วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ทางลัด (เรื่องสั้นโดย ดังตฤณ)

ทันทีที่ประตูลิฟต์เปิดออก
พันตาก็สัมผัสได้ถึงลมหนาวบนยอดตึกที่กรูเข้ามาหา
เขาเดินทอดน่องผิวปากออกไปข้างนอก
ตอนกลางวัน
มันเป็นสถานที่ดูความน่าเกลียดของเมืองหลวงจากมุมสูง
แต่ในเวลาหลังเที่ยงคืนอย่างนี้
ก็แปลงสภาพเป็นลานชมดาวที่ไกลควันพิษเบื้องล่างไปได้

ชายหนุ่มเดินมาจนถึงมุมหนึ่ง
แล้วเขาก็ได้เห็นว่าลานว่างบนยอดตึกยามเที่ยงคืน
ไม่ได้มีไว้สำหรับชมดาวอย่างเดียว
มันยังเป็นที่ยืนสุดท้ายของคนเศร้าบางคนอีกด้วย

เห็นจากด้านหลัง
ท่าทางเธอน่าจะเป็นเด็กสาวเพิ่งเลยวัยกำดัดมาไม่นาน
ในความนิ่งนั้นกระจายความเหงาเศร้า
เยียบเย็นสะเทือนใจคนเห็นเหลือเกิน
เขาสามารถได้ยินเธอร้องไห้
แม้จะไม่มีเสียงเล็ดรอดจากลำคอระหงเลยสักนิด

โลกนี้กำลังเต็มไปด้วยผู้แพ้
และผู้แพ้เหล่านั้นก็กำลังหาทางลัดด้วยดวงตากลบน้ำ
เธอยืนอยู่นอกราวกั้น
ด้วยทีท่าที่ไม่ใช่อารมณ์ศิลป์ของเด็กช่างลองแน่ๆ
หลังเที่ยงคืนที่ร้างคนตื่นเช่นนี้
ใครจะนึกบ้างว่ามีเด็กสาวคิดสั้นคนหนึ่ง
กำลังยืนดูทิวทัศน์ละลิ่วลิบเบื้องล่างอยู่ตามลำพัง

พันตาใจสั่น นึกเสียดายชีวิตสาวน้อยนางนั้น
สำนึกด้านดีส่งให้เขาเร่งเดินเข้าไปยืน
ตรงจุดใกล้เท่าที่จะเป็นไปได้
ไม่มั่นใจเลยว่าจะสามารถช่วยชีวิตเธอไว้สำเร็จ

“ยืนเลือกทำเลเปิดร้านเหรอน้อง?"

เขาทำเสียงชวนคุย
คะเนว่าหากเอื้อมออกไปยื้อตัวเธอ
จะต้องใช้ความเร็วและกำลังฉุดสักเท่าไหร่จึงจะเพียงพอ
ร่างของเธอดูแบบบางก็จริง
แต่เขาก็ไม่ได้ตัวใหญ่ล่ำสันอะไร
แรงดิ้นของสาวคิดสั้นอาจเกินกำลัง
หากเหนี่ยวด้วยปลอกแขนให้มั่นไม่ทัน

แสงไฟที่กระจายขึ้นมาจากพื้นเบื้องล่าง
ทำให้พันตาพอสังเกตรูปศีรษะมน
และเสี้ยวหน้างามได้รางเลือน
แม้เธอจะสนิทนิ่งในอาการเดิม
เขาก็คิดว่าเธอรู้แน่
ว่ากำลังมีใครคนหนึ่งมายืนอยู่ใกล้ตัวในบัดนี้
ความนิ่งชนิดนั้นทำเอาหาคำพูดต่อลำบาก
หากเธอจะกรีดร้องฟูมฟายอย่างที่เคยเห็นในหนัง
ยังอาจดีเสียกว่านี้

“เปิดร้านขายก๋วยจั๊บซีน้อง คนแถวนี้ชอบกิน”

รู้ตัวว่าเป็นคนพูดไม่เก่ง
โดยเฉพาะตอนกำลังคับขัน
ต้องหว่านล้อมโน้มน้าวใจใครต่อใคร
แต่เขาก็อยากดูทีท่าว่าในภาวะจิตใจของเธอในเดี๋ยวนี้
ยังพอแหย่ให้หันมาสนใจเขาได้บ้างหรือเปล่า
และเมื่อเห็นเธอยังคงปราศจากอาการไหวติง
ก็เรียบเรียงคำพูดใหม่ให้ต่อเนื่อง
แต่ปลายเสียงชักเริ่มสั่นหน่อยๆด้วยความเกร็งกับสถานการณ์

“ชีวิตคนก็เหมือนก๋วยจั๊บแหละน้องเอ๋ย
จะใส่น้ำตาลอย่างเดียวไม่ได้
ต้องเติมพริกเติมน้ำส้มสายชูเสียบ้าง
พอโดนลิ้นมันจะได้อร่อย
ยิ่งถ้าน้ำกำลังร้อนๆล่ะก็...อย่าบอกใครเชียว"

อาการของเธอยังซึมนิ่ง
สายตาทอดไกลไปเบื้องล่างจุดเดียว
แต่แล้วในเวลาต่อมาก็มีเสียงตอบให้พันตาใจชื้นขึ้นบ้าง

“ถ้ามีใครแกล้งเอาพริกทั้งโถมาเทใส่ชามก๋วยจั๊บ
แล้วบังคับให้กินทั้งน้ำเดือด
พี่จะยังอร่อยอยู่ไหมคะ?"

พันตาเลิกคิ้วสูง เขาว่าเขาเริ่มคุยกับเธอได้แล้ว

“อ้า...คงไม่อร่อยแล้วจ้ะอย่างนั้น
แต่ถ้าพี่จับได้ว่าใครแกล้ง
ก็คงต้องชวนมากินก๋วยจั๊บชามเดียวกันหน่อยล่ะ"

ตอบเธอแล้วล้วงกระเป๋ากางเกง
หยิบถุงถั่วมันๆขึ้นมาถือแก้สั่น
ความจริงมันเก่าเก็บติดกางเกงมาตั้งแต่เมื่อวาน
เหลือติดก้นถุงไม่กี่เม็ด

“พี่ว่าเราโดนแกล้งกันทุกคนนั่นแหละ
ถ้าไม่มีใครสักคนในโลกใจร้ายกลั่นแกล้ง
ชะตากรรมก็เล่นตลกแกล้งเราเอง
มนุษย์เหมือนเกิดมาเพื่อโดนแกล้งตั้งแต่เกิดจนตาย"

พูดพลางหยิบถั่วเข้าปากช้าๆ
เคี้ยวพอไม่ให้เกิดเสียงดังเกินไป
เกือบชวนเธอเคี้ยวถั่วกับเขา
แต่คิดว่าถึงชวนเธอก็คงแกล้งทำหูทวนลม
จึงยืนเคี้ยวไปเรื่อยๆคนเดียว

ทำอย่างไรจึงจะส่งกระแสความรู้สึกในใจไปถึงเธอ
อยากให้สาวน้อยคนนั้นรู้ว่า
มีเพื่อนเข้าใจหัวอกเดียวกันอยู่ตรงนี้
เขาเองก็ถูกแกล้ง
ทั้งโดยผู้คนรอบตัวและสถานการณ์รอบด้าน

“ชื่ออะไรบอกให้พี่รู้ได้ไหม?"

เธอเงียบนิ่งอยู่ครู่ใหญ่
พันตาสัมผัสได้ถึงความกดดันผิดปกติในอากาศ
นี่เขาถามอะไรผิดหรือเปล่า

“คนตายไม่ต้องมีชื่อหรอกค่ะ"

เสียงเรียบเย็นนั้นทำเอาเขาหนาวเยือก
ชายหนุ่มรีบทำใจให้เป็นปกติ
ยังไงเธอก็เด็กกว่าเขาเยอะ
ส่งเสียงหัวเราะเอื่อยๆด้วยความหวังว่า
มันจะทำให้เธอเกิดความรู้สึกด้านดี
ละลายกระแสความเครียดลงได้บ้าง

“พี่ดีใจที่มีโอกาสคุยกับน้องเป็นคนสุดท้าย
โลกเรานี่ก็แปลกนะ ตอนดีๆไม่ยักกะให้มาคบกัน
ใครจะรู้ ถ้าเราคุยถูกคออาจเป็นแฟนกันก็ได้"

เขาใช้หางเสียงแบบพูดเล่น
แต่เห็นความสวยแม้เสี้ยวหน้าด้านข้างของเธอ
แล้วในใจมันอยากให้เป็นเช่นนั้นจริงๆ
เกิดความรู้สึกอ่อนโยนและมีใจปรารถนาดีให้เธอขึ้นมาเต็มอก
พันตาได้ยินเด็กสาวหัวเราะแผ่ว

“คนเราชอบกันง่ายๆได้ทุกคนหรือคะ?"

“เรื่องเชื่อยากมันมีเยอะนะ
เมื่อกี้พี่แค่เห็นข้างหลังของน้องก็ อ้า...นึกถูกชะตา
ยิ่งพอได้คุยกันก็รู้สึกเลยว่าเราซื่อเหมือนกัน
น่าเสียดายที่อีกเดี๋ยวคงต้องจากกัน
ทั้งไม่มีโอกาสรู้จักมักจี่ให้มากกว่านี้"

เห็นจากด้านข้างว่าดวงตาเธอเบิกขึ้นนิดหนึ่ง
ก่อนจะหรี่ลงพร้อมระบายยิ้มเศร้า

“ใช่ ไม่มีโอกาสอะไรอีกแล้ว...
ไม่รู้คนเราจะต้องเกิดมาทำไมกัน"

“พี่เห็นกุ้งหอยปูปลามันก็เกิดมา
ไม่รู้พวกมันสงสัยตัวเองเหมือนมนุษย์บ้างหรือเปล่า
แต่นี่นะ ถึงเรางงๆอยู่เวลานึกว่าตัวเองเกิดมาทำไม
พี่ก็แน่ใจว่าไม่ใช่เพื่อรอความตายเฉยๆหรอก
ไม่งั้นเกิดปุ๊บก็น่าจะตายปั๊บ
สาระของการมีชีวิตอยู่ที่ตรงไหนพี่ก็ตอบไม่ถูก
แต่บอกได้อย่างว่าการเกิดของเรามีอิทธิพลกับใครบางคน
อย่างน้อยใครบางคนก็ต้องเสียใจกับการไปไม่กลับของเรา"

ดวงตาเด็กสาวค่อยๆเหลือบลอยขึ้นสู่เบื้องบน
จันทร์เสี้ยวสีเงินยวงคงสวยล่อตาให้หลงเพลินอย่างเคย
พันตามองตาม แล้วคิดว่า
ปู่ย่าตายายของเธอเคยเห็น
หลานเหลนโหลนของเธอก็จะเห็น
แต่ขณะนี้เธอกำลังจะไม่ได้เห็นอีกแล้ว...

สาวผู้เยาว์ต่อโลกแหงนหน้าหัวเราะอยู่เป็นนาน
ก่อนจะสงบลงรำพึงแผ่ว

“เสียงพี่เหมือนคนใจดีเลยนะคะ"

แล้วคำพูดต่อมาก็เค้นจากความขมภายใน

"น้องเคยหลงมนต์คนใจดีมาแล้ว
และได้รู้ว่าโลกนี้มีแต่สิ่งลวงตา
ใครสักคนจะใจดีกับเราก็ต่อเมื่อกำลังรักหรือหลง
มนุษย์ซ่อนความเห็นแก่ตัวและความใจดำไว้ทุกคนนั่นแหละ
น้องจะไม่เชื่ออีกแล้ว ไม่ฝันอีกแล้ว"

พันตาอึ้ง กลืนอะไรไม่ลงอีกต่อไป
จึงหย่อนถุงถั่วลงกระเป๋าเสื้อเก็บไว้ก่อน

“พี่ก็ว่าอย่างนั้น" เขาทำเสียงยอมรับ
"พี่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ดีเด่อะไร
ทำคนอกหักทั้งที่เขาไม่มีความผิดก็เคย
ในเวลาที่มนุษย์เห็นแก่ตัว สักแต่อยากให้ตัวเองได้
ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีมันหายไปหมด
คนส่วนใหญ่แสดงความเลวออกมาอย่างน่าเกลียด
ตอนเห็นแก่อยากจนหน้ามืด”

ชายหนุ่มคงเหม่อมองจันทร์เสี้ยวไม่วางตา
เขาว่ามันเป็นธรรมชาติที่ดูสวยอย่างเหลือเชื่อ
ในกาลใกล้โลกสูญสำหรับใครบางคนบนยอดตึก

“แต่โลกเราไม่เลวร้ายจนคนดีเกิดไม่ไหวหรอก
และคนดีที่พี่รู้จักก็บอกกับพี่ว่า
ไม่มีใครเลวจริงตลอดไป ไม่มีใครดีทนตลอดกาล
มันขึ้นอยู่กับว่า
ในขณะหนึ่งเราสำนึกกับการกระทำแค่ไหน
หากมีสำนึกด้านดีอย่างต่อเนื่อง
ในช่วงนั้นเราก็ดูดีอยู่ตลอดเวลา”

“แล้วเขาบอกพี่ไหมคะ
ว่าเขาได้อะไรจากความเป็นคนดีบ้าง?"

แค่ได้ยินเท่านั้น พันตาก็รู้ทันทีว่า
เธอเคยดี เคยให้ เคยอ่อนหวานเป็นสิ่งประดับโลก
แต่โลกก็ตอบแทนด้วยความโหดร้าย
ชายหนุ่มกระแอมนิดหนึ่ง
ก่อนจะกล่าวด้วยสำเนียงแปร่งไป
เพราะความสะเทือนใจที่เกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น

“เขาไม่ได้บอก
แต่สีหน้าสีตาอิ่มสุขของเขาก็ไม่ทำให้พี่นึกอยากถาม"

ชายหนุ่มเม้มปาก
"น้องฮะ...
คนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำดีชั่วอย่างเดียวนะ
ระหว่างมีชีวิตเราได้เรียนรู้ด้วยว่าเราเป็นใคร
แสดงเป็นอะไรในละครโรงใหญ่นี้
เราได้รู้ว่าชีวิตของเรามีความหมายอย่างไรเมื่อได้เกิดมา"

“แล้วมีประโยชน์อะไรคะ
รู้กับไม่รู้ต่างกันยังไง
เด็กตายเมื่อแรกเกิดกับคนแก่ตายตอนอายุตั้งร้อย
มันตายเหมือนกันหรือเปล่า
ลืมสิ่งที่เคยเรียนรู้มาเหมือนกันหรือเปล่า?"

“เอ่อ...”

พันตาอึกอัก
รู้สึกว่าตนเองไม่ได้ฉลาดเฉลียวหรือรอบรู้เท่าไหร่
เขาก็คนธรรมดา
ที่ตอบคำถามชวนฉงนของธรรมชาติไม่ถูกทุกข้อ
เช่นเดียวกับมนุษย์เดินดินอื่นๆ
และมันก็เป็นเรื่องแย่เอาการ
ที่ธรรมชาติดันบันดาลให้เขาปวดฉี่ขึ้นมากะทันหัน
เขามีปัญหาบางอย่างเกี่ยวกับทางเดินปัสสาวะ
ชนิดที่ปวดปุ๊บอยากปล่อยปั๊บ
เป็นโรคที่มาจากปัญหาเรื้อรังของการจราจรในกรุงเทพฯนั่นแหละ
แต่ก็ช่วยไม่ได้
ชีวิตเด็กสาวทั้งคนสำคัญกว่าธุระร้อนประเภทนี้มากนัก
จะขอตัวเธอไปฉี่สักครู่มันก็ยังไงๆ

“นั่นสินะ"

ชายหนุ่มพึมพัมอย่างจนปัญญา
เกร็งขาเบียดเข้าหากันหน่อยๆ

"ถ้าโลกสร้างขึ้นด้วยมือพระเจ้า
พระเจ้าก็ไม่ได้ส่งพี่มาให้คำตอบน้องหรอก
เราไม่รู้อะไรจริงก็สักแต่เดาไป"

จะเพราะคำพูดคล้ายอับตัน
หรือน้ำเสียงอ่อยปนกระเส่าเหมือนพลอยหมดหวังไปด้วยก็ตาม
เขาสัมผัสได้ถึงความเงียบงันชวนให้เกิดสังหรณ์ว่า
เธอกำลังคิดจะกระโดดลงไปเดี๋ยวนี้
สายลมระลอกหนึ่งหอบกลิ่นมัจจุราชจากเบื้องล่างมาต้องนาสิก
พันตาอยากร้องห้าม อยากเข้าไปยื้อยุดฉุดมือ
แต่ก็กลัวว่านั่นอาจเป็นการเร่งนาทีมรณะให้กระชั้นสั้นเข้ามาอีก

“พี่ก็เป็นคนอมทุกข์นะ"

ชายหนุ่มอยากให้เธอเหลียวมา
เขาจะได้ทำแก้มตุ่ย เผื่อเธอจะหัวเราะออก
เส้นตายจะได้ยืดออกไป
มันเหมือนชาวยิวในหนังเรื่องชินด์เลอร์ลิสต์พูดไว้
นาทีหนึ่งก็ชีวิต...มีได้ยังไงก็ดีกว่าไม่มีเลย

“ตอนจำความได้ใหม่ๆ สิ่งที่ฝังจำแน่นที่สุด
คือโดนพ่อเตะชายโครง จุกจนร้องไม่ออก
เพราะสะเออะเข้าไปขวางไม่ให้แข้งพ่อไปโดนแม่
พี่โตขึ้นมาอย่างกระท่อนกระแท่น
คบเพื่อนดีบ้างชั่วบ้าง หวิดจะเสียคนก็หลายหน
จบปริญญากับเขาได้แบบคุณพระช่วย
แล้วก็มาเจอเจ้านายขี้โกง ลากพี่ไปเฉียดคุกเฉียดตาราง
ชื่อเหม็นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ
ทั้งๆที่มันเป็นเรื่องป้ายขี้ทั้งเพ
พี่มีคนรักก็ได้เห็นใจคนรัก เขาบอกเขาอาย
เขาไปหาน้ำบ่อหน้าดีกว่า"

เด็กสาวอึ้ง
ท่าทางเธอมีแก่ใจฟังเขาพูด
อะไรบางอย่างทำให้พันตาคิดว่า
มันถ่วงเวลาได้อีกระยะหนึ่งด้วยการให้เธอฟังเรื่องของเขา

“แฟนพี่สวยไหมคะ?"

พันตาพยักหน้า

“สวย”

“คนสวยใจร้ายทุกคนแหละค่ะ รู้ไว้เถอะ"

“ทำไม" เขาหัวเราะ
"เพราะตัวเองก็เป็นอย่างนั้นใช่ไหมล่ะ เลยรู้อยู่แก่ใจ"

“ก็เหมือนกับผู้ชายหน้าตาดีนั่นแหละ"
เธอพูดคล้ายเพ้อกับตนเอง
"คนหน้าตาดีมีทางเลือกเยอะ
นั่งอยู่กับที่ก็มีใครต่อใครเอาตัวเองมาเสนอ
แล้วถ้าทางเลือกนั้นดีกว่าของที่อยู่ในมือ
ของในมือก็กลายเป็นขยะเปื้อนๆน่าขยะแขยงไป"

เหมือนๆเห็นน้ำตาเธอเอ่อขึ้นมาคลอเบ้า
แต่ไม่ถนัดนักจากมุมที่ยืน อย่าเห็นได้เป็นดีแล้ว
น้ำตาของผู้หญิงสวยนี่มันบาดตาพิลึก

“พี่ว่าชีวิตเราไม่มีค่ากับใครก็ยังมีค่ากับตัวเองนะ
อย่างน้อยก็น่าจะมีเวลากินลมชมดาวอย่างมีความสุขไปได้นานๆ"

พูดพลางกอดอกเมียงมองทั่วฟ้ากว้าง
ความมืดและแสงดาวดารดาษ
ทำให้มนุษย์เย็นกายเย็นใจมาทุกยุคสมัย
พันตาทำเป็นลืมๆไปว่าบัดนี้ฉี่มันเอ่อท้นทำนบขึ้นมาทุกที
จะกลั้นไม่อยู่หน้าเขียวหน้าเหลืองเต็มแก่

“ถ้าเมื่อไหร่ทำชีวิตให้อยู่ได้อย่างสุขกายสบายใจ
เราจะรู้สึกว่าตัวเองมีค่าบางอย่างอยู่เสมอ”

“น้องไม่เหลือค่าอะไรให้ตัวเองแล้วล่ะค่ะ
คนชนะเขาเอาไปหมดแล้ว...”

“ถ้าเขาไม่ได้น้ำตาของเราไป
เขาก็ยังเอาไปไม่หมดหรอก"

มือไร้ตนที่กวักเรียกอยู่ไหวๆจากเบื้องล่าง
เหมือนชะงักอาการไปชั่วขณะ
โลกคล้ายเงียบที่สุดเท่าที่เขาเคยได้ยิน

“พี่ขึ้นมาบนนี้ทำไมคะ?"

จู่ๆเด็กสาวก็เปลี่ยนเรื่อง
ชายหนุ่มอึกอัก เกือบตอบไปว่าขึ้นมาเดินดูดาว
ก็ถูกเธอชิงตัดหน้าเสียก่อนด้วยน้ำเสียงเค้นถามคาดคั้น

“พี่ก็จะมาฆ่าตัวตายเหมือนกันใช่ไหม?"

เหมือนจี้กลางใจให้หน้าชา
พันตาชักตะครั่นตะครออย่างประหลาด
ลมหนาวรำเพยผ่านมาวูบหนึ่ง
เด็กสาวค่อยๆหันหน้ามาทางเขา
ชายหนุ่มสบตากับเธอ
เห็นถนัดแม้ในเงามืดว่า
ตาดำของเธอมันด้านชาไร้แวว
จะมีก็แต่รังสีเขียวขุ่นผิดมนุษย์ฉายออกมา
ให้เขาเย็นแผ่นหลังวาบ
ขนลุกเกรียวตั้งแต่สันหลังไล่ไปจนถึงตีนผม
แล้วแล่นซ่าต่อเนื่องไปจนครบทุกขนทุกขุมทั่วร่าง

“ความตายไม่ดีหรอกค่ะพี่
น้องผ่านมันมาแล้ว มันไม่ได้จบอย่างที่เราคิด..."

พันตาเข่าอ่อน
เนื้อตัวเหลวเหมือนจะทรงกายไว้ไม่อยู่
แทบไม่ได้ยินถ้อยคำที่เหมือนก้องอยู่ในโสต
หรืออีกทีก็แว่วผ่านสายลมมาจากต่างมิติ
นัยน์ตาเพิ่งเหลือบลงสังเกตเอาเดี๋ยวนี้เองว่า
เท้าของเธอมันลอยเลือน
เขายืนอยู่ตรงหน้าภาพจริงและเสียงจริง
ของวิญญาณหลังตายดับจากความเป็นมนุษย์!

“ตึกสูงเกือบยี่สิบชั้นมันทำให้ศพไม่น่าดูเลย
พอวิญญาณลอยขึ้นจากร่างเห็นตัวเองแล้วมันทุเรศ
ก่อนจะหลุดจากร่างก็เจ็บอย่างที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน
อย่ามาอยู่เป็นเพื่อนน้องเลยค่ะ
น้องรู้ว่าพี่เป็นคนดี ถึงถูกกลั่นแกล้ง ถูกเบียดเบียน
วันหนึ่งก็มีชีวิตใหม่ได้ ทำอะไรให้ดีขึ้นได้
ไม่เหมือนตอนตายแล้ว ทำอะไรไม่ได้เลย..."

น้ำตาหยาดลงจากนิลเนตรไร้ประกายชีวิตคู่นั้น
ก็ไหนเคยได้ยินใครว่าผีร้องไห้ไม่ได้ไง

“ธรรมชาติเขาเหี้ยมกับคนหลงผิดมากนะคะ
เขาให้น้องระลึกได้ว่าเราเป็นเนื้อคู่กัน
ถ้าหากน้องมีชีวิตอยู่ต่ออีกเพียงเจ็ดวัน
เราก็จะได้พบและรักกัน
ครองคู่อย่างมีความสุขไปจนแก่เฒ่า"

ถึงตรงนี้ เธอเริ่มสะอึกสะอื้นจนได้ยินชัด

“ธรรมชาติไม่บอกกฎให้เรารู้
แต่เมื่อเราผิดกฎ เขาก็ลงโทษอย่างไม่เห็นใจ
น้องอยากกลับไปมีชีวิต อยากให้เราพบกันตามวิถีทาง
แต่มันก็สายไปแล้ว...”

เสียงที่แสดงถึงความระทมทุกข์สาหัสของวิญญาณดวงหนึ่งนั้น
ทำให้ความกลัวขาดสายหายหนไปจากใจพันตาสนิท
และด้วยความรู้สึกอ่อนแอ
ด้วยความรู้สึกว่าได้มาพบความอบอุ่นครั้งแรกในชาตินี้
ก็ทำให้พันตานึกอยากร้องไห้ตามเธอ

“ถ้ารู้อย่างนี้ก็ดีสิ พี่ขอเลือกอยู่กับเธอ
เราหนีโลกด้วยทางลัดสายเดียวกัน"

“อย่าค่ะ"

เธอส่ายหน้า กระแสเสียงวิงวอน

"มันไม่ใช่ทางลัดไปไหนทั้งนั้น เราย่ำอยู่กับที่
ที่มีแต่ความเงียบเย็นและความทรงจำก่อนตายไม่เปลี่ยนแปลง
ถึงอยู่ด้วยกันก็ทุกข์ด้วยกัน ไม่ได้เป็นสุขอยู่ดี
สู้พี่มีชีวิต มีโอกาสทำบุญ
ช่วยสงเคราะห์ให้น้องพ้นจากสภาพอึดอัดทรมานนี้
เราก็อาจมีปรภพเบื้องหน้าร่วมกันได้"

ชายหนุ่มยืนเงียบ
กำหมัดแน่นแล้วคลายออก ถามเสียงแผ่ว

“น้องชื่ออะไร พี่จะกรวดน้ำอุทิศไปให้"

“ทิพยา..."

เด็กสาวยิ้มออกมาได้เป็นครั้งแรก
เมื่อเขาพูดถึงการกรวดน้ำอุทิศ
เธอมองเขาเต็มตา ก่อนจะหันหน้าไปมองต่ำ
แล้วกระโดดพรวดจากฐานที่ยืน ดิ่งหายลับเหลี่ยมตึก

“อย่า!!”

พันตาร้องห้ามอย่างลืมสนิทว่าเธอไร้ชีวิต
ปราดข้ามแนวกั้น
ชะโงกหน้ามองไปสู่ความดิ่งลิ่วเบื้องล่าง
ตาเบิกโพลงอย่างคนช็อก

ไม่มีร่างเด็กสาวปลิวเคว้งอยู่ในอากาศ
มีแต่เสียงคล้ายแว่วไปเองในหูเหมือนฝัน

“น้องจะคอยโมทนา"

นานมาก กว่าประสาทจะทำงาน
สติสัมปชัญญะคืนที่ ชายหนุ่มกลับหลังหัน
เดินขาสั่นกางเกงเปียกโชกเข้าตึก

พันตาใช้เวลาสามวัน
กว่าจะนัดหมอทรงซึ่งมีชื่อเสียงน่าเชื่อถือที่สุด
มาทำพิธีเชิญวิญญาณออก
จากจุดอันเป็นแดนต่อระหว่างชีวิตกับความตายของทิพยา
จากนั้นใช้เวลาอีกเกือบอาทิตย์ตระเวนถวายสังฆทาน
กับสงฆ์ในวัดป่าห่างไกลจากมลทินเมือง
ทุกครั้งตั้งใจแน่วแน่
กรวดอุทิศแก่เด็กสาวผู้น่าเวทนาเพียงคนเดียว

เงินในธนาคารร่อยหรอลงทุกที
เพราะเดี๋ยวนี้เขาเป็นคนไม่มีรายได้
ทว่าพันตาก็เดินหน้าทำบุญด้วยความอิ่มเอิบ
ไม่กลัวอด ไม่กลัวตาย
ไม่กลัวเสียอะไรอีกแล้วในชีวิตสั้นๆเส็งเคร็งนี้
บรรยากาศของวัดและกระแสสงบของพระป่า
ทำให้ใจเขาชุ่มชื่นขึ้น
เมื่อมองไปเบื้องหลังแล้ว
ทุกสิ่งไม่ต่างกับฝันผ่านเมื่อคืนเลย

ในความหลับที่เหมือนตื่นของคืนหนึ่ง
เขานอนสานมือรองศีรษะลืมตาอยู่ในห้องสว่างใส
เห็นทิพยาพาร่างแบบบางระหงเข้ามานั่งข้างๆ
สีหน้ายิ้มแย้ม ดวงตาสาดประกายระยับ

“มีความสุขจริงนะ"

เขาทักตามที่เห็น เฮ้อ รอบตัวมันโปร่งสบายเหลือเกิน
นี่เขาก็พลอยสุขไปกับเธอด้วย

“ค่ะ ความสุขหลังความตายมีอยู่จริง
อย่าท้อที่จะทำเหตุแห่งความสุขนี้นะคะ น้องจะรอพี่"

เธอยิ้มกว้างขึ้น
เห็นราศีเฉิดฉายเกินมนุษย์ผู้หญิงนางใด

"กราบขอบพระคุณที่เกื้อกูล"

แล้วเธอก็ก้มลงกราบแทบอก
พันตายิ้มสุข ยกมือลูบเรือนผมนุ่มด้วยความปรานี
รู้สึกถึงความบริสุทธิ์ตรงกลางใจและในอากาศรอบตัว
ความสุขกับความสว่างเย็นล้ำลึกชนิดนี้เองหรือคือกระแสสวรรค์

ชายหนุ่มรู้สึกตัวว่าตื่นและลืมตาขึ้น
ภาพความเป็นจริงที่ปรากฏต่อสายตาและสำนึกปกติ
ทำให้สยองเกล้าอย่างช่วยไม่ได้
ยังมีสัมผัสและน้ำหนักร่างทิพยาอยู่บนอก
เห็นกระหม่อมของเด็กสาวที่นั่น
ร่างเธอยังอยู่บนเตียงร่วมกับเขาเป็นภาพเดียวกับในฝัน
แต่ทุกสิ่งก็ปรากฏต่อผัสสะนานพอ
จะทำให้พันตาตระหนักว่ามิใช่ฝัน
เขาเห็นมือตนเอง
ยังเลื่อนลูบเรือนผมของเธอด้วยเจตนาที่เกิดขึ้นก่อนตื่น
ราวกับมือนั้นไม่ได้อยู่ในบังคับยามนี้
คล้ายใจถูกแบ่งเป็นสองภาค
ภาคหนึ่งสำนึกรับรู้ตามปกติ
อีกภาคไร้สำนึกทว่าใหญ่กว่า
และเป็นผู้สั่งมือให้เคลื่อนไหว

ด้วยความอ่อนเปลี้ยอย่างจะหลับลงอีกครั้ง
พันตาเห็นภาพทั้งหมดจางเลือนและมลายลับสิ้น
ทิ้งไว้แต่ความตระหนักและจดจำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดอย่างแม่นยำ

________________

หมายเหตุ : เรื่องสั้น "ทางลัด" นี้ คุณดังตฤณประพันธ์ไว้ก่อนที่ภาพยนต์เรื่อง The sixth sense ซึ่งมีพล็อตเรื่องคล้ายกันออกฉายนะคะ :-) ท่านน่าจะประพันธ์ไว้เมื่อราวๆปี ๒๕๓๕ ก่อนภาพยนต์ชื่อดังออกฉายประมาณ ๗ ปี

อ่าน "ทางลัด" ในเวอร์ชันการ์ตูน >>

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น