วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กรรมพยากรณ์ ตอนเลือกเกิดใหม่ (ตอนที่ ๒๗ น้ำพุแห่งกาม)

<ย้อนกลับอ่านตอนที่ ๒๖

ตอนที่ ๒๗ น้ำพุแห่งกาม

สองหนุ่มสาวช่วยกันแบกโทรทัศน์จอแบนขนาด ๒๙ นิ้วออกจากลิฟต์ เดินไปทางปีกขวาของชั้น พอถึงหน้าห้อง หญิงสาวก็ปล่อยให้อีกฝ่ายถือน้ำหนักเกือบห้าสิบกิโลกรัมไว้คนเดียว ตนเองถอนใจหยิบกุญแจไขประตูเปิดให้เขานำอุปกรณ์อำนวยความบันเทิงไปวางที่มุมหนึ่งเป็นการชั่วคราว

ความจริงอเวราจะซื้อทีวีเล็กๆ สัก ๑๔ นิ้วไว้ดูเล่น แต่พฤหัสอยากได้เครื่องใหญ่ที่อยู่ในห้องนอนเดิมของหล่อน อเวราเลยต้องตามใจ เพราะอย่างไรเขาก็ไม่ใช่แค่เด็กช่วยขนของ แต่จะเป็นคนที่มี ‘ส่วนร่วม’ ในห้องนี้กับหล่อนด้วย หรืออาจพูดได้ว่าห้องนี้มีขึ้นก็เพื่อเขา…
เฟอร์นิเจอร์จำพวกตู้เตียงนั้นเจ้าของอาคารได้ให้ไว้พอใช้ สมกับราคาค่าเช่าห้องอยู่แล้ว ของหนักที่ทำให้ต้องออกแรงเหน็ดเหนื่อยยกมาตั้งจึงมีเพียงโต๊ะวางโทรทัศน์แบบน้อกดาวน์กับตัวโทรทัศน์เองเท่านั้น สมบัติเล็กน้อยชิ้นอื่นล้วนเบาแต่ขนหลายรอบหน่อย ไม่นับเครื่องซักผ้าซื้อใหม่ขนาดย่อม ซึ่งมีพนักงานขนส่งช่วยจัดการให้เรียบร้อยถึงที่
แต่การขนของเป็นชั่วโมงที่ตบท้ายด้วยโทรทัศน์ตัวเขื่องทำเอาอเวราลงนั่งปาดเหงื่อ เหลือบตาเห็นพฤหัสยืนมองอยู่ยิ้มๆ ท่าทางไม่เหนื่อยเลยสักนิด ก็เท้าเอวสองข้างแล้วบ่นกระปอดกระแปด
“แข็งแรงเหมือนรถสิบล้ออย่างนี้ควรยกคนเดียว พี่ไม่น่าช่วยเธอให้ปวดแขนเลย”
“ยกคนเดียวยาวๆ ไม่ไหวหรอก พี่เค้กช่วยก็ดีแล้ว บรรยากาศเหมือนช่วยกันสร้างบ้าน ช่วยกันย้ายของเข้าเรือน”
อเวราชะงักนิดหนึ่ง เงียบมองบรรยากาศของการเริ่มต้นชีวิตส่วนตัวที่ตนเลือกแล้วโดยไม่มีใครในครอบครัวรู้เห็น วูบหนึ่งเกิดความวังเวง เมื่อแลไปพบเพียงเฟอร์นิเจอร์หลายชิ้นตามมุมต่างๆ ของห้อง แต่หาความถูกต้องไม่เจอที่ตรงไหนเลยสักแห่งเดียว
พฤหัสยังคงพินิจแฟนสาวรุ่นพี่ด้วยอารมณ์เอ็นดู ชอบมองเรียวแขนเปลือยของหล่อน โดยเฉพาะยามนั่งบนเตียงในท่าเท้าเอวพักเหนื่อยแบบเหงื่อตกนิดๆ เช่นนั้น และนั่นก็ดึงดูดให้เด็กหนุ่มก้าวเข้ามานั่งเคียงข้าง โอบแขนรอบเอวหล่อนพร้อมกับยื่นหน้าเข้าไปใกล้
หญิงสาวเอนร่างหนี แสร้งเหลือบชำเลืองลงไปที่ต้นแขนของตนแล้วทำหน้าเหยร้องเบาๆ
๒๓๔

“อื๋ย! น้ำลายหก!”
เด็กหนุ่มหัวเราะ เพราะกำลังน้ำลายหกอยู่จริงๆ เพียงแต่หกข้างใน ยังไม่ไหลย้อยออกมาเรี่ยราดเหมือนอย่างที่อเวราแกล้งว่า
“ขอโทษๆ ดูซิเปื้อนตรงไหนมั่ง?”
“ไปล็อกห้องก่อนไป”
แล้วรอบปฐมทัศน์ในวันแรกของรังรักก็เปิดฉาย เริ่มเรื่องเหมือนเดิม พล็อตเรื่องทำนองเดิม ปิดฉากแบบเดิมคุณภาพและเนื้อหาก็ประมาณเดิม แต่ผู้แสดงที่เป็นคนดูในตัวเองยังไม่อิ่มไม่เบื่อ เต็มใจแสดง เต็มใจดู และเต็มใจร่วมสุขสมเยี่ยงข้าทาสที่โดนมอมเมาด้วยยาเสพติดชนิดรุนแรง
สวรรค์อันเร่าร้อนผ่านไป ต่างฝ่ายต่างได้สิ่งที่ต้องการ ตราบใดยังพากันและกันไปถึงสุดทางกามารมณ์ ตราบนั้นผลประโยชน์ร่วมก็ยังยืนอยู่ที่นั่นเสมอ
แต่…
มีบางสิ่งเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของอเวรายามทอดร่างด้วยความอ่อนเพลีย คล้ายความรู้สึกของคนเพิ่งดื่มน้ำเย็นชุ่มชื่นดับกระหายอยู่ในฝัน แล้วตื่นขึ้นมาพบกับสภาพแวดล้อมในความเป็นจริงที่สุดกันดาร เต็มไปด้วยกรวดทรายและความว่างวายสุดลูกหูลูกตา ท้องยังแห้งขอด ปราศจากน้ำผ่านลำคอตกล่วงลงไปถึงสักหยดเดียว
แปลความรู้สึกของตัวเองว่านั่นอาจเป็นเพราะหล่อนเริ่มไม่ชอบที่คบๆ กับพฤหัสเพื่อเสพกามอย่างเดียว มันเหมือนชีวิตไม่มีความหมายมากไปกว่าสนองอารมณ์ฝ่ายต่ำ วันๆ เจอกันก็มีเรื่องทำร่วมกันอยู่แค่นี้ ไม่มีกิจกรรมอื่นมากกว่านั้น อดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้แต่ชวนกันจมปลักอยู่ในบ่อกามท่าเดียว
ลองถอดความหมายทางอารมณ์ของตนไปอีกชั้น นี่คือสัญญาณว่าหล่อนเริ่มเบื่อแฟนหนุ่มรุ่นน้อง หรือว่าเริ่มปรารถนาความสัมพันธ์อันมีค่ามากกว่ากิจกรรมบนเตียงถ่ายเดียว?
ใจคนเป็นสิ่งลึกลับซับซ้อน แม้เจ้าตัวก็ยากจะหยั่งถึงก้นบึ้งอันเป็นที่สุด พยากรณ์ไม่ได้แน่ชัดเสมอไปว่าเมื่อใดจะรู้สึกแบบไหน หรือกระทั่งเมื่อความรู้สึกเกิดขึ้นแล้วโต้งๆ ก็ยากจะบอกว่ามันคืออะไร เพราะเงื่อนปมมีอยู่หลายชั้นเหลือเกิน หากหล่อนกำลังเบื่อพฤหัส เหตุใดจึงยอมเสียเงินเสียทองขวนขวายออกมาเช่าห้องอยู่? และหากหล่อนยินดีในการออกจากบ้านมามีโลกส่วนตัวอยู่กับเขาเต็มที่ เหตุใดขณะนี้จึงเริ่มรู้สึกเหนื่อยหน่ายและโหยหิวความสุขชอบกล?
ถามตัวเอง แล้วก็ได้คำตอบให้ตัวเอง หล่อนออกมาเช่าห้องอยู่ด้วยแรงขับดันจากเพศรส แต่หล่อนเริ่มเหนื่อยหน่ายเพราะประจักษ์ความจริงว่านอกจากเพศรสอันชุ่มชื่นประเดี๋ยวประด๋าวแล้ว ที่เหลือคือความแห้งแล้ง ความโดดเดี่ยว และความดูถูกตัวเอง!
กามเหมือนน้ำพุในความฝัน ที่คล้ายผุดพุ่งน่าชื่นตาชื่นใจตลอดกาล แต่ความฝันนั้นจะถึงใจก็ต่อเมื่อยังหลับใหล เมื่อใดตื่นขึ้นพบความจริงกลางทะเลทราย เมื่อนั้นน้ำพุก็คล้ายพยับแดดลวงตาที่เลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ไม่มีใครเคยพกพาความอิ่มหนำออกมาจากความฝันได้เลย
๒๓๕
แต่คนเราก็ยินดีจะหลงทางอยู่กลางฝัน เพราะความฝันเป็นสิ่งที่ได้มาง่าย แค่หลับหูหลับตาจำนนต่อความง่วงงุนอย่างเดียวเท่านั้น ไม่ต้องออกแรง ไม่ต้องแสวงหา ไม่ต้องหวังรอความจริงที่มาช้าเกินทน…
พฤหัสหลับอย่างสบาย เป็นอีกครั้งที่เขาฝันถึงณชะเล เสียแต่ว่าคราวนี้ไม่ได้ฝันหวาน เพราะดันเห็นหล่อนเดินเกาะแขนจองฤกษ์ชมนกชมไม้อย่างมีความสุข ส่วนเขาอยู่ในสภาพตกต่ำน่าอดสูนัก นุ่งกางเกงในตัวเดียวแอบซ่อนอยู่หลังพุ่มไม้ที่มีหนามแหลมตำตัวตำเท้า ลอบมองคู่รักเคียงกันด้วยความริษยาตาร้อนอย่างนั้น
ขณะกัดฟันกรอดๆ นั่นเอง เด็กหนุ่มก็รู้สึกตัวว่าตื่นนอน เขาขมวดคิ้วนิดๆ ไม่อาจจำแนกแยกแยะได้ว่ากางเกงในเป็นสัญลักษณ์แทนความอับอาย พุ่มไม้เป็นสัญลักษณ์แทนการซ่อนเร้น หนามแหลมเป็นสัญลักษณ์แทนความกระวนกระวาย ทราบแต่ว่าความรู้สึกโดยรวมขณะออกจากฝันนั้นเป็นทุกข์ จิตใจหดหู่ หมดความภาคภูมิในตนเอง และทั้งหมดทั้งปวง พฤหัสก็ประเคนโทษลงที่ไอ้เพื่อนยากจองฤกษ์เพียงคนเดียว ฐานที่มันหน้าด้านเกินตัวปราศจากความเจียมกะลาหัวกลัวเงา สะเออะไปยุ่งกับผู้หญิงที่คู่ควรเป็นสมบัติของเขา!
ค่อยๆ เปิดเปลือกตา ตกใจเล็กน้อยเมื่อพบอเวรานอนตะแคงเอาฝ่ามือรองศีรษะ เหลือบแลใบหน้าเขาด้วยน้ำตาคลอหน่วย เห็นแล้วแทบปรับสติไม่ทัน
“พี่เค้ก… เป็นอะไรเหรอ?”
ดึงตัวขึ้นนั่งและถามแฟนสาวรุ่นพี่ด้วยสีหน้าเป็นห่วงเป็นใย อเวรายิ้มเล็กน้อย พลิกร่างลงนอนราบและใช้นิ้วปาดน้ำตาเงียบๆ จนพฤหัสต้องถามยั่ว
“พี่เค้กแอบจ้องผมเพราะชื่นชมความหล่อยามหลับ หรือว่ามีเหตุผลอื่นกันล่ะนี่?”
“ไม่มีอะไรหรอก… แค่อยากมองให้เห็นว่าในความฝันของเธอมีพี่เป็นส่วนร่วมอยู่ด้วยหรือเปล่า”
พฤหัสกะพริบตาปริบๆ ถ้าความฝันของคนเราฉายออกมาทางหน้าผากให้คนอื่นเห็นได้ โลกนี้คงวุ่นวายพิลึก
“เมื่อกี้เหรอ…” เกือบตอหลดตอแหลด้วยความเคยชิน แต่รู้สึกฝืดฝืนแปลกๆ เลยเปิดเผยความจริงบางส่วน “ผมฝันว่านุ่งกางเกงลิงตัวเดียว แอบซ่อนอยู่ตามสุมทุมพุ่มไม้ ประหลาดนัก”
อเวราหัวเราะเนือยๆ
“ทำไมต้องแอบด้วย ซุ่มดูอะไรอยู่เหรอ?”
พฤหัสยักไหล่
“คงรอแอบขโมยอะไรอยู่มั้ง… ในฝันนี่พวกเราเป็นอะไรได้สารพัดเลยเนาะ”
“เธอฝันว่าเป็นตัวเธอเองทุกครั้งหรือเปล่าล่ะ?”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า
“ไม่หรอก อย่างเมื่อกี้ไง ฝันว่าเป็นขโมย ไม่มีสง่าราศี แล้วก็หน้าตาแห้งเหี่ยวเหมือนเด็กตามป่าตามดอย ผมเคยเป็นอย่างนั้นเสียที่ไหน นี่แหละที่เขาเรียกว่าฝันเหลวไหลเลอะเทอะขนานแท้”
หญิงสาวชายตามองอีกฝ่ายด้วยแววทอดสงบ
๒๓๖
“ถ้าเชื่อว่าทุกสิ่งมีเหตุผล ไม่มีความบังเอิญ ก็คงต้องแปลว่าเธอมีเรื่องน่าอับอายซุกซ่อนอยู่ ใจจริงรู้สึกยังไง ก็เอาไปปรุงแต่งเป็นภาพฝันสะท้อนออกมาอย่างนั้น และนั่นก็คือส่วนหนึ่งของความเป็นเธอเอง”
พฤหัสเลิกคิ้วสูง
“พี่เค้กล่ะ ฝันว่าเป็นตัวเองอยู่ตลอดเวลาหรือเปล่า?”
“ส่วนใหญ่พี่จำไม่ค่อยได้หรอกว่าฝันอะไร…” แล้วหล่อนก็เหลือบตาสลด “แต่ที่จำได้ในช่วงหลัง ก็ทำให้รู้สึกไม่ดีกับตัวเองเท่าไหร่”
“ฝันว่านุ่งกางเกงในซุ่มอยู่หลังพุ่มไม้แบบผมหรือเปล่า?”
อเวราอดหัวเราะไม่ได้
“น่าอายกว่านั้นอีก”
“เป็นยังไง?”
หญิงสาวขยับปากจะเล่า แต่ก็ยั้งไว้ จะให้เล่าหรือว่าเห็นตัวเองทอดกายนอนหงายเหมือนตุ๊กตายางให้ชายคนแล้วคนเล่าผลัดเวียนเข้ามาเชยชม?
“เฮ้! ไม่ยุติธรรมนี่” พฤหัสประท้วงหลังจากเห็นท่าว่าอเวราจะไม่เล่าแน่ “ให้ผมเล่าความฝันของตัวเอง แต่พี่เค้กกลับปิดบังซะ”
แต่พออเวราตะแคงหน้าหลบและมีเสียงสะอื้นตามมา พฤหัสก็ได้แต่เงียบอึ้งทำอะไรไม่ถูกอยู่อึดใจหนึ่ง
“พี่เค้ก…” เขาจับไหล่มนบีบและขานเรียกหล่อนด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “ฝันส่วนใหญ่เกิดจากความคิดเหลวไหลไม่ตรงจริงทั้งนั้น”
อเวรายังคงสะอื้น พฤหัสมองอย่างไม่ทราบจะเอ่ยประการใด ในที่สุดก็ยักไหล่ เพราะถือว่าพยายามปลอบแล้วในเมื่อไม่ฟังก็ช่วยไม่ได้ นอนต่อดีกว่า ตัวเขาเองก็ต้องนอนก่ายหน้าผากเหมือนกัน ใช่ว่ามีความสุขเสียเต็มประดาพอจะเผื่อแผ่ให้ใครอีก
หญิงสาวสัมผัสได้ถึงความคร้านจะพูดของพฤหัส และนั่นก็ทำให้นึกเหงาและเศร้าลึกยิ่งขึ้นไปอีก เนื้อตัวห่างกันแค่คืบ แต่ไม่มีไออุ่นแห่งความอ่อนโยนในรักแผ่ถึงกันเลยสักนิด ตอกย้ำฐานะคู่นอนสถานเดียว ไม่ใช่คู่รัก และจะไม่ใช่คู่ครองอย่างแน่นอน
แต่สถานภาพนี้มิใช่หรือ ที่หล่อนบอกตัวเองในเบื้องแรกว่าต้องการ และจะขีดเส้นความต้องการไว้ไม่ให้เกินเลยไปกว่านั้น?
พลิกร่างกลับมา เห็นพฤหัสนอนหลับตาเอามือก่ายหน้าผากแน่นิ่ง ก็ดึงตัวขึ้นนั่งพิศใบหน้าสมส่วนอย่างชายนั้นเป็นครู่ ก่อนเรียกเขาเบาๆ
“ต่อย…”
เด็กหนุ่มลืมตาขึ้นมองอย่างถามว่ามีอะไร
๒๓๗
“พี่ว่า… เรากำลังทำตัวเหมือนเป็นความฝันของกันและกัน มันฉาบฉวย สัมผัสแค่ผิวเผิน แล้วก็พร้อมจะหลุดลอยไปจากกันได้ทุกเมื่อ”
พฤหัสทำหน้าเหยเอานิ้วไชหู
“เอางี้… ผมมุดเข้าไปทางหลังทีวีแล้วทำเป็นดาราละครโผล่ออกมาดีไหม? ให้เหมือนฝันที่กลายเป็นจริงของพี่เค้กไง”
อเวรายิ้มเศร้า พฤหัสตลกได้ตลอดเวลา แต่หล่อนก็ชักเฉยชิน โดยเฉพาะในยามต้องการสิ่งเติมเต็มมากกว่าความขำขันบันเทิงเริงใจ ใจหนึ่งอยากบอกเลิกกับเขาเพื่อเปิดโอกาสให้กับความถูกต้อง แต่อีกใจพอนึกถึงความเหงาหงอยเดียวดายระหว่างการรอความถูกต้องก็บังเกิดความรวดร้าวทรมานสุดทน
นี่หล่อนจะทำอย่างไร? ระหว่างใช้ชีวิตอยู่กับความผิดพลาด ทุกอย่างน่าสับสน จิตใจกลับกลอก กลืนไม่เข้าคายไม่ออกสักอย่าง
หลังจากเล่นแบดกันหนเดียวและคุยโทรศัพท์อย่างต่อเนื่องอีกหกคืน พฤหัสก็ชวนละอองฝนดูหนัง ซึ่งสาวเจ้าก็ไม่ปฏิเสธ
ช่วงบ่ายวันอาทิตย์หลังข้าวเที่ยง สองหนุ่มสาววัยรุ่นมาเดินเคียงกันในห้างใหญ่แห่งหนึ่ง ทีแรกก็ต่างคนต่างเดินแต่สิบนาทีผ่านไปละอองฝนก็ทนแรงเสน่ห์ที่สุดแสนจะดึงดูดของพฤหัสไม่ไหว ต้องแกล้งแกว่งหลังมือไปกระทบเขาสองสามหน ซึ่งนั่นก็ทำให้เด็กหนุ่มรู้ และรวบมือหล่อนกุมหน้าตาเฉย
ใบหน้าร้อนขึ้นนิดๆ สัมผัสแปลกใหม่ช่างอบอุ่นจับใจ แค่เขาจูงมือเดินอย่างเงียบเชียบ ก็เพียงพอแล้วกับความรู้สึกเหมือนแยกตัวออกมาเป็นต่างหากจากหมู่คนขวักไขว่รอบด้าน คล้ายทิ้งโลกในอดีตไว้เบื้องหลัง และกำลังพากันเดินไปสู่โลกใหม่ที่สงบสุขตามลำพังสองคน
บรรยากาศในโรงหนังช่างเย็นละไมชวนฝันผิดแผกไปจากเคย เก้าอี้นุ่ม อากาศหอม กับชายหนุ่มที่มีเงาร่างเร้าใจ ทำให้ละอองฝนดูหนังไม่ค่อยรู้เรื่องนัก โดยเฉพาะเมื่อมือของหล่อนถูกเกาะกุม และแขนถูกซ้อนด้วยท่อนแขนกำยำเกือบตลอดเวลา
ออกจากโรงหนัง พฤหัสชวนเพื่อนสาวคนใหม่กินของว่างในสวนอาหาร โดยอาสาไปซื้อมาให้เสร็จสรรพหล่อนมีหน้าที่นั่งจองโต๊ะซึ่งหายากหาเย็นเหลือเกินในวันซึ่งชาวกรุงนิยมเดินห้างมากกว่าทำกิจกรรมชนิดอื่น
นั่งรออยู่ครู่ ละอองฝนก็รู้สึกเหมือนมีใครมายืนค้ำหัวที่เบื้องหลัง พอเอี้ยวตัวเงยมองก็เห็นพฤหัสกำลังยืนทื่อก้มหน้าเหลือบแลหล่อนเฉย
“ทำอะไร?”
เด็กสาวยิ้มเห็นฟันถามด้วยสีหน้ากังขา
“เปล่า…” เขาตอบจากท่านิ่ง “พอมองลงมาจากมุมสูง เห็นกระหม่อมคนแล้วเหมือนผมเป็นเงาเจ้ากรรมนายเวรรู้สึกยิ่งใหญ่ดี”
๒๓๘
เป็นมุขที่คิดขึ้นสดๆ และพอจะทำให้ละอองฝนหัวเราะได้ แต่ความจริงเมื่อเดินถึงจุดนั้น เผอิญเขาเห็นสาวสวยกำลังเดินสวนมา ถ้าหากก้าวล้ำออกไปเดี๋ยวจะไม่ได้มองให้เต็มอิ่ม เลยต้องชะงักเท้าไว้ก่อนต่างหาก เสียแต่ละอองฝนเกิดสัมผัสพิเศษอย่างไรไม่ทราบ จึงหันมาขัดลาภทางตาเข้าให้ก่อน
“โหย! กลัวแล้วนะเนี่ย ตกลงต่อยเป็นเจ้ากรรมนายเวรของฝนเหรอ?”
ละอองฝนถามเสียงแจ๋วเมื่อเขามานั่งและวางจานขนมลงตรงหน้าหล่อนแล้ว
พฤหัสเก๊กหล่อก่อนเอ่ย
“ผมอาจเคยอธิษฐานขอเป็นเงาตามตัวฝน เท่านี้พอจะเป็นเจ้ากรรมนายเวรได้ไหม?”
เด็กสาวหัวเราะร่วน หลังจากกินขนมหมดและพูดคุยหยอกล้อครู่หนึ่ง พฤหัสก็ชวนอีก
“ยิ่งวันคนยิ่งพลุกพล่านเนอะ ไปนั่งคุยกันที่บ้านฝนดีกว่า”
เด็กสาวมองเพื่อนชายหน้าใหม่ด้วยความประหลาดใจกับท่าทีกระตือรือร้นแปลกๆ ของเขา ปกติวัยรุ่นด้วยกันจะชอบชวนกันโต๋เต๋ห่างหูห่างตาผู้ใหญ่ ไม่ค่อยอยากเข้าบ้านฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเร็วนัก เพราะนั่นหมายความว่าต้องเสนอหน้าให้ผู้ใหญ่เห็น และเป็นนิมิตให้รู้ว่านี่คือแฟนใหม่
“เอางั้นเหรอ?”
ไถ่ถามหัวคิ้วยุ่งนิดๆ เพราะไม่ได้บอกพ่อแม่ไว้ก่อนว่าวันนี้จะพาใครไปหา
“เอางั้นซี่ บ้านฝนห่างจากนี่นิดเดียว ผมอยากหนีความวุ่นวายรอบตัวนี่จัง แต่ถ้าฝนไม่สะดวกใจ อยากนั่งที่นี่ต่อผมก็โอเคนะ”
ละอองฝนคลายสีหน้า นึกอยากเอาใจเขาขึ้นมา แม้ส่วนลึกเห็นว่าเร็วเกินไปสักหน่อยก็ตาม
“เอาก็เอา ไปสิ”
เกือบครึ่งชั่วโมงให้หลัง พฤหัสก็มาปรากฏตัวในบ้านหล่อน พอไม่เห็นรถของทั้งพ่อและแม่ ละอองฝนก็เชื้อเชิญด้วยความโล่งใจ
“ไปข้างหลังบ้านไหม? นั่งคุยกันที่ซุ้มชิงช้า”
“โอเคเลย”
พฤหัสตอบแบบเหลียวซ้ายแลขวาลอกแลก
“หาอะไรอยู่เหรอ?”
“อิอิ มีหมาหรือเปล่าเนี่ย?”
ละอองฝนหัวเราะขันโดยไม่อาจล่วงรู้ความจริงในใจอีกฝ่ายได้
“สงสัยเคยผ่านประสบการณ์เลวร้าย ยังผวาไม่หาย”
“ก็… ต้องกระโดดขึ้นกำแพงกันเลยล่ะ”
๒๓๙
“บ้านนี้ไม่มีอะไรอย่างนั้นหรอก เคยมีหมาอยู่ตัวหนึ่งของน้องสาว แต่เพิ่งตายไปไม่กี่วันนี่เอง”
“อ๋อเหรอ” พอละอองฝนพูดถึง ‘น้องสาว’ ของหล่อน ใจพฤหัสก็เต้นผิดจังหวะขึ้นมาทันที แต่ยังคงรักษาสีหน้าได้เป็นปกติ “แก่ตายหรือยังไง?”
“โดนรถทับน่ะซี ทรายฝากมันไว้กับตักฝน มันดันทะลึ่งเผ่นลงจากรถไปโดนทับเฉยเลย เป็นวันถึงฆาตจริงๆ ”
เดินตามกันมาถึงหลังบ้าน เห็นซุ้มชิงช้าที่ละอองฝนพูดถึง แต่ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าที่นั่นจะมีบุคคลที่ทำให้เขาตาลุกวาวหัวใจพองโตแทบระเบิด!
“เฮ้! ทราย”
ละอองฝนเรียกน้องเพราะฝ่ายนั้นนั่งหันหลังให้ ท่าทางกำลังอ่านหนังสือเพลินจนไม่สำเหนียกว่ามีใครเดินมาทีแรกณชะเลเอี้ยวตัวตามเสียงเรียกของพี่สาวมายิ้มทัก แต่พอแลเลยมาเจอพฤหัส ยิ้มบางๆ ก็หุบลงสนิท
อาจเป็นครั้งแรกสำหรับพฤหัสที่สบตาสาวแล้วเข่าอ่อน ก็สาวที่เขาหมายใจปองเล่นมองดุๆ คล้ายไม่พอใจอย่างแรงที่เห็นเขารุกล้ำอาณาเขตส่วนตัวของหล่อน
“นี่ต่อย เพื่อนฤกษ์ไง” ละอองฝนแนะนำ “จำได้หรือเปล่า? เพิ่งตีแบดกันเมื่อเสาร์ที่แล้วน่ะ”
ถามไปอย่างนั้นเอง รู้อยู่เต็มอกว่าผู้เป็นน้องต้องจำได้แน่ๆ ณชะเลเบนสายตามาสบกับพี่สาวด้วยแววเย็นชา
“ฝนมานั่งนี่ก็แล้วกัน ทรายกำลังจะเข้าบ้านพอดี”
“เอ้า! กลายเป็นว่าฉันมาเบียดเบียนเธอ เดี๋ยวฉันเข้าบ้านเองดีกว่า”
น้องสาวสั่นศีรษะ
“เธอตั้งใจมานั่งนี่ก็เอาเถอะ พอดีทรายต้องเตรียมตัวเรียนด้วย อีกเดี๋ยวฤกษ์จะมาแล้ว”
“โอ้! วันนี้มาแต่วัน”
ณชะเลพยักพเยิดนิดๆ แล้วลุกยืนเป็นเครื่องหมายเปิดทางให้พี่สาวใช้สถานที่แทนตนได้ตามสะดวก
“ฤกษ์มาทุกวันเลยหรือครับ?”
พฤหัสสาระแนถาม ซึ่งณชะเลได้ยินแล้วขัดหูขัดตาเหลือเกิน ร่ำๆ จะทำไม่รู้ไม่ชี้เดินหนีไปเฉยๆ แต่ความที่ได้รับการอบรมมารยาทผู้ดีมานาน จึงเห็นเป็นเรื่องน่าเกลียดสักหน่อยถ้าจะตามใจตนเองเช่นที่คิด
“ก็เกือบทุกวัน”
พยายามออกสำเนียงเสียงให้ฟังมีไมตรีจิตนิดหน่อย ไม่ออกห้วนเกินไปนัก อยากอธิบายตนเองชัดๆ เหมือนกันว่าเหตุใดจึงรำคาญ ขัดเคือง และขวางหูขวางตาหมอนี่นักหนา เห็นด้านหน้า ด้านข้าง นัยน์ตา ใบหู จมูก ปาก ตลอดจนแข้งขา ช่างดูติดลบไปหมด
“ฤกษ์คงเข้าขั้นปรมาจารย์เลยนะครับ หน้าตาเก่งๆ อย่างทรายยังต้องขอเรียนด้วยอย่างนี้”
ณชะเลหันมองเพื่อนชายคนใหม่ของพี่สาวอย่างสุดฉงน วิธีลอยหน้าลอยตาพูดอย่างไหลรื่นนั้นส่อแสดงความ
๒๔๐
อยากตีสนิทและความอยากรั้งให้หล่อนอยู่คุยต่อ หล่อนฟังออก แล้วก็นึกชังน้ำหน้าอีตานี่มากขึ้นกว่าเดิม ขนาดละอองฝนยืนอยู่ข้างๆ ยังกล้า ถ้าลับหลังล่ะจะขนาดไหน
หรี่ตานิดหนึ่ง จับมองใบหน้าเขาสนิทนิ่งด้วยแววชัดลึก
“ที่ขอเรียนกับฤกษ์ ส่วนหนึ่งก็เพราะอยากได้วิชาจากคนเก่ง แต่อีกส่วนคืออยากอยู่ใกล้ผู้ชายซื่อๆ ด้วย!”
ทิ้งทวนด้วยน้ำคำบาดความรู้สึกแล้วก็เดินจากไปไม่ล่ำลา
พฤหัสเผยอปากยิ้มนิดๆ โอ้แม่เจ้า! ให้ตายเถอะยาหยี! แต่ละกิริยา แต่ละวาจาของเจ้าหล่อนช่างบาดใจไปหมดเขานิ่งเสพทุกรายละเอียดในหล่อนเต็มตาด้วยความลุ่มหลง ทั้งรูปสมส่วนภายนอก ทั้งกิริยาวาจาอันเฉียบคม ตลอดจนกระทั่งประกายกระจ่างในดวงตาคล้ายอัญมณีหายาก ทุกความเป็นหล่อนเหมือนมีขึ้นเพื่อสาปเขาให้กลายเป็นรูปปั้นท่าทัศนานิรันดร์โดยแท้…
จองฤกษ์เดินเข้าบ้านแฟนสาวงงๆ เพราะพอเจอกันก็โดนณชะเลทำหน้าบึ้งใส่ แถมพอมาอยู่ในห้อง หล่อนยังนั่งจ้องเขม็งด้วยสายตาขุ่นเขียวไม่เลิก เด็กหนุ่มอึกอัก ทำหน้าทำตาเหรอหรา พยายามนึกทบทวนความผิด แต่นึกอย่างไรก็นึกไม่ออก
“มีอะไรเหรอทราย?”
“เพื่อนเธอเป็นคนยังไง ช่วยเล่ามาให้ละเอียดหน่อย”
แค่คำว่า ‘เพื่อนเธอ’ ก็รู้กันว่าหมายถึงใคร แต่เสียงขรึมของณชะเลทำให้จองฤกษ์คิดว่าคงมีเรื่องไม่ชอบมาพากลนัก และเพราะอย่างนั้นจึงต้องตอบด้วยความระมัดระวัง
“เจ้าต่อยน่ะเหรอ ก็… เป็นคนสนุกสนานดี เข้ากันได้กับทุกคน”
“ฤกษ์ก็รู้ว่านั่นไม่ใช่เรื่องที่ทรายอยากรู้”
“อ้าว! โธ่! เราไม่รู้ใจคนได้เหมือนพ่อหมออุปการะนะ”
“ไม่เข้าใจจริงๆ …” เด็กสาวเริ่มออกอาการกระฟัดกระเฟียดเล็กๆ “เมื่ออาทิตย์ก่อนทำไมฤกษ์ต้องพาเขามาเล่นแบดกับพวกเรา”
“ก็… จะได้ครบคู่ไง”
ณชะเลแลลึกลงไปในดวงตาของแฟนหนุ่มอย่างคาดคั้น
“ขอเถอะ อย่าปิดบัง อย่าโกหก อย่าทำให้ทรายรู้สึกว่าเธอมีเหตุผลลึกๆ ที่ไม่อยากเปิดเผย ทรายอยากให้เราสองคนรู้ใจกัน และที่จะเป็นอย่างนั้นได้ก็ต้องเริ่มจากการตรงไปตรงมา ไม่อำ ไม่เฉไฉ ไม่มีพิรุธให้ต้องกลบเกลื่อน”
จองฤกษ์ถอนใจยาว นี่เขาคงทำอะไรผิดไปอีกแล้วกระมัง? แต่ท่าทีกระบึงกระบอนเป็นครั้งแรกของณชะเลก็ไม่ทำให้เขามีทางเลือกมากนัก ต้องตัดสินใจเล่าที่มาที่ไปอย่างเปิดเผย ทั้งที่ยังไม่ทราบเค้าปัญหาชัดเจน
“วันที่ต่อยเจอเราสองคนในห้างน่ะ คือมันก็… เอ่อ… ถามๆ แบบอยากรู้อยากเห็นว่าทรายมีพี่สาวน้องสาวหรือเปล่า พอเราตอบว่ามี มันก็รบเร้าให้ชวนทรายกับพี่สาวไปเล่นแบดกัน”
๒๔๑
ณชะเลเอนหลังพิงพนัก
“ฤกษ์เคยบอกทรายว่าเขาเจ้าชู้มากใช่ไหม?”
“ก็… คงงั้น”
“เขาหักอกผู้หญิง ทิ้งขว้างผู้หญิงมานักต่อนัก โดยไม่แคร์ว่าใครจะเป็นจะตายยังไงใช่ไหม?”
“เอ่อ… อันนี้เราไม่รู้ละเอียดเท่าไหร่ ด้วยความสัตย์จริงเลยนะทราย เคยแต่เห็นมันควงคนโน้นคนนี้ ไม่เคยเห็นตอนเลิกหรอก สุดท้ายใครฟูมฟายแค่ไหน หรือจากกันด้วยดียังไงนี่เราไม่รู้เลย”
“เอาเฉพาะที่เขามาเล่าให้เธอฟังก็ได้ เขาหว่านเสน่ห์ เขาหลอกปู้ยี่ปู้ยำ แล้วเอามาบรรยายกี่รายแล้ว?”
จองฤกษ์เริ่มเห็นเงาความผิดของตัวเองบีบรัดเข้ามาอย่างชัดเจน
“ก็… หลายอยู่”
“รู้ทั้งรู้ แต่เธอก็ยังพามาพบกับพี่สาวของทราย?”
เด็กหนุ่มทำหน้าไม่ถูก จะให้บอกได้อย่างไรว่าเขาแค่อยากเอาหล่อนไปอวดเพื่อนให้มันอิจฉาเล่นเท่านั้น
“เราคิดว่า…” จองฤกษ์พยายามหาข้อแก้ตัว “อย่างฝนน่าจะเหมือนๆ กับทราย ธรรมะธัมโม ทันคน แล้วก็ไม่สนใจผู้ชายแบบเจ้าต่อย”
ณชะเลส่ายหน้าช้าๆ กัดริมฝีปากเหลือบแลไปทางหลังบ้านก่อนกะพริบตาตวัดมองแฟนหนุ่มด้วยแววผิดหวัง
“เพื่อนเธอกำลังนั่งคุยกับฝนอยู่ที่ซุ้มชิงช้าแน่ะ…” หล่อนเอ่ยเสียงขื่น “ลองแอบมองทางหน้าต่างสิ พี่สาวทรายหน้าชื่นตาบานเหมือนลืมโลกทั้งใบสนิททีเดียว!”
อ่านต่อตอนที่ ๒๘ >> 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น