ตอนที่ ๗ ข้ามรุ่น
“โอ้โหเฮะ!” พฤหัสร้องดังๆพลางยกสองมือดีดนิ้วเป๊าะแป๊ะ “เหลือเชื่อไหมล่ะพี่เค้ก? บ้านเราห่างจากกันแค่ไม่กี่ซอย
แถมโรงเรียนผมใกล้กับที่ทำงานพี่เค้กแทบจะร่อนเครื่องบินกระดาษส่งความคิดถึงกันได้อย่างนี้อีก
นี่คงไม่ใช่เรื่องบังเอิญแล้วมั้ง”
อเวราเงียบไปครู่หนึ่ง
ความบังเอิญเป็นสิ่งที่น่ากลัว เพราะมนุษย์ธรรมดาไม่มีทางอธิบายว่าความประจวบเหมาะทั้งหลายบังเกิดขึ้นได้อย่างไร
และโดยเฉพาะอย่างยิ่งควรเตรียมตัวรับมือกับมันอย่างไร!
“แต่เช้านี้คงไม่ใช่ความบังเอิญหรอกนะ”
หญิงสาวพูดดักคอ
เมื่อคืนเขาเพิ่งหลอกถามว่าปกติหล่อนออกจากบ้านเวลาไหนจึงไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง
หล่อนพาซื่อไม่ทันคิดอะไรมากก็ตอบไปตามจริง
เพราะเห็นว่าเวลาออกจากบ้านของตนคงต้องสายกว่าเขามากแน่ๆ แต่แล้วก็ได้เรื่องทันที
เช้านี้พอขับผ่านมาก็เจอเด็กหนุ่มซุ่มยืนรออยู่หลังพุ่มไม้ใกล้หน้าบ้านเขา
พฤหัสยืนยิ้มแป้นเอามือไพล่หลังอยู่เฉยๆ
ไม่ได้โบกเรียกหรือแสดงท่าทีขอโดยสารแต่ประการใด ทว่าแน่ล่ะ มีหรือที่อเวราจะใจจืดใจดำขนาดขับผ่านไปเฉยๆได้
ในเมื่อเพิ่งคุยโทรศัพท์กันเมื่อคืนหยกๆ
และมองตาแล้วรู้กันว่าเขายอมโดดเรียนช่วงเช้าเพื่อพบหล่อนโดยเฉพาะ
ทีแรกนึกว่าอาจต้องส่งเขาลงตรงป้ายรถเมล์หน้าหมู่บ้าน
หรืออย่างเก่งก็หย่อนทิ้งไว้ตรงไหนสักแห่งระหว่างทาง แต่พอพฤหัสบอกที่อยู่ของโรงเรียนเขา
อเวราถึงกับเผลออุทานว่าอยู่ใกล้ที่ทำงานหล่อนนิดเดียว
และนั่นเป็นที่มาของการทำสุ้มทำเสียงตื่นเต้นของเขา
“ผมยอมรับว่าจงใจดักรอพี่เค้ก
แต่นี่ไม่ใช่ลูกไม้เพื่อประหยัดค่ารถเมล์หรอกนะครับ”
“งั้นดักรอเพื่ออะไร?”
“เพื่อให้พี่เห็นใบหน้าสำนึกผิดของผมซ้ำอีกครั้ง”
อเวราอดหัวเราะไม่ได้
“พี่เห็นใบหน้าเธอมีแต่ความเป็นเด็กเจ้าเล่ห์น่ะซี!”
“นอกจากอยากให้เห็นหน้าแล้วยังอยากให้เห็นเข่าอีกด้วย”
หญิงสาวละสายตาจากทางข้างหน้าเหลือบมองมาทางหน้าตักของเด็กหนุ่มอย่างฉงน
“เห็นทำไม?”
“เข่าเคล็ดจนเดินกระโผลกกระเผลกน่ะซี
เมื่อกี้ตอนกระย่องกระแย่งขึ้นรถพี่เค้กสังเกตหรือเปล่า?”
อเวราขมวดคิ้วเป็นห่วงเป็นใย
ใจไพล่นึกไปถึงอุบัติเหตุเมื่อวาน
“ไปโดนอะไรมา?”
พฤหัสทอดจังหวะเล็กน้อยก่อนลดเสียงลงเป็นแผ่วรำพึง
“เมื่อวานเย็นตกหลุมรัก”
คำตอบอันไม่เป็นที่คาดฝันทำให้อเวราหัวเราะยาวด้วยความขบขันเกือบครึ่งนาที
พอหยุดก็เอ่ยยิ้มๆในหน้า
“คราวหลังเดินระวังหน่อยแล้วกัน”
“ระวังยังไง ไม่มีป้ายเตือน”
อเวราเบะปากยิ้มเงียบ
แต่นัยน์ตาส่องแวววับวาม รอบตัวของเขาเต็มไปด้วยความเพลิดเพลินน่าสบาย
จุดประกายรื่นรมย์ใจให้แก่คนเข้ามาใกล้ได้ง่ายยิ่ง
“แล้วพี่เค้กจะเอารถเข้าอู่ซ่อมเมื่อไหร่?”
“คงสักพักหนึ่ง ความเสียหายไม่มากแต่ต้องทิ้งไว้หลายวัน
พี่เอาไว้ใช้งานก่อนดีกว่า”
“ผมยอมเป็นโชเฟอร์ชดใช้ที่ทำให้พี่เค้กต้องเสียเวลาก็ได้นะ
รับรองจะขับให้อย่างนิ่มนวล ตรงเวลา แล้วก็ไม่รับค่าจ้างกับค่าทิปด้วย”
“จริงอ้ะ?”
“จริงซี่!”
พฤหัสยืดตัวตรงรับคำกระตือรือร้น
แสดงให้เห็นว่าหมายความตามนั้น ไม่ใช่แค่พูดเล่นส่งๆ
“ไม่ต้องหรอก” อเวรายิ้มเล่นตัว “ขับเองได้ ยังไม่ใช่ยายแก่ที่ต้องมีสารถี”
เด็กหนุ่มทำหน้าผิดหวังอย่างรู้ว่าที่แท้อเวราแกล้งอ่อยเหยื่อให้หลงดีใจเล่นเท่านั้น
“ผมก็ไม่ได้เห็นพี่เค้กเป็นยายแก่ ตรงข้าม อยากช่วยให้ดูเป็นคุณหนูไง… ต่อไปถ้าพี่เค้กมีธุระปะปัง
จะเดินทางใกล้ไกลแค่ไหนเรียกใช้ผมได้ คิดเสียว่าให้โอกาสผมทำบุญลบล้างบาปที่ผ่านมา
นี่ตั้งใจจริงไม่ใช่อำชุ่ย”
“อยากทำบุญก็ไปทำที่วัดสิ มาทำอะไรในรถ”
“วัดมีแต่พระ ไม่มีคนสวยแบบพี่เค้กอยู่ที่นั่นน่ะสิครับ”
พฤหัสทดลองหมัดแย็บอีกหนอย่างจะลองว่าอเวรามีใจตอบรับ ‘ลูกเล่น’ ของเขาแค่ไหน
ด้วยความคิดว่าถ้าอยากจีบหวังผลต้องไม่ทำตัวเป็นน้อง แต่ให้รู้ๆไปเลยว่าจะบุก
เขามั่นใจเสน่ห์ของตนว่ามีมากพอจะกลบเกลื่อนสถานภาพด้อยวัยวุฒิได้อย่างสบาย
หรือไม่ก็แปรความด้อยวัยวุฒิให้กลายเป็นสีสันแปลกใหม่สำหรับหล่อนได้ไม่ยาก
ฝ่ายอเวราฟังแล้วกะพริบตาทีหนึ่ง
สุ้มเสียงของพฤหัสน่าฟังทุกคำสำหรับห้วงเวลาที่กำลังเหงาๆของหล่อน
เขามีเสน่ห์แห่งความเป็นชายที่น่าทึ่งไปทุกกระเบียด
แม้แต่ท่าตั้งสองมือดีดนิ้วเป๊าะแป๊ะติดๆกันก็เก๋ไก๋ดูชวนเพลินและฟังเพราะ
ราวกับทุกจุดในร่างเขาเป็นที่ลั่นไกเสน่ห์ได้หมด อะไรๆน่าตื่นหูตื่นตาไปทั้งสิ้น
แต่จะให้ ‘เล่น’ กับเขาง่ายๆนั้นคงเป็นเรื่องประดักประเดิดเกินไปหน่อย
อย่างไรหล่อนก็ต้องไว้ตัวและไม่แสดงอาการด่วนหลงใหลประเจิดประเจ้อจนเกินไป
“ถ้าบอกว่าที่วัดมีแต่พระ ไม่มีคนสวย แปลว่าเธอคงไม่เข้าวัดบ่อยนัก
เดี๋ยวนี้มีเด็กสาวๆสวยๆรุ่นๆเธอเข้ากันตรึม พี่ไปประจำแล้วก็เห็นเยอะขึ้นทุกที
ลองเถอะ เข้าวัดเข้าวาสงบอกสงบใจ อาจได้ของแถมเป็นเนื้อคู่กลับมาด้วย”
“อ๊ะ! มีด้วยเหรอ ยุให้เข้าวัดหาเนื้อคู่?”
“เธอน่ะไม่รู้อะไร โบราณว่าเนื้อคู่อยู่ที่วัด”
เด็กหนุ่มอ้าปากหวอ
“ฮ้า! จริงอ้ะ?”
“ก็เป็นความเชื่อแบบไทย สำหรับไทยเราแต่ไหนแต่ไรมา
วัดคือศูนย์รวมอะไรดีๆในชีวิตของชาวบ้านทุกอย่าง อยากทำบุญให้จิตใจสบายก็ไปวัด
อยากฟังเทศน์ให้ผ่องแผ้วก็ไปวัด อยากเจอหนุ่มสาวอัธยาศัยดีมีใจเป็นบุญก็ไปวัด
โดยเฉพาะเชื่อกันว่าถ้าชาติก่อนทำบุญมาด้วยกัน บุญจะชักนำให้มาเจอกันในงานบุญอีก”
พฤหัสเอียงคอชำเลืองอเวราด้วยแววขบขัน
สรุปกับตัวเองว่าผู้หญิงคนนี้ท่าทางจะเป็นเอามาก
เชื่อเรื่องลี้ลับพาฝันแบบสาวยุคเก่าที่นอนอ่านนิยายอยู่แต่ในห้องนอน
เขายอมพนันแบบเทหมดหน้าตักว่าหล่อนกำลังหัวใจว่าง เพราะสัมผัสถึงความเหงาที่แฝงอยู่ลึกๆเกือบตลอดเวลาในแววตาคู่นั้นได้
อาจจะเพิ่งเลิกกับแฟนคนล่าสุด
แม้อาจจะมีหนุ่มมากหน้าหลายตามาพัวพันก็ยังไม่เจอใครให้ความอบอุ่นได้
ก็ดีแล้วที่รู้ว่ามีใจใฝ่บุญ
อย่างน้อยคนไวสัมผัสอย่างเขาก็พบแนวทางจีบหล่อนให้ติดโดยพลัน
“งั้นพี่เค้กพาผมไปวัดมั่งได้ไหมล่ะ? เผื่อขากลับจะได้รู้ซะทีว่าเนื้อคู่เป็นใคร”
หญิงสาวขยับตัวนั่งตรงขึ้นคล้ายจะเรียกสติกลับมาบ้าง
เขาหยอดแบบทีเล่นทีจริงอยู่ตลอดเวลา จะฟังแบบเบาสมองก็ได้
หรือฟังแบบยั่วให้อยากลองเอาจริงก็ใช่
อันที่จริงอเวราเริ่มเข้าวัดได้ไม่นานนัก
เอาให้ชัดคือเพิ่งเมื่อสามเดือนเศษที่ผ่านมานี่เอง หลังจากอกหักครั้งล่าสุด
หล่อนเป็นเพียงผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งที่ซมซานหนีร้อนไปพึ่งเย็นตามสูตรสำเร็จของคนไทย
ทั้งที่ก่อนหน้านั้นไม่ค่อยนึกถึงวัดสักเท่าไหร่
หล่อนเติบโตมากับการบริโภคข่าวฉาวของอลัชชีผ่านหน้าหนังสือพิมพ์
ฉะนั้นที่จะให้อยู่ดีๆมีความนับถือพระนับถือเจ้า เข้าวัดเข้าวา
ยอมลงนั่งพนมมือฟังเทศน์จากคนนุ่งเหลืองนั้นเห็นทีคงยาก
แต่เมื่อชีวิตดำเนินมาถึงจุดที่ต้องร้องไห้แรง
ต้องอยู่ในสภาพเหมือนคนใกล้จมน้ำที่ใครโยนฟางมาเส้นหนึ่งก็ต้องคว้าไว้
ญาติหล่อนก็ส่งเทปธรรมะมาให้ฟัง และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้รับรู้ว่าพระมีหน้าที่สร้างความร่มเย็นให้กับโลก
และพระดีก็ยังมีอยู่มาก ความรู้สึกจึงใสขึ้น ยอมไปทำบุญบ่อยขึ้น
รวมทั้งตามญาติไปร่วมกิจกรรมทางศาสนาตามโอกาสบ้างแล้ว
คำว่า ‘เนื้อคู่อยู่ที่วัด’ นั้นหล่อนก็เอามาจากญาติผู้พี่คนนี้เอง
ถ้อยคำอันเป็นความเชื่อต่างๆถ่ายทอดเข้ามาเก็บในสมองหล่อนมากมาย
เพราะพักหลังญาติผู้พี่กลายเป็นที่ปรึกษาไปทุกเรื่อง
และบัดนี้หล่อนก็รู้สึกว่าคงต้องโทร.หาญาติผู้พี่อีกครั้งเสียแล้ว…
“ฮัลโหลค่ะ”
“สวัสดีค่ะพี่หน่อง เค้กนะคะ” หลังจากหย่อนพฤหัสลงไปตามทางของเขา อเวราก็ต่อสายทันที “กำลังยุ่งอยู่หรือเปล่า?”
“อ้อ! เค้ก… ตอนนี้ไม่ยุ่งจ้ะ แต่อีกห้านาทีต้องเข้าประชุมนะ มีอะไรว่ามาเลย”
รสรินเป็นลูกลุง
แต่อายุห่างจากหล่อนเกือบยี่สิบปี เคยคลุกคลีสนิทกันสมัยหล่อนยังเด็ก
หลังๆพบเจอก็ต่อเมื่อวงศาคณาญาติรวมตัวกันในงานใดงานหนึ่ง
และเพิ่งเมื่อไม่ช้าไม่นานมานี้พอพบกับรสรินอีกครั้ง
ก็เป็นช่วงจังหวะที่หล่อนอกหักครั้งสำคัญ
ความอบอุ่นและวิธีประโลมปลอบของรสรินทำให้รู้สึกตาสว่าง
คลายทุกข์คลายโศกได้รวดเร็วราวกับปาฏิหาริย์ และนั่นเป็นเหตุให้ติดใจขอใช้บริการจากรสรินมาตลอด
ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่หล่อนโทร .ปรึกษาหมด จะว่าเหมือนลูกติดแม่ก็ได้
“เอ้อ…”
อเวราอ้ำอึ้ง
เมื่อครู่เหมือนมีคำพูดรอพรั่งพรูผ่านริมฝีปากมากมาย
แต่พอเอาเข้าจริงกลับไม่กล้าเอ่ยเต็มปากเต็มคำเท่าใดนัก
รสรินเห็นอาการพูดไม่ออกบอกไม่ถูกของน้องสาวก็ดักคอเพื่อให้อีกฝ่ายปลดปล่อยถ้อยคำได้ง่ายขึ้น
“มีหนุ่มมาจีบเหรอ?”
หญิงสาวหัวเราะเขินๆ
“ก็… คงทำนองนั้นมั้งคะ” แล้วหล่อนก็ต่อคำเร็วปรื๋อ “แต่เค้กว่าคนนี้ ‘ไม่ใช่’ ชัวร์ๆเลยค่ะ
เพราะอายุห่างกันมาก”
“เขาอายุน้อยกว่า?”
“ค่ะ”
ผู้ให้คำปรึกษางุนงงเล็กน้อย
“อ้าว! แล้วเธอสงสัยอะไรในเมื่อรู้อยู่แล้วไม่ใช่แน่ๆ?”
พูดพลางรสรินก็นึกไปด้วยว่าอีกหน่อยถ้านั่งอยู่ใกล้กันยายน้องคนนี้คงปรึกษาว่าควรหายใจหรือยัง
“คือ… พี่หน่องเคยบอกใช่ไหมคะว่าเลือกคบกับผู้ชายคนไหน
ก็คือการยอมให้กรรมของผู้ชายคนนั้นเข้ามาเกื้อกูลหรือรบกวนวิถีชีวิตของเรา
เขาจะมีส่วนทำให้กรรมทางความคิด คำพูด และการกระทำต่างๆของเราเปลี่ยนแปลงไปไม่มากก็น้อย”
รสรินรับฟังด้วยความรู้สึกว่าญาติผู้น้องกำลังชักแม่น้ำทั้งห้า
ไม่กล้ายิงคำถามตรงไปตรงมา แต่ก็ตอบน้องไปตามเพลง
“อย่างนั้นสิจ๊ะ นี่เป็นสิ่งที่พวกเราทุกคนรู้ได้ด้วยสัญชาตญาณอยู่แล้ว
ถึงไม่คบใครมั่วไง จะเลือกคบก็เฉพาะที่ธาตุนิสัยเข้ากับเราได้อยู่ก่อน”
“แปลว่าถ้าอยู่ใกล้แล้วสบายใจ เอ้อ… มีความสุข มีความดึงดูด
มีหน้าตาและสุ้มเสียงของเขาตามรบกวนจิตใจเราไปตลอด ก็แปลว่าธาตุนิสัยเสมอกัน
มีกรรมโดยรวมใกล้เคียงกันใช่ไหมคะ?”
รสรินลอบถอนใจ
“ไม่เชิงว่าอย่างนั้นเป๊ะๆหรอกเค้ก ผู้ชายบางคนทำให้เราอ่อนไหวง่ายเพียงเพราะเขามีเสน่ห์แรงเสียจนหยุดความรู้สึกนึกคิดของเราได้หมด
ขนาดที่อาจลืมความเป็นตัวของตัวเอง ลืมว่าเราเคยชอบหรือไม่ชอบอะไร
แล้วเราก็จะอยากทึกทักว่าเข้ากับเราได้ เขาเป็นคู่แท้มาแต่ปางไหน”
“พี่หน่องคะ คือจะพูดไงดี… เค้กเหงา” ค่อยๆเปิดอก หล่อนไม่มีอะไรต้องปิดบังรสริน
เพราะเคยแม้กระทั่งกรีดหัวใจตัวเองเล่าเรื่องเร้นลับสารพันให้พี่สาวคนนี้ฟังมานักต่อนักแล้ว “หลายเดือนที่ผ่านมาเค้กอยู่ตัวคนเดียว
เขาเข้ามาเร็วแล้วก็แรงมาก ทำให้จิตใจเค้กเตลิดเปิดเปิงไปทุกทาง… เค้กขอถามพี่หน่องตามตรงไม่อ้อมค้อม
มันจะเป็นบาปไหมถ้าเรา… ปล่อยตัวปล่อยใจไปบ้าง?”
รสรินเงียบกริบเพราะรู้ทันทีว่าน้องสาวหมายถึง ‘ปล่อยตัวปล่อยใจ’ แค่ไหน
และท่าทางอเวราก็ไม่ได้โทร .มาขอความเห็นว่าจะเอาดีหรือไม่เอาดี
แต่อยากได้เสียงสนับสนุนจากหล่อนว่ายอมให้ผู้ชายฟัดเล่นเสียทีไม่เป็นบาปมากกว่า
ยังไม่ทันคิดออกว่าจะตอบอย่างไรถูก
อเวราก็โพล่งออกมาอีก
“เขามาเพื่อจุดประสงค์นั้นอย่างเดียวเลยพี่หน่อง เด็กกว่าเราตั้ง ๗ ปี
ไม่มีทางเอาจริงหรอก แต่ถ้าทำใจไว้แต่แรกว่าคบกันเดี๋ยวเดียวแก้เหงา
ต่างฝ่ายต่างได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ ก็คงไม่มีใครเสียหายใช่ไหมคะ?”
รสรินก้มหน้ากุมขมับ
การแนะนำเด็กรุ่นใหม่ที่ถูกติดตั้งมุมมองและความเห็นไว้แตกต่างกันมากจากผู้คนยุคเก่านั้น
นับเป็นเรื่องยากยิ่ง ถ้าคิดจะหักด้ามพร้าด้วยเข่า
ออกกฎออกข้อห้ามไปตรงๆก็คงไม่ฟังกัน ส่วนจะโค้งงออะลุ่มอล่วยตามนักก็จะเหมือนยุยงส่งเสริมให้ยิ่งหลงผิดเข้าไปอีก
นับเป็นโจทย์ข้อยากหากจะแก้ให้พอดีอย่างที่สุด
ความจริงหล่อนก็ไม่ถึงขนาดอยู่ในยุค ‘หัวโบราณ’ เสียทีเดียว
ก่อนแต่งกับสามีหล่อนก็ยอมให้เขาทำอะไรพอสมควร เพียงแต่ยังมีขอบเขต
ไม่มีการล่วงล้ำแนวกั้นเขตแดนสนธยากัน ทว่าเด็กสมัยนี้พูดถึงการได้เสียง่ายๆราวกับเป็นแฟนหรือคู่ควงชั่วคราวของใคร
ก็ต้องมีหน้าที่หลับนอนกับคนนั้นแล้ว
หญิงวัยปลายสาวพลิกข้อมือดูนาฬิกาอย่างเป็นกังวลกับการประชุม
แต่ขณะเดียวกันก็รู้สึกเป็นห่วงน้องสาว แต่พะว้าพะวังอยู่ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจ
“รอแป๊บนะเค้ก”
สลับสายโทร .บอกลูกน้องให้เลื่อนประชุมไปอีก
๑๕ นาที
แล้วจึงกลับมาคุยกับน้องสาวต่อเต็มที่โดยไม่มีความพะวงนัดอยู่ในหัวเหมือนเมื่อครู่
“หนุ่มที่มาจีบรายนี้ห่างกับเธอ ๗ ปี
แปลว่ากำลังเรียนราวๆมัธยมหรืออย่างมากก็ปีหนึ่งเองใช่ไหม?”
“ค่ะ… เมื่อกี้เค้กยังไปส่งเขาใกล้โรงเรียนอยู่เลย อยู่ ม.๖
น่ะ”
“ระวังจะติดนิสัยนะ เธออายุแค่ ๒๔ ยังสาว ยังสวย
แต่ยอมไปกับเด็กที่ยังเรียนไม่จบ
พอเธอแก่ตัวลงกว่านี้มิอยากวิ่งไล่ตะครุบเด็กอ่อนๆไม่เลือกหน้าเหรอ?”
“เค้กสัญญากับตัวเองและพี่หน่องค่ะ ว่าพอเจอคู่แท้ที่จะอยู่ด้วยกันตลอดไป
เค้กจะไม่นอกใจ แล้วก็เป็นโสเภณีประจำตัวของสามีเพียงคนเดียว”
รสรินเม้มปากหน่อยหนึ่ง
“คนเขาสัญญากันเป็นลายลักษณ์อักษรเรื่องคอขาดบาดตายตั้งเท่าไหร่ยังฉีกสัญญาทิ้งกันลงคอ
นี่สัญญาปากเปล่านึกว่าใจเธอจะซื่อกับตัวเองตลอดไปหรือ? เขายังเป็นเด็ก
อยู่ต่ำกว่าเรา เราเอาตัวไปเกลือกกลั้วด้วยก็เท่ากับยอมตกต่ำลงเห็นๆ
เมื่อเธอตกต่ำลง ความยับยั้งชั่งใจต่างๆนานาก็จะพลอยน้อยลงตามไปด้วย
ถ้าเธออยากหลับหูหลับตาแก้เหงาจริงๆ ก็ควรหาผู้ชายที่เสมอตัวหน่อย มีมารุมจีบตั้งเท่าไหร่ก็เลือกเอาสักคนสิ
อย่างนายสุ… อะไรสุๆนั่นที่เธอเคยเล่าให้พี่ฟังเมื่ออาทิตย์ก่อนก็ฟังดูเข้าท่าออก”
“นายสุรดิษเหรอคะ เค้กสืบแล้วล่ะ มีเมียเรียบร้อยตามคาด
เขากะมาเอาเค้กไปเป็นเมียน้อยน่ะ”
รสรินถอนใจ
ผู้ชายดีๆท่าทางไม่มีเหลือให้เลือกเอาจริงๆ ถ้าหล่อก็เจ้าชู้ดะ
ถ้าดูภูมิฐานน่าเชื่อถือก็มีครอบครัวแล้ว เป็นอย่างนี้เหมือนกันหมด
โดยเฉพาะที่ถลาร่อนเข้ามารุมจีบอเวราทั้งหลาย!
“คนอื่นๆล่ะ เธอเคยขาดคนรุมตื๊อเสียที่ไหน”
“มัน…” อเวราเสียงอ่อย “ไม่มีใครดึงดูดใจได้ใกล้เคียงน้องคนใหม่นี่เลยน่ะพี่หน่อง”
รสรินขมวดคิ้วยุ่ง
ถามเพื่อจะได้ไม่ต้องใช้สรรพนามอื่นในการอ้างถึงเขา
“ชื่ออะไรน่ะ นายคนนี้?”
“ชื่อต่อย”
“หา! อะไรนะ? มีด้วยหรือคนชื่อกร่อย”
รสรินแกล้งพูดตลกเพื่อคลายเครียดให้ตัวเอง
อเวราหัวเราะขำ
“ต่อยค่ะ ต่อยมวย ต่อยตี”
หญิงวัยกลางคนคลายสีหน้าที่เริ่มตึงๆลงเล็กน้อย
“ความจริงชื่อน่ารักดี ถ้าเป็นน้องชายเธอก็เหมาะเลย
อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกๆพี่ เทียบแล้วก็รุ่นหลานเธอแน่ะ”
“แหม! พี่หน่องก็… เข้าใจเทียบศักดิ์ให้เค้กอายดีนะคะ
แต่อย่าลืมว่ายายฝนกับยายทรายเรียกเค้กว่าน้ากันเขินๆทุกที
ความรู้สึกที่แท้น่ะเจ้าพวกนั้นมันน้องนุ่งชัดๆ…” แล้วอเวราก็รวบรัดถามตรงๆ “ถ้าเค้กจะมีอะไรกับต่อยบ้างนี่ไม่บาปใช่ไหมคะ? ตามความเข้าใจของเค้ก
ศีลข้อกาเมเนี่ยจะผิดต่อเมื่อผู้ชายทำอะไรผู้หญิงที่มีเจ้าของหรือผู้ปกครอง
แต่ถ้าเขาทำกับเค้กที่มีอาชีพการงานแล้ว ก็ถือว่าไม่มีผู้เสียหาย ถูกไหม?”
“แต่เขาก็ยังเรียนอยู่นา…”
“พี่หน่องเคยบอกไงว่าธรรมชาติของผู้ชายไม่ใช่ผู้เสีย แต่เป็นผู้ได้
ถึงเขายังเด็กก็เป็นฝ่ายได้อยู่ดี
แบมือขอเงินพ่อแม่อยู่หรือทำงานรับผิดชอบตัวเองแล้วจะแตกต่างกันตรงไหน?”
“ใครรู้เข้ามันจะไม่งามไง”
“รับรองค่ะว่าเค้กจะไม่ติดประกาศไว้ตามเสาไฟว่ามีอะไรกับเด็ก
จะทำแบบหลบๆซ่อนๆรู้กันแค่สองคน… อ้อ! มีพี่หน่องเป็นพยานคนเดียวพอ”
รสรินเจอลีลาโต้ตอบของเด็กรุ่นใหม่เข้าก็ก้มหน้ากุมขมับถอนใจเฮือกอีกรอบ
เกือบหมดความอดทนตอบไปส่งๆว่าเอาเถอะ อยากทำอะไรก็ทำไป
แต่ในที่สุดความห่วงของพี่สาวก็ส่งให้ยังทนพยายามชี้กงจักรว่าเป็นกงจักร
“พี่ไม่พูดเรื่องบาปเรื่องบุญ เรื่องผิดเรื่องถูก เรื่องเหมาะเรื่องควรอะไรกับเค้กดีกว่า
แต่อยากชี้ให้เห็นว่าถ้าเธอหน้ามืดกับเสน่ห์ของผู้ชายโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกภายในว่าใช่หรือไม่ใช่
ต่อไปเธอจะไม่เหลือเครื่องช่วยตัดสินใจไหนๆเลย ถ้าชอบคือใช่หมด เอาหมด!”
“แล้ว ‘ใช่’ หรือ ‘ไม่ใช่’ นี่มันอยู่ที่ตรงไหนล่ะคะ?”
รสรินไม่ตอบทันที
แต่ถามกลับ
“เขาทำอะไรเธอไปบ้างแล้วหือ?”
“เมื่อกี้ก่อนลงจากรถเขาจับมือเค้กไปกุม แล้วขอนัดเจอเย็นนี้”
“แล้วเธอทำไง?”
“ก็… เอียงคอหน่อยๆ”
“ตอบโอเค?”
“เอ่อ… ค่ะ”
บีบเสียงเหมือนอาย
แต่รสรินฟังแล้วไม่รู้สึกว่าน้องสาวขวยอายแม้แต่นิดเดียว
จึงกระทุ้งไปแบบทีเล่นทีจริง
“แหม! ทำไมง่ายจัง!”
“ไม่ง่ายนะพี่หน่อง เค้กบังคับให้เขามารอที่ป้ายรถเมล์ตรงเวลา
ยื่นคำขาดเลยว่าเค้กมาแล้วไม่เจอจะขับผ่านไปเลย”
“เงื่อนไขแค่เนี้ยนะถือว่ายากแล้ว? เฮ้อ… แล้วตอนโดนจับมือเธอไม่มีความรู้สึกอะไรบ้างหรือ?”
“ก็รู้สึก… อยากน่ะสิคะ”
“โธ่ถัง! ฉันหมายถึงไม่รู้สึกผิด
ไม่รู้สึกขนลุกขนชันเหมือนตัวเองเป็นไก่แก่แม่ปลาช่อนบ้างหรือ?”
“เขาเริ่มก่อนนี่คะ เค้กอยู่ของเค้กเฉยๆ จะมาว่าเค้กได้ไง”
“ถ้าอยู่ของเธอเฉยๆจริง ก็ต้องไม่รับนัดซิ”
“มันเผลอรับไปแล้วอ้ะ”
“งั้นรับขึ้นรถก็คิดเสียว่าสงเคราะห์เด็ก พาเด็กไปส่งบ้านละกัน
ไม่ต้องต่อความยาวมากกว่านั้น”
ตัดสินสรุปให้เช่นนั้น
แต่พอพูดไปอเวราก็เงียบกริบ ไม่ตอบอะไรกลับมา
รสรินสัมผัสได้ชัดถึงอาการตัดสินใจแน่วแน่แล้วของน้องสาว
และเบื้องหลังการตัดสินใจก็มาจากแรงขับดันทางธรรมชาติที่เข้มข้นยิ่ง!
ความดื้อเพราะมีราคะกล้านั้นน่ากลัวยิ่งกว่าดื้อเพราะมีทิฐิแรง
มนต์สะกดจากสำนักไสยศาสตร์ใดก็ไม่ทรงอำนาจมืดยิ่งใหญ่เท่ามนต์สะกดจากราคะอันเป็นของภายใน
รสรินได้แต่พูดตะล่อมตามที่เห็นควร
“คนเราเนี่ยนะ ที่จะใช่หรือไม่ใช่ เหมาะหรือไม่เหมาะ ใจตัวเองบอกอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากผิดฝาผิดตัวชัดๆอย่างนี้นะ เราจะตามใจฝ่ายผิดของตัวเองทำไม
เดี๋ยวก็ต้องมีผลกระทบข้างเคียงเกิดขึ้น”
“พี่หน่อง… เขาผ่านมาแล้วจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เด็กอย่างเขาไม่มีทางยึดติดอยู่กับผู้หญิงที่แก่กว่านานนักหรอกค่ะ ที่โทร.มาถามนี่เค้กแค่อยากรู้ว่าบาปหรือไม่บาป
จะมีวิบากร้ายในอนาคตไหมถ้าเราให้ความร่วมมือกับเขา”
“เจอกันมานานแค่ไหน?”
“เมื่อวาน… เด็กในแท็กซี่ที่เค้กเล่าให้พี่หน่องฟังนั่นแหละ”
รสรินกะพริบตา
เอนหลังพิงพนักอย่างปลงอนิจจังก่อนใช้อีกไม้หนึ่ง
“แม่เธอเล่าให้พี่ฟังว่าตอนเธอยังวัยรุ่นนี่เนื้อหอมจัด
แล้วก็รับนัดใครยากเย็นแสนเข็ญนักหนาไม่ใช่หรือ? บางคนคบกันเป็นปีกว่าจะเอาเธอไปเที่ยวสองต่อสองได้”
อเวราก้มหน้าลงเล็กน้อย
เหมือนอดีตมีไว้ให้หวนระลึกถึงและรับรู้ตามจริงว่ามันผ่านพ้นไปแล้ว
หล่อนเงียบอยู่อึดใจก่อนเชิดหน้าขึ้นอย่างทะนง ทราบดีว่าพี่สาวเป็นห่วงเป็นใย
และนั่นก็ทำให้รู้สึกสะใจที่มีใครบางคนรับรู้ว่าหล่อนทดท้อจนอยากประชดชีวิตด้วยการทำตนให้ตกต่ำลงแบบเห็นดำเห็นแดงเสียทีแล้ว
“ไม่บาปใช่ไหมคะ?”
หญิงสาวจี้เอาคำตอบเดิมจากผู้พี่
และน้ำเสียงอวดดื้อถือดีของหล่อนก็ทำให้รสรินหมดความอดทน เลิกหวังเกลี้ยกล่อม
แต่ทุ่มเสียงตอบหนักๆคำเดียว
“เออ!”
“ขอบคุณค่ะ ค่อยฟังเข้าใจง่ายหน่อย ถึงที่ทำงานพอดี เค้กลาเท่านี้ก่อนนะคะ”
ต่างฝ่ายต่างวางสาย
รสรินนั่งหน้ามุ่ยอยู่พักใหญ่ พยายามข่มความรู้สึกขัดเคืองน้องสาวที่ไม่ได้อย่างใจ
หล่อนให้คำแนะนำน้องสาวด้วยความเยือกเย็นมาตลอด เพิ่งนาทีนี้เองที่ฉุนขาด
หล่อนอุตส่าห์ปลื้มใจในผลงานตัวเองที่ฉุดน้องสาวขึ้นจากหล่มน้ำตาสำเร็จ
เอาตัวเข้าวัดเข้าวาได้ดิบดี แต่มาวันนี้จะเริ่มทำตัวเหลวแหลกง่ายๆ
นอนกับหนุ่มกระทงหน้าใหม่ที่ไหนก็ไม่รู้
ไม่หวงเนื้อหวงตัวเพราะถือว่าผ่านมือชายมาแล้ว ขอให้ได้สนุกเป็นหลัก
นี่มันเท่ากับเปิดประตูบานใหม่ไปสู่เส้นทางปัญหาที่คาดไม่ถึงได้สารพัน
และนี่ก็แปลว่าความพยายามช่วยเหลือที่ผ่านมาของหล่อนอาจเป็นความสูญเปล่าอย่างแท้จริง
เสียดาย
เพียงถ้าใจเย็นสักนิด ก็อาจคิดคำพูดได้ดีกว่า ‘เออ!’ สั้นๆอย่างตัดรำคาญส่งเดชเช่นที่หลุดปากออกไปแล้ว
หล่อนน่าจะค่อยๆชี้แจงว่ากรรมบางอย่างแม้ไม่บาป ไม่ผิดศีลก็จริง
แต่เมื่อขัดกับสำนึกผิดชอบก็อาจเป็นหัวขบวนรถจักรนำบาปตามมาเป็นพรวนได้
โดยเฉพาะถ้าหัวขบวนนั้นเห็นชัดๆว่ามุ่งเข็มลงต่ำ!
บางคนพอเชื่อเรื่องเวรกรรมขึ้นมาในขั้นที่ยังหยาบอยู่
ก็จะเจาะจงคัดเลือกกระทำเฉพาะสิ่งที่รู้แน่ว่าไม่บาป
เหมือนถ้าใครบอกว่านี่สีดำปี๋ห้ามเลือก ก็ค่อยตัดใจไม่เลือก
ยังมองไม่เห็นตลอดสายว่าพฤติกรรมมักง่ายบางประเภทนั้น
ก่อขึ้นแล้วอาจกลายเป็นต้นทางหายนะได้ยิ่งกว่าบาปชั่วร้ายหลายชนิดเสียอีก!
ถอนใจเฮือก
คงได้แต่ทำจิตเป็นอุเบกขา กรรมใครกรรมมัน หากน้องสาวหล่อนมีบุญเก่าอยู่บ้าง
บุญนั้นคงบันดาลให้เกิดความละอาย หรือก่อเหตุการณ์ไม่เป็นใจอย่างใดอย่างหนึ่ง
แต่หากไฟกิเลสโชติโชนจนไม่มีบุญญาบารมีใดๆช่วยไว้ได้
เรื่องก็คงต้องเป็นไปตามครรลองโลก สมัยนี้จะคาดคั้นให้ใครบันยะบันยังเรื่องน่าอดสูอย่างไรไหว
ในเมื่อเกือบทุกคนเห็นดีเห็นงามตามกันไปหมดว่าทำได้ ไม่เป็นไร ไม่เสียหาย
ใครๆเขาก็ทำ!
ร่างที่ยืนสงบนิ่งนั้นขยับไหวในทันทีที่เห็นรถหล่อนคลานมาจอดเทียบ
อเวราสามารถเห็นได้กระทั่งแววปรีดาส่องประกายชัดในดวงตาเขา
ประตูเปิดออก
พฤหัสแทรกตัวเข้ามานั่งด้านข้างด้วยความปราดเปรียว
มีความสดใหม่ของวัยเยาว์ในอากาศรอบกายพฤหัสที่พลอยทำให้อเวรารู้สึกราวกลับไปเป็นเด็กสาวรุ่นๆ
อีกครั้ง
“หวัดดีครับพี่เค้ก”
พฤหัสทักด้วยน้ำเสียงแจ่มใสเป็นกังวาน
“หวัดดี”
อเวรารับทักเบาๆ
รถเคลื่อนออกจากที่แบบกระตุกเล็กๆ หญิงสาวรู้สึกประดักประเดิดเล็กน้อย
แต่ขณะเดียวกันก็อ่อนเปียกลงทุกที
ยอมรับว่าร่างนั้นพาความอบอุ่นเข้ามาบรรจุอยู่เต็มรถที่กำลังอวลด้วยไอหนาว
“ผมนึกว่ารอเก้อเสียแล้ว ใจเต้นตุ๊มๆต่อมๆอยู่เนี่ย”
อเวราเงียบ
เพราะนั่นเป็นการเจตนาให้เขารอร่วมครึ่งชั่วโมงเพื่อพิสูจน์ใจ
หล่อนแค่เล็งตาแลเบื้องหน้ายิ้มๆและปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายเปิดฉาก
“ไปเดินเล่นในห้างไหมพี่เค้ก เดี๋ยวผมเลี้ยงข้าว”
หญิงสาวส่ายหน้า
ปรายตาชำเลืองมองชุดนักเรียนเขานิดหนึ่งแล้วยักไหล่เบะปากหน่อยๆ
พฤหัสหัวเราะอย่างรู้ อันที่จริงเขาก็ไม่ได้หมายความตามนั้นจริงจังนัก
“งั้นพี่เค้กไปนั่งเล่นบ้านผมไหม ผมเจียวไข่ได้อร่อยที่หนึ่ง”
“สงสัยหน่วยก้านพี่เหมือนคนเห็นแก่กินมากเลยนะ ชวนแต่ละอย่าง!”
พฤหัสเลิกคิ้วสูง
ผู้หญิงบางคนเอาใจยากและมีความสุขกับการชอบให้หนุ่มๆเดาทางเอง
และเขาก็ยิ้มด้วยความเต็มใจคาดเดา
“งั้น… ผมขอติดตามไปทุกหนทุกแห่งที่พี่เค้กอยากไป”
ใช้น้ำเสียงแบบหนึ่งที่ชวนให้ฝันถึงการเป็นเงาของกันและกันไปจนชั่วนิรันดร์
จะฟังเป็นเรื่องเล่นตลกเหมือนเขาแกล้งซ้อมเสียงนักพากย์ละครรักหวานซึ้งก็ได้
หรือจะฟังว่าเขามีความปรารถนาอยู่เช่นนั้นจริงในส่วนลึกก็ใช่
อเวราสลัดตนเองออกจากตาข่ายฝันที่พฤหัสใช้กระแสเสียงถักทอขึ้นล้อมรัด
ถามเขาเสียงเนือยนาย
“นี่เธอนัดเจอพี่ทำไมเนี่ย?”
“อยากคุยกับพี่เค้ก อยากเล่นกีตาร์ให้พี่เค้กฟัง”
“เล่นกีตาร์เป็นด้วย?”
“กำลังคิดอยากหารายได้พิเศษจากการไปเล่นตามผับเลยล่ะ
วันนี้ผมจะลองเล่นเพลงตามคำขอจากลูกค้ารายแรกดู
ถ้าเข้าหูเข้าตาเป็นที่พอใจขั้นต่อไปก็จะเอาจริงซะที”
อเวรานึกถึงมาดหนุ่มรูปงามผู้มีกีตาร์เป็นอาวุธจีบสาวของเขาแล้วชักอยากดูอยากฟังขึ้นมาเป็นกำลัง
คะเนจากอากัปกิริยาและสุ้มเสียงทุ้มแน่นยามเจรจาของเขาแล้วชวนให้เก็งว่ายามเล่นเพลงคงเท่และกล่อมโสตประสาทให้หลงเคลิ้มดีพิลึก
เด็กหนุ่มสังเกตทีท่าของคนนั่งขวาแล้วคิดว่าน่าจะยิงเข้าเป้า
จึงคะยั้นคะยอ
“ไปนั่งบ้านผมนะ จะเล่นกีตาร์ให้ฟัง”
“ตอนนี้มีใครอยู่มั่ง?”
“แค่คนใช้คนเดียวฮะ กว่าพ่อแม่กับพี่ชายผมจะกลับคงพักใหญ่
เพราะเขาชอบกลับแบบเลี่ยงรถติด บางทีก็เกือบสามทุ่มถึงออกจากที่ทำงาน”
อเวราใช้ความเงียบแทนคำตอบตกลง
พฤหัสชวนคุยจ้อและทำให้หล่อนหัวเราะได้ไม่ขาด
ผู้ชายบางคนเหมือนถูกติดตั้งเครื่องสร้างความบันเทิงทุกรูปแบบมาไว้พร้อมตั้งแต่เกิด
อเวราทำใจไว้ว่าตนเป็นเพียงผู้ใช้บริการรายหนึ่งของเขา
สัญญากับตนเองว่าจะไม่ลุ่มหลงคิดผูกยึดเขาไว้แน่นหนาเกินแก้
เพราะอย่างไรเขาก็ไม่มีความเหมาะสมกับหล่อนเลยด้วยประการทั้งปวง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความต่างระหว่างวัย
พอมาถึงหน้าบ้านของพฤหัส
อเวรามองเข้าไปแล้วเกิดความลังเลขึ้นมาชั่วขณะหนึ่ง
เกรงว่านั่งๆอยู่แล้วเดี๋ยวญาติคนใดคนหนึ่งของเขากลับมา
หล่อนไม่อยากอยู่ในสายตาใคร ถ้าวัยเดียวกันกับเขาก็ว่าไปอย่าง จึงตัดสินใจสั่งว่า
“ลงไปเอากีตาร์เธอมาสิ”
“ไปเล่นบ้านพี่เค้กเหรอ?”
“ถ้าพี่อยากฟังที่ริมบึงหลังหมู่บ้าน เธอจะตามใจไหม?”
เด็กหนุ่มหน้าเหยทันที
“อูย! ตอนเย็นคนเยอะแยะ”
“อายก็ไม่ต้องไป!”
“ก็ได้ๆ”
รีบตอบตกลงทันทีอย่างรู้จังหวะว่าถ้าขัดใจนิดเดียวคงชวดหมด
ในระยะของการจีบนั้นแต้มต่ออยู่ที่ผู้หญิง พฤหัสอาฆาตไว้ในใจว่าให้จีบติดก่อนเถอะ
จะสั่งให้กอดขาเขาเหมือนนางทาสทีเดียว คอยดู!
“เดี๋ยวผมขอเปลี่ยนเสื้อผ้าไม่เกินสองนาทีนะครับ”
เนื่องจากอเวราจอดแอบขวา
พฤหัสจึงต้องเหลียวหลังสำรวจดูดีๆว่ามีรถตามหลังมาทางซ้ายหรือไม่
อุบัติเหตุเมื่อวานยังทำให้ผวาไม่หาย
และคงทำให้เข็ดกับนิสัยเปิดประตูพรวดพราดไม่ดูตาม้าตาเรือไปจนชั่วชีวิต
กลับมาอีกครั้งด้วยเครื่องแต่งกายลำลอง
เนื้อตัวหอมฟุ้งในแบบที่ได้กลิ่นแล้วก่อให้เกิดความรัญจวนใจ
มือถือกีตาร์ท่าทางทะมัดทะแมงราวกับศิลปินดังที่เพิ่งเดินออกมาจากหลังเวที
อเวราชายตามองแวบหนึ่งแล้วยอมรับว่าเขาเท่พอจะกระชากความยับยั้งชั่งใจของหล่อนให้ขาดวิ่นไม่มีชิ้นดีได้จริงๆ
พฤหัสเปิดประตูวางกีตาร์ไว้บนเบาะหลังแล้วก้าวขึ้นมานั่งประจำที่เคียงข้างคนขับสาว
หันไปยิ้มเด็ดขั้วหัวใจชนิดที่อเวราเห็นแล้วถึงกับหักพวงมาลัยเบนทิศจากทางไปบึงมุ่งสู่บ้านตนเองแทน!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น