ตอนที่ ๒๐ คู่รักคนสุดท้าย
รสรินออกจากห้องนอนลูกสาวคนเล็กด้วยอัตตาที่เล็กลง ความจริงหากอยากจะใช้อำนาจเผด็จการกันจริงๆ สั่งคำเดียวก็คงห้ามณชะเลไม่ให้คบกับหมอนั่นได้อยู่หรอก แต่หล่อนอยากได้ชื่อว่าเป็นแม่ที่คุมลูกให้อยู่ในโอวาทได้ด้วยเหตุผล ไม่ใช่ด้วยการปกครองแบบชี้นกเป็นไม้ ชี้ไม้เป็นนก หล่อนทำสำเร็จมาโดยตลอด และอยากให้เป็นความสำเร็จที่ยั่งยืนถาวรจนกว่าจะถึงเวลาที่ลูกๆ ต้องจากอ้อมอกไป
รู้สึกมาตลอดว่าลูกสาวทั้งสองคือผลงานอันน่าภาคภูมิใจของตน ทั้งละอองฝนและณชะเลเป็นวัยรุ่นที่ปราศจากปัญหา สติปัญญาและความฉลาดทางอารมณ์สูงเกินระดับเฉลี่ย ยิ่งไปกว่านั้นยังฝักใฝ่งานกุสล ตามหล่อนไปทำบุญที่วัดโดยไม่ต้องบังคับหรือหลอกล่อแม้แต่น้อยอีกต่างหาก ใครจะติหล่อนในฐานะแม่คนได้อีก
แม้เคยตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ และเคยทำผิดบาปเล็กๆ น้อยๆ มาบ้างตามประสาปุถุชนคนเดินดิน รสรินก็ยังมีความรู้สึกดีๆ ให้ชีวิตตนเองเสมอ หล่อนเติบโตมาบนเส้นทางที่เรียบง่ายและถูกต้อง หล่อนก้าวหน้าในสายงานตามลำดับ หล่อนได้สามีในอุดมคติที่เพื่อนร่วมรุ่นต้องอิจฉา หล่อนได้ลูกสาวที่อยู่ในโอวาทและตามเข้าวัดต้อยๆ ภาพชีวิตโดยรวมจึงเต็มเปี่ยมไปด้วยความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ และเดินได้อย่างสง่าผ่าเผยเต็มตัวไปทุกหนแห่ง
มาพักหลังนี้ลูกคนสุดท้องชักไม่ค่อยทำตัวเป็นเด็กในคาถาเหมือนเก่า นั่นเป็นเรื่องน่าผิดหวัง และหล่อนก็น้อยใจลูกมาก แต่ที่น่ายิ่งไปกว่าความผิดหวังและน้อยใจ ก็คือสถานการณ์น่าเป็นห่วงอย่างอย่างใหญ่หลวง รู้สึกราวกับข้าศึกมาประชิดตัวในวันฟ้าใส และอาจหยิบยื่นความพินาศมาให้ได้ทุกเมื่อเสียแล้ว
๑๗๒
นึกไม่ถึงเลยว่าเส้นทางชีวิตลูกจะต้องไปเจอมหาโจรใหญ่ในคราบนักเรียนวัยรุ่น ถ้าเป็นแม่ที่ยังมีสติสัมปชัญญะครบถ้วน ก็ย่อมไม่อาจเห็นดีเห็นงามตามแล้วปล่อยให้ลูกสาวของตนหลงผิดโดยไม่คิดฉุดรั้งอย่างแน่นอน
คืนนี้ลูกสาวคนดีมีไม้เด็ด ท้าให้หล่อนนั่งฟังการสนทนาทางโทรศัพท์เพื่อใช้ดุลพินิจในการตัดสินคนเอาเอง หลังจากฟังจบรสรินจึงเข้าใจชัดว่าเหตุใดลูกสาวถึงได้เชื่อมั่นนักหนาว่าจะสามารถชนะใจหล่อน นาทีนี้หล่อนยอมรับว่าเริ่มมีใจเอนเอียงไปเห็นดีเห็นงามตามณชะเล ตระหนักว่าจองฤกษ์เก่งกาจ มีหลักประกันใหญ่ให้น่าเชื่อถือ และที่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือสำนึกผิดเป็น หันมาคิดขวนขวายทำคุณแก่โลก ทั้งนี้ก็ด้วยแรงบันดาลใจอย่างท่วมท้นจากณชะเลเพียงผู้เดียว!
คิดย้ำกลับไปกลับมาอยู่ในระหว่างยินดีกับยินร้าย ความชั่วที่ยิ่งใหญ่นั้นทำง่าย และจองฤกษ์ก็ทำไปแล้ว แต่ความดีที่เกรียงไกรนั้นทำยาก และยังไม่มีอะไรประกันว่าจองฤกษ์จะทำได้ตลอดรอดฝั่ง การช่วยเหลือเรื่องเงินเรื่องทองกับญาติของคนที่เขามีส่วนทำให้ตายยังมิใช่บทพิสูจน์สำเร็จเด็ดขาด มันเป็นแค่วิธีเล็กๆ น้อยๆ ที่จะบรรเทาความรู้สึกผิดอย่างมหันต์เท่านั้น
หากอนาคตข้างหน้าจองฤกษ์โตขึ้นกว่านี้แล้วยิ่งร้ายลึกกว่าเดิมเล่า ลูกสาวหล่อนมีปัญญาไปห้ามปรามไหวหรือ? ถ้าทุกอย่างง่ายเหมือนนิทานเรื่องโจรกลับใจไปเป็นกำนันตลอดชีวิตก็ดีหรอก แต่ในโลกความจริง โลกที่เต็มไปด้วยคนสับปลับกลับกลอก วันนี้ตั้งใจดี พรุ่งนี้เปลี่ยนใจเป็นตรงกันข้ามอีก ใครจะรับประกันว่าจองฤกษ์จะไม่คิดทำเรื่องเลวๆ ขึ้นมา และถึงวันนั้นลูกสาวหล่อนคงต้องพลอยร่างพลอยแหรับความเดือดร้อนไปด้วยเป็นแน่ ในเมื่อร่วมหัวจมท้ายกับเขาแล้ว
ไม่ต้องคำนึงถึงความตั้งใจในอนาคตของจองฤกษ์ก็ได้ เอาแค่คิดห่วงว่าความผิดแต่หนหลังของเขาจะไล่ตามมาทันเมื่อไร ก็เป็นคำถามที่รบกวนจิตใจให้กลัดกลุ้มได้เหลือขนาดแล้ว
รสรินถือว่าหน้าที่หนึ่งของแม่คือต้องคิดมากแทนลูก โดยเฉพาะเมื่อลูกเพิ่งเลิกเป็นเด็กหญิงมาแค่สองปี วูบแรกที่ฟังว่าเขาปล้นเป็นเงินพันล้านมาจากอากาศ แทนที่จะเกิดความโลภอยากดองญาติเป็นทองแผ่นเดียวกันกับมหาเศรษฐีวัยรุ่น ก็กลับบังเกิดความพรั่นพรึง เพราะเคยเห็นพิษของสมบัติขุมใหญ่มานักต่อนัก อะไรที่เกินตัว เกินวัย หรือเกินสิทธิ์อันชอบธรรมไปมากๆ ย่อมมีภาคแห่งความวิบัติรออยู่ในทางใดทางหนึ่งเสมอ นี่เป็นสัจธรรม หล่อนไม่อยากให้ลูกหล่อนเข้าไปอยู่ในเขตความเสี่ยงแม้ด้วยปลายเท้า
คิดย้อนไปย้อนมา ร่ำๆ จะตกลงตัดสินใจขั้นสุดท้ายด้วยวิธีเผด็จการ สั่งห้ามคบเด็ดขาด ลูกจะต่อว่าต่อขานอย่างไรก็ยอม แต่พอคิดเช่นนั้นก็กลับบังเกิดความวุ่นวายใจอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หล่อนรู้อนาคตแค่ไหนถึงไปปิดกั้นสิ่งที่อาจเป็นโอกาสทองครั้งเดียวของลูก? ถ้าจองฤกษ์กลับตัวเป็นคนดี เป็นศรีสังคมขึ้นมาจริงๆ วันหนึ่งข้างหน้าถ้าเขาเป็นดอกเตอร์ชื่อดังที่ทำชื่อเสียงเกียรติยศยิ่งใหญ่ให้แก่ประเทศชาติ หล่อนมิต้องมองหน้าลูกด้วยสายตาสำนึกผิดที่ทำหน้าที่แม่พลาดไปจนกว่าจะตายจากกันหรอกหรือ?
สำคัญกว่าอะไร คำนึงโดยกรรมสัมพันธ์อันเป็นของลึกซึ้งเห็นได้ยาก หากเขาคือคู่แท้ผู้จะเป็นคนแรกและคนสุดท้ายของลูกล่ะ หล่อนจะเอาอะไรไปรับผิดชอบ?
ถ้าคนเรารู้อนาคตได้ก็ดีหรอก ทุกการตัดสินใจจะได้เป็นไปเพื่อความสุขความเจริญถ่ายเดียว ไม่ต้องมีการลังเล ไม่ต้องมีความเคลือบแคลง ไม่ต้องมีอาการกลับไปกลับมาเป็นน้ำกลิ้งบนใบบอนเหมือนอย่างนี้ ที่เกิดเรื่องวุ่นวายทั้งหลายก็เพราะคนเราไม่รู้อนาคต และมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจในปัจจุบันไม่เพียงพอนั่นเอง
๑๗๓
ลูกสาวทั้งสองเล่าเรื่องหมอดูผู้วิเศษให้ฟังอยู่บ้าง แต่หล่อนก็ไม่นิยม และไม่ตามลูกๆ ไปดูหมอ เพราะเห็นมานักต่อนักที่หลายคนเชื่อหมอดูมากกว่าเหตุผลอันควรมีควรเป็น จนกระทั่งเสียความเป็นตัวของตัวเองไปทั้งหมด และปล่อยให้ชีวิตขึ้นอยู่กับดวงชะตาโดยไม่ขัดขืนฝืนทวนกระแสให้อะไรๆ ดีขึ้น การดูหมอจึงนับเป็นการสร้างความอ่อนแอทางวิญญาณโดยแท้
อีกประการหนึ่ง หล่อนต่อต้านการฝากชีวิตไว้ในมือคนไม่รู้จัก ต่อให้ร่ำลือว่าแม่นยำหยั่งรู้ฟ้าดินสักปานไหน มันก็ไม่ใช่ความแจ่มแจ้งประจักษ์ใจของหล่อนเองอยู่ดี คนอย่างหล่อนคงไม่ขอรับคำทำนายอันอาจกลายเป็นคำสั่งในการดำเนินชีวิตจากใคร เพราะถ้าทำตามแล้วผลออกมาผิดพลาดล่ะก็ คงกลายเป็นค่าโง่ที่บาดใจไปชั่วกาลนานเลยทีเดียว
จู่ๆ ก็คิดถึงน้องสาว รายนั้นก็กำลังวุ่นๆ เรื่องผู้ชายอยู่เหมือนกัน ป่านนี้ไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ เพราะขาดการติดต่อมาพักหนึ่ง อยากเชื่อว่าเรื่องของอเวราคงน่าชื่นใจกว่าเรื่องของลูกสาวตน เพราะเห็นตกปากรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะดี ที่จะไม่ข้องเกี่ยวกับหนุ่มรุ่นน้องให้เสียศักดิ์ศรี เสียความนับถือตัวเอง และเสียเวลาเปลืองเนื้อเปลืองตัวไปกับคนที่จะไม่ใช่คู่ครองแน่ๆ
ตัดสินใจโทร.หาน้อง อย่างน้อยคงช่วยเว้นวรรคความวิตกเกี่ยวกับลูกสาวลงได้สักครู่ กดปุ่มเลือกชื่อเค้กแล้วต่อสัญญาณ ฟังเพลงรอพักหนึ่งก็เปลี่ยนเป็นเสียงทัก
“หวัดดีค่ะพี่หน่อง”
สุ้มเสียงฝ่ายนั้นอู้อี้ไม่เต็มปากเต็มคำชอบกล
“ว่าไงจ๊ะเรา พักนี้หายเงียบไปเลย”
“เอ้อ… พอดีต้องทำโน่นทำนี่น่ะค่ะ”
“วันศุกร์นี้ไปเดินเวียนเทียนด้วยกันไหม?”
อเวราเงียบคิดนิดหนึ่งก่อนตอบตกลง
“เอาซีคะพี่หน่อง วัดเดิมใช่ไหม?”
หล่อนไม่ทราบด้วยซ้ำว่าเป็นวันศุกร์เป็นวันสำคัญทางศาสนาอย่างไร พี่ชวนให้ไปเดินก็ไปเดิน และชั่วขณะนั้นหล่อนก็ลืมชื่อวัดกะทันหัน จึงต้องเรียก ‘วัดเดิม’ ไปพลางๆ
“นั่นแหละ วัดเดิม” รสรินเรียกตามน้อง “เธอจะชวนใครมาด้วยก็ได้นะ”
สาวใหญ่หมายถึงใครก็ได้ที่กำลังตามเกาะแกะน้องสาวอยู่ เผื่อถ้าไปวัดด้วยกันแล้วติดใจ จะได้ชักชวนไปทำบุญร่วมกันอีกเนืองๆ และกลายเป็นสายสัมพันธ์อันดีที่ยั่งยืน ทว่านึกไม่ถึงว่าข้อเสนอแนะนั้นกลับกลายเป็นแรงกระทุ้งให้อเวราอ้ำอึ้งอย่างมีพิรุธ
“ชวนใคร… พี่หน่องหมายถึงใครเหรอคะ?”
“หนุ่มคนล่าสุดน่ะซี ที่กำลังจู๋จี๋กันน่ะ”
สำเนียงกระเซ้าเย้าแหย่นั้นทำให้อเวราสะดุ้งราวกับถูกเข็มแทง เพราะอุปาทานไปชั่วขณะว่าอีกฝ่ายล่วงรู้ความลับของตน
ความเงียบอึ้งของน้องสาวทำให้รสรินชักเอะใจ สัมผัสว่าฝ่ายนั้นไม่ทราบจะเอ่ยคำไหนดี
“เค้ก… นั่นเธอกำลังอยู่กับใครหรือเปล่า?”
อเวราอึกอัก
๑๗๔
“เดี๋ยวนะคะพี่หน่อง…”
รสรินได้ยินเสียงเปิดปิดประตู แสดงถึงการย้ายที่คุย เท่านั้นเองสาวใหญ่ก็จุปากจั๊กหนึ่ง ก้มหน้าเอามือกุมขมับอย่างเจ็บปวด ช่างให้บังเอิญมีเรื่องซ้ำเติมกันได้อย่างนี้ซีน่า!
ครู่หนึ่งต่อมา เสียงอเวราก็ดังขึ้นใหม่
“เอ่อ… เมื่อกี้ถึงไหนนะคะพี่หน่อง?”
ปลายประโยคสั่นไหวแสดงถึงจิตใจที่ไม่ค่อยอยู่กับเนื้อกับตัวเท่าใดนัก รสรินรู้สึกอ่อนล้าและอยากวางโทรศัพท์เดี๋ยวนั้น แต่แล้วก็ถอนใจเฮือกหนึ่ง กล้ำกลืนรสขมลงอกและฝืนพูดต่อ
“ตกลงเธอจะมาเวียนเทียนกับพี่ใช่ไหม? อยากรู้แค่นั้นแหละ”
อเวราบังเกิดความยำเกรงพี่สาวยิ่งกว่ามารดา แม้รสรินพยายามทอดเสียงปรานี แต่ฟังสำเนียงโดยรวมก็ทราบว่าต้องฝืนเค้นด้วยความเพลียใจ ผิดหวังกับพฤติกรรมของหล่อน มันทำให้รู้สึกแย่กว่าถูกดุด่าแรงๆ เสียอีก
“ค่ะ เอ่อ… ไป”
“เอาล่ะ ไม่รบกวนแล้ว เดี๋ยวเธอไปอยู่กับเขาต่อเถอะ”
“พี่หน่อง…”
“พี่วางล่ะนะ”
“เดี๋ยวสิคะ” หญิงสาวรีบรั้งไว้ “เค้ก… เค้กแค่ยังไม่มีใคร คบกับเขาอีกสักพักก็คงต่างแยกกันไป”
“เธอไม่ต้องอธิบายพี่หรอก พี่ไม่ใช่เจ้าของชีวิตเธอ และเธอก็ไม่ได้ทำผิดกฎหมายอะไร ระวังๆ ไว้นิดหนึ่งอย่าพลาดมีเด็กขึ้นมาก็แล้วกัน เรื่องจะยุ่งมากถ้าเป็นอย่างนั้น”
“รับรองค่ะ ไม่ให้พลาดหรอก แล้ว… เค้กจะไม่หลงจนถอนตัวไม่ขึ้น อย่าเป็นห่วง เพราะความห่วงของพี่หน่องจะทำให้เค้กรู้สึกผิด พี่หน่องต้องเชื่อนะคะว่าเค้กวางแผนไว้ดีแล้ว”
“ความใคร่น่ะ วางแผนไม่เป็นหรอก” เผลอพูดแบบใส่อารมณ์นิดๆ แต่ก็รู้สึกตัวได้เร็ว และตั้งสติใหม่ให้เปล่งเสียงราบเรียบขึ้น “แผนของเธอเป็นยังไงเหรอ?”
“ถ้าเขาฉาบฉวย ก็ให้ทุกอย่างผ่านไปเหมือนสายลม เค้กจะระวังไม่ให้ใจปักอยู่กับเขา”
“นั่นน่ะหรือแผน? เขาเรียกการเตรียมใจต่างหาก แล้วเธอเตรียมใจหรือเปล่าถ้าเขาจะเกาะติดอยู่กับเรายืดเยื้อเกินปี?”
อเวราปิดตาลง
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ เค้กไม่รู้สึกว่าจะอยู่กันได้นานขนาดนั้น ตอนนี้เริ่มอ่านออกแล้วล่ะว่าคนบางคนแค่เหมาะจะผ่านมาในชีวิตเราครู่หนึ่ง เพื่ออยู่ในความทรงจำซึ้งๆ ไปจนตาย มองหน้าเขาแล้วรู้สึกชัดค่ะว่าเขาจะไม่ใช่คนรักคนสุดท้าย เค้กคงไม่เศร้ามากเมื่อถึงเวลาควรต้องแยกกันไปตามทาง”
“อือม์… ที่เห็นๆ นะ หลายคู่ตั้งใจแบบเธอนั่นแหละ นึกว่าจะอยู่กัน ๒ เดือน แต่ไปๆ มาๆ กลายเป็น ๒ ปี ๕ ปี หรือกระทั่ง ๑๐ ปี มันยากที่จะคาดเดาหรือประมาณเอาด้วยใจนะเค้ก ยิ่งผูกพันกันนานก็ยิ่งแกะยาก ต้องเวียนเข้าเวียนออกไม่รู้จบรู้สิ้น”
หญิงสาวหัวเราะหึหึ เปิดตาขึ้นครึ่งหนึ่ง
๑๗๕
“ขนาดคนที่เค้กนึกว่าจะอยู่กับเขาตลอดไป ยังได้แค่ปีกว่าเองค่ะพี่หน่อง มีหรือที่คนไม่เหมาะกันจะอยู่ยืดถึงห้าปีสิบปี?”
“นั่นแหละเรื่องแปลกแต่จริง คนไม่คิดจริงจัง ไม่คาดหวังอะไรมาก ก็ไม่ผูกมัดกันแน่นหนา พอไม่อึดอัดก็เลยอยู่ไปเรื่อยๆ ด้วยความเคยชิน คบคนอื่นบ้างแบบแอบกินขนม พอเบื่อขนมแล้วก็ย้อนกลับมาหาอาหารหลักอีก ถ้าเพิ่งเคยเจอคู่ชนิดนี้เป็นครั้งแรก ก็จะไม่มีวันมองเห็นที่ต้นทางเลยว่าพวกเธออยู่ห่างจากปลายทางกี่เดือนหรือกี่ปีกันแน่”
อเวรานิ่งคิด ท่าทีของพฤหัสยังกระหายและตะกรุมตะกราม ดูไม่ออกเหมือนกันว่าเขาจะเลิกหิวเรือนร่างหล่อนเมื่อใด แต่อ่านออกอย่างหนึ่งว่าใจหล่อนเริ่มผูกพันกับเขามากขึ้นทุกที และไม่ใช่แค่ด้วยความเป็นคู่นอนเท่านั้น พฤหัสเริ่มเข้ามาอยู่ในความฝัน ทั้งฝันยามหลับและฝันยามตื่น เช่นนี้จะให้ปฏิเสธพี่สาวหรือว่าสายสัมพันธ์เป็นแค่ใยแมงมุมแบบบางที่เขี่ยเมื่อไหร่ก็ขาดเมื่อนั้น?
“บางทีเค้กก็ยอมรับว่าคิดบ้าๆ ขึ้นมาเป็นวูบๆ เหมือนกันแหละค่ะ เรื่องจะมีเขาอยู่ด้วยตลอดไป แต่ตราบใดที่เค้กยังรู้ตัวว่านั่นเป็นแค่ความคิดบ้าๆ ก็เชื่อว่าถึงเวลาจบคงไม่ทรมานทรกรรมเท่าไหร่นัก”
“เธอเดาใจตัวเองในอนาคตถูกแน่หรือ? เชือกที่มัดเรารอบแรกหลวมๆ ก็เหมือนดิ้นง่าย แต่ถ้าชะล่าใจยืนเฉย ปล่อยให้เขารัดวันละทบ เดี๋ยวพอถึงรอบที่สิบมันจะต่างไปมากนะ ที่โลกนี้เต็มไปด้วยการจับคู่ที่ไม่เหมาะสม ก็เพราะมีการยอมให้กับก้าวแรก พอรู้สึกอีกทีนะเค้ก เธออาจพบตัวเองเดินมายืนอยู่ตรงจุดที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียแล้ว”
หญิงสาวพยักหน้าปลงๆ
“เค้กจะพยายามระวัง แต่วันนี้พรุ่งนี้ขอก่อนนะคะ ทนเหงาไม่ไหวจริงๆ ”
รสรินไหล่ตกและรู้สึกหมดแรง เริ่มตระหนักว่ามีหลายสิ่งอยู่เหนือการควบคุมของหล่อน โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า ‘กรรมวิบากของคนอื่น’ หล่อนควรเห็นตามจริงและวางใจเป็นอุเบกขาเสียที
“พี่เข้าใจเธอ”
สาวใหญ่พูดจากหัวใจที่อ่อนเปลี้ย อเวรานิ่งอั้นไปนิดหนึ่งก่อนเอ่ย
“อย่าหาว่าเค้กงมงายนะคะ เค้กเพิ่งไปดูหมอแถวอยุธยามา เขาบอกว่าเค้กหลีกเลี่ยงคนนี้ไม่ได้หรอก แต่อีกไม่นานก็จะต้องพลัดพรากจากกัน คำทำนายช่วยให้เค้กทำใจได้เยอะ”
“พี่ไม่รู้เรื่องดวงเท่าไหร่ แต่รู้จริงๆ อย่างหนึ่ง คือถ้าดวงมีอยู่ ก็คือเส้นทางของวิบากกรรมแต่หนหลังนั่นเอง เราเลือกที่จะทอดหุ่ยไปตามกรรมเก่าซัดพาก็ได้ หรือเลือกกัดฟันสู้เพื่อผ่อนหนักเป็นเบาด้วยกรรมใหม่ก็ได้ พูดง่ายๆ ว่าศักยภาพของมนุษย์เรามีมากพอจะอยู่เหนือดวงชะตานะเค้ก”
อเวราทำหน้าเหยนิดๆ
“กรรมใหม่แบบไหนล่ะคะพี่หน่อง? เค้กมองไม่เห็นทางสู้ความน่าติดใจพรรค์นี้ได้เลย”
“พี่เคยบอกตั้งแต่เมื่อครั้งที่เธออกหักจากคนก่อนไง คนเราจะเริ่มอยู่เหนือดวงชะตาก็เมื่อมีใจคิดสละสิ่งที่หวงไว้แบบผิดๆ ทิ้งไป ถ้าไม่ฝึกมีใจคิดสละ จิตจะหวงแม้กระทั่งสิ่งที่เห็นๆ อยู่ว่าเป็นต้นเหตุทุกข์ก้อนใหญ่ แต่ละวันเราเจอเหยื่อล่อที่กรรมเก่าส่งมายั่วกิเลสทั้งนั้น ถ้าตะครุบหมดก็เท่ากับเก็บทุกข์มาหวงไว้ในอ้อมกอดทั้งหมด แต่ถ้าสละบ้าง ทิ้งๆ มันบ้างด้วยปัญญาเพ่งเล็งเห็นโทษ ก็จะเหมือนทวนกระแสกรรมเก่าไปหาทิศทางใหม่ที่ดีขึ้น ทีละครั้ง ทีละหน”
๑๗๖
น้องสาวผู้กำลังมืดมนอยู่ในห้วงรักกะพริบตา จิตใจสงบลง น่าแปลกที่หล่อนไม่อาจทรงจำคำสอนดีๆ ของรสรินไว้ได้ พอเจอเรื่องกระทบใหม่ก็หลงไปอีก รู้ทั้งรู้ว่าต้องเตรียมตัวเจ็บอีก หรือว่าความโง่คือธรรมชาติที่เที่ยงแท้ถาวรของมนุษย์?
“เค้กเพิ่งนึกได้ค่ะ พี่หน่องเคยบอกว่าคนเราอยู่เหนือชะตากรรมได้ด้วยจาคะ ด้วยศีล แล้วก็ด้วยการภาวนา พอมีแก่ใจสละสมบัติหยาบๆ ได้ก็จะเริ่มมีกำลังรักษาศีล พอรักษาศีลได้ก็จะเริ่มมีกำลังปฏิบัติธรรมภาวนา ถึงตอนนั้นโหราศาสตร์จะเริ่มทำนายเราพลาด คลาดเคลื่อน หรือกระทั่งเพี้ยนไปเป็นคนละเรื่อง เพราะกรรมใหม่มาโยกเกณฑ์เดิมไปเสียหมด แต่… เขาเข้ามาในชีวิตเค้กเหมือนเปิดประตูพรวดพราดแล้วล็อกคอแบบไม่ให้ตั้งตัว แล้วก็ไม่ปล่อยเค้กไปไหน การสละเขาหมายถึงต้องมีแรงสลัดหลุดจากการล็อกคอของเขา เค้กยังไม่มีแรงสู้นี่คะ พี่หน่องเข้าใจไหม เค้ก… อดไม่ได้!”
“พี่ถึงสอนให้เธอสวดมนต์และทำสมาธิให้เกิดความติดใจรสของวิเวกสุขเสียบ้าง มันชดเชยกันได้จริงๆ นะ”
“เค้กพยายามแล้ว แต่เค้กคงเป็นคนบาป ใจถึงฟุ้งซ่านสงบยากเหลือเกิน แล้วพอสงบลงบ้างก็เอ่อ… มีภาพอนาจารทั้งหลายปรากฏขึ้นมารบกวน ทำให้เค้กยิ่งอยากเข้าไปใหญ่”
น้องสาวเปิดเผยอย่างไม่อาย รสรินลอบถอนใจเงียบๆ อย่างนี้ต้องพูดยาวย้อนกลับไปถึงจุดเริ่มต้น ถ้าเพียงน้องสาวหล่อนจะไม่เกิดในยุคที่สื่อลามกแพร่ระบาดมอมเมาจิตใจผู้คน ถ้าเพียงน้องสาวหล่อนจะไม่ยอมพลีกายให้ชายเชยก่อนแต่ง และถ้าเพียงน้องสาวหล่อนจะมีบุญกว่านี้สักนิด ได้พบเจอคนดีๆ ที่อยู่กันได้ตลอดไปเหมือนอย่างหล่อน ราคะแบบผิดๆ ก็คงไม่ต้องเกิดขึ้นกระมัง?
“เอาเถอะ คนของเธอคงรอนานแล้วมั้ง พี่วางก่อนนะเค้ก”
“ค่ะ… พี่หน่องขา เค้กกราบขอโทษนะคะ อุตส่าห์เหนื่อยเพราะเค้กแต่เค้กก็ทำให้ผิดหวังเสียอย่างนี้”
“ทำไมพี่จะต้องคาดหวังในตัวเธอ ถ้าเธอไม่ร้องไห้ ถ้าเธอยิ้มได้อยู่ ก็รู้ไว้เถอะว่าพี่สมหวังแล้ว นี่พูดจริงๆ เชื่อเถอะว่าเธอไม่มีอะไรต้องรู้สึกผิด… ลองชวนเขามาเดินเวียนเทียนด้วยกันสิ ทำบุญร่วมกัน วันหนึ่งเขาอาจจะโตขึ้นเป็นตัวจริงของเธอก็ได้”
อเวราระบายลมหายใจอย่างโล่งอกขึ้น
“ขอบคุณค่ะพี่”
“แค่นี้นะ”
รสรินออกมาเดินเล่นมองฟ้ามืดด้วยความปลอดโปร่งกว่าเดิม คืนเดียวเจอเข้าไปสองดอก เลยได้คิดและเข้าใจชีวิตขึ้นอีกเยอะ แต่ละคนมีตาของตัวเองเอาไว้มอง มีหัวใจของตัวเองเอาไว้เลือกทาง และมีวิบากกรรมเอาไว้ดูแลตนเอง นอกเหนือจากการชี้แนะแล้ว หล่อนจะทำอะไรได้มากกว่าเห็นและเข้าใจเหตุผลของแต่ละคนเล่า?
อีกอย่าง เทียบกันระหว่างลูกสาวกับน้องสาวแล้ว ยังนับว่าเรื่องของลูกดีกว่าน้องมากนัก ความสัมพันธ์ของอเวรากับ ‘คู่ขา’ หนักไปกามราคะถ่ายเดียว คาดหมายได้ง่ายว่าอะไรจะเกิดขึ้น เส้นทางกามนั้นแสนสั้น ร้อยรัดฟัดเหวี่ยงกันเหนียวแน่นที่ต้นทาง แล้วกลับผลักไสกันรุนแรงที่ปลายทางในเร็ววันเสมอ ต่างจากเส้นทางบุญที่ยืดยาว ถึงแม้เกี่ยวก้อยคล้องแขนกันเพียงแผ่วที่ต้นทาง แต่ก็จะยึดเหนี่ยวแน่นแฟ้นมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไร้ปลายทางที่สิ้นสุด
ดีแค่ไหนแล้วที่แฟนของลูกไม่ใช่พวกเก่งกามเกินวัยอย่างแฟนของน้อง แถมมีท่าทีว่าจะยอมทุกอย่างตามการเรียกร้องของณชะเล สมัยนี้จะไปคาดหมายความสมบูรณ์พร้อมอย่างไรได้ ในเมื่อคนส่วนใหญ่กำลังพากันบ่ายหน้าลงต่ำกันเกือบทั้งหมด
๑๗๗
ตัดสินใจอนุญาตให้จองฤกษ์มาสอนพิเศษลูกสาว ซึ่งเท่ากับยอมให้ ‘ทดลองเป็นแฟน’ กัน ยังดีกว่าหวังน้ำบ่อหน้าแล้วลูกต้องไปเจอชายเจ้าชู้ แถมอาจลักลอบคบกันนอกบ้านโดยไม่มีสายตาหล่อนระวังระไวได้อีก แต่รสรินก็สัญญากับตนเองว่าจะเฝ้าติดตามดูจองฤกษ์ทุกกระดิก และจะทำให้เขาเห็นชัดๆ ว่าเส้นทางโจรที่เขาเดินผ่านมา เป็นกรรมที่ทำให้เกิดวิบากคือความระแวงแคลงใจจากคนมีศีลธรรมได้มากขนาดไหน!
พฤหัสฝันถึงหล่อนคนนั้นอีกครั้ง เห็นหล่อนยืนรอใต้ร่มไม้ และเขาก็เข้าไปหาด้วยความดีใจ
จากร่มไม้ไปพายเรือในสระใหญ่ จากสระใหญ่ไปเดินเล่นริมหาดทรายใต้เวิ้งฟ้าใส พูดคุยกันด้วยภาษาแห่งความปรีดา เรียกหารอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากความมีกันและกัน หันไปทางไหนก็พบแต่เขตส่วนตัวไร้ความวุ่นวาย เขากับหล่อนเท่านั้นที่มีชีวิต ราวกับทุกสิ่งถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับความเป็นคู่แท้หนึ่งเดียวโดยเฉพาะ
ภาพฝันกระจ่างชัดและมีแรงดึงดูดอย่างน่าพิศวง ทุกฉาก ทุกสีสันเป็นจริงเป็นจังเท่ากับหรือมากกว่าลืมตาตื่น ฉะนั้นเมื่อต้องตื่นจากฝันเพราะเสียงโทรศัพท์มือถือ พฤหัสจึงแทบตะโกนผรุสวาทสาปส่ง เพราะต้องพบกับโลกความจริงที่เขายังไม่เคยมีโอกาสพูดกับหล่อนสักคำ และสภาพแวดล้อมในบัดนี้ก็เป็นแค่ห้องในโรงแรมม่านรูดห้องหนึ่งเท่านั้น
กลอกตาไปเห็นอเวรายกมือถือพูดจาซุบซิบอึดใจหนึ่งก่อนปลีกตัวออกจากห้องไปคุยข้างนอก พฤหัสถอนใจยาว ปิดตาลงอีกครั้ง ช่างเป็นภาพที่ตัดกันเหลือเกินระหว่างความฝันกับความจริง ชีวิตคือการท่องเที่ยวไปในฉากเหตุการณ์ต่างๆ นานา แต่ความจริงก็คือหลายๆ เหตุการณ์ก็ได้แต่เกิดขึ้นในฝันเท่านั้น
ว่าไปแล้วเฟอร์นิเจอร์ในห้องก็ไม่ถึงกับกระจอกงอกง่อย แต่ทำไมถึงเห็นเหมือนสถานที่สกปรก และรู้สึกว่าเขากำลังตกต่ำอย่างไรชอบกล นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสำเหนียกสัมผัสว่าทุกซอกทุกมุมในม่านรูดฉ่ำเยิ้มไปด้วยความฟอนเฟะ มีแต่ความไร้หัวใจที่น่าสะอิดสะเอียนทั่วไปหมด
สัมผัสดังกล่าวอาจเกิดขึ้นเพราะเพิ่งผ่านการเปรียบเทียบมาสดๆ ร้อนๆ ทุกสิ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับฉากกระจ่างใสดุจสรวงสวรรค์เมื่อครู่ บางครั้งความฝันก็สอนคนได้เหมือนกัน ความฝันเต็มไปด้วยตัวอย่างเหตุการณ์ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริง หรือเหตุการณ์ที่ไม่อาจเกิดขึ้นเลยจนชั่วชีวิต
ทบทวนดู ทั้งชีวิตเขาไม่เคยฝันแบบนั้นมาก่อนเลย ไม่เคยแม้แต่ครั้งเดียว แล้วก็จำเพาะจะต้องมาฝันหวานที่สุดในโรงแรมม่านรูด!
การสะดุ้งตื่นกลางคันจากฝันหวานทำให้เขามองอเวราไม่ดี เห็นหล่อนเป็นเพียงเหยื่อกามารมณ์ที่ไม่เหลืออะไรให้ค้นหาอีก พฤหัสทราบมานานว่าร่างกายผู้หญิงมีธรรมชาติอย่างหนึ่ง คือดูหวาน ทรงพลังดึงดูดให้เข้าไปสัมผัสลิ้มลอง แต่เมื่อสัมผัสบ่อยเข้าก็กลับแปรความรู้สึกไปอีกแบบ คือเห็นแล้วจืด หรือกระทั่งเหมือนมีแรงผลักให้อยากออกห่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากปราศจากความผูกพันกันด้วยใจ คล้ายธรรมชาติล่อให้ก่อกรรมทุเรศๆ เสร็จค่อยเผยกลิ่นเน่าเหม็นให้รับรู้และให้เกิดความแหนงหน่ายในภายหลัง
เมื่อไม่กี่วันก่อนเคยนึกว่าเขารักอเวรา แต่พอเจอกับสาวน้อยผู้เป็น ‘ตัวจริง’ ในห้องหัวใจ ความรักที่ผ่านมาทั้งหมดในชีวิตก็กลับกลายเป็นของหลอกไปจนสิ้น เขาเศร้าหมองและเวียนคิดถึงแต่ใบหน้าที่ก่อให้เกิดความกระวนกระวายของหล่อนคนนั้น ทำอย่างไรก็แกะออกจากหัวไม่ได้
๑๗๘
เคยแต่เป็นฝ่ายให้คนอื่นแอบหลง ไม่เคยแอบหลงคนอื่นเหมือนอย่างนี้ รู้สึกว่านี่เป็นความโง่ครั้งแรก แต่ก็แปลกที่ครั้งแรกของความโง่ช่างเป็นสุข พฤหัสคิดว่าตนเองเป็นบ้าไปแล้วกระมัง แต่บางคราวก็คิดว่าคงถึงเวลาแล้ว กับการรู้จักรักแท้ที่หัวใจรินเอง ไม่ใช่รักสกปรกที่ร่างกายหลั่งออกมาอย่างน่าขยะแขยง
เด็กหนุ่มลืมตามองเพดานห้องค้าง อเวรากลับเข้ามาและนั่งลงข้างกาย
“ทำหน้าเหมือนคนมีปัญหาหัวใจ”
หญิงสาวทักยิ้มๆ แต่พฤหัสยิ้มไม่ออก เขาดึงตัวขึ้นนั่งขมวดคิ้วบ่น
“มาใช้บริการห้องเช่ารวมกับคนอื่นนี่รู้สึกไม่ดีเลย”
“ก็กำลังจะเช่าห้องอยู่เองไง”
เด็กหนุ่มเหลือบมองหญิงสาวด้วยหางตา
“ผมได้ยินชื่อ ‘พี่หน่อง’ มาตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกัน ใครน่ะ?”
เขาหมายถึงชื่อที่ได้ยินจากปากหล่อนตอนรับโทรศัพท์เมื่อครู่ อเวราหัวเราะนิ่มๆ
“หึงเหรอ?”
พฤหัสทำตาโตเบะปาก
“อื๋ย! น่าหึงตายล่ะ”
“นั่นสิ…” อเวรายังคงยิ้มไม่สร่าง “ไม่น่าหึงซักหน่อย ก็พี่หน่องกับพี่เป็นลูกพี่ลูกน้องกัน แถมเขายังเป็นผู้หญิงอีกต่างหาก!”
คำตอบนั้นไม่ทำให้พฤหัสเกิดปฏิกิริยาที่แตกต่างจากเดิมนัก แค่พึมพำรับรู้ว่า
“อ้อ! แล้วไป”
หญิงสาวเอียงคอเล็กน้อย พินิจแฟนหนุ่มรุ่นน้องครู่หนึ่งก่อนแผ่วเสียงถามแช่มชัด
“ต่อย… เธอยังรักพี่อยู่หรือเปล่า?”
พฤหัสสะดุ้งไหวอยู่ในภายใน แต่ก็สืบต่ออาการของตนโดยทำเป็นตลก แกล้งเบิกตาโพลงราวกับเห็นเขี้ยวงอกจากมุมปากอีกฝ่าย
“อะไรนะ? เมื่อกี้เหมือนได้ยินเสียงฟ้าผ่า โตะจายโหมะเลย”
อเวราอดหัวเราะไม่ได้ แต่ก็ทอดเสียงถามนุ่มนวลในเวลาต่อมา
“วันศุกร์ไปเดินเวียนเทียนกันไหม?”
พฤหัสค่อยๆ หย่อนคางลงต่ำ ทำหน้ายาวเหมือนลิงบาบูน
“โอ!”
นั่นเป็นการร้องครางอย่างกลุ้มใจมากกว่าจะเป็นคำตอบ
“ไปไหม?”
“เอ่อ… แหม่”
“ไปสัมผัสบรรยากาศวันสำคัญร่วมกับชาวพุทธมั่ง”
“วันอะไรเหรอ?”
หญิงสาวอึกอักเพราะตอบไม่ถูก จึงรีบเลี่ยง
๑๗๙
“เดินเวียนรอบเจดีย์ใหญ่ ๓ รอบมีความสุขดีนะ ไปเจอพี่หน่องด้วย เธอจะได้เห็นหน้าเห็นตาเขา”
พยายามหว่านล้อม ตัดสินใจชวนเขาไปตามที่รสรินบอก เพราะอยากรู้เหมือนกันว่าการไปงานบุญกับพฤหัสจะสานสัมพันธ์ในทางกุศลให้เกิดความเบิกบานร่วมกันได้สักขนาดไหน
“ไม่เอาดีกว่า” เด็กหนุ่มปฏิเสธตรงๆ อย่างไร้เยื่อใย “คนชื่อหน่องส่วนใหญ่หน้าตาเข้มงวด ผมเดินเวียนเทียนใจลอยหน่อยอาจเจอหวดด้วยไม้เรียว”
อเวราหัวเราะเบาๆ
“มองโลกในแง่ร้ายจังนะ… งั้นไหนบอกซิคนชื่อเค้กส่วนใหญ่เป็นยังไง”
พฤหัสทำเป็นจ้องหน้าแฟนสาว
“คนชื่อเค้กเหรอ… ส่วนใหญ่เหมาะกับคนชื่อต่อย”
หญิงสาวเบะปากยิ้ม
“เหมาะนานแค่ไหน?”
“ชั่วฟ้าดินสลาย ทั้งชาตินี้และชาติหน้า!”
“ประกันชาติหน้าไว้ด้วยบุญร่วมกันในชาตินี้หน่อยได้ไหม? วันศุกร์ไปวัดกัน”
เด็กหนุ่มแยกเขี้ยวเหลือกตามองเพดาน คิดในใจว่าช่างตื๊อจริงวุ้ย ก่อนเหลือบกลับมาสบตาแฟนสาวแบบทำหน้าเหย
“ถ้าวันศุกร์พี่เค้กพาผมไปบางแสนจะประกันได้ชัวร์กว่าม้าง”
“ไม่อยากรู้เหรอว่าถ้าเราไปวัดแล้วจะรู้สึกดีๆ ต่อกันมากกว่านี้ซักแค่ไหน?”
“ผมไม่อยากเจอพี่หน่อง”
“ทำไมล่ะ?”
“กลัวเขามองผมเป็นเด็ก ไว้ผมโตกว่านี้หน่อยก่อนแล้วกัน”
เขาเลิกพูดเล่นและให้เหตุผลที่แท้ อเวราชำเลืองแลแฟนหนุ่มอย่างเข้าใจ ขณะเดียวกันคำตอบนั้นก็ยิ่งย้ำให้ตระหนักว่าหล่อนกำลังใช้ชีวิตผิดลู่ผิดทางอยู่จริงๆ แต่จะเป็นไรไป เดี๋ยวต่างฝ่ายคงต่างเบื่อหน่ายแล้วแยกจากกัน เงื่อนไขในความเป็นจริงต่างๆ คงช่วยบีบคั้นในเร็ววันอยู่แล้ว
“ไม่อยากเจอคนแก่ เจอลูกสาวคนแก่ก็ได้ หลานของพี่น่ารักมากนะจะบอกให้”
คิดอย่างไรไม่ทราบจึงมีแก่ใจอ่อยเหยื่อออกไปเช่นนั้น ทั้งๆ ที่แปลบเสียวทั่วหัวใจยามนึกถึงความสวยหวานและวัยที่อ่อนเยาว์ของณชะเล หลานของหล่อนรุ่นราวคราวเดียวกับแฟนหนุ่มนี่เอง น่าจะสวยหล่อเข้ากันระดับคู่ดาวเสียด้วย!
แต่ฝ่ายพฤหัสแค่นยิ้ม คำว่า ‘หลาน’ ของอเวราทำให้ไพล่นึกไปถึงเด็กอายุ ๑๐ ขวบ
“เอาเถอะพี่เค้ก ฝากหอมแก้มหลานพี่แทนผมด้วยนะ”
อเวราสงบวาจาลง มีแฟนคนหนึ่งก็เรียนรู้ที่จะพัฒนาตัวเองขึ้นมาครั้งหนึ่ง พอหลายคนจนถึงขณะนี้ หล่อนก็รู้จักยับยั้งชั่งใจ เลิกตื๊อให้ได้อย่างใจตัวเองเสียทีแล้ว
พอพฤหัสเห็นอีกฝ่ายยุติการเกลี้ยกล่อมอย่างทำใจได้ เลยช่วยรักษาน้ำใจคืนบ้าง ด้วยถ้อยคำคล้ายเปิดเผยความจริง
“ช่วงนี้ผมรู้สึกไม่ดีกับศาสนาเท่าไหร่น่ะพี่เค้ก พอเข้าวัดเห็นพระแล้วจะเป็นลม ได้ยินเสียงสวดมนต์แล้วร้อนรุ่มเหลือเกิน ยิ่งถ้าบังคับให้กราบใครเนี่ยนะ เหมือนโง่ให้เขาหลอกยังไงไม่รู้”
๑๘๐
อเวราพยักหน้า
“พี่เข้าใจ พี่เองก็เคยเป็น โลกเรากำลังตกอยู่มือของสื่อ เกิดมาพวกเราก็ได้เห็นแต่ภาพแย่ๆ ของพวกอลัชชี จะให้มีกำลังใจเลื่อมใสศรัทธาคงยาก ต่อเมื่อมีโอกาสได้ตระเวนไปตามวัดต่างๆ หลากหลายจริงๆ ถึงค่อยรู้นะว่าภาพดีๆ บรรยากาศที่ร่มเย็นยังมีอยู่อีกมาก”
น้ำเสียงนุ่มหูอันเกิดจากความคิดที่เป็นมงคลของหญิงสาวทำให้เด็กหนุ่มใจอ่อนลงชั่วขณะหนึ่ง
“เอาเป็นว่าวันศุกร์ผมขอตัวแล้วกัน แต่ถ้าพี่เค้กเปลี่ยนใจชวนไปเที่ยวที่อื่นผมจะไม่ขัดเลย”
ท่าทีรังเกียจวัดของเด็กหนุ่มทำให้อเวราตระหนักชัดว่าภาพศีลธรรมเสื่อมทรามคือเชื้อโรคทางวิญญาณชนิดหนึ่ง มันแพร่ระบาดได้ เกาะกินหัวใจได้ หันหน้าผู้คนมากมายให้หน่ายหนีจากวัดได้ วูบนั้นหญิงสาวเห็นโลกกำลังตกอยู่ในภยันตราย ถ้าเอาตามความเชื่อที่ว่าคนเราผูกพันกันด้วยบุญ ก็แปลว่าชาวพุทธคงเหลือโอกาสทำบุญร่วมกันน้อยลงเต็มทน และเหลือคู่หวานที่ผูกพันกันได้ยืดยาวน้อยลงเต็มที
ในเมื่อชวนเขาไปทำบุญไม่สำเร็จแน่แล้ว ก็คงยิ่งเชื่อได้มากขึ้นอีกกระมัง ว่าเขาจะไม่ใช่คู่รักสุดท้ายของหล่อน…
อ่านต่อตอนที่ ๒๑ >>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น