วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กรรมพยากรณ์ ตอนเลือกเกิดใหม่ (ตอนที่ ๒๘ โลกกลม)

<ย้อนกลับอ่านตอนที่ ๒๗

ตอนที่ ๒๘ โลกกลม

ขณะที่บรรยากาศในห้องกำลังตึงเครียดอยู่นั่นเอง ก็มีใครคนหนึ่งกดกริ่งหน้าบ้าน จึงเหมือนระฆังดังให้พักยกการสอบสวนเอาความผิด ณชะเลทิ้งค้อนให้แฟนหนุ่มวงหนึ่งก่อนจำใจลุกขึ้นดูว่าเป็นใคร พอเห็นอเวรายืนอยู่ที่รั้วก็รีบเดินออกไปจากห้องทันที
หางตาเห็นละอองฝนเดินมาจากทางซ้าย แต่ยังอยู่ห่างประตูมากกว่าหล่อนเลยโบกมือให้และส่งเสียงบอกพอได้ยิน
“เดี๋ยวทรายไขให้น้าเค้กเอง ฝนไปเถอะ”
ละอองฝนโบกมือตอบแล้วเดินย้อนกลับทางเดิม ณชะเลเหลือบมองตามด้วยสายตาเป็นห่วงราวกับเห็นพี่สาวเดินกลับหนองน้ำที่มีจระเข้อ้าปากรออยู่ แต่ก็จำต้องหันมาสนใจญาติที่หน้าบ้านก่อน
“สวัสดีค่ะน้าเค้ก”
๒๔๒
ยกมือไหว้ฝ่ายนั้น อเวรารับไหว้และยิ้มให้ ณชะเลไม่ต้องสังเกตมากก็เห็นแววหมองในดวงตาน้าสาวถนัด เดาได้ว่าคงมีทุกข์มาขอคำปรึกษาจากแม่หล่อนตามเคย
“คุณแม่ยังไม่กลับนะคะ” บอกพลางไขกุญแจประตูให้ “เอารถเข้ามาไหม?”
“จอดไว้ข้างนอกนั่นแหละ ไม่เป็นไร”
“นัดแม่ไว้ช่วงนี้เหรอคะ? เดี๋ยวทรายโทร.บอกให้ว่าน้าเค้กมาแล้ว”
“ไม่ต้อง” ปฏิเสธและก้าวเข้ามาข้างใน “ไม่ได้นัดพี่หน่องไว้หรอก กำลังเซ็งๆ ความจริงคุยกับทรายก็ได้ น้าเหงา ไม่อยากอยู่คนเดียว แล้วก็ไม่อยากคุยกับซี้ที่มันกำลังย่ำแย่ยิ่งกว่าน้าอีก”
“งั้นมาค่ะ”
ณชะเลจูงมืออีกฝ่ายเข้าบ้านด้วยท่วงทีของผู้พร้อมจะให้ความอาทร อันเป็นกิริยาที่ติดมาจากแม่
เมื่อละอองฝนเดินไปเปิดประตูให้กับผู้มากดกริ่ง ทีแรกพฤหัสก็ไม่ได้ใส่ใจเท่าใด แต่พอได้ยินเสียงของณชะเลร้องบอกความว่าหล่อนจะเป็นคนไปไขประตูให้ ‘น้าเค้ก’ เอง เด็กหนุ่มก็สะดุ้งเฮือก เพราะชื่อนั้นออกจะฟังไม่เป็นมงคลนักเมื่อเอ่ยขึ้นแถวๆ นี้
แวบแรกแค่นึกว่าน่าจะบังเอิญชื่อพ้องกัน แต่ก็ลุกขึ้นยงโย่ยงหยกแอบชะเง้อมองไปทางหน้าบ้านเพื่อความแน่ใจ ซึ่งเมื่อลอดกิ่งไม้ใบบังกับเหลี่ยมเรือนก็เห็นความเป็นไปได้ถนัด และเพราะความที่ไม่ใช่คนสายตาสั้น ร่างหญิงสาวผู้มาเยือนจึงปรากฏชัดขนาดต้องแยกเขี้ยวราวกับใครเอากับดักหนูมาหนีบก้น
ทำไมโลกถึงได้กลมยิ่งกว่าลูกโบว์ลิงอย่างนี้? รีบกลับลงนั่งในซุ้มชิงช้าแทบไม่ทัน หัวใจเต้นตึกๆ แรงกระแทกของเรื่องบังเอิญระดับ ‘อุบัติเหตุ’ ทำให้มึนงงทำอะไรไม่ถูกไปชั่วครู่ แต่พอละอองฝนกลับมาถึงเขาก็ตีหน้าตายยิ้มให้หล่อนอย่างสนิทสนม
“ใครเหรอฝน?”
“อ๋อ… น้าสาวน่ะ”
“มีธุระกับฝนหรือเปล่า?”
“เปล่าหรอก น้าเค้กชอบมาคุยกับแม่ นี่แม่ยังไม่กลับ น้าเค้กก็คงต้องนั่งรอ”
“ฝนต้องไปต้อนรับขับสู้หรือเปล่า ผมกลับก่อนก็ได้นะ”
“อ๊าย! ไม่ต้อง คนกันเอง ให้ทรายเขาจัดการ รายนั้นคุยกระหนุงกระหนิงกับน้าเค้กถูกคออยู่แล้ว”
พฤหัสเหงื่อตกใน น้ำลายเหนียวจนกลืนแทบไม่ลง อเวราสนิทกับณชะเลเสียด้วย!
“ครอบครัวฝนนี่ท่าทางอบอุ่นดีจังนะ” เด็กหนุ่มรักษากิริยาแจ่มใสไว้อย่างดิบดี “ยิ้มแฉ่งกันถ้วนหน้า แถมมีคนเดินเข้าออกตลอด เหมือนพากันมาหาความสุขจากที่นี่ทั้งนั้น”
ละอองฝนยิ้มปลื้ม

๒๔๓

“ใครจะมีความสุขได้เท่าต่อยล่ะ รวยอารมณ์ขัน มองโลกสนุกสนานได้ทั้งวัน”
“เอ่อ…” เด็กหนุ่มทำทีล้วงกระเป๋าหยิบมือถือและพลิกข้อมือดูเวลา “กี่โมงแล้วเนี่ย… ชะอุ๊ย!”
แกล้งทำตาถลนร้องราวกับใครเอามีดมาจิ้มเอว
“ต่อยมีนัดเหรอ?”
“อือ…”
เขาทำทีร้อนรนกดเบอร์เข้าบ้านตัวเอง และเป็นการกดจริง มีคนรับจริง ไม่จริงอย่างเดียวคือเนื้อความที่พูด
“ฮัลโหล พ่อเหรอ? ไอ้เจ้ยไปถึงบ้านหรือยัง?… ใช่น่ะซี! นัดมันไว้แล้วลืมสนิท คุยติดลม… นั่นแหละๆ ไอ้เจ้ยที่หน้าเหมือนปลาหมึกบดนั่นแหละ… งั้นถ้ามันไปถึงพ่อช่วยให้มันนั่งรอผมก่อนนะ แล้วอย่าเอาเป๊บซี่ให้มันกินล่ะ มันไม่มีความสำคัญขนาดต้องเลี้ยงน้ำอัดลม”
ละอองฝนปิดปากหัวเราะกึกๆ พอเขาตัดสายก็ถามว่า
“ถ้าฝนไปนั่งรอต่อยจะได้กินอะไรมั่งเนี่ย?”
พฤหัสเหลือบตาขึ้นข้างบนและเกาคอนึก
“อือม์… อาหารฮ่องเต้คงน้อยไป เอาอะไรดีหว่า?”
เด็กสาวยิ้มกว้าง
“ขอแค่น้ำก๊อกไม่ผสมน้ำมันพรายแก้วเดียวก็พอแล้ว”
“น้ำมันพรายใครเขาเอาผสมน้ำ เขาป้ายตัวต่างหาก”
“รู้ดีนี่… ฝนเคยโดนบ้างหรือเปล่าก็ไม่ทราบ”
เด็กหนุ่มหัวเราะและยักคิ้วทำตาวาว
“ทำไมถึงสงสัย มีอาการผิดปกติเหรอ?”
“ก็ไม่เชิง”
ละอองฝนเบะปากนิดๆ อย่างไว้ที พฤหัสระบายยิ้มเจ้าเสน่ห์ก่อนทำหน้าเสียดาย
“แย่จัง ผมคงต้องไปแล้ว นัดเพื่อนดูกีตาร์น่ะ เผื่อมันซื้อต่อผมจะได้ซื้อตัวใหม่”
“เล่นกีตาร์ด้วยเหรอ?”
“ก็พอไหวอยู่ แต่ตอนนี้กำลังคิดว่าถ้าได้กีตาร์ใหม่ ก็อยากเล่นให้ฝนฟังเป็นคนแรก”
ละอองฝนพยักยิ้ม จินตนาการบอกตนเองว่าถ้าพฤหัสนั่งเล่นกีตาร์ ก็น่าจะเป็นอะไรที่เท่สุดๆ
“ผมไปก่อนนะฝน”
เด็กสาวรีบลุกขึ้นก้าวนำไปเปิดประตูรั้วให้ พฤหัสก้มหน้าก้มตาย่องตามด้วยใจเต้นไม่เป็นส่ำ อยากรู้คาถาปิดตา

๒๔๔

คน จะได้ภาวนาอย่าให้มีสายตาในบ้านคู่ใดๆ เห็นเขาแม้แต่เงา
อาการรีบร้อนเดินไม่เหลียวหลังคงไม่เป็นที่ผิดสังเกตสำหรับละอองฝน เพราะเขาหลอกว่าจะรีบกลับไปหาเพื่อน พอพ้นเขตรั้วบ้านมาได้พฤหัสก็เป่าปากพรู สัมผัสรู้สึกที่ปลอดโปร่งบอกเขาว่าไม่มีใครในบ้านทราบความเคลื่อนไหวขณะเขาเดินออกมา และหากภายในสิบนาทีนี้ไม่มีสายเรียกเพื่อเอาเรื่องจากอเวรา สัมผัสที่หกของเขาก็คงทำงานถูกต้องแม่นยำ
เกือบบรรลัยแล้วไง… ใครจะไปนึกฝันว่าจอมใจของเขาเป็นคนสนิทของอเวรา ทีนี้ทำอย่างไรดี? พฤหัสเกาหัวคิดหนัก ที่เขาจีบละอองฝนจนเข้าบ้านได้ ก็ด้วยประสงค์เดียวคือปรากฏตัวให้ณชะเลเห็นบ่อยๆ ด้วยความเชื่ออำนาจเสน่ห์แห่งตนที่อาจสะกดสาวไหนๆ ให้หลงได้หมด ขอเพียงพบเจอเป็นประจำเท่านั้น
การใช้ละอองฝนเป็นสะพานอาจดูล่อแหลมอยู่สักหน่อย แต่เขาก็วางแผนไว้แล้วว่าจะ ‘ส่งต่อ’ ให้เพื่อนอีกคนที่ฝีไม้ลายมือใกล้เคียงกัน กะจัดฉากให้เหมือนละอองฝนเป็นฝ่ายทิ้งเขาไปหาคนใหม่ ส่วนเขาก็มีน้ำใจนักกีฬาพอจะคบกับหล่อนในฐานะเพื่อนต่อ ถึงตรงนั้นคงมีโอกาสคุยกับณชะเลได้หลายคำแล้ว ก่อร่างสร้างสายใยสัมพันธภาพให้หล่อนหวั่นไหวได้ระดับหนึ่งแล้ว
นี่คือเส้นทางหินที่สุดนับแต่จีบสาวมา แต่เขาก็ยินดีลงทุน และทำใจยอมกระทั่งรอเป็นปี เขาพิศวาสณชะเลขนาดนั้น!
ทว่าวันนี้… ราวกับแผ่นดินไหวให้ทุกสิ่งพังครืน ฟ้าแกล้งหรืออย่างไรจึงส่งอเวรามาเป็นญาติของณชะเล?ศรัทธาที่มีต่อคำว่า ‘บังเอิญ’ มาช้านานเหือดแห้งหายหนไปจนสิ้น ต้องมีอะไรสักอย่างที่อยู่เบื้องหลังความประจวบเหมาะอันน่าเจ็บปวดนี้!
แต่ต่อให้คนช่ำชองเรื่องโยนโทษอย่างที่สุด ก็คงกลอกตาอึกอัก นึกไม่ออกว่าจะหาใครมาเป็นแพะรับบาปดีกับอุบัติเหตุที่ปรากฏ…
พฤหัสคิด คิด และคิด กรณีของอเวราแตกต่างจากละอองฝน ขืนให้ณชะเลรู้เรื่องระหว่างเขากับอเวรา ทุกอย่างก็พังพินาศหมดรูปเท่านั้น
เขารักณชะเล… รักจริงๆ ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็ช่าง หญิงอื่นหมื่นแสนแม้นเจรจาพาทีกี่พันคำ ก็ไม่ทำให้เขาหลงรักได้เท่าคุยกับหล่อนเพียงสองสามคำ เขาเองยังไม่รู้เลยว่าทำไมตัวเองคลั่งไคล้ใครสักคนได้ขนาดนี้ จะมีคำอธิบายใดดีไปกว่าได้เคยเป็นคู่สร้างคู่สมร่วมอภิรมย์กันมาแต่ปางก่อนเล่า?
และเพราะปักใจเชื่อเช่นนั้น พฤหัสก็ไม่คิดว่าจะยอมให้สิ่งใดมาเป็นอุปสรรคขัดขวางความรักของเขาได้อย่างเด็ดขาด!
อเวราร่วมรับประทานอาหารเย็นกับครอบครัวของรสริน ห้วงเวลานี้บ้านพี่สาวหล่อนดูอุ่นหนาฝาคั่งขึ้นกว่าเดิมเพราะนอกจากหล่อนแล้วยังมีจองฤกษ์มาร่วมวงอีก หล่อนเห็นเขาเป็นครั้งที่สอง แต่ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กันได้ราวกับเป็นเครือญาติกัน
“รู้ว่าฤกษ์เก่งคอมพ์อย่างนี้วันหลังน้าคงต้องขอใช้บริการบ้างแล้ว”

๒๔๕

นั่นเป็นประโยคเดียวที่มีต่อเขาระหว่างร่วมโต๊ะ
“ด้วยความยินดีครับน้าเค้ก”
และนั่นก็เป็นประโยคเดียวที่จองฤกษ์ตอบอเวรา ต่างฝ่ายต่างมีความรู้สึกร่วมกันประการหนึ่ง คือไม่เป็นส่วนเกินของบ้านหลังนี้ นั่นจึงก่อให้เกิดไมตรีจิตโดยง่ายแม้ทักกันแค่หนึ่งคำ
อเวราลอบชำเลืองมาทางณชะเลกับจองฤกษ์บ่อยๆ หลานสาวของหล่อนก้มหน้าก้มตาอยู่กับจานข้าวไม่ค่อยหันไปใส่ใจแฟนหนุ่มเท่าใดนัก วันนี้ท่าทางอาจมีเรื่องไม่ได้อย่างใจอะไรสักอย่าง แต่แม้มีอาการหมางเมินอยู่เล็กๆ เช่นนั้นอากาศรอบตัวคู่รักคู่ใหม่ก็ยังดูสดฉ่ำอย่างน่าอิจฉา เห็นแล้วทำให้อยากมีบ้าง คือได้เข้าคู่กับใครสักคนแล้วก่อบรรยากาศน่าอบอุ่น น่าเชื่อว่าทุกปัญหาสามารถคลี่คลายไปในทางดีได้เสมอ
หญิงสาวถามตัวเองว่าเคยมีช่วงเวลาชนิดนี้บ้างไหม มีใครสักคนที่ทำให้เชื่อว่าจะรักและปักใจกับหล่อนเพียงคนเดียวไปจนตาย คำตอบที่น่าตกใจคือไม่เคย! ในวัยเดียวกับณชะเลหล่อนโหยหาเจ้าชายในฝันยิ่งกว่าอะไรอื่น ความสมบูรณ์แบบดุจเทวดาจำแลงต้องมาก่อนเสมอ หล่อนไม่แม้แต่จะคิดถึงความเข้ากันได้และสัมพันธภาพอันปรองดองที่ยืนยาว และนั่นก็กลายเป็นเครื่องเสพติดทางนิสัยอย่างหนึ่ง ที่เหมือนเข็ดแต่ก็แก้ไม่หาย
เมื่อรู้จักณชะเลพอควร หล่อนได้แง่คิดว่าการที่ผู้หญิงจะเลือกใครสักคนมาเป็นแฟนนั้น ขึ้นอยู่กับนิสัยใจคอของตัวผู้หญิงเองเป็นอันดับแรก ย้อนไปเมื่อหล่อน ๑๗ เท่าณชะเล หากเห็นผู้ชายหน้าตาแบบจองฤกษ์ก็คงเมินสนิทเพราะวันๆ หมกมุ่นอยู่กับเสียงวิจารณ์ของสหายไฮโซ ว่าใครหล่อกว่าใคร ใครรวยกว่าใคร และใครมีความดึงดูดทางเพศสูงกว่าใคร ที่จะให้ชายตามาแลหรือเสียเวลาคิดถึงหนุ่มระดับจองฤกษ์สักแวบนั้น ฝันไปเถอะ
และจนทุกวันนี้ก็ยังทำใจรับผู้ชายที่มีรูปร่างหน้าตาประมาณจองฤกษ์ไม่ลงอยู่ดี คงต้องรอให้หล่อนใกล้ขึ้นคานเสียก่อนกระมัง ใจถึงจะเล็งที่คุณสมบัติภายในก่อนยอมแพ้ให้แก่คุณสมบัติภายนอกดังที่กำลังเป็น
หลังอาหารมื้อเย็นผ่านไป รสรินก็พาน้องสาวมาเดินดูลมชมดาวนอกตัวบ้าน หล่อนเงียบรอแม่น้องสาวคนสวยเปิดปากระบายอะไรออกมาก่อน แต่จนแล้วจนรอดก็มีแต่ความเงียบ รสรินจึงต้องเป็นฝ่ายเปิดฉากด้วยการเดา
“วันนี้เขาไม่ว่างเหรอ?”
อเวราก้มหน้างุด
“หลายวันที่ผ่านมา แบบว่า… เมินๆ กันอยู่น่ะค่ะ ไม่ค่อยบอก ไม่ค่อยรู้ความเป็นไปเท่าไหร่”
รสรินรู้อยู่ก่อนแล้วว่าอะไรเป็นอะไร หล่อนถามเพื่อให้น้องสาวเริ่มเปิดปากเท่านั้น แล้วเดี๋ยวทุกอย่างก็คงพรั่งพรูออกมาเป็นชุดเอง หล่อนแค่เงียบรอฟังอย่างเดียว
“พี่หน่อง… พูดอะไรหน่อยสิคะ”
รสรินเบิกตานิดหนึ่งอย่างผิดคาดเล็กน้อย
“เธอจะให้พี่พูดอะไร?”
“อะไรก็ได้ ด่าเค้กให้สำนึกก็ได้”

๒๔๖

สาวใหญ่ผินหน้าออกข้างทางครู่หนึ่ง ก่อนเบนกลับมามองสิ่งที่อยู่ตรงหน้าตามปกติ
“เอาเป็นว่าพี่ถามเค้กก็แล้วกัน… รู้ตัวหรือยังว่าใช้ชีวิตมาถึงไหนแล้ว?”
อเวรานิ่งคิด สมองค่อยๆ เริ่มทำงานเหมือนมอเตอร์ที่แข็งค้างค่อยๆ กลับหมุนใหม่อีกครั้ง
“มาถึง… จุดสรุปจุดหนึ่งมั้งคะ”
“สรุปว่า?”
น้องสาวนิ่งอั้นก่อนกลั้นใจตอบ
“เค้กเพิ่งรู้สึกว่าเซ็กซ์เหมือนกับดัก มันดึงดูดใจให้หลงเข้ามาอยู่ในวังวนทุกข์ไม่รู้จบ แล้วตอนนี้เค้กก็เป็นเหยื่อหน้าโง่ตัวหนึ่ง”
รสรินยิ้มเล็กน้อย
“ถ้าเหยื่อโง่จริง ก็ไม่มีทางรู้ตัวหรอกว่าเป็นเหยื่อ และจะไม่คิดดิ้นรนหาทางหนีด้วย”
อเวราก้มหน้านิ่ง กะพริบตาปริบๆ
“ใจเค้กเหมือนยังไม่อยากหนี…”
“จะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ถ้าไม่คิดหนี วันนี้เธอไม่มาที่นี่ด้วยท่าทีแบบนี้หรอก” เว้นวรรคไปอึดใจก่อนสำทับด้วยหางเสียงคมกริบ “เลิกคบเถอะ จะได้ไม่ต้องเป็นทุกข์ต่อ”
คำพูดของสาวใหญ่เรียบง่ายคล้ายสั่งให้อีกฝ่ายเอากรรไกรตัดกระดาษ แต่ฝ่ายรับคำสั่งฟังแล้วถึงกับก้าวเท้าช้าลงจนใกล้หยุดเดิน
“เค้กจะพยายามค่ะพี่หน่อง”
แค่พูดก็รู้ตัวแล้วว่าฝืดฝืนปานไหน หล่อนมีความทุกข์ อยากพ้นทุกข์ แต่ก็ยังหวงเหตุแห่งทุกข์ ก็เหมือนเต็มใจจะรักษาความทุกข์เอาไว้ ทั้งนี้ก็ด้วยรสชาติชวนเสพติดของเนื้อทุกข์นั้นโดยแท้
รสรินพยายามรักษาความสงบเย็น เปิดใจกว้างด้วยความหยั่งรู้ว่ากระแสความสุขจากเมตตาจิตของหล่อนจะกล่อมคลื่นความทุกข์ในใจน้องสาวให้เบาบางลงได้ไม่มากก็น้อย
“เธอจะเลือกแฟนแบบไหนให้ตัวเองก็ตาม รู้ไว้เถอะว่าเธอไม่ได้เลือกแค่คน แต่เธอกำลังเลือกใจตัวเองด้วย เขาเป็นแบบไหน ใจเธอก็จะค่อยๆ เป็นแบบนั้น ถ้าเขาเอาแต่สนุก ใจเธอก็อยากเอาแต่สนุกด้วย ถ้าเขาฉาบฉวย ใจเธอก็ฉาบฉวยตาม ถ้าเขาเป็นเด็ก ใจเธอก็จะถอยกลับลงไปเป็นเด็กได้อีก สำหรับเจ้าหมอนี่มันเข้ากับตัวตนที่แท้จริงของเธอเสียที่ไหน? เค้กต้องเพ่งเล็งให้เห็นโทษของการคบหาเด็กมากๆ หมั่นถามตัวเองจนกว่าใจมันจะได้ยิน”
“จะให้ถามมันว่าอะไรคะ? ขอแบบกระทุ้งใจได้แรงหน่อยก็ดี”
“ก็เช่น… รู้ตัวหรือยังว่ายุ่งกับเด็ก?”
อเวราหัวเราะหึหึ

๒๔๗

“ถ้าอันนั้น เค้กถามตัวเองมาหมื่นครั้งแล้วมั้งคะ ใจไม่เห็นจะมีท่าว่าได้ยินสักที หรือถึงได้ยิน มันก็เฉยเสียจน…น่าจะด้านไปแล้ว”
น้ำเสียงนั้นหงอยเสียจนรสรินนึกสงสารขึ้นมาอีก
“ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอกน่า”
“มันมีอีกหลายคำถามวนเวียนอยู่ในหัวนะคะพี่หน่อง เช่น ตกลงนี่เราจะต้องเวียนว่ายอยู่กับการเจอผู้ชายทิ้งขว้างไปตลอดชีวิตหรือเปล่า เค้กไม่เข้าใจ ทำไมเวรกรรมส่งแต่ผู้ชายห่วยๆ มาให้เลือกตลอด”
ปลายประโยคเค้นเสียงด้วยความแค้นชะตากรรมของตน ซึ่งรสรินก็รู้สึกเห็นใจ แต่ไม่ทราบจะหาใครเหมาะทั้งตัว เหมาะทั้งใจมาประเคนให้
“ถ้าวิธีคิด วิธีฝันถึงผู้ชายของเธอเปลี่ยนแปลง ตัวเลือกที่เข้ามาก็อาจเปลี่ยนไป… ถ้ายังคิดเป็นแฟนกับผู้ชายเจ้าชู้น่ะ ลืมได้เรื่องหวังเป็นหนึ่งเดียวของเขา อย่างมากเธออาจเป็นหมายเลขหนึ่งครู่หนึ่ง แล้วที่สุดก็เลื่อนอันดับไปเป็นหมายเลขสอง หรือกระทั่งสามอยู่ดี”
อเวราก้มมองพื้น ยอมรับเสียงอ่อย
“นี่เป็นจุดอ่อนที่ทำให้เค้กเกลียดตัวเอง เค้กพยายามเปลี่ยนวิธีคิด แต่ไม่สามารถเปลี่ยนวิธีที่รู้สึกได้เลย และความรู้สึกตัวเดียวก็ไม่พาให้เค้กไปไกลถึงไหนเสียที”
รสรินเงยหน้ามองดวงจันทร์เฉย ไม่โต้ตอบอะไร
“พูดไปพูดมาเหมือนพายเรือในอ่าง” อเวราหัวเราะและยิ้มแหย “สงสัยเค้กมารบกวนให้พี่หน่องเหนื่อยเปล่าอีกแล้ว ในที่สุดเค้กก็จะต้องหลงวนอยู่กับอ่างใบเดิม”
รสรินกำลังมืออ่อนเท้าอ่อน คิดๆ เช่นนั้นอยู่เหมือนกัน เลยรับง่ายๆ
“นั่นสิ”
สองพี่น้องมองหน้ากันในเงามืด ครู่หนึ่งก็หัวเราะเอื่อยๆ ขึ้นมาพร้อมกัน
ในห้องทำงานชั้นล่างซึ่งกลายเป็นสถานที่เรียนพิเศษมาระยะหนึ่ง บัดนี้ณชะเลกำลังนั่งหน้ามุ่ยอยู่กับแฟนหนุ่มตามลำพัง ต่างฝ่ายต่างเงียบ กระทั่งเด็กสาวหมดความอดทน
“เอาไงดีเนี่ย วันนี้ไม่มีอารมณ์เรียนแล้ว ฤกษ์กลับไปก่อนเถอะ”
แม้จองฤกษ์มาตั้งแต่ก่อนเย็น ณชะเลก็ต้องต้อนรับขับสู้อเวราโดยพาไปคุยกันเป็นส่วนตัวในห้องนอนของหล่อน ทิ้งแฟนหนุ่มให้นั่งคนเดียว นัยหนึ่งเป็นการทำโทษที่เขาพานักเลงผู้หญิงมารู้จักกับพี่สาวหล่อนจนได้เรื่อง ขนาดเอาตัวเข้าบ้านกันแล้ว
เด็กหนุ่มยิงคำถามตรงๆ
“ยังขุ่นเราอยู่เหรอ?”

๒๔๘

แล้วเขาก็ได้คำตอบตรงไปตรงมาจากแฟนสาวเช่นกัน
“ใช่!”
จองฤกษ์ทำตาโต ยื่นมือออกมาโบกช้าๆ พยายามเลียนท่านักสะกดจิตผู้น่าเกรงขาม
“โอม… จงหายโกรธ โอม…”
ภาพที่กระทบตาทำให้ณชะเลเส้นตื้นได้กะทันหัน แต่ทิฐิจากความขุ่นเคืองรั้งเสียงหัวเราะไว้ครู่หนึ่ง ก่อนกลั้นไม่อยู่ ต้องคลายสีหน้าปล่อยเสียงหัวเราะยาวออกไป และพอหัวเราะเสร็จก็แก้เก้อด้วยการยกมือทุบไหล่เขาอั้กใหญ่
“ลูกเล่นชักแพรวพราวนะ”
จองฤกษ์อมยิ้ม เขาเรียนรู้เร็ว และทราบว่าผู้หญิงจะหายโกรธก็เพราะได้หัวเราะขำนี่เอง
“เราจะพยายามพูดให้เจ้าต่อยเลิกคบกับฝนเอง”
เด็กสาวหน้างอขึ้นมาอีก แต่ไม่ขนาดหันหนีกัน เริ่มยอมสบตากับเขาแบบเป็นงานเป็นการ
“ฝนจะได้แค้นทรายข้ามชาติเลยน่ะซี”
“แล้วจะให้เราทำไง บอกมาเลย เปลี่ยนแผนจากสร้างเครื่องพยากรณ์กรรมมาเป็นเครื่องย้อนเวลาดีไหม? จะได้กลับไปแก้ไขเหตุการณ์เสียใหม่”
ณชะเลหัวเราะในลำคอ ความจริงอารมณ์เย็นลงมากแล้ว และเริ่มเห็นว่าหล่อนอาจตีตนไปก่อนไข้เกินงามอยู่สักหน่อย แม้อธิบายตัวเองยังยากเลยว่าทำไมถึงเป็นเดือดเป็นร้อนเกินการณ์ขนาดนี้ นี่หล่อนเล่นงานแฟนหนุ่มเสียราวกับรู้ดีวันหนึ่งละอองฝนต้องเจ็บเจียนขาดใจฉะนั้น อาทิตย์หน้าพี่สาวหล่อนอาจตาสว่าง เลิกข้องแวะกับพฤหัสไปเองก็ได้
“ถ้าเครื่องพยากรณ์กรรมของเธอสำเร็จ และสามารถบอกได้ว่าใครคิดมาดีหรือมาร้ายอย่างไรก็เหมาะเลยนะ”
เด็กสาวรำพึงด้วยหางเสียงทอดอ่อนกว่าเดิม และพอพูดถึงเครื่องพยากรณ์กรรม จองฤกษ์ก็ทำท่ากระตือรือร้น
“สองวันนี้เราเพิ่งได้ไอเดียคืบหน้าล่ะ”
หน่วยตาของณชะเลพลอยเบิกกว้าง
“ยังไงเหรอ?”
“วันก่อนเรามองวิบากกรรมในแง่ของเหตุการณ์ดีร้ายที่เข้ามากระทบตัว อย่างเช่นเศษแก้วที่วางรอให้เราเหยียบในห้องน้ำ ทีนี้กลับไปนั่งคิดทบทวนอยู่นาน ก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่ง คือวิบากกรรมในรูปของเหตุการณ์ดีร้ายนั้นเป็นสิ่งที่ตรวจจับได้ยาก เราควรเริ่มจากเบสิก คือวิบากกรรมในรูปที่ตรวจจับได้ง่ายกว่านั้น เอาแบบที่เป็นรูปธรรมหน่อย แล้วค่อยขยายผลไปหาสิ่งที่เป็นนามธรรมภายหลังน่าจะดี”
“เธอหมายรูปร่างหน้าตา?”
จองฤกษ์ผงกศีรษะ

๒๔๙

“ใช่! หลังจากอ่านทบทวนรายละเอียดในหนังสือ ‘เลือกเกิดใหม่’ ที่ทรายให้เรามา เราได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งคือวิบากกรรมจากอดีตชาติที่ปรากฏชัดเจนที่สุด ก็คือร่างกายของพวกเรานี้เอง ทั้งในแง่ศักยภาพแบบมนุษย์ซึ่งวิเศษกว่าสัตว์โลกชนิดอื่น ทั้งในแง่ของความเป็นหญิงเป็นชายซึ่งมีข้อได้เปรียบเสียเปรียบแตกต่างกัน และทั้งในแง่ความงดงามระหว่างชิ้นส่วนต่างๆ หากเรามีวิธีวัดคุณภาพสิ่งเหล่านี้ได้ ก็น่าจะตีค่าถูกว่า ‘ทุนเก่า’ อันเกิดจากทานและศีลที่แต่ละคนพกติดตัวมาจากชาติก่อนๆ นั้น หนักเบาสักประมาณไหน”

นัยน์ตาณชะเลทอแววเจิดจรัสขณะคิดตามและพยายามเดา

“หมายถึงถ้าสำเร็จ พอใครขึ้นเครื่องชั่งน้ำหนักกรรม จะมีตัวเลขบอกว่าบุญหนักเท่าไหร่ บรรทุกบาปมากี่ตันอะไรประมาณนั้นเหรอ?”

“เรื่องรูปแบบเครื่องพยากรณ์กรรมยังคลุมเครืออยู่ ยังคิดไม่ออก ขั้นนี้แค่หาความเป็นไปได้ว่าจะตีค่าวิบากกรรมอย่างเป็นรูปธรรมก่อนเท่านั้น”

จองฤกษ์ตอบแล้วยิ้มเฉื่อยอย่างเห็นอนาคตว่าตนต้องเจอศึกหนักอีกนาน

“เราลองเอารูปร่างหน้าตาคนเป็นพันๆ รวมทั้งภาพสัตว์มากมายมาวางเทียบกัน เพ่งพิศดูทีละคน ทีละตัว ด้วยการตั้งความเชื่อไว้ว่าสิ่งที่เห็นคือวิบากกรรมของแต่ละชีวิต ก็ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งคือ จิตเรารู้จักกรรมวิบากเบื้องต้นของมนุษย์ได้ผ่านกิเลสธรรมดาๆ นี่เอง”

ฟังทีแรกณชะเลเกือบนึกค้าน เพราะเท่าที่ทราบมา กรรมวิบากเป็นสิ่งถูกรู้ได้ต่อเมื่อจิตผ่องแผ้วบริสุทธิ์จากกิเลสหยาบๆ เท่านั้น แต่ก็เงียบฟังแฟนหนุ่มด้วยความเชื่อว่าเขาคงมีแนวคิดบางอย่างที่ควรรับไว้ก่อน

“ก่อนอื่นใด…” 

จองฤกษ์ขยายความต่อ 

“เทียบแล้วกายมนุษย์ดูสูงส่งกว่ากายของสัตว์เผ่าพันธุ์อื่นทั้งหมดเพราะมีกายตั้งตรง หยัดยืนด้วยสองขา และส่วนหัวตั้งเด่นบนจุดสูงสุด ลักษณะกายที่สามารถยืดเป็นเส้นตรงตั้งฉากกับพื้นโลกทำให้เกิดความสง่าผ่าเผย และก่อให้เกิดความทะนงว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่ง ไม่ให้ความรู้สึกต่ำต้อยแบบสัตว์ที่ต้องคลานสี่ตีน ทดลองง่ายๆ ถ้าเราก้มลงคลานสี่เท้า ใจจะรู้สึกว่าความสูงส่งสง่างามหายไปในทันที และจิตของสิ่งมีชีวิตทั้งหลายคงรู้สึกตรงกัน”

เด็กสาวคิดตามแล้วยิ้ม

“หมายความว่าอัตภาพที่ทำให้ทะนง หลงหยิ่งในอัตภาพ เป็นเครื่องชี้ได้ว่ามนุษย์กำลังเสวยวิบากด้านดีเหนือสัตว์อื่นที่มีอัตภาพต่ำต้อย อย่างนั้นใช่ไหม?”

“ใช่!… นอกจากนั้นภาวะของเพศยังเป็นเครื่องเปรียบเทียบให้เห็นได้ว่าระหว่างชายกับหญิง ใครต้องลำบากกว่ากัน เป็นชายดูสบายไปหมด แต่เป็นหญิงนั้นอย่างที่ทรายคงรู้ดี โตขึ้นหน่อยก็ต้องมีประจำเดือน พอถึงเวลามีครอบครัวก็ต้องเป็นฝ่ายตั้งท้อง หนักอึ้งทั้งตัวไปเกือบปี เรียกว่าแบกภาระหนักในการสืบสายเผ่าพันธุ์มนุษย์ยิ่งกว่าฝ่ายชายมาก นอกจากนั้นยังต้องระวังเนื้อระวังตัวจากภัยทางเพศ เรียกว่ามีกายเป็นสมบัติที่อาจนำภัยมาหาได้ง่ายๆ ”

ณชะเลพยักหน้า

“ทรายก็เคยนึกๆ ว่าลักษณะประจำเพศเหมือนเครื่องฟ้องว่าใครมีวิบากต้องเสวยมากกว่ากัน เป็นหญิงดูเสียเปรียบไปหมด แล้วก็เป็นที่มาของการอยากสบายแบบชายบ้าง”

๒๕๐

“ข้อสังเกตสุดท้ายของเราคือความงาม ทั้งเครื่องหน้า ทั้งสัดส่วนรูปร่าง แต่ละคนจะทำให้เพศตรงข้ามเกิดความชอบใจแตกต่างกัน เรียกว่าระดับราคะในใจคนเห็นนี่เอามาเป็นเครื่องวัดได้ว่าใครบุญมากบุญน้อยแค่ไหน ถ้าทำให้ใครๆ ชอบใจได้ทันทีที่พบเจอเหมือนอย่างทราย ก็ตีค่าว่าบุญมาก แต่ถ้าทำให้ใครๆ มองผ่านเพราะพื้นๆ โหลๆเหมือนอย่างเรา ก็ตีค่าว่าบุญน้อย”

เด็กสาวอมยิ้ม

“มีการแขวะตัวเองด้วย”

“ถ้าเราจับเอาวิบากกรรมขั้นพื้นฐานเหล่านี้เป็นตัวตั้ง หาทางแปลสิ่งที่เห็นง่ายๆ ออกมาเป็นค่าตัวเลขได้ ก็ถือว่ามีเบสิกสำหรับต่อยอดต่อไป เพราะเราเชื่อว่าข้อมูลเกี่ยวกับกรรมในอดีต และแนวโน้มของเหตุการณ์ดีร้ายในอนาคตเหมารวมอยู่ครบถ้วนแล้วกับตัวเราในวินาทีนี้เอง ถ้าเราได้ข้อมูลจากปัจจุบันละเอียดที่สุด ก็อาจใช้เป็นกุญแจเปิดเผยทุกเรื่องที่อยากรู้ในอดีตและอนาคตไปด้วย”

จองฤกษ์เอ่ยจากมุมมองและความเชื่อของคนคร่ำหวอดอยู่ในวงการเจาะข้อมูลมาช้านาน คือขอให้ได้ก้อนข้อมูลมาสักชุดหนึ่งเถอะ ศึกษาดีๆ ย่อมใช้เป็นป้ายบอกทางสืบหาอดีต รวมทั้งอาจเป็นลูกแก้ววิเศษบอกอนาคตได้ในตัวเองพร้อมเสร็จ

“ฟังฤกษ์พูดแล้วก็ทำให้ทรายฉุกคิดเหมือนกันนะ”

ณชะเลสานตากับแฟนหนุ่มด้วยประกายเจตนาที่จะทำให้รู้ว่าหล่อนปลื้มเขา

“คือตลอดเวลาทั้งชีวิตของพวกเรา เราเห็นการแสดงตัวของวิบากกรรมอยู่ต่อหน้าต่อตาแท้ๆ แต่ก็ยากจะเชื่อได้ว่าที่เห็นนั้นเป็นวิบากกรรม ยังดีที่เราอาจเอาชนะข้อจำกัดที่คับแคบของหูตาด้วยสติปัญญาแบบมนุษย์นี่เอง”
อ่านต่อตอนที่ ๒๙ >> 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น