วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กรรมพยากรณ์ ตอนเลือกเกิดใหม่ (ตอนที่ ๒๖ เงินสกปรก)

<ย้อนกลับอ่านตอนที่ ๒๕
ตอนที่ ๒๖ เงินสกปรก
เย็นนั้นจองฤกษ์มาสอนณชะเลตามปกติ แต่ไม่ได้มามือเปล่า เขาพกโน้ตบุ๊กยี่ห้อแพงรุ่นล่าสุดมาด้วย ขนาดเล็กแต่ดีไซน์สวยเก๋สะดุดตาของมันทำให้ตาณชะเลเป็นประกายแพรว
“โห! ซื้อใหม่เหรอ?”
เด็กหนุ่มวางบนโต๊ะ เสียบปลั๊กและเปิดเครื่อง จอซูเปอร์วีจีเอให้แสงแรงเจิดจ้า สีสันคมชัดสมจริง กับทั้งมีความเนียนนิ่งเหมือนภาพวาดบนแผ่นกระจกที่มีนีออนฉายอยู่เบื้องหลัง มากกว่าจะเป็นการแสดงผลแบบดิจิตอลธรรมดา
“เหมือนเครื่องประดับมากกว่าอุปกรณ์ใช้งานใช่ไหมล่ะ?”
๒๒๔
“อือม์… เดี๋ยวนี้เทคโนโลยีน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ เท่าไหร่เนี่ย?”
“แสนกว่า”
“ยังแพงอยู่เนอะ ถ้าลดลงมาเหลือสักสองหมื่นค่อยน่าซื้อหน่อย”
“ไม่ต้องรอให้เหลือสองหมื่นหรอก นี่คือสมบัติของทราย!” เว้นวรรคยิ้มพราย “เครื่องเก่านั้นยกให้ฝนเขาใช้ไปคนเดียวก็แล้วกัน เครื่องใหม่นี้ทั้งกะทัดรัด ทั้งเบาพอที่ทรายจะพกพาไปไหนมาไหนได้สะดวก เราใส่โปรแกรมดีๆที่ทรายน่าจะชอบไว้เยอะด้วย”
ฟังแฟนหนุ่มเบื้องแรกณชะเลยังจับจ้องโน้ตบุ๊กด้วยแววตื่นเต้นยินดี สยายยิ้มเห็นไรมุกขาว แต่ไม่กี่วินาทีต่อมาริมฝีปากที่แย้มกว้างนั้นก็ค่อยๆหดลงจนเหลือเพียงยิ้มกร่อย
“ไม่ถูกใจเหรอ?”
จองฤกษ์จับสังเกตอยู่ นึกว่าแฟนสาวจะแสดงอาการลิงโลดหรือขอบคุณเขาด้วยคำพูดประกอบสายตาหวานฉ่ำแต่กลับกลายเป็นอาการครุ่นคิดกังวลไปเสียได้
“ขอบใจนะฤกษ์ รุ่นนี้ถูกใจทรายมาก เคยเดินผ่านๆก็แวะมองด้วยความชื่นชมอยู่เหมือนกัน”
“นั่นซี แล้วทำไมถึงทำหน้าชอบกลอย่างนั้นล่ะ?”
“คือ…” เด็กสาวไม่ทราบจะเอื้อนเอ่ยอย่างไรดี “มันแพงไป เดี๋ยวแม่ว่า”
“ปู้โธ่! คิดมากน่า”
“นี่เพิ่งมีเวลาคิดสองสามวินาทีเอง ยังไม่ทันมากหรอก เธอมาสอนทราย เสียทั้งเวลา ใช้ทั้งกำลังกายกำลังใจแล้วยังต้องมีแถมเสียเงินอีกต่างหาก รู้ถึงไหน ทรายถูกประณามถึงนั่น”
จองฤกษ์หัวเราะ พยายามคะยั้นคะยอจริงจังด้วยนึกว่าในที่สุดแฟนสาวจะต้องรับ
“ถือเป็นรางวัลสำหรับนักเรียนที่ขยันขันแข็ง มีความกระตือรือร้นเสมอต้นเสมอปลายถูกใจครูก็แล้วกันโน้ตบุ๊กตัวเดิมของทรายมันเก่าเกินไปแล้ว ช้าก็ช้า หน่วยความจำก็น้อย จอเริ่มมีจุดบอดด้วย สมควรหาเครื่องใหม่มาใช้เสียที”
“ถ้าฤกษ์ว่ามันไม่ดี ไว้ทรายจะขอเครื่องใหม่จากพ่อแม่เองแล้วกันนะ”
จองฤกษ์ชักเคือง เพราะเริ่มสัมผัสว่าแฟนสาวตั้งท่าจะปฏิเสธจริงๆ
“เครื่องนี้ให้ทรายไง เราซื้อมาแล้ว รู้ไหมใช้เวลาเดินเลือกนานขนาดไหน ทำไมถึงพูดให้เสียน้ำใจกันอย่างนี้ล่ะ?”
ณชะเลอ้ำอึ้ง ก่อนตัดสินใจตอบตามตรง
“ถ้าฤกษ์ซื้อเครื่องนี้ด้วยเงินบริสุทธิ์ ทรายคงนึกขอบคุณ แต่นี่…”
หล่อนพูดค้างไว้เพียงเท่านั้นจองฤกษ์ก็เข้าใจและคอตก ปิดปากเงียบกริบ เลิกเซ้าซี้ในบัดดล เด็กสาวเหลือบแลคนรักแล้วรู้สึกสงสาร พยายามคิดคำพูดปลอบ หรือหาทางให้เขาเข้าใจ คิดไปคิดมาก็เห็นว่าความในใจอันจริงแท้นั่นแหละเหมาะสุด
“ฤกษ์… ทรายขอสารภาพอะไรอย่างหนึ่งที่น่าละอาย เธอฟังแล้วคงเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมทรายถึงปฏิเสธ”
ได้ผล จองฤกษ์ตวัดสายตาขึ้นมองแฟนสาวทันที
๒๒๕
“มีอะไรเหรอ?”
“วันที่ทรายรู้ว่าฤกษ์มีเงินพันล้าน ทรายคิดยังไงรู้ไหม?”
เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่ๆ นึกทบทวนท่าทีของณชะเลในบ้านพ่อหมออุปการะ รวมทั้งที่มาคุยกันต่อระหว่างอาหารกลางวัน แล้วตอบว่า
“ทรายอยากให้เราเอาเงินไปคืนเจ้าของน่ะซี แต่บอกแล้วไงว่าเป็นไปไม่ได้ เพราะเราไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเอาเงินใครมาบ้าง”
ณชะเลส่ายหน้าแช่มช้า
“ตอนฤกษ์บอกแผนการใช้เงินให้พ่อหมอฟัง ว่าพอเข้ามหาลัยแล้วจะขับเบนซ์ไปเรียน… ทรายอยากขอให้ฤกษ์ซื้อให้ทรายสักคันหนึ่ง และความคิดทำนองนั้นก็วนเวียนอยู่ในหัวอีกหลายวัน”
เด็กหนุ่มดึงกายตั้งตรงยิ้มร่า เลิกคิ้วมองสาวสวยผู้แสนดีด้วยสายตาคาดไม่ถึง แต่ก็ไม่ขนาดตกตะลึงจังงัง เพราะอย่างไรณชะเลก็เป็นแค่เด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง หาใช่ผู้บริสุทธิ์จากกิเลสมาแต่ไหน
“ขอแค่ทรายบอกคำเดียว อย่าว่าแต่เบนซ์เลย…”
ณชะเลใช้ปลายนิ้วชี้และนิ้วกลางแตะริมฝีปากแฟนหนุ่มแผ่วเบาเป็นการห้ามคำก่อนจบ
“อย่าพูดให้ทรายหวั่นไหว ไหว้ล่ะ”
จองฤกษ์ใช้สันมือปาดข้อมือคนรักออกโดยละม่อม
“ทราย… ยังไงเราก็ทำบาปไปแล้ว เอาเงินคืนใครไม่ได้แล้ว เราจะรับผลกรรมของเราเอง แต่ในเมื่อเงินตกเป็นสมบัติของเรา ก็ขอให้เราได้ใช้มันตามใจชอบเถอะ และสิ่งแรกที่อยากทำก็ไม่มีอะไรเกินซื้อของให้คนที่เรารัก ทรายถือว่ามันแทนคำขอบคุณก็ได้ เราไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตจิตใจเลยจนกระทั่งเจอทราย”
ณชะเลมองอีกฝ่ายด้วยดวงตาโศกเชื่อม เข้าใจความรู้สึกอันแสนลึกซึ้งของเขา แต่ขณะเดียวกันก็เห็นตามจริงเช่นกัน ว่าถ้าหล่อนพยักหน้าให้กิเลสครั้งเดียว จะเท่ากับถอดสลักดาลประตูออกให้กองทัพความโลภกรูใส่ และตีเมืองมโนธรรมได้อย่างไม่อาจคาดเดาว่าเมืองจะแตกหรือจะต้านไหว
“ฤกษ์… ทรายรักฤกษ์นะ”
ถ้อยคำอันเปรียบเหมือนรสอมฤตนั้นโจมจับดวงจิตกะทันหัน จนความคิดทั้งมวลยุติลง จองฤกษ์เผยอปากค้างเบิกตามองแฟนสาวนิ่งเหมือนได้ขึ้นสวรรค์ แต่ณชะเลมิได้จบเพียงแค่คำสารภาพรักครั้งแรกเท่านั้น
“แต่ทรายเกลียดเงินของฤกษ์ เพราะเงินของฤกษ์ทำให้ทรายเกลียดตัวเอง!”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบกริบ ก่อนจองฤกษ์จะเอ่ยได้
“เราเข้าใจ”
“ไม่… เชื่อเถอะว่าฤกษ์ไม่เข้าใจ และถ้าหากคนอื่นรู้เข้า ก็ต้องหาว่าทรายโง่ ยึดถืออุดมคติบ้าๆ แล้วก็ฟุ้งซ่านเหลวไหลไร้สาระเปล่า แต่… ทรายรู้สึกว่าเงินทุจริตของฤกษ์คือหลุมดำขนาดมหึมา ถ้าแค่ทรายยอมเฉียดเข้าไปใกล้มันมันจะดูดทรายไว้ทั้งตัว และหาทางหนีออกมาไม่ได้อีก”
“ให้บอกเถอะว่าเราเข้าใจ เพราะตอนนี้เรายืนอยู่ตรงใจกลางหลุมดำด้วยตัวเองแล้ว” เด็กหนุ่มเหลือบตามองพื้นราวกับเห็นห้วงเหวเวิ้งว้าง “อีกอย่าง เราเริ่มเข้าใจมุมมองของทรายมากขึ้นเรื่อยๆ ทรายคงเห็นว่าถ้าหลงยินดีกับกรรม
๒๒๖
ของใคร ก็แปลว่าเห็นด้วย หรือพลอยมีส่วนร่วมไปกับกรรมของคนๆนั้น ถูกแล้ว… เราเป็นขโมย! ทรายไม่ควรต้องมามีส่วนกับเส้นทางของเรา แม้ด้วยใจยินดีในวิธีการได้สมบัติมาแบบไม่ซื่อก็ตาม”
ณชะเลก้มหน้าเงียบ ความสงสารแฟนหนุ่มเริ่มทำให้ใจอ่อน เมื่อใจอ่อนก็ได้ข้ออ้างว่าควรรับของเพื่อถนอมน้ำใจกัน และพอมีข้ออ้างดังกล่าว ก็บังเกิดความโลภอยากได้สมบัติของเขาขึ้นมาอีก โน้ตบุ๊กตรงหน้าส่งประกายมันวาวล่อตา หล่อนคงนั่งนอนดูหนังได้เพลินไปเลย เบนซ์ในจินตนาการยิ่งเจิดจ้าเย้ายวนชวนสัมผัส หล่อนจะได้ไปไหนมาไหนดังใจนึกด้วยยานยนต์หรูอลังการ
ไหนๆก็ไหนๆ หล่อนเปิดเผยให้เขารู้ความอยากที่ซ่อนเร้นลึกลับไปแล้ว จะน่าเกลียดกว่าเดิมสักเพียงใดกับการก้มหน้าเฉยเป็นดุษณีตอนเขาคะยั้นคะยอซ้ำอีกรอบ…
เด็กสาวเห็นความใจอ่อนเพียงชั่ววูบของตน กลายเป็นการเปิดทางให้เงื้อมเงาพลังมืดคืบคลานมาครอบงำจิตอย่างรวดเร็วปานพายุบุแคม หล่อนรู้สึกถึงแรงทะยานแห่งใจที่แล่นไปหาเป้าหมายใกล้มือคือโน้ตบุ๊กตรงหน้า และรู้สึกถึงเปลวแสนสวยแห่งไฟโลภะที่ลุกโชติช่วงขึ้นเป็นรูปเบนซ์สปอร์ต ทุกอย่างกระจ่างชัดเป็นจริงเป็นจังแค่เอื้อม ขึ้นอยู่กับว่าหล่อนอยากคว้าหรือจะปล่อยให้หลุดมือ…
และภายในเวลาเพียงอึดใจเดียว ณชะเลก็พบว่าใจหล่อนไม่หยุดแค่โน้ตบุ๊กกับเบนซ์เสียแล้ว ความคิดของหล่อนโบยบินเตลิดไปไกลกว่านั้น ทั้งแก้วแหวนแพรพรรณที่อยากได้แต่ไม่กล้าขอพ่อแม่ ทั้งบ้านสวยในโครงการใหญ่ที่ไม่เคยอยากได้มาก่อนก็ยังอุตส่าห์มาปรากฏในมโนทวารกับเขาด้วย ไหนจะหนี้ที่พ่อแม่ยังแบกไว้อีกบานตะไท ทั้งครอบครัวหล่อนจะดีขึ้นก็คราวนี้แหละ
ทุกสิ่งที่เคยฝันหา ตลอดจนทุกสิ่งที่ยังไม่เคยฝันถึง เป็นจริงได้ดุจเนรมิตด้วยเงินในมือแฟนหนุ่มเพียงคนเดียว!
กะพริบตาถี่ๆเรียกสติ เกิดความขัดแย้งทรมาน ใจที่มีอยู่หนึ่งเดียวกลับแยกเป็นสองฝ่ายโรมรันกันเองจนต้องกล้ำกลืนรสขม หล่อนเป็นแค่เด็กสาวรุ่นธรรมดาคนหนึ่งที่ใจเต้นแรงให้กับเหยื่อล่อชิ้นโตได้ง่ายๆ และนั่นเองทำให้ตระหนักชัดว่าต้องมีพลังเหนือมนุษย์จริงๆจึงจะสามารถปฏิเสธและเบือนหน้าหนีเงินพันล้านอย่างไม่ไยดี นี่คือการพิสูจน์ใจครั้งใหญ่ว่าหล่อนจะเลือกอย่างไร ระหว่างยอมน้ำลายไหลและก้มหัวเยี่ยงทาส หรือจะยืดอกเชิดหน้าหนีอย่างนางพญา
ถ้าเลือกจะเป็นคนใจแข็ง ไม่โอนอ่อนผ่อนตามทางลาดสู่อบาย ที่พึ่งเดียวของหล่อนในยามนี้น่าจะเป็นความรู้สึกผิด
ถึงแม้เขาอุตส่าห์เดินเลือกซื้อด้วยน้ำใจท่วมท้น แต่น้ำใจอันล้นหลามนั้นก็ไม่อาจชะล้างคราบสกปรกบนธนบัตรที่ใช้ซื้อของให้หล่อนได้ ญาณของผู้รักษาศีลมาช้านานทำให้หล่อนรู้สึกถึงความสกปรกนั้น และรู้ตัวว่าจะไม่สบายใจตลอดไปกับการยอมรับของ เพราะถึงแม้ไม่บาปเลยสักนิด แต่ก็มีมลทินอยู่ด้วยความรู้ว่าหล่อนรับของโจร!
วันนี้หล่อนใจอ่อนยอมรับของโจร อะไรจะประกันว่าวันหน้าไม่เขยิบขึ้นทางโจรเสียเอง?
ตัวหล่อนเองได้ชื่อว่าดึงเขาออกมาจากเส้นทางโจร หากรับทรัพย์ที่เขาปล้นมา มิเท่ากับส่งเสริมให้เห็นคุณของเส้นทางเดิมหรอกหรือ?
ความคิดสุดท้ายเพียงแวบเดียวนั้น ทำให้ณชะเลตัดสินใจเด็ดขาด หล่อนจะใช้นาทีที่มีสิทธิ์เลือกนี้ สร้างกรรมอันจะทำให้อยู่เหนือความเป็นคนธรรมดา เพื่อมีความสุข ความปลอดภัย และความไร้กังวลเหนือคนธรรมดาทั้งหลาย!
๒๒๗
ชั่วขณะแห่งการตัดสินใจนั่นเอง ณชะเลพบความจริงประการหนึ่งคือ ไม่มีคำว่าเป็นไปไม่ได้สำหรับกรรมทางใจ ถึงแม้จะเหลือเชื่อปานใดก็ตาม!
“ฤกษ์เก็บโน้ตบุ๊กไว้เถอะ”
ปลายเสียงยังสั่นไหว แต่ใจเริ่มเด็ดเดี่ยว เด็กสาวสัมผัสถึงพลังเกินมนุษย์ที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นในตน หล่อนชอบพลังชนิดนั้น พลังแห่งขันติที่สามารถชนะกิเลสอันยากจะต้าน!
“ตกลง…” จองฤกษ์พยักหน้าให้กับสมบัติดีไซน์น่ารักบนโต๊ะ “เราจะเอาไปบริจาคกับใครสักคนที่เขาฝันอยากได้มัน”
ณชะเลเหลือบตามองตาม เห็นโน้ตบุ๊กราคาเรือนแสนแล้วชักอาลัย และกระทั่งเกิดความเสียดายจับใจขึ้นมาอีกแต่พลังใหญ่ที่เพิ่งสามารถข่มมหาโลภะลงได้เมื่อครู่ยังหนักแน่นพอจะต้านกลับ และกำราบใจสงบราบคาบดังเดิมในเวลาอันรวดเร็ว
“ถ้าฤกษ์ตั้งใจทำงานที่เป็นประโยชน์กับคนอื่น ก็ให้มันเป็นส่วนหนึ่งของงานได้นี่”
หล่อนแนะเพื่อเป็นทางออกที่ดี เพราะคิดว่าคอมพิวเตอร์ในมือจองฤกษ์ทุกเครื่องสามารถทำคุณได้อเนกอนันต์เสมอ
“ไม่หรอก…” จองฤกษ์ส่ายหน้า “เรามีคอมพ์เยอะแยะแล้ว เจ้าเครื่องนี้เราตั้งใจเลือกมาให้เหมาะกับทรายคนเดียว ถ้าทรายไม่เอา เราก็ไม่รู้จะเก็บไว้ทำไม”
ณชะเลอึกอัก ก่อนเอ่ยได้เพียงสั้น
“ขอโทษด้วยนะ…”
จองฤกษ์พยักหน้า
“ไม่เป็นไร… และถ้าทรายรังเกียจเงินสกปรกของเราจริงๆ เราจะทิ้งมันไปให้หมด”
เศรษฐีหนุ่มวัยรุ่นหมายความตามที่พูดจริงๆ ทำนองเดียวกับคนคิดสั้นอยากฆ่าตัวตายจากความบีบคั้นที่หนักเกินทน เขาก็คิดสั้นอยากเผาสมบัติทิ้งเพราะคนรักเดียดฉันท์เช่นกัน
ณชะเลมองอีกฝ่ายนิ่งอย่างจะหยั่งใจ
“ทิ้งได้จริงๆเหรอ?”
“จริง!” จองฤกษ์ตะแคงหน้ามองแฟนสาวเต็มตา “วันที่เราเจอทราย เราอยากให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับทราย แต่ถ้าทรายไม่เอา จะสั่งให้เราทิ้งมันเพื่อความสบายใจก็ได้”
เขาอั้นคำไว้ ไม่เผยออกไปว่าเจ็บปวดเพียงใดกับการที่หล่อนปฏิเสธของขวัญชิ้นแรก และยิ่งรู้สึกตกต่ำขนาดไหนเมื่อหล่อนแสดงเป็นนัยว่ารังเกียจเงินสกปรกของเขา ไม่ปลาบปลื้มกับวิถีทางของเขา หรืออีกนัยหนึ่งคืออึดอัดกับการยอมรับตัวตนของเขา
แต่สำหรับณชะเล เมื่อเห็นใจจริงว่าเขาทิ้งทุกสิ่งเพื่อหล่อนได้ มุมมองใหม่ก็เกิดขึ้น
“งั้นเรามาช่วยวางแผนทิ้งเงินพันล้านกัน!” เด็กสาวตั้งตัวตรงเป็นงานเป็นการ “แต่แทนที่จะปล่อยให้มันเป็นตัวเลขสูญเปล่าในธนาคารสวิส เราควรคิดอุทิศมันให้เป็นประโยชน์กับโลกเหมือนที่เคยคุยกันไว้ ต่างกันหน่อยตรงที่คราวนี้เราจะมองเงินทั้งหมดเป็นของกลางของโลก จะไม่เบิกมาใช้ตราบใดที่ไม่เกี่ยวข้อง หรือไม่เกื้อกูลกับโครงการทำ
๒๒๘
สาธารณประโยชน์”
“ได้!”
จองฤกษ์รับคำหนักแน่น และหมายความตามนั้น และนั่นก็ทำให้เด็กสาวเปิดฉากใหม่เหมือนรออยู่ก่อน
“วันนี้ทรายคิดอะไรได้อย่าง”
“ว่ามาเลย”
เด็กหนุ่มตั้งตาฟัง ณชะเลกระแอมขลาดๆกับการขยายความคิดริเริ่มของตนให้ผู้มีภูมิเหนือตนรับรู้
“คือ… เท่าที่เห็นความสามารถของฤกษ์มา ทั้งที่ขโมยเงินพันล้านจากอากาศได้ แล้วก็แฮกฯอินเตอร์เน็ตได้ทั้งระบบ แถมอายุเพิ่งสิบเจ็ด ก็คงประมาณว่า เอ่อ… เธอน่าจะเป็นแฮกเกอร์มือวางอันดับหนึ่งของโลก เพราะคงไม่มีงานเจาะระบบไหนๆยากเกินกว่านี้อีก”
จองฤกษ์ยิ้มมุมปากนิดๆ อัตตาของยักษ์ใหญ่ขยายตัวขึ้นคับห้อง ด้วยความลำพองและยินดีที่มีใครอีกคนนอกจากตัวเขาเองได้รับรู้ความจริงนี้ แถมเป็นคนที่เขารักและอยากให้ปลื้มเขาสุดๆเสียด้วย
“แต่…” ณชะเลต่อคำให้จบ “เธอก็ได้ชื่อว่าทำบาปกรรมหนักหนาเกินใครเหมือนกัน การทำบาปด้วยความยินดีและไม่รู้ว่านั่นเป็นบาป ย่อมมีส่วนขยายผลสูงสุด ให้ผลยืดเยื้อยาวนานยากจะจบสิ้น”
อัตตาแบบยักษ์ใหญ่ลดลงเป็นเต่าหัวหดทันที จองฤกษ์ก้มหน้าครู่หนึ่งก่อนยกเท้าขวาขึ้นมาวางบนตัก เพื่ออวดพลาสเตอร์ปิดแผลให้ณชะเลเห็น
“เราเพิ่งเหยียบเศษแก้วในห้องน้ำที่บ้าน แม่ทำแตกไว้ เก็บกวาดยังไม่หมดก็เผอิญมีโทรศัพท์”
ณชะเลเพ่งกลางฝ่าเท้าของเขาด้วยสายตาห่วงใย แต่ใจอดนึกขำไม่ได้ ชีวิตจองฤกษ์ช่วงนี้ช่างเต็มไปด้วยพลาสเตอร์ปิดแผล
“แย่จัง”
หล่อนเอ่ยแค่นั้น กลัวพูดยาวๆเดี๋ยวเผลอเจือสำเนียงขบขัน
“ก็ไม่เชิงว่าแย่ เราได้อะไรจากแผลครั้งนี้พอสมควร คือมีอยู่ขณะหนึ่งที่เราสัมผัสรู้สึกถึงการมีอยู่ของวิบากกรรม เห็นมันเป็นอะไรที่ลึกลับและส่งกระแสรบกวนเหตุการณ์ทั้งหลายได้จริง เราไปอยู่ที่นั่นในเวลานั้นเพื่อเสวยวิบากที่เคยแกล้งคนอื่นไว้… สรุปคือเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าวิบากกรรมติดตามเราเหมือนเงาตามตัว เพื่อคอยจ้องเล่นงานหรือบีบเราโดยไม่รู้ตัวให้ต้องตกที่นั่งลำบากในโอกาสเหมาะเสมอ คิดดู เดินในที่ที่ปลอดภัยมาเป็นสิบปี อยู่ๆก็มีเศษแก้วโผล่มาดักตำเท้าจึ้กใหญ่อย่างนี้”
พูดหมดเปลือกอย่างคนปลงตก
“นั่นแหละที่ทรายกำลังพูดถึง…” ณชะเลเอ่ยด้วยน้ำเสียงของเพื่อนคู่คิด แต่ก็พยายามเม้มปากกลั้นหัวเราะ นี่คงเป็นแรงส่งจากกระแสกรรมของเขา แทนที่เขาเดือดร้อนแล้วจะน่าสงสาร กลับดูเป็นเรื่องจี้เส้นไปได้แม้สำหรับหล่อนซึ่งควรอยู่ในฐานะพลอยร้อนใจแทน “โจทย์มีอยู่ว่าทำยังไงจะเปลี่ยนความเก่งที่เคยร้ายกาจในอดีตของเธอ ให้กลายเป็นความเก่งที่ดีงามในปัจจุบัน เพื่อก่อกรรมใหม่ที่คานอำนาจกันได้กับกรรมเก่า เธอเป็นผู้ร้ายกลับใจ ทำไมไม่ลองพยายามทำให้ผู้ร้ายอื่นกลับใจตามดูบ้าง?”
เด็กหนุ่มพยักหน้านิดๆอย่างคนเข้าใจเร็ว
๒๒๙
“ทรายหมายความว่าจะให้เราใช้ความสามารถแบบแฮกเกอร์ ทำให้การกลั่นแกล้งและการโจรกรรมทั้งหลายหายไปจากโลกใช่ไหม?”
เด็กสาวผงกศีรษะ
“ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องเหลือวิสัยที่จะทำ แต่อย่างน้อยเธอก็ได้พยายาม และเมื่อเพียรพยายามก็ย่อมเป็นกรรมใหม่ขึ้นมาทันที แม้ผลสุดท้ายจะล้มเหลวหรือสำเร็จก็ตาม”
“โอเค เราจะเอาจุดนี้เป็นเป้าหมาย คือพยายามทำให้การกลั่นแกล้งและการโจรกรรมไฮเทคหมดไป… แล้วทรายมีไอเดียเฉพาะเจาะจงอยู่ในหัวบ้างไหมว่าจะเริ่มก้าวแรกยังไง?”
ณชะเลกลืนน้ำลายลงคอฝืดๆและยิ้มไม่สนิทนัก
“ก็… ถ้าเป็นอย่างที่ควร ฤกษ์น่าจะเรียนไปตามลำดับเพื่อเอาวุฒิการศึกษาระดับดอกเตอร์มาไว้ในมือเพื่อเป็นเครดิตก่อน ยอมเสียเวลาสักสิบปี ใช้เงินจากอากาศนั่นแหละส่งเสีย จากนั้นก็ เอ่อ… หาทางจัดตั้งมหาวิทยาลัยสักแห่งระดมคนเก่งมาช่วยกันสอนแฮกเกอร์ หรือคนที่มีแนวโน้มจะเป็นแฮกเกอร์ ทำให้มหาวิทยาลัยโด่งดังและมีแรงดึงดูดนักศึกษาจากทั่วโลกมาสนใจเรียน และเธอก็จะเป็นคนวางหลักสูตรที่ไม่เคยมีใครเคยวางมาก่อน รวมทั้งสอนแบบที่ทำให้ทุกคนตื่นตะลึงเหมือนอย่างที่ทำให้ทรายตะลึงทึ่งมาแล้ว จากนั้น… ก็คงมีโอกาสสอดแทรกจริยธรรมให้กับนักศึกษาทรายเชื่อว่าพวกเขาจะบูชาเธอ และคำพูดของเธอจะมีน้ำหนัก มีความศักดิ์สิทธิ์พอ”
ระหว่างฟังณชะเลขยายความคิด จองฤกษ์ก็ซ่อนยิ้มไว้ภายใน มองผู้หญิงตรงหน้าด้วยหัวใจอบอุ่น เขายินดีฟังความคิดเห็นของหล่อนเสมอ ทุกถ้อยคำเต็มไปด้วยความเมตตาที่งดงาม แม้ว่าเมตตาชนิดนั้นจะมาจากวิธีมองโลกแบบคนไม่เคยย่างเท้าออกจากเขตขาวสะอาดเลยก็ตามที
พอฟังจบก็ทำหน้าใส่ใจจริงจัง เหลือบตาลงต่ำเม้มปากอย่างครุ่นคิดหนักหน่วงเป็นครู่
“ถูกของทรายนะ!” จองฤกษ์ใช้เสียงให้เหมือนได้รับการจุดประกายจากหล่อนเปรี้ยงปร้าง “ถ้าเราแสดงให้โลกรู้ได้ว่าเราคือมือหนึ่ง ทุกคนก็ต้องสนใจมาเรียนกับเรา และไม่ใช่แค่นั้น ทุกคนน่าจะอยากฟังเจ้าแห่งปีศาจแฮกเกอร์พูดถึงแก่นชีวิตแฮกเกอร์ ตรงนั้นคงเป็นโอกาสให้เราป้อนมุมมองดีๆ ปลูกฝังจิตสำนึกที่งดงามให้กับพวกเขาได้มาก แทนที่จะเอาวิชาไปทำชั่ว ก็เปลี่ยนมาช่วยกันอุดช่องโหว่ และประดิษฐ์คิดค้นเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์กันให้สนุก”
ณชะเลยืดตัวตรง ยิ้มรื่นอย่างภูมิใจที่เขารับฟังและเห็นด้วยกับแนวคิดของหล่อน
“แต่มีปัญหาอยู่อย่างหนึ่ง” จองฤกษ์ทำหน้าหนักใจ “ถึงแม้ว่าเงินเกือบสองพันล้านบาทจะเพียงพอกับการก่อตั้งมหาวิทยาลัย แต่เราก็ต้องตอบคำถามใครต่อใครให้ได้ว่าแหล่งเงินทุนมาจากไหน เงินขนาดนี้ทุกคนถามหาที่มาแน่ๆโดยเฉพาะเมื่อคิดทำโครงการใหญ่กับสาธารณชนอย่างเช่นเปิดมหาวิทยาลัยขึ้นสักแห่ง”
รอยยิ้มของณชะเลเจื่อนลง ปัญหาข้อนั้นไม่เคยอยู่ในหัวของหล่อนมาก่อน และยิ่งห่อเหี่ยวลงกว่าเดิมเมื่อจองฤกษ์เพิ่มโจทย์ใหม่แถมท้าย
“อีกอย่าง เท่าที่เราเคยรู้จักและคลุกคลีกับพวกแฮกเกอร์ หรือคนที่มีแนวโน้มจะเป็นแฮกเกอร์ เราเห็นนิสัยสามัญในพวกเขาที่เหมือนกับตัวเราเอง นั่นคือเจ้าเล่ห์ ดูถูกคนอื่น เห็นแก่ตัว และยึดตัวเองเป็นใหญ่ไม่เห็นหัวใคร หากพวกเขามีความคิดชั่วร้ายโดยสันดานอยู่ก่อน สิ่งที่จะมาเอาจากเราก็คงแค่ความรู้ หรือแนววิธีพลิกแพลงใหม่ๆเอาไปประกอบกรรมชั่ว เมื่อไหร่เราพูดถึงการนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในทางดี รับรองว่าเจ้าพวกนี้ต้องนึกโห่อยู่ในใจ
๒๓๐
หรือไม่ก็แอบช่วยกันใช้โทรโข่งโห่ฮาเราลับหลัง”
ณชะเลหัวเราะอ่อยๆ ก้มหน้ายอมรับแล้วว่าไอเดียของตนแป้กแน่นอน
“จริงของเธอ”
“แต่ความคิดเริ่มต้นของทรายน่าจะนำเรามาถูกทางนะ จุดประกายในหัวเราได้เหมือนประทัดเลยล่ะ น่าสนใจมากว่าทำยังไงคนชั่วถึงจะเลิกคิดร้าย ทำยังไงแฮกเกอร์ถึงจะเอาความฉลาดไปสร้างโลกสีขาว แทนที่ส่วนใหญ่จะสร้างโลกด้านมืดขึ้นจนเป็นหลุมดำ ดึงดูดแสงสว่างในจิตวิญญาณของตัวเองไปจนเกลี้ยง… นี่ทำให้เราเกิดไอเดียขึ้นอย่างหนึ่ง”
เขาเป็นฝ่ายทำให้แฟนสาวตาตื่น เกิดความอยากฟังบ้าง
“อะไรเหรอ?”
“ถ้าเราทุ่มเงิน… อาจจะทั้งหมดที่มี และทุ่มเวลา… อาจจะทั้งชีวิตที่เหลือ ให้กับการพิสูจน์ว่าวิบากกรรมมีจริงหรือกระทั่งพยากรณ์ได้ว่าทำอะไรแต่ละอย่างแล้วจะเกิดผลอย่างไร ช่วยให้มนุษย์ทั้งหลายหายสงสัย แล้วหันมาเชื่ออย่างสนิทใจว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว… อย่างนี้อย่าว่าแต่เหล่าแฮกเกอร์จะไม่กล้าเกเรอาละวาดอีก วันหนึ่งตีนแมว นักค้ายา ตลอดจนผู้ก่อการร้ายอาจสลายตัวไปกว่าครึ่งโลก!”
“เธอจะสร้างเครื่องพยากรณ์กรรม?”
“ถูกต้อง! ลองคิดดูซิว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้ามีตู้วิเศษตอบคำถามเรื่องกรรมวิบากได้อย่างพ่อหมออุปการะ และไม่ใช่แค่ตู้เดียวที่ดูแลคนได้ไม่กี่สิบกี่ร้อยต่อเดือน แต่มากเป็นหมื่นเป็นแสนตู้กระจายอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ไขข้อขัดข้องเกี่ยวกับกรรมวิบากและการเวียนว่ายตายเกิดให้คนได้นับล้านต่อวัน”
ณชะเลสยายยิ้มกระจ่าง ความมีศรัทธาเชื่อมั่นในฤทธิ์ของจองฤกษ์บันดาลปีติให้เอ่อขึ้นล้นอก เพิ่งเข้าใจอารมณ์ผู้หญิงที่อยากถลาไปจูบแก้มผู้ชายเป็นการให้รางวัลเดี๋ยวนี้เอง
เป็นมนุษย์ทำอะไรก็ได้…
สำคัญคือ ‘คิดจะทำ’ แค่ไหนเท่านั้น!
เด็กสาวยินดีอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ทำหน้าสงสัย
“กรรมวิบากเป็นนามธรรม หากมีกฎอยู่ กฎนั้นก็เหมือนข้อสมมุติที่แตะต้องไม่ได้ แล้วสิ่งไหนแตะต้องไม่ได้จะเป็นไปได้หรือกับการ…”
“อย่าพูดคำนั้น ขอร้อง”
จองฤกษ์เอาสองนิ้วแตะปากณชะเล นั่นเป็นครั้งแรกสำหรับการ ‘ถือโอกาสแต๊ะอั๋ง’ โดยอาศัยความคิดที่ว่าเมื่อครู่หล่อนใช้ปลายนิ้วแตะเขาได้ เขาก็ใช้ปลายนิ้วแตะหล่อนได้เช่นกัน อาจแตกต่างที่เจตนานิดหน่อย แต่ก็ถือว่ายุติธรรมแล้ว
“ถ้าคิดแบบแฮกเกอร์ สิ่งแรกที่ต้องทำคือตัดคำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ทิ้งก่อนเพื่อน” เด็กหนุ่มสาธยายพลางเสพสัมผัสนุ่มที่ปลายนิ้วอย่างสุดสุข “จากนั้นค่อยๆคิดพยายามเอาชนะข้อจำกัดทั้งหลายทีละเปลาะ จนกว่าจะทะลุทะลวงทุกข้อจำกัด เข้าถึงจุดหมายปลายทางในวันใดวันหนึ่ง”
ณชะเลมองเขาด้วยสายตารู้ทัน แต่เห็นท่าทีครึ่งขลาดครึ่งกล้าที่ได้แตะหล่อนเป็นครั้งแรกแล้วทำให้ตัดสินใจ
๒๓๑
เฉยอย่างรอดูว่าเขาจะทำอะไรต่อ กระทั่งจองฤกษ์ถอนนิ้วจากริมฝีปากหล่อนไปเอง ไม่กล้าล่วงเกินมากกว่านั้น ท่าทางมือสั่นหน่อยๆเหมือนกลัวโดนหล่อนว่าเอาด้วยซ้ำ นั่นทำให้เด็กสาวยิ้มนิดๆ
“พอฤกษ์บอกว่าจะทำอะไร ทรายก็เชื่อไปตั้งครึ่งแล้วว่าต้องสำเร็จ” ณชะเลหมายความตามนั้น “เศรษฐีพันล้านที่มีสมองนักวิจัยเป็นของตัวเองน่ะ ถ้าแค้นแดดร้อนอาจคิดหาวิธีดับดวงอาทิตย์ก็ยังไหว ที่ทักไปเมื่อกี้เป็นคำถาม เป็นข้อสงสัย อยากให้ช่วยอธิบายหลักการต่างหาก ทรายไปตัดสินเสียเมื่อไหร่ว่าโครงการของฤกษ์ไม่มีวันสำเร็จ”
จองฤกษ์หัวเราะเก้อๆ
“เอ้อ… ก็… ทรายเพิ่งจุดประกายไอเดียให้เรา เราเพิ่งคิดได้ว่าจะสร้างเครื่องพยากรณ์กรรม ต้องให้เวลาเราสำรวจแนวทางที่เป็นไปได้เสียหน่อยสิ”
ณชะเลส่ายหน้าช้าๆ
“คนคิดสร้างเครื่องพยากรณ์กรรมยังโกหกเก่งอยู่เลย ขอบใจนะที่อยากให้ทรายภูมิใจ นึกว่าได้เป็นต้นไอเดียให้กับโครงการใหญ่ของเธอ แต่ทรายจะภูมิใจกว่า ถ้ารู้ว่าเป็นเหตุให้แฟนตัวเองรักษาศีลเป็น!”
จองฤกษ์หน้าชา ปากตีบคอตันไปครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ยิ้มแห้งๆ
“เราเพิ่งเกิดไอเดียเมื่อวานตอนเหยียบเศษแก้วนี่แหละ วันนี้ก็เพิ่งนั่งคิดและรวบรวมข้อมูลเพื่อหาช่องทางและความเป็นไปได้ต่างๆ ซึ่ง… ถึงตอนนี้ได้แต่ความรู้สึกว่ากำลังเริ่มงานท้าทายยิ่งกว่าแฮกฯดาวเทียมกับอินเตอร์เน็ตทั้งระบบ! เห็นเค้าความยุ่งยากซับซ้อนและกำแพงหนาทึบรอบด้านไปหมด เพราะงั้นเรื่องแนวทางนี่ยังไม่ชัดเจนจริงๆ เริ่มคิดวันนี้ตอนอายุสิบเจ็ด กว่าจะเสร็จงานหรือเป็นรูปเป็นร่างสักครึ่งอาจอายุร่วมเจ็ดสิบ”
“นานแค่ไหนโลกก็รอได้ ชีวิตเธอทั้งหมดอุทิศให้กับงานชิ้นเดียวนี้พอแล้ว และไม่จำเป็นต้องทำครบบริบูรณ์ร้อยเปอร์เซนต์ เริ่มไว้แค่ ๕๐% เพื่อเป็นบันไดขั้นที่หนึ่ง สอง สามสำหรับคนรุ่นหลังก็ใช้ได้ มันไม่สำคัญว่าใครจะทำบันไดขั้นที่ ๑๐ สำเร็จ แต่สำคัญที่เมื่อไหร่สำเร็จ ประวัติศาสตร์มนุษยชาติได้เปลี่ยนแปลงอย่างถาวรแน่!”
จองฤกษ์กะพริบตาปริบๆ คำพูดของแฟนสาวทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นอย่างหนึ่ง คือบารมีของคนๆเดียวไม่มีทางเบี่ยงเบนวิถีทางของมนุษยชาติโดยรวมได้ทั้งหมด ทุกอย่างต้องมีการเริ่มต้นแล้วช่วยกันสานต่อ ทำนองเดียวกับนักประดิษฐ์คอมพิวเตอร์รุ่นแรกมิใช่ผู้ทำให้ทุกทวีปสื่อสารกันได้ด้วยอินเตอร์เน็ตเหมือนปัจจุบัน แต่นั่นแหละ ถ้าขาดผู้เริ่มประดิษฐ์คอมพิวเตอร์ ทุกวันนี้ก็จะไม่มีใครก่อร่างสร้างอินเตอร์เน็ตขึ้นมาได้เลย
“เราเองก็อยู่ในฐานะนักเก็บข้อมูลมาปะติดปะต่อ ความจริงมีนักวิทยาศาสตร์ให้ร่องรอยเกี่ยวกับกรรมวิบากไว้เยอะแล้วล่ะ เพียงแต่พวกเขาไม่ได้นิยามว่านั่นเป็นกรรมวิบากเหมือนชาวพุทธเรา”
ณชะเลขยับตัวอย่างสนใจเต็มที่
“ลองยกตัวอย่างได้ไหม?”
“ก็เช่น… เอาง่ายๆแล้วกัน ถามทรายก่อน ทรายว่าการตั้งใจออกกำลังนี่ถือเป็นกรรมไหม?”
เด็กสาวคิดนิดหนึ่งก่อนตอบ
“เรียกว่าเป็นกรรมที่ชวนให้เกิดสติ เกิดการบริหารร่างกาย แต่เอ… พูดอย่างนี้ดีกว่า มันขึ้นอยู่กับว่าใครตั้งใจไปเล่นเพื่ออะไรด้วย ถ้าแค่ออกกำลังเอาเหงื่อ เอาสุขภาพ ก็ถือว่าเป็นกุศลกับตัวเอง แต่ถ้าไปด้วยเจตนาจะเอาชนะ ก็ถือว่าการออกกำลังนั้นนำหน้าด้วยกรรมแบบเบียดเบียน”
๒๓๒
“เอาแง่ที่เป็นกุศลกับตัวก่อนก็แล้วกัน วิบากที่ได้รับทางกายก็คือกระดูกจะแข็งแรงกว่าคนไม่ออกกำลัง แล้วก็ความสามารถชะลอความเสื่อมของอวัยวะต่างๆเมื่ออายุมากขึ้น แล้ววิบากที่ได้รับทางใจ อย่างเช่นตอนเราเล่นแบดกันเหนื่อยๆ ถึงแม้จะเหมือนอ่อนเพลียบ้าง แต่ก็สดชื่น ยากที่จะซึมเศร้าเหงาหงอย อธิบายเป็นวิทยาศาสตร์ได้ว่าเพราะขณะนั้นมีการหลั่งสารเอนดอร์ฟิน ซึ่งเป็นสารที่ก่อสุขทางกายขึ้นมา ต่อให้มีแผลทางกายหรือแม้แต่ทางใจอยู่ ก็ช่วยบรรเทาได้”
เด็กสาวพยักหน้าอย่างนึกออก และเสริมตามประสาผู้หญิงที่สนใจเบื้องหลังเบื้องลึกเกี่ยวกับความงาม
“เหมือนถ้าเครียด ต่อมหมวกไตจะหลั่งสารแอนโดรเจน ทำให้เป็นสิว” แล้วหล่อนก็แย้งเขา “แต่อย่างความเครียดเนี่ย เกิดจากนิสัยคิดมากซึ่งเป็นอกุศลกรรมทางใจก็ได้ หรืออาจจะเกิดจากความรับผิดชอบภาระหนักหน่วงอย่างต่อเนื่องก็ได้ ตัวกระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารร้ายๆ อาจเป็นกุศลเจตนาหรืออกุศลเจตนาก็ได้ ทรายกลัวว่าถ้าฤกษ์จ้องจะจับร่องรอยทางกายเป็นหลักตั้ง ผลอาจบิดเบี้ยว และไม่สามารถเจาะเข้าไปถึงความจริงเกี่ยวกับกรรมวิบากได้ถูกทิศเท่าไหร่นะ”
“อาจจะยังไม่ถูกทิศ แต่อย่างน้อยเราก็ได้ไอเดียสำหรับก้าวแรกไง” เขาอธิบายอย่างใจเย็น “เรากำลังทำความเข้าใจกฎของกรรมวิบากผ่านร่องรอยที่ฝากไว้ในกายมนุษย์ก่อน ถือเป็นหลักกิโลแรก และเรากำลังหวังไว้ว่าเมื่อพยายามรวบรวมข้อมูลที่กระจัดกระจายมาปะติดปะต่อเข้ารูปเข้าร่างได้มากขึ้น ประมาณหลักกิโลที่สิบเราอาจพบความเกี่ยวข้องกันระหว่างเจตนากับผลของเจตนา”
หัวคิ้วของณชะเลย่นลงนิดหนึ่ง
“ยกตัวอย่างหน่อยได้ไหม?”
“ปัจจุบันเครื่องกวาดภาพสมองสามารถบอกได้ค่อนข้างแม่นยำ ว่าใครกำลังพูดโกหก ใครกำลังพูดความจริงเพราะสมองจะทำงานแตกต่างกัน ต่อให้สีหน้าสีตาภายนอกแนบเนียนขนาดไหน สมองก็ไม่มีทางหลอกเครื่องกวาดภาพได้ ถ้าเรารู้ได้จริงว่าขณะหนึ่งๆใครพูดเท็จ ก็แปลว่าเราจับตัว ‘กรรมชั่ว’ ไว้ในมือได้ ที่เหลือคือเฝ้าติดตามดู ว่าการที่คนๆหนึ่งมุสาบ่อยๆ จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเขาบ้าง”
ณชะเลคลายหัวคิ้วออก
“เริ่มเข้าใจแล้ว แต่เดี๋ยวนี้มีการทดลอง การวิจัย และการรายงานทำนองนี้ออกมามาก ก็ไม่ได้มีคนสนใจสักเท่าไหร่นี่นะ เอาง่ายๆ คำเตือนจากนักวิจัยเช่นสูบบุหรี่เป็นภัยกับชีวิต เป็นพิษกับสังคม ไม่มีผลให้คนเลิกสูบสักเท่าไหร่เอาดาราดังมาช่วยรณรงค์ก็แล้ว เอารูปปอดเน่าๆของคนเป็นโรคถุงลมโป่งพองให้ดูก็แล้ว เอาคนต้องเจาะคอมาพูดเสียงแหบๆให้สติก็แล้ว พวกขี้ยาก็บอกอยู่ดีว่าตูจะสูบซะอย่าง ใครจะทำไม”
“ถ้าคิดหรือพิสูจน์อยู่ในกรอบแล้วไม่เวิร์ก ก็ต้องลองคิดนอกกรอบ เรามีเวลาในชีวิตเหลือแค่ไหน ก็จะใช้มันหาความเป็นได้นอกกรอบดูแค่นั้น” จองฤกษ์กล่าวราวกับกำลังเอาชนะใจคณะกรรมการผู้ให้ทุนวิจัย “อย่างเช่นเราอาจทดลองตรวจจับซิว่ามีคลื่นบางอย่างเกิดขึ้นระหว่างคนกำลังพูดโกหกบ้างไหม จากนั้นอาจหาทางพิสูจน์ว่าผลของการโกหกเป็นประจำ ทำให้เกิดคลื่นชนิดเดียวกันล้อมรอบตัวเขาอย่างหนาแน่นหรือเปล่า และที่สำคัญสุดยอดคือเมื่อความทุกข์สาหัสบางอย่างเริ่มปรากฏ เราจะลองตรวจดูว่าคลื่นรอบตัวเขามีสภาพเข้มข้นเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษไหม”
ณชะเลยิ้มออกเพราะเริ่มสนุกคิดและคล้อยตาม
๒๓๓
“ไอเดียตรงนี้มาจากสัมผัสเมื่อตอนเหยียบเศษแก้วหรือเปล่า?”
จองฤกษ์พยักหน้า
“ใช่! เรารู้สึกถึงความคล้ายคลึงบางอย่างระหว่างตอน ‘คิดแกล้งคนอื่น’ กับตอน ‘ถูกแกล้งเข้าให้บ้าง’ มันเหมือนมองเงาตัวเองในกระจกย้อนเวลา”
ณชะเลเม้มปากยิ้ม นัยน์ตาทอแสงศรัทธาสกาวใส
“อย่าให้เครื่องพยากรณ์กรรมของเธอสำเร็จตอนอายุเจ็ดสิบเลยนะ ทรายกลัวอยู่ไม่นานพอจะทันได้เห็น…”
อ่านต่อตอนที่ ๒๗ >> 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น