ตอนที่ ๔ อุบัติเหตุ
ผู้โดยสารซึ่งเป็นเด็กหนุ่มในชุดเสื้อยืดกางเกงสั้นสะพายเป้เครื่องกีฬาบอกแท็กซี่ให้ชะลอลง
“หลังขวามือข้างหน้านี่แหละ”
รถจอดแอบทางซ้าย
พฤหัสยื่นแบงก์ร้อยไปให้ โชเฟอร์รับมา เหลือบดูมิเตอร์เห็นเลขค่าโดยสารขึ้นมา ๕๕
บาทพอดีก็ถามว่า
“มีเศษ ๕ บาทไหมครับ?”
“ไม่มีเลยพี่ ทั้งเนื้อทั้งตัวเหลือร้อยเดียว”
คนขับเห็นผู้โดยสารหน้าตายังวัยรุ่นเลยยกประโยชน์ให้
ทอนแบงก์ ๕๐ มาให้ถ้วนๆ อย่างคนมีน้ำใจ เด็กหนุ่มยิ้มที่ประหยัดลงตั้ง ๕ บาท
ใครว่าสมัยนี้เศษเงินไม่มีความหมาย อย่างน้อยก็ทำให้ตาเป็นประกายตอนได้เปรียบคนอื่น
“อ้า! ขอบคุณมาก โชคดีนะเฮีย”
อวยพรเสร็จก็เถิบไปทางขวา
ผลักประตูเปิดผางเต็มอ้าตามนิสัยชอบทำอะไรพรวดพราด ทันใดนั้นเอง
รถเจ้ากรรมที่วิ่งตามหลังมาเงียบๆ ก็เฉี่ยวปลายประตู
เกิดเสียงลั่นกรุบของบานพับที่หักกะทันหัน
ประตูทั้งบานหลุดกระเด็นออกไปกระแทกพื้นโครมใหญ่และนอนแอ้งแม้งบนถนนใกล้ๆ จากนั้นจึงตามมาด้วยเสียงเบรกลากยาวชวนสะดุ้ง
“เฮ้ย!!”
ทั้งโชเฟอร์และผู้โดยสารอุทานออกมาดังๆ
พร้อมกัน โดยเฉพาะพฤหัสถึงกับมือเท้าหดอย่างใจหายใจคว่ำ
รู้สึกว่าข้างตัวเปิดกว้างว่างโล่งชวนหวิว
ผลของการอวยพรอย่างขาดสติสัมฤทธิ์ผลทันใจ แต่เป็นในทางตรงข้ามกับคำอวยพรสิ้นเชิง
“โอ๊! ชิบหายเลย ทำไมน้องเปิดประตูไม่ดูตาม้าตาเรือยังงี้ล่ะ?”
คนขับโวยวายทันทีหลังจากผ่านอาการตกตะลึงจังงัง
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วเคร่ง แทนที่จะสำนึกผิดกลับมองอีกฝ่ายตาขวาง
“ก็รถมันซี้ซั้ววิ่งเบียดขนาดนี้ เฮียจะให้ผมทำไงเล่า?”
โชเฟอร์หันทั้งตัวมาเม้มปากจ้องผู้โดยสารวัยรุ่นด้วยสายตาขุ่นเคือง
นึกอยากตบกะโหลกสักผัวะ ค่าที่ทำผิดแล้วยังทะลึ่งโยนบาปให้คนอื่นอีก แต่เผอิญเด็กตัวโตกว่า
เกรงว่าตบไปแล้วจะเจอตบกลับเลยขี้เกียจมีเรื่อง
และเมื่อเหลือบไปเห็นเจ้าของรถอีกคันเดินลงมาก็เปิดประตูผลุนผลันลงไปเพื่อเจรจาค่าเสียหาย
“เป็นอะไรมากไหมครับ?”
โชเฟอร์วัยกลางคนถามนำเป็นการแสดงความห่วงใย
พฤหัสมองตาม เมื่อพบว่าเจ้าของรถเคราะห์ร้ายเป็นผู้หญิง แถมสวยเสียด้วย
จึงทำให้ลืมรักตัวกลัวความผิด ปั้นหน้าสงบลุกขึ้นยืนแสดงร่างสูงเต็มสัดส่วนบ้าง
ทั้งที่ตอนแรกกะว่าจะนั่งคุมเชิงดูเหตุการณ์เฉยๆ ก่อน
สาวในชุดสูทสีครีมขยับจะตอบโชเฟอร์แท็กซี่
แต่พอเห็นพฤหัสก็หันขวับมาทางเขาแทน ต่างสบตากันนิ่งในระยะห่าง
รอบด้านราวยุติความเคลื่อนไหวลงชั่วขณะ
สีหน้าเคร่งเครียดของหล่อนคลายลงราวกับมีกระแสพลังเย็นเฉียบโจมจับฉับพลัน
ความคมคายในร่างสูงของหนุ่มน้อยเสมือนมนต์สะกดตรึงให้อึ้งเฉย
กระทั่งเขาเป็นฝ่ายเอ่ยก่อนอย่างสุภาพ
“ขอโทษนะครับพี่ ผมเผลอไป”
อเวรากะพริบตาถี่ๆ
“เอ่อ...ค่ะ” แล้วหล่อนก็เบนสายตามาทางแท็กซี่ “เดี๋ยวคงต้องเรียกประกันก่อน
ช่วยเรียกของฝ่ายคุณด้วยนะคะ”
ท่าทางหล่อนลุกลี้ลุกลนเล็กน้อยเมื่อเปิดกระเป๋าหยิบโทรศัพท์มือถือ
ทั้งที่เมื่อครู่ยังดูสงบนิ่งอย่างหญิงเก่งที่เผชิญทุกสถานการณ์ได้อยู่ดีๆ
พฤหัสเหลือบมองประตูแท็กซี่บนพื้นซึ่งนอนงอเล็กน้อย
กระจกร้าวเป็นใยแมงมุมทั้งบาน แล้วสะบัดหน้าไม่แยแส พาร่างสูงไปสำรวจความเสียหายของโตโยต้าวีออสสีบรอนซ์เงินซึ่งดับเครื่องจอดเปิดไฟกะพริบอยู่ข้างหน้ากว่าสิบเมตร
ก้มๆ เงยๆ ดูทั่วแล้วพบว่ามุมซ้ายด้านหน้าบุบไปพอสมควร
แต่ไม่ถึงกับยับเยินเพราะแค่กระแทกผ่าน มิใช่การชนของทึบหนัก
สรุปคือฝ่ายแท็กซี่เป็นผู้ได้รับความเสียหายมากที่สุด
ประตูด้านขวาตอนหลังหลุดออกมาทั้งกระบิ พฤหัสเดินกลับมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เห็นโชเฟอร์ท่าทางหัวเสียงุ่นง่านมากขึ้นเรื่อยๆ พยายามพูดอธิบายผ่านโทรศัพท์มือถือให้พนักงานประกันภัยเข้าใจเหตุการณ์ทั้งหมด
หญิงสาวเจ้าของวีออสก็เช่นกัน ทุกฝ่ายกำลังสงสัยว่าใครผิด ใครจะต้องชดใช้ค่าเสียหาย
ธรรมดาโลกก็อย่างนี้เอง
พอเกิดเรื่องเกิดราวขึ้นทุกคนรู้ว่าต้องมีใครสักคนรับผิดชอบ
เพียงแต่ส่วนใหญ่ไม่รู้กฎ และต้องรอคนอื่นซึ่งรับหน้าที่ ‘ดูแลกฎ’ มาตัดสิน
โดยเฉพาะกฎซึ่งไม่มีอยู่ก่อนในธรรมชาติ แต่มาเกิดขึ้นหลังจากมนุษย์พากันสร้าง ‘กฎหมาย’ ขึ้นมา
พอคู่กรณีต่างพูดโทรศัพท์กับประกันของตนเสร็จก็หันหน้าเข้าหากัน
“ซวยชะมัด อย่างนี้ผมคงวิ่งไม่ได้อีกหลายวัน”
อเวราทำหน้าเห็นใจ
แต่ไม่ทราบจะปลอบอย่างไรถูก เพราะรถของหล่อนก็ช้ำไปเหมือนกัน จึงแค่พึมพำ
“นั่นสิ”
แท็กซี่หันมามองเด็กหนุ่มเคืองๆ
“เฮ้อ! น้องไม่น่าเลย ประกันฯ บอกมาแล้วว่าน้องผิดเต็มประตู พี่จอดแอบซ้ายถูกต้อง
น้องเรียกพ่อมาจ่ายทั้งสองฝ่ายเถอะ
นี่ไม่ได้วิ่งอีกหลายวันคงต้องขอค่าเสียหายเพิ่ม”
“เอายังไงก็เอาเถอะ เดี๋ยวให้ประกันฯ มาตัดสินก่อน”
พฤหัสพูดแบบแข็งใจข่มโทสะ
ไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยนักกับการโดนแท็กซี่ด่าทอต่อหน้าสาวสวยเมื่อแรกพบ
“เข้าไปรอประกันฯ ในบ้านเถอะครับ นี่บ้านผมเอง”
หันมาชักชวนหญิงสาวแบบเจาะจง
“ไม่ล่ะค่ะ ขอบคุณ พี่ขอนั่งรอในรถแล้วกัน”
เด็กหนุ่มยิ้มแบบไม่ขัดใจ
“ก็ได้ครับ งั้นเดี๋ยวผมเข้าไปเอาน้ำมาให้”
โดยไม่ฟังคำทัดทาน
พฤหัสเดินไปฉวยเป้เครื่องกีฬาจากเบาะท้ายแท็กซี่
แล้วเปิดประตูรั้วหายเข้าบ้านไปครู่หนึ่งก่อนออกมาพร้อมน้ำแก้วเดียว
เดินดุ่มไปยังรถวีออส
“พี่ครับ...น้ำ”
อเวรารับแก้วพร้อมจานรองด้วยมือขวา
แย้มยิ้มแทนคำขอบคุณ หล่อนเปิดประตูด้านคนขับไว้ครึ่งหนึ่งและกำลังคุยโทรศัพท์ค้างกับใครอยู่
พฤหัสลงนั่งที่ขอบปูนห่างออกไปเล็กน้อยเป็นการแสดงท่าว่าจะเฝ้ารอเป็นเพื่อน
หญิงสาวปรายหางตาหวานเหลือบมอง
เจอยิ้มซื่อดูน่าอบอุ่นของเด็กหนุ่มที่ยิงเข้าตาแล้วเสียวหัวใจขึ้นมาแปลบหนึ่ง
จึงกดปุ่มพักสายกับคู่สนทนาชั่วคราว
“น้องเข้าไปรอในบ้านก็ได้นะคะ เดี๋ยวประกันฯ มาแล้วพี่จะกดออดเรียก”
“ไม่เป็นไรครับ ขอนั่งเป็นเพื่อนพี่สบายใจกว่า”
อเวราอ้ำอึ้ง
เขาแสดงความรับผิดชอบแบบไร้มารยาทสิ้นดี หล่อนคุยโทรศัพท์อยู่เห็นๆ
ยังมานั่งเสียใกล้ราวกับจะขอฟังด้วยคน แต่หญิงสาวกลับปราศจากความขุ่นใจใดๆ เพราะแม้ใบหน้าอีกฝ่ายเยาว์วัยกว่ามาก
แต่สายตาของฝ่ายนั้นมีแรงดึงดูดราวกับแม่เหล็กทรงอำนาจเหนือหล่อน
สามารถสะกดให้นึกอยากโอนอ่อนยินยอมตามใจ
ล้มล้างเหตุผลตามปกติของคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันได้สิ้น
“เอ่อ . . .พี่หน่อง” หล่อนหันกลับไปพูดกับผู้อยู่ในสาย “ขอคุยกับน้องในรถแท็กซี่ก่อนนะคะ
อือ . . .เดี๋ยวประกันคงมา
ไม่กี่นาทีหรอกมั้ง ค่ะๆ ...แล้วเดี๋ยวโทร.ไปเล่าให้ฟังว่าเป็นไง”
พอหญิงสาวพับปิดมือถือ
พฤหัสก็ยิงคำถามทันที
“แฟนพี่เหรอครับ?”
ความจริงไม่ใช่
แต่อเวราไม่เห็นความจำเป็นต้องตอบอย่าง จึงทำทีเมินเก็บมือถือเข้าซองเฉย
“ผมชื่อต่อยนะพี่ พี่ชื่ออะไรครับ?”
อเวราเกือบไม่ตอบ
แต่แล้วก็เปลี่ยนใจยอมบอก
“ชื่อเค้กค่ะ”
“โอ้โฮ! ชื่อน่ากินจัง”
หญิงสาวเบนหน้าไปอีกทางหนึ่ง
สุ้มเสียงกับวาจาที่เปล่งจากปากเขาแต่ละคำส่อชัดถึงเจตนาไต่กระไดข้ามรุ่น
คะเนว่าอย่างน้อยเขาต้องอ่อนกว่าหล่อนไม่ต่ำกว่า ๕ ปีขึ้นไป
น่าแปลกบ้างก็ตรงที่จนแล้วจนรอดหล่อนยังไม่ยักนึกอยากปิดประตูรถใส่หน้าเขาอยู่ดี
“เราอยู่หมู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่ผมไม่เคยเห็นพี่เค้กเลย”
“พี่อยู่มานานแล้วค่ะ เกือบสิบปีแล้ว ตั้งแต่น้องต่อยอายุไม่ถึงสิบขวบมั้ง”
อเวราใช้น้ำเสียงเตือนอยู่ในทีให้ระลึกถึงความต่างระหว่างวัย
ทว่านั่นดูเหมือนไม่ได้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกรู้สาเท่าใดนัก
“โห! นานขนาดนั้นเลยเหรอ? ผมน่าจะเจอพี่เค้กที่ไหนบ้าง
อย่างน้อยก็ตอนกินข้าว”
“พี่ก็ขับผ่านหน้าบ้านต่อยมาตลอดนั่นแหละ
แต่ไม่ค่อยทานข้าวแถวนี้บ่อยนักหรอก”
พูดแล้วเอี้ยวตัวไปคว้าโน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์มาจากเบาะด้านหลัง
กางขึ้นกดปุ่มเปิดเครื่องเพื่อให้เกิดม่านบางๆ
ลดความรู้สึกว่ากำลังสนทนากับเด็กหนุ่มโดยตรงอย่างเดียว
“เปิดคอมพ์วิเคราะห์ดวงเหรอฮะ? ดีเหมือนกัน ผมกำลังอยากรู้ว่าทำไมวันนี้มือซวยนัก”
อเวราอดหัวเราะไม่ได หมอนี่ท่าทางเจ้าชู้และมีลูกเล่นแพรวพราว
อย่างน้อยก็ทำให้หล่อนเผลอนึกสนุก
รู้สึกคล้ายกลายเป็นเด็กสาวรุ่นกระเตาะที่ถูกหนุ่มน้อยวัยเดียวกันตามจีบ
“พี่ไม่เชื่อหรอกค่ะว่าวันเดือนปีมาเกี่ยวกับความเฮงความซวย
คนเราประพฤติให้เฮงมันก็เฮง”
พฤหัสยิ้มนิดๆ
หล่อนละคำที่ควรเติมให้เต็มคือ ‘ประพฤติให้ซวยมันก็ซวย’ ไว้ได้อย่างน่ารัก จึงชักถูกใจพี่สาวคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
“ถ้าการดูดวงคือการเอาสถิติมาพูด ส่วนใหญ่ก็ตรงนี่ฮะ อย่างผมเกิดวันพฤหัส
ตามดวงคือมองโลกในแง่ดี ไม่อยากทำให้คนอื่นเจ็บปวด แล้วก็รักใครรักจริง
ใจนิ่งกับคนรักคนเดียว ผมว่าตรงเผงเลย”
อเวรายิ้มมุมปาก
ในเมื่อเขาตีสนิทรวดเร็ว หล่อนก็ถือว่าพูดได้ไม่ต้องเกรงใจเช่นกัน
“บังเอิญมั้งคะ ที่พี่เห็นนะ ถ้านิสัยแท้จริงออกมาไม่ตรงกับดวงประจำวันเดือนปี
ก็จะมีหมอดูแก้แบบดิ้นไปได้เรื่อยๆ
เช่นเวลาตกฟากหรือข้างขึ้นข้างแรมมีส่วนกำหนดให้ความรู้สึกนึกคิดดั้งเดิมแปรปรวน”
“แต่ของผมไม่แปรปรวน!”
เด็กหนุ่มยิ้มเถียงแบบดื้อตาใส
หญิงสาวเลิกคิ้วเล็กน้อย
“ก็ดีคะ เพราะคุณสมบัติของคนวันพฤหัสที่น้องว่ามา
ทำให้พี่เกิดไอเดียอย่างหนึ่ง
คือถ้าทุกคนสั่งหมอผ่าท้องเอาลูกตัวเองออกในวันพฤหัสเหมือนกันหมด
โลกคงเต็มไปด้วยคนหน้าใสใจซื่อมั้ง”
“แล้วพี่เค้กล่ะ เกิดวันอะไร? ผมจะทายให้ดู”
อเวราเห็นความแนบเนียนของเด็กหนุ่มในการเข้าถึงเรื่องส่วนตัว
เพื่อก่อความรู้สึกเป็นกันเองด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำ
ใจหนึ่งเกือบตอบเพื่อลองดูว่าเขาจะใช้ความรู้แบบหมอดูกำมะลอพยากรณ์อะไรหล่อน
แต่อีกใจก็ไม่อยากเปิดทางสนิทกับเด็กเร็วนัก มิฉะนั้นเด็กจะหาว่า ‘เล่นด้วย’ และสรุปว่าเขามีสิทธิ์ข้ามรุ่น
หญิงสาวใช้สายตามองหน้าจอคอมพิวเตอร์เฉย
นิ้วเคาะปุ่มคีย์บอร์ดต๊อกๆ ๆ
เลื่อนดูข้อมูลในโปรแกรมไดอารี่ที่ปรากฏขึ้นมาโดยอัตโนมัติ
“พี่เค้กทำงานอะไรครับ? ท่าทางเหมือนนักวิเคราะห์ประจำบริษัทใหญ่ที่ไหนสักแห่ง”
“ไม่ใช่นักวิเคราะห์หรอกค่ะ เป็นแค่เลขาฯ เท่านั้น”
“สมัยนี้เลขาฯ ถูกใช้เสียหัวปั่นจนไม่มีเวลานินทานายเลยใช่ไหมพี่?”
เลขานุการณีสาวหัวเราะออกมาอีก
“ก็นินทาได้เรื่อยๆ เมื่อมีโอกาส แต่เผอิญเจ้านายคนปัจจุบันนี้ดี
เรื่องน่านินทาเลยน้อยหน่อย”
พฤหัสระบายยิ้มกริ่มไม่จางจากใบหน้า
เลขานุการที่มีเงินเติมน้ำมันรถคงไม่ใช่ได้เงินเดือนแค่ ๗-๘ พันแน่นอน หล่อนคงเป็นเลขาฯ ระดับที่ต้องจบโทกระมัง
“พูดเหมือนเปลี่ยนนายมาหลายคน แสดงว่าพี่เค้กทำงานมาหลายปีหรือ? ทำไมหน้าตาอ่อนจัง
ตอนแรกเก็งว่าห่างจากผมไม่เกิน ๓ ปีเป็นอย่างสูง”
“น้องต่อยอายุเท่าไหร่?”
“สิบเจ็ด”
อเวราถอนใจ
“ของพี่ยี่สิบสี่ คนละรุ่นกันเลย!”
หญิงสาวบอกด้วยเสียงขึ้นจมูก
ตอนท้ายลงน้ำหนักแบบข่มเด็กหน่อยๆ
“ฮ้า!” เขาทำเสียงตกอกตกใจ “ตั้ง ๒๔ แล้ว? ถ้าหลอกผมว่าเป็นรุ่นน้อง ม.๔ ยังอยากเชื่อซะมากกว่า”
“ประกันฯ เมื่อไหร่จะมาก็ไม่รู้เนอะ นานจัง”
อเวราเบี่ยงเบนทิศทางสนทนาอย่างจงใจขอคุยเรื่องไกลตัว
“เดี๋ยวก็มาครับ เพิ่งไม่กี่นาทีเอง”
“น้องต่อยโทร.บอกคุณพ่อหรือยังคะ?”
“ยังครับ ต้องโทร.เลยเหรอ?”
“ก็ควรจะอย่างนั้น ให้คุณพ่อรับรู้ เพราะต่อยเป็นคนผิดแน่ๆ
และคงเซ็นยอมรับอะไรเองไม่ได้อยู่แล้ว พี่คุยกับประกันฯ เห็นเขาว่านะ”
“แล้วพ่อผมจะต้องโดนแค่ไหนเนี่ย?”
“ก็ต้องดูพวกประกันฯ ประเมินความเสียหาย...พี่ให้ยืมมือถือเอาไหม?”
“ดีเหมือนกันฮะ”
อเวรายื่นโทรศัพท์เครื่องจิ๋วให้กับ ‘ตัวซวย’ ประจำวันเงียบๆ
พฤหัสรับแบบลอบช้อนมือสัมผัสหลังมือนิ่มของหญิงสาวจนฝ่ายนั้นกระตุกกลับ
ขมวดคิ้วจ้องด้วยสีหน้าไม่พอใจ เด็กหนุ่มทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
กดเบอร์บิดาแล้วยกขึ้นแนบหูรอ
พอผู้อยู่ปลายทางรับสายก็เอ่ยเสียงเรื่อยเฉื่อยเหมือนทักทายธรรมดา
“พ่อเหรอ นี่ต่อยพูด...แป๊บเดียวพ่อ ไม่มีอะไรมาก
คือรถมาชนกันหน้าบ้านเรา ตอนนี้รอประกันฯ อยู่ . .อ๋อ . .เอ่อ. .จะเรียกว่ายังไงดี คือเป็นความเกี่ยวข้องกับต่อยโดยบังเอิญน่ะ . . .โอ๊ย! ไม่ขนาดนั้นหรอก
ผมเปิดประตูแท็กซี่แล้วมีพี่คน หนึ่งขับรถผ่านมา
เขาเลยสอยรางวัลใหญ่ไปพอดี .
. .ไม่โวยวายหรอกพ่อ พี่เขาเป็นคนน่ารัก
เวลามองผมท่าทางเหมือนสงสารลูกหมาตัวหนึ่งด้วยซ้ำ . . .ครับๆ นั่นแหละ
ทุกคนกำลังรอประกันฯ อยู่ พี่เขาแนะให้ผมโทร .มาบอกพ่อก่อน . . .นั่งอยู่ตรงหน้านี่แหละ
ถ้าเขาโว้กเว้กป่านนี้พ่อได้ยินแล้ว...นั่นสิ
ผมก็ว่างั้นแหละ โอเค เดี๋ยวมีความคืบหน้ายังไงจะโทร .บอกอีกที
พ่อไม่ต้องหนักใจนะ เรื่องเล็กครับ”
พฤหัสกดปุ่มตัดสัญญาณและยื่นคืนเจ้าของ
อเวรามองหน้าเขาแบบกลั้นยิ้ม
“ใครมองใครเหมือนสงสารลูกหมาตัวหนึ่งไม่ทราบ?”
“ล้อเล่นน่า พ่อผมเขาเป็นห่วง กลัวโดนคู่กรณีรังแก ผมพยายามให้เขารู้อ้อมๆ
ไงว่าพี่เป็นผู้หญิง”
“ต่อให้เป็นผู้ชาย ใครจะรังแกเธอได้ ตัวสูงเหมือนต้นตาล”
“ผมตัวสูงเสียเปล่า แต่ไม่ค่อยชอบต่อสู้ พ่อเลยเป็นห่วงเสมอ
ขนาดโดนตบบ้องหูหยามศักดิ์ศรียังเฉย ไม่โต้ตอบสักนิด”
“ใครตบ?”
“หลานผม!” เขาตอบหน้าตาย “อายุแค่สองขวบผมยังไม่กล้าทำอะไรมันคืนเลย”
อเวราหัวเราะออกมาเต็มเสียง
พฤหัสยิ้มนิ่ง เสียงหัวเราะเปิดเผยของผู้หญิงบ่งบอกถึงการยอมสนิท
ไม่แปลกหน้าต่อกันเท่าไหร่แล้ว
“แปลกนะ” พฤหัสรำพึงด้วยความรู้สึกที่แท้จริง “ทำไมผมไม่เคยเจอพี่เค้กมาก่อนเลย”
“ก็ไม่เห็นแปลกนี่ หมู่บ้านเราไม่ใช่เล็กๆ
ถ้าพี่ออกไปซื้อของปากซอยก็จะเดินหรือขี่จักรยานอีกทาง” อเวราเบะปากยิ้มและกอดอกกระตุกไหล่หน่อยๆ “ต่อให้อยู่หมู่บ้านเดียวกันก็เถอะ
เราอาจไม่ได้เจอกันเลยทั้งชาติ ถ้าเมื่อกี้ต่อยแค่เปิดประตูอย่างมีสติ!”
“พี่เค้กเชื่อเรื่องพลังลึกลับไหม?” เขาพูดด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริง “คนเรามักเจอพลังภายนอกบางอย่างมากระทำ
อาจทำให้ขาดสติ หรืออาจตัดสินใจแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน”
อเวราอดยิ้มขันไม่ได้
เริ่มใช้หางเสียงสะบัดเหมือนต่อปากต่อคำกับหนุ่มรุ่นเดียวกัน
“อำนาจพลังซุ่มซ่ามน่ะสิ! ท่าทางเธอมีอยู่อย่างเหลือเฟือเลยล่ะ”
“ม่าย…” เขาปฏิเสธยานคาง “ผมกำลังพูดถึงพลังบางอย่างที่ส่งมาจากดวงดาวต่างหาก”
หญิงสาวหรี่ตานิดหนึ่ง
ท่าทางเขารวยอารมณ์ขันและให้ความบันเทิงกับผู้หญิงทุกคนที่อยู่ใกล้ได้ตลอดเวลา
คุยกันพักเดียวเหมือนรู้จักมาหลายปี ใจหนึ่งเตือนตัวเองให้ระวัง
แต่อีกใจหนึ่งก็สดชื่นเหมือนดอกไม้บานและไม่อยากหุบลงเร็วนัก
“แปลว่าดวงดาวส่งเธอมาหาพี่เหรอ?”
อเวราขยายหน่วยตาจับจ้องเด็กหนุ่ม
เริ่มจุดยิ้มเล่นนัยกับเขาบ้าง ไม่รู้สึกว่าตนเป็นไก่แก่แม่ปลาช่อนสักเท่าไหร่
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นคนเริ่มก่อน พฤหัสสานตากับหญิงสาวด้วยแววรื่นรมย์
และคราวนี้หล่อนก็ไม่หลบเลี่ยง คล้ายเริ่มประกาศว่าถ้าเธอแน่ฉันก็แน่เหมือนกัน!
มอเตอร์ไซค์คันหนึ่งชะลอความเร็วลงและจอดสนิทใกล้กับแท็กซี่
เรียกความสนใจจากสองหนุ่มสาวให้หันเหไปทางนั้นแทน
“ประกันฯ มาแล้วมั้งพี่เค้ก”
พฤหัสเดาว่าคงเป็นเจ้าหน้าที่จากบริษัทแน่นอน
ผู้มาใหม่เป็นชายร่างอ้วนใหญ่ หน้าตาเคร่งเครียด
ท่าทางเหมือนพร้อมจะหาเรื่องกับทุกคนในโลกได้ตลอดเวลา นายคนนั้นพูดเป็นงานเป็นการกับแท็กซี่อยู่ครู่เดียวก็หันมาทางพฤหัสกับอเวรา
ก่อนเดินดุ่มมาหา
พอใกล้ระยะก็ถามเด็กหนุ่มด้วยท่าทีของคนที่ถนัดจู่โจมเป้าหมายทุกเมื่อเชื่อวัน
“น้องใช่ไหมเป็นคนเปิดประตู เปิดูรถวิ่งมาเลยเหรอ?”
“คุณเป็นประกันฯ ฝ่ายไหนครับ?”
พฤหัสย้อนถามด้วยน้ำหนักเสียงของคนไม่ยอมให้ใครข่มง่ายๆ
“ฝ่ายแท็กซี่! โชเฟอร์เขาทำถูกต้องแล้ว คือจอดแอบซ้ายตามกฎ
แล้วปกติผู้โดยสารต้องออกทางด้านซ้าย อย่างนี้คนขับไม่ต้องรับผิดชอบ
อายุเท่าไหร่แล้วเรา?”
ลีลาพูดและวิธีถามแบบทนายทำให้พฤหัสเลือดขึ้นหน้า
เพราะไม่อยากให้อเวราเห็นเขาเป็นเด็กที่ถูกใครขี่เล่นง่ายๆ หากอยู่กันเดี่ยวๆ
ตัวต่อตัว ใครมาท่านี้คงโดนเขาเตะกลางถนนเข้าให้สักป้าบแล้ว สูงพอๆ
กันดันทะลึ่งจะขย่มกันตั้งแต่แรกพบทีเดียว
“สิบเจ็ด!” ตอบห้วนสั้น “ผมจะไปรู้ได้ยังไงว่าใครออกกฎให้ลงทางซ้าย ไม่เคยมีใครบอกซักคำ”
เจ้าหน้าที่ประกันฯ
โยกศีรษะไปมาอย่างแรง
“ไม่ด้าย! กฎหมายบอกไว้ว่าทุกคนต้องรู้กฎ!”
“บ๊ะ! อย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรมน่ะซี คนไม่รู้จะบังคับให้รู้ไปทุกอย่าง
กฎมีตั้งกี่หมื่นข้อ”
ทราบดีว่าเถียงไปก็ป่วยการเปล่า
แต่ทั้งนี้จุดประสงค์ของพฤหัสแค่จะอัดกำลังเสียงสู้กับชายร่างใหญ่มากกว่าอย่างอื่น
ซึ่งก็ได้ผล เจ้าหน้าที่ประกันฯ
เริ่มเสียงอ่อนลงด้วยเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ทำตัวเป็นหมูให้เคี้ยวง่ายนัก
เขาถูกสอนมาให้เห็นฝ่ายตรงข้ามของลูกค้าเป็นเป้าจู่โจมไว้ก่อน การถล่มเป้าให้พังได้อาจหมายถึงการเรียกค่าเสียหายเป็นกอบเป็นกำมากขึ้น
“ธรรมชาติของกฎเป็นอย่างนั้นแหละ ไม่ว่าจะกฎหมายประเทศไหน
ใครผิดก็ต้องตัดสินตามกฎ ม่ายงั้นคนก็อ้างไม่รู้ถือว่าไม่ผิดกันทั้งเมืองน่ะซี...บ้านน้องหลังไหน ตามพ่อแม่มาคุยดีกว่า”
“หลังนี้แหละ” พฤหัสชี้ตอบห้วนๆ “พ่อผมยังมาไม่ได้หรอก”
“ถ้ามาเดี๋ยวนี้ไม่ได้ก็ไปว่ากันที่โรงพัก!”
นายอ้วนกระแทกคำว่า ‘โรงพัก’ ด้วยหวังจะให้เด็กหนุ่มฝ่อและจินตนาการไปถึงการติดคุกติดตาราง
แต่เด็กหนุ่มกลับหัวเราะหึหึและลากเสียงยาวตอบ
“ด้าย! สารวัตรธงไชย สน.ใกล้ๆ นี้กินเหล้ากับพ่อผมเป็นประจำ
เดี๋ยวไปถึงแล้วให้ช่วยไกล่เกลี่ยคงง่ายขึ้น”
ตัวแทนประกันภัยผินหน้าไปอีกทาง
เขาทําคดีที่มีเด็กเกี่ยวข้องมาหลายหน
และเห็นความคล้ายคลึงชนิดนี้หลายครั้งจนได้ข้อสรุปว่าเด็กสมัยนี้กล้าสู้ กล้าเถียง
แล้วก็มีความก้าวร้าวสูง ทำให้เล่นงานได้ไม่ถนัดนัก
“ถามหน่อยเถอะค่ะ สำหรับดิฉันมีขั้นตอนอะไรยุ่งยากมากไหม?”
นายอ้วนหันมามองหญิงสาว
พูดจานุ่มนวลต่างจากที่คุยกับพฤหัสเป็นคนละคน
“เดี๋ยวประกันฯ ฝ่ายของคุณมาก็คงซักอะไรแท็กซี่จิปาถะ
เป็นต้นว่าทำไมไม่ล็อกเบบี้เซฟ ซึ่งก็เอาผิดอะไรกับแท็กซี่ไม่ได้หรอก
คุณกับแท็กซี่เซ็นอะไรที่นี่สองสามแกร็กก็กลับบ้านได้
แต่น้องคนนี้คงมีธุระยาวนิดหนึ่ง เดี๋ยวผมกับ
ประกันฯ
ฝ่ายของคุณคงต้องพาเขาไปโรงพักด้วยกันเพื่อที่จะลงบันทึกประจำวันว่าเขาเป็นฝ่ายผิดและต้องชดใช้
แค่ไปถึงนี่ก็ต้องเสียค่าปรับแล้วสี่ร้อย แล้วพ่อของเด็กก็ต้องมาเซ็นยินยอมรับผิด
ทางบริษัทจะเรียกเก็บค่าซ่อมจากพ่อเขาภายหลัง”
“แย่จัง ถ้าช่วยอะไรน้องเขาได้ก็คงจะดีนะคะ”
น้ำเสียงของอเวรามีความเอื้ออาทรพอจะช่วยปรับบรรยากาศให้ผ่อนคลายลงได้มาก
“อ๋อ...เดี๋ยวมีขั้นตอนผ่อนหนักให้เป็นเบาอยู่แล้วครับ
ไม่ต้องห่วงหรอก”
นายประกันไม่ขยายความมากกว่านั้น
เนื่องจากคนผิดยืนหัวโด่อยู่ตรงหน้า
อันที่จริงถ้าพ่อของเด็กเขี้ยวลากดินหน่อยจะยึกยักไม่จ่ายก็ยังได้
ซึ่งนั่นหมายความว่าต้องมีการดำเนินคดีฟ้องร้องกันต่อไป และแม้พ่อเด็กตกลงจ่าย
ก็มักไม่ต้องเสียเต็มจำนวนค่าอะไหล่กับค่าแรงที่สองบริษัทประกันภัยต้องช่วยกันชดใช้อยู่แล้ว
ขึ้นกับศาลว่าจะใช้ดุลพินิจพิจารณาสั่งให้จ่ายเท่าไหร่
โดยเฉพาะคดีที่เด็กก่อขึ้นให้ผู้ปกครองรับผิดชอบ ศาลมักปรานีเป็นพิเศษ
กฎหมายของมนุษย์
คิดโดยมนุษย์ ผ่อนปรนให้มนุษย์ด้วยกันอย่างนี้เอง มนุษย์พยายามจะยุติธรรมต่อกันด้วยความคิดและการพิจารณาตามสมควรแก่ฐานะ
ครู่ใหญ่ผ่านไป
หลังจากตัวแทนบริษัทประกันทั้งสองฝ่ายมาถ่ายรูปและมอบใบรับรองการเกิดอุบัติเหตุโดยไม่เจตนา
ไม่ได้ประมาท และมีผู้อื่นเป็นชนวนก่อความเสียหาย
ธุระของอเวรากับแท็กซี่เสร็จเรียบร้อยในเวลาค่อนข้างสั้น แต่ธุระของเด็กหนุ่มผู้ประมาทขาดสติยังไม่จบ
นายประกันทั้งสองพยายามไล่บี้จี้ให้ผู้ปกครองคนใดคนหนึ่งของพฤหัสมาเซ็นรับผิดชอบที่สถานีตำรวจ
ซึ่งเมื่อติดต่อทั้งพ่อทั้งแม่แล้วปรากฏว่าไม่มีใครว่างมาได้เดี๋ยวนี้
จึงจำเป็นต้องนัดหมายกันวันอื่น ซึ่งนายประกันทั้งสองก็ไม่เดือดร้อนมากนัก
เนื่องจากเหตุเกิดถึงหน้าบ้านของเด็ก เห็นหลักแหล่งที่อยู่กันทนโท่อย่างนี้แล้ว
อเวรามีน้ำใจอยู่เป็นเพื่อนพฤหัสจนเจรจาทุกอย่างเสร็จสรรพ
แท็กซี่กับนายประกันหายหน้ากันไปหมดแล้ว เหลือแต่หล่อนกับเขาตามลำพัง
“เหนื่อยแฮะ”
เด็กหนุ่มทำเสียงครวญเรียกคะแนนสงสารขณะเดินเคียงหญิงสาวเพื่อมาส่งหล่อนที่รถ
“ทีหลังจะได้เข็ดไง พอรู้ว่าต้องเหนื่อยอย่างนี้ สติคงดีขึ้นแยะ”
“ครับพี่เค้ก ผมคงเข็ดล่ะคราวนี้
ก่อนเปิดประตูรถครั้งต่อไปคงต้องพนมมือท่วมกระหม่อมเพื่ออาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน”
หญิงสาวหัวเราะพลางส่ายหน้าด้วยความอนาถ
“แค่เหลือบดูซ้ายขวาหน้าหลังดีๆ ก็พอแล้ว” เงียบเสียงครู่หนึ่งก็ปลอบบ้าง “ช่างเถอะ
อย่านึกถึงมันอีกเลย เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ผ่านต่อยไป”
มายืนนิ่งด้วยกันที่หน้าประตูรถ
พฤหัสแลลึกลงไปในตาอีกฝ่าย
“วันนี้ผมทำอะไรแย่ๆ ผมขอโทษอีกครั้งนะครับพี่เค้ก”
อเวราอมยิ้ม
เปิดประตูก้าวเข้าไปนั่งประจำที่คนขับ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวพอเอารถเข้าอู่พี่ก็คงนั่งแท็กซี่ไปทำงานไม่กี่วันหรอก” บิดกุญแจสตาร์ทเครื่อง
ก่อนกล่าวลาพร้อมโบกมือบ๊ายบาย “ไปล่ะ”
“เดี๋ยวครับพี่เค้ก”
พฤหัสเกาะขอบประตูเหนี่ยวไว้ไม่ยอมให้หล่อนปิด
อเวราเลิกคิ้วสูงเป็นเครื่องหมายคำถามว่ามีอะไรอีก
“ขอเบอร์มือถือของพี่ให้ผมได้ไหม?”
“จะเอาไปทำอะไร?”
“ผมจะช่วยให้พี่เช็กความสามารถของมือถือไง ว่ารับสัญญาณจากที่ไหนได้บ้าง”
อเวราหัวเราะคิก
“มุขเยอะจริงนะ”
แล้วหล่อนก็เปิดเผยหมายเลขเครื่องของตนชัดถ้อยชัดคำแต่เร็วปรี๊ดเป็นปืนกล
จากนั้นปิดประตูปัง เหยียบคันเร่งบึ่งรถหนีทันที
ทิ้งให้เด็กหนุ่มยืนมองตามหลังจนลับตา
จะรู้จักกันต่อหรือจบสิ้นความสัมพันธ์เพียงแค่นั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถจดจำเบอร์โทรศัพท์ของเขาที่หล่อนยิงให้รวดเดียวหนเดียวในเวลาอันแสนสั้นแล้ว!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น