว่า เอาตามอัตราที่เขาทำๆกัน ซีเรียสนะ”
จองฤกษ์หัวเราะร่วนอย่างมีปีติที่จะได้ใกล้ชิดคนรักทุกวัน เงื่อนไขอะไรก็น่าอภิรมย์รื่นไปหมด
“เอาเป็นเดือนละครึ่งของค่าขนมทรายแล้วกัน”
ว่าที่ครูสอนพิเศษตัดสิน และตั้งใจไว้เงียบๆว่าได้เท่าไหร่จะเอาคูณหมื่นเพื่อซื้อของขวัญคืนให้หล่อน!
“โอเค เอาตามนั้น” ณชะเลตอบตกลงหลังจากพิจารณาแล้วว่าสมน้ำสมเนื้อพอจะเรียกได้ว่าเป็นค่าจ้าง “เดี๋ยวทรายต้องทำอะไรหน่อย คืนนี้เอาไว้แค่นี้ก่อนนะ”
“ไปแล้วเหรอ?” อิดเอื้อนอย่างเสียดายเล็กน้อย “ว่าแต่จะให้เราไปสอนเมื่อไหร่ล่ะ?”
“พรุ่งนี้!”
จองฤกษ์กระหยิ่มและเลิกอิดเอื้อนทันที
“ได้เลย! งั้นพรุ่งนี้เจอกัน เราจะไปถึงบ้านทรายไม่เกินห้าโมงนะ สวัสดี”
“สวัสดี แล้วเจอกัน”
ต่างฝ่ายต่างวางสาย ณชะเลผ่อนลมหายใจยาว ก่อนชำเลืองแลมารดาซึ่งนั่งมองเขม็งอยู่ด้านซ้ายมือ
“ถ้าแม่ไม่อนุญาต ทรายจะโทร.ไปยกเลิกเดี๋ยวนี้”
สองแม่ลูกสบตากัน ฝ่ายหนึ่งเข้มงวดจริงจัง หัวคิ้วขมวดมุ่นครุ่นคิด ส่วนอีกฝ่ายมีประกายอ่อนเยี่ยงบุตรีที่อยู่ในโอวาทไม่เสื่อมคลาย ทว่าขณะเดียวกันก็แฝงแววสู้เพื่อพิสูจน์ว่าตนถูกต้องไปด้วย
มันเริ่มมาจากความเป็นลูกสาวผู้ซื่อสัตย์กับแม่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย หล่อนเคยสัญญาว่าจองฤกษ์พูดอะไร ชวนทำอะไร ก็จะเล่าให้แม่ฟังตลอดหนึ่งเดือน เมื่อครบเดือนแล้วแม่ตัดสินอย่างไรหล่อนจะปฏิบัติตามนั้น แม้สั่งให้เลิกคบก็ยอม
ณชะเลรักษาสัญญาอย่างเคร่งครัด หล่อนเล่าให้แม่ฟังเป็นกิจวัตรทุกคืน แม้กระทั่งวันอาทิตย์อันควรจะเป็นวันแห่งความลับสุดยอดของจองฤกษ์ หล่อนก็จำเป็นต้องกลับมาเล่าอีก โดยขอคำมั่นจากแม่ว่าความลับของจองฤกษ์เป็นเรื่องคอขาดบาดตาย จะแพร่งพรายให้คนอื่นทราบไม่ได้เป็นอันขาด
รสรินดีใจที่ตนเองอ่านคนถูก เจ้าหนุ่มนั่นมีอะไรไม่ชอบมาพากล แตกต่างจากมนุษย์มนาอยู่จริงๆ เพียงรู้ว่าเขาขโมยเงินเป็นพันล้านได้จากอากาศ หล่อนก็ออกคำสั่งกับลูกง่ายๆว่าให้เลิกคบได้แล้ว ความจริงเปิดเผยแล้วว่าหมอนี่เป็นโจร หล่อนเห็นการณ์ไกลและแสดงความเป็นผู้นำด้วยการไม่อาลัยไยดีกับเงินทองกองภูเขาแม้แต่นิดเดียว โดยให้เหตุผลว่าเงินสกปรกยิ่งมากเท่าไร อนาคตก็ยิ่งน่าประหวั่นพรั่นพรึงเท่านั้น
แต่ณชะเลก็เพียรเล่าถึงนาทีแห่งความสำนึกผิดและเจตนากลับตัวกลับใจของจองฤกษ์ ตลอดจนเล่าถึงความปรารถนาอย่างรุนแรงของหล่อนเอง ในอันที่จะเปลี่ยนโทษมหันต์ให้เป็นคุณอนันต์ โดยชี้ให้เห็นว่าจองฤกษ์เป็นคนมีศักยภาพ และบัดนี้จองฤกษ์ก็เห็นกงจักรโดยความเป็นกงจักร เห็นดอกบัวโดยความเป็นดอกบัวแล้ว หากมีหล่อนเป็นกำลังใจ เขาคงฝากผลงานอันเป็นคุณใหญ่ไว้กับโลกได้อย่างคาดไม่ถึง
๑๗๑
สองคืนแล้วที่สองแม่ลูกมานั่งเกลี้ยกล่อมกันและกันให้เห็นด้วยกับตน รสรินต้องการให้ลูกเลิกล้มความตั้งใจเดิม โดยบอกว่าถ้าเขาเปลี่ยนแล้วก็หมดหน้าที่ของเราแล้ว จะคบต่อให้เกิดความเสี่ยงทำไมอีก ขณะเดียวกับที่ณชะเลก็ยกเอาเหตุผลสารพัดมาทำให้แม่เชื่อใจ กระทั่งยอมให้นั่งอยู่ด้วยเพื่อฟังหล่อนคุยโทรศัพท์กับจองฤกษ์ออกลำโพงในคืนนี้!
จะเป็นด้วยดวงหรืออะไรก็ตาม จองฤกษ์เผอิญพูดในสิ่งที่ควรพูดเกือบทั้งหมด หล่อนคุยไปก็ให้คะแนนแทนแม่ไปด้วย เก็งว่าโดยรวมเขาน่าจะทำแต้มได้เกือบสิบเต็มสิบทีเดียว
ความคิดเกี่ยวกับการให้จองฤกษ์มาเป็นครูสอนพิเศษเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ด้วยความอยากอวดผลงาน อยากแสดงให้แม่เห็นว่าลูกสาวแม่กลับใจโจรร้ายให้กลายเป็นพระเอกสำเร็จ ณชะเลเชื่อมั่นว่าวันหนึ่งไม่นานเกินรอ จองฤกษ์จะเป็นข่าวใหญ่อีกครั้งในทางบวก เท่าๆกับที่เชื่อมั่นว่าแม่จะต้องประทับใจและทึ่งในตัวลูกสาวที่มีส่วนคุมหางเสือของเรือสำเภาทองให้มุ่งไปยังทิศแห่งความรุ่งเรืองสูงสุด
รสรินประสานตากับลูกสาวนานเท่านาน ส่วนลึกของหล่อนยังคงหวาดระแวงสายตาชาเย็นผิดมนุษย์ของเจ้าหนุ่มคนนั้น แต่สายตารั้นที่ยืนกรานขอโอกาสพิสูจน์ตัวของลูกสาวก็ทำให้หล่อนสองจิตสองใจได้มาก
อีกประการหนึ่ง รสรินทราบว่าแม้ผู้ชายจะเป็นคนอันตรายปานใด ขอเพียงมีใจให้กับผู้หญิงสักคนอย่างแท้จริง อันตรายก็แปรเป็นความปลอดภัยได้เกินกำแพงใดในแผ่นดิน หล่อนฟังสุ้มเสียงของจองฤกษ์ออกว่ายอมอุทิศชีวิตให้ณชะเลได้ นั่นมิใช่สิ่งที่หล่อนควรพึงใจหรอกหรือ?
“ขอแม่ตัดสินใจคืนหนึ่ง” รสรินเอ่ยในที่สุด “แล้วพรุ่งนี้เช้าจะบอกว่าตกลงให้เขามาสอนหนูไหม”
อ่านต่อตอนที่ ๒๐ >>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น