ตอนที่ ๑๖ สำนึก
อาจเป็นเพราะชุดกระโปรงสีสันสดใสของหล่อน
อาจเป็นเพราะแรงคิดถึงที่สั่งสมมาอย่างต่อเนื่องนับอาทิตย์ หรืออาจเป็นเพราะทราบชัดแล้วว่าใบหน้าสวยหวานของณชะเลมีอานุภาพจับตาหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ให้คลั่งไคล้ได้ฉับพลันปานใด
ทำให้จองฤกษ์จ้องมองหล่อนเหม่อๆ และเผลอไม่พูดไม่จาทักทาย
“หวัดดี”
เพื่อนสาวต้องเป็นฝ่ายเอ่ยทักเขาก่อน
“หวัดดี”
จองฤกษ์พึมพำรับทักเขินๆ
“เอามือกุมหน้าอกทำไม เป็นอะไรเหรอ?”
ณชะเลทำหน้าสงสัย และนั่นก็ทำให้เขารู้สึกตัว รีบทิ้งมือลง งกๆ เงิ่นๆ เข้าไปใหญ่
“เอ่อ… แล้วพี่สาวทรายล่ะ?”
“เมื่อเช้าไม่สบายขึ้นมากะทันหัน”
“อะ… อ้าว! แล้วพ่อแม่ทรายอนุญาตให้บินเดี่ยวด้วยหรือ?”
“ไม่รู้ซี คงไม่ถือว่าบินเดี่ยวมั้ง มีฤกษ์เป็นบอดี้การ์ดนี่”
แค่คำหยอดเล็กๆ ที่ณชะเลไม่ได้คิดอะไรเลย ก็มีความหมายมากมายขนาดที่ทำให้จองฤกษ์หัวใจฟองฟูราวกับลอยไปสัมผัสสรวงสวรรค์ เขาต้องใช้ความพยายามพอสมควรเพื่อระงับอาการมือไม้สั่นเล็กๆ
“น่าภูมิใจจัง ไม่ต้องสอบก็เป็นบอดี้การ์ดกับเขาได้”
เด็กสาวหัวเราะเบาๆ
“แล้วหน้าตาบอดี้การ์ดไปโดนอะไรมา เจอนักเลงดักชกเหรอ?”
ตั้งข้อสังเกตพลางเล็งแลพลาสเตอร์ปิดแผลที่โหนกแก้มเขา ใจหล่อนนึกว่าเป็นอุบัติเหตุกระแทกของแข็งธรรมดา จึงถามแบบแซวเล่นไปเช่นนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าที่แท้เป็นการเอาเรื่องจริงมาพูดเล่น เพราะเห็นจองฤกษ์เบี่ยงหน้าไปทางหนึ่งคล้ายอยากซุกซ่อนร่องรอยน่าอับอายทั้งหลายเสีย
“ฤกษ์โดนใครทำร้ายมาจริงๆ เหรอ?”
เด็กหนุ่มจำใจต้องพยักหน้ารับหน่อยๆ
“ที่เราเคยมีเรื่องจนต้องวิ่งหนีเข้าบ้านทรายน่ะ บังเอิญเจอกันจนได้”
๑๓๗
ณชะเลกะพริบตาสองสามทีงงๆ แต่ก็เดาว่านั่นเองคงเป็นที่มาของการร้องขอให้หล่อนพาเขาไปพบหมอดู
“ไปกันเถอะ นัดนี้ต้องตรงเวลา ไม่งั้นถูกตัดสิทธิ์ เพราะคนรอคิวตามเวลากันเยอะ”
“เหรอ… เอ่อ… ชักตื่นเต้นแล้วซี สงสัยจะแม่นมาก”
“เธอจะขนลุกเชียวล่ะ”
“หู!… ฟังทรายพูดจบก็ขนลุกแล้ว”
เด็กหนุ่มห่อไหล่และทำตัวสั่นเทา ณชะเลหัวเราะขำเพราะรู้ทันว่าเขาทำทีตื่นเต้นนิดหน่อยเพื่อปิดบังความระทึกสุดขีดในภายใน ส่วนจองฤกษ์พอยินเสียงหัวเราะสดใสของเทพธิดาในฝันของตนเข้าก็คลายความประหม่า เหมือนได้ฟังดนตรีไพเราะที่สุดในโลกกล่อมโสตประสาทให้หัวใจสงบเย็นลงสนิท
สองวัยรุ่นเรียกแท็กซี่และเดินทางออกจากจุดนัดพบ ณชะเลบอกจุดหมายพร้อมยื่นเศษกระดาษแผนที่เล็กๆ ไปด้านหน้า ซึ่งเมื่อโชเฟอร์รับมาดูปราดเดียวก็ผงกศีรษะเป็นการบอกว่ารู้จักหลักแหล่งอย่างดี
ด้วยเวลาไม่นานนัก รถมาจอดหน้าบ้านหลังหนึ่งย่านฝั่งธน จองฤกษ์เป็นคนออกค่ารถและปฏิเสธส่วนที่ณชะเลจะช่วยออกครึ่งหนึ่ง ทั้งสองลงมากดกริ่งยืนรออยู่อึดใจก็มีเด็กมาเปิดประตูให้
“นัดกับหมออุปการะไว้ค่ะ มาถึงเกือบพอดีเวลาเลย”
“พี่ชื่อทรายใช่ไหม? เข้ามาเลยครับ แกกำลังรอ”
“ขอบใจจ้ะ”
เข้ามาอยู่ในห้องรับแขกของบ้าน ณชะเลถามจองฤกษ์อย่างมีมารยาท
“เดี๋ยวเราผลัดกัน ให้ทรายออกไปรอข้างนอกก่อนก็ได้นะ ฤกษ์จะได้ซักถามพ่อหมอถนัด”
เด็กหนุ่มอึกอัก แต่ขณะนั้นเองชายวัยกลางคนก็ปรากฏตัวขึ้น
“สวัสดีค่ะพ่อหมอ”
ณชะเลพนมมือไหว้ จองฤกษ์จึงไหว้ตาม
“สวัสดี หนูทราย สบายดีหรือ?”
เด็กสาวยิ้มรื่นที่อีกฝ่ายรับทักด้วยท่าทีเป็นกันเอง
“สบายดีค่ะ”
“พี่สาวของหนูก็เพิ่งมาหาผมไม่นานนี่เอง”
“ค่ะ”
“วันนี้พาเพื่อนมาด้วยเหรอ?”
หมอดูอุปการะหันมาทักเด็กหนุ่มยิ้มๆ ซึ่งจองฤกษ์ก็ยิ้มเจื่อนๆ พูดไม่ออก เหมือนลำคอตีบตันพิกล
“เดี๋ยวทรายออกไปนั่งเล่นข้างนอกก่อนแล้วกันนะ แบ่งกันคนละครึ่งชั่วโมง”
ณชะเลหันมาบอกจองฤกษ์ซ้ำแล้วขยับจะลุกเลี่ยงไปดังว่า และที่ให้คิวเขาก่อนเพราะเห็นว่าธุระของเพื่อนหนุ่มอาจจะร้อนกว่า สำหรับหล่อนเองแค่อยากถามถึงแนวโน้มคติใหม่ของเจ้าอุ๊ยโหย น่าจะใช้เวลาเพียงนิดหน่อยเท่านั้น
ทว่าเมื่อยืนขึ้นยังไม่ทันออกเท้าก้าวแรก อุปการะก็เปรยว่า
“ผมรู้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่าหนูทรายจะพาเพื่อนคนนี้มา บอกตามตรงว่าเป็นลูกค้ารายพิเศษที่น่าสนใจรอคนหนึ่งทีเดียว”
๑๓๘
ณชะเลหูผึ่ง
“มีอะไรสำคัญที่เกี่ยวข้องกับหนูด้วยหรือเปล่าคะ?”
อุปการะยิ้มบางๆ หันมาถามจองฤกษ์เป็นเชิงขออนุญาต
“น้องยินยอมให้ผมตอบคำถามของหนูทรายไหม?”
จองฤกษ์เห็นแววตารู้จริงจะแจ้งของบุรุษอาวุโสแล้วบังเกิดความหนาวเย็นลงไปถึงตาตุ่ม สัมผัสบอกตัวเองว่ากิตติศัพท์ของหมอดูผู้วิเศษรายนี้คงไม่ใช่เรื่องโคมลอยเป็นแน่ เอาล่ะซี! เริ่มต้นขึ้นมาท่าทางเรื่องจะไม่งามเสียแล้ว ขืนเขาบอกว่า ‘ไม่อนุญาตให้ตอบ’ ก็ไม่ทราบจะขอบคุณชะเลในฐานะเพื่อนสนิทต่อไปอย่างไรได้ แต่ครั้นจะอนุญาตก็ไม่รู้ว่าหมอดูจะพูดอะไรบ้าง ช่างน่ากระอักกระอ่วนสิ้นดี
เด็กสาวเหลือบลงมองเพื่อนหนุ่มด้วยแววกังขา เห็นเขาเอาแต่นั่งหน้าซีดเผือดอั้นอึ้งก็ยิ่งรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล อดรนทนไม่ไหวเข้าก็ใช้วิธีบีบทางอ้อม
“ทรายไม่อยากรู้ความลับของฤกษ์หรอก” น้ำเสียงของหล่อนเข้ม “ถึงแม้ว่าความลับนั้นจะต้องทำให้ทรายเดือดเนื้อร้อนใจในภายหลังก็ตาม!”
จองฤกษ์ประสานมือก้มหน้าคอตก
“เราสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรให้ทรายต้องเดือดร้อนอีก”
คราวนี้ณชะเลนั่งลงตามเดิมโดยไม่ขออนุญาตใครซ้ำ
“อ๋อ! เรื่องรูปบนเว็บติดลมน่ะ เสแสร้งแกล้งทำเป็นพระเอกมาช่วย แต่ที่แท้ฝีมือของฤกษ์เองทั้งหมดใช่ไหม? รู้กันกับยายจุ๊บแจงล่ะซีท่า”
เดาไปทางนั้นเพราะเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ และมารดาตนเคยพูดสะกิดใจชวนให้นึกสงสัยมาก่อนแล้ว
“ไม่ใช่หรอก… แต่เรื่องคอมพ์ที่ทำให้ทรายต้องมาหาพ่อหมอคนนี้ในคราวแรกน่ะใช่!”
ณชะเลตกตะลึงพรึงเพริด เพราะไม่เคยมีสักแวบในหัวที่จะคิดไปถึงเรื่องดังกล่าว
“โอ๋ย! ฤกษ์! นี่เธอ?…”
ร้องเสียงสูงเป็นเชิงประหลาดใจจนเคว้งงงมากกว่าอย่างอื่น
“ทราย… เราขอโทษ สาบานได้ว่าถ้าก่อนหน้านี้รู้ว่าทรายจะเป็นหนึ่งในคนที่หลงเอาโทรจันมาเข้าเครื่อง เราก็จะไม่ทำอะไรอย่างนั้นเลย”
เด็กสาวจ้องเพื่อนหนุ่มเขม็งอย่างตระหนกตกตื่นไม่หาย ความจริงพอเหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านพ้นไปหล่อนก็ไม่ติดใจอะไรมากนัก เคยอโหสิ ‘เจ้าแฮกเกอร์ตัวแสบ’ ไปอย่างสนิทแล้วด้วยซ้ำ อีกอย่างใช่ว่าเขาเจตนากลั่นแกล้งหล่อนโดยเฉพาะ มาบัดนี้พอรู้ความจริงว่าเขานี่เองต้นตอ จึงไม่ถึงกับโมโหโกรธาอยากบีบคอให้หายแค้นแต่ประการใด
อย่างไรก็ตาม มุมมองดีๆ ที่มีต่อเขาก็พลิกเปลี่ยนไปได้ปุบปับฉับพลันเช่นกัน เพราะเขาไม่ใช่แค่แฮกเกอร์ระดับท้องถิ่นธรรมดาเสียแล้ว แต่เป็นวายร้ายระดับโลกที่ไม่น่าไว้ใจ แถมบริษัทยักษ์ใหญ่ถึงกับตั้งรางวัลนำจับไว้สูงลิบทีเดียว!
คำถามแรกที่อยากสัมภาษณ์เขาทันทีถ้าไม่ติดว่ามีหมอดูอุปการะอยู่ด้วย คือเขาเคยก่ออาชญากรรมใดที่หล่อนรับไม่ได้มาบ้าง? หล่อนจะรีดเค้นให้เกลี้ยง เพราะท่าทางเขาจ๋องๆ และยอมลงให้หล่อนอยู่มาก
๑๓๙
“เอาเถอะ หนูทราย…” อุปการะแทรกแซงบรรยากาศที่เริ่มไม่ค่อยสู้ดีนัก “น้องเขากำลังเสวยผลที่เขาทำไปอยู่แล้ว และหนูเองก็มีส่วนช่วยให้เขากลายเป็นคนรู้ผิดรู้ชอบมากขึ้นด้วย อันที่จริงควรจะดีใจนะ ด้วยศักยภาพของเขาน่ะ ขอเพียงเปลี่ยนจากความหลงผิดคึกคะนองแบบวัยรุ่นร้อนวิชาไปคิดสร้างสรรค์เรื่องดีมีประโยชน์ วันหนึ่งเขาอาจทำข่าวใหญ่ขึ้นมาอีกในทางที่เป็นตรงกันข้ามกับข่าวเก่าก็ได้”
อุปการะพูดเพียงเท่านั้นณชะเลก็กลับสงบเยือกเย็นลงทันที และเห็นว่าตนเองไม่มีความจำเป็นต้องผิดหวังในตัวเพื่อนหนุ่มเลยแม้แต่น้อย ในเมื่อเขาใช้ชีวิตที่ผ่านมาอยู่นอกเหนือสายตาและความคาดหวังทั้งปวงของหล่อน เขาเก่งของเขา และใช้ความเก่งในการก่อกรรมตามอำนาจกิเลสบัญชา หล่อนไม่เคยมีโอกาสเข้าไปห้ามปราม แต่เพิ่งมาวันนี้ที่หล่อนกับเขากลับมาคบกัน หล่อนเพิ่งมีโอกาส และหล่อนก็ใช้โอกาสนั้นทำให้ชีวิตเขาหักเหไปโดยไม่รู้ตัว นั่นควรจะเป็นทั้งหมดที่น่าคำนึงถึง
ทั้งห้องเงียบเสียงลงครู่หนึ่ง ต่างฝ่ายต่างคิดไปคนละทาง ในหัวจองฤกษ์เต็มไปด้วยพายุหมุนยุ่งเหยิง ส่วนณชะเลกำลังระงับความอยากรู้อยากเห็น ในขณะที่อุปการะนิ่งรอเด็กหนุ่มเอ่ยปากออกมาเองก่อน
“ผม…” ในที่สุดจองฤกษ์ก็เป็นฝ่ายทำลายความเงียบ “อยากรู้ว่าถ้ากฎแห่งการสนองกรรมมีจริงอย่างในตำราว่าไว้ ผมควรจะทำยังไงถึงจะหลุดจากเรื่องซวยๆ ทั้งหลายที่ประดังกันเข้ามาอย่างนี้?”
นั่นคือคำถามที่วกวนอยู่ในหัวเขามาหลายวัน
“น้องคิดว่าตัวเองกำลังติดกรรมอะไรอยู่หรือ?”
แทนที่จะตอบ อุปการะกลับย้อนถามด้วยใบหน้าที่ไม่ปรากฏร่องรอยของอารมณ์ใดๆ
“พ่อหมอก็ทราบอยู่แล้วนี่ครับ” จองฤกษ์ตอบอย่างเจ็บปวด “ผมแกล้งคนไปครึ่งโลก ตอนนี้เหมือนผมโดนแกล้งจากทุกคนและทุกสิ่งที่อยู่รอบตัว แม้แต่เดินทางไปต่างประเทศก็ซวยซ้ำซวยซ้อน ไหนจะกระเป๋าเดินทางหายที่สนามบิน ไหนจะอาหารเป็นพิษ”
อุปการะสั่นศีรษะเล็กน้อย
“บาปกรรมที่น้องทำมามันยุ่บยั่บไปหมด ไม่ใช่แค่เรื่องแกล้งคนหรอก”
จองฤกษ์ฟังแล้วนึกถึงกรรมที่ไปปาขวดน้ำใส่หัวนักทวงหนี้
“ครับ… ผมเพิ่งทำร้ายคนมา แต่ผมก็ชดใช้แล้ว เจ้าหนี้มาทวงด้วยตัวเองถึงบ้านทีเดียว!”
เด็กหนุ่มชี้ให้ดูบาดแผลซึ่งมีพลาสเตอร์ปิดบังอยู่ อุปการะสั่นศีรษะอีก
“นั่นก็ด้วย แต่น้องทำเรื่องใหญ่ไว้อีกเรื่องหนึ่ง น้องรู้ดี”
จองฤกษ์ย่นคิ้วฉงน แต่พอนึกอะไรได้ก็ตัวเย็นและตาเบิกโพลง อยากยุติการดูหมอและลุกกลับบ้านทันที
“ผมไม่พูดออกมาหรอก” บุรุษผู้เป็นเจ้าของสถานที่กล่าว “ผมอยากทำหน้าที่ช่วยน้องแก้ปัญหา ไม่ใช่ทำให้น้องมีปัญหาหนักขึ้น ไว้ใจผมเถอะ”
เด็กหนุ่มก้มหน้านิ่งไปครู่หนึ่ง กระแสความอบอุ่นของอุปการะทำให้เขาเชื่ออย่างที่ไม่เคยเชื่อใครง่ายขนาดนี้มาก่อน
“ถ้าพ่อหมอรู้ละเอียดขนาดนั้น ก็แปลว่าผมไม่จำเป็นต้องปิดบังใครในห้องนี้อีก”
“หนูทรายก็มีสิทธิ์รู้ด้วยอย่างนั้นหรือ?”
หมอดูถามเพื่อให้เกิดความแน่ใจด้วยกันทุกฝ่าย
๑๔๐
“ครับ” เขาเงยหน้าขึ้นยืนยันหนักแน่น “ผมอยากยกทุกสิ่งที่มีอยู่ให้กับเขาด้วยซ้ำ”
พอถูกพาดพิงถึง ณชะเลก็ถามเสียงสูงด้วยความงุนงง
“เป็นอะไรกัน ทำไมฤกษ์ต้องมายกอะไรให้ทราย?”
“เราไม่ได้เป็นอะไรสำหรับทราย” จองฤกษ์ตอบเสียงเรียบ “แต่ทรายเป็นคำตอบของชีวิตเรา!”
“ขอบใจนะฤกษ์ แต่… ตอนนี้ทรายรู้สึกไม่ดีเลย กับความสงสัยว่าถ้าเป็นเพื่อนที่ใกล้ชิดกับเธอแล้วอาจต้องเสียใจในภายหลัง เพียงเพราะไม่ศึกษาให้ดีๆ เสียก่อนว่าเธอผ่านบาปผ่านกรรมอะไรมาบ้าง”
“นอกจากแกล้งคนด้วยโปรแกรมโทรจัน สาบานได้ว่าเราไม่เคยทำให้ใครเดือดร้อน เราแค่ทำในสิ่งที่เรามีสิทธิ์”
อุปการะได้ยินคำโต้ตอบของเด็กหนุ่มแล้วอดแย้มริมฝีปากยิ้มไม่ได้
“การมีสิทธิ์อยู่จริงๆ กับความเข้าใจผิดว่ามีสิทธิ์นี่แหละ ที่เป็นต้นตอความยุ่งเหยิงเกี่ยวกับศีลธรรม คนส่วนใหญ่มักตู่ว่าตัวเองมีสิทธิ์ ทั้งที่จริงไม่มี”
ณชะเลเหลียวมองคนโน้นทีคนนี้ทีด้วยความมึนงง
“ทรายอยากมีญาณหยั่งรู้จังค่ะ ใครช่วยบอกทีได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น ฤกษ์ไปทำอะไรมา?”
จองฤกษ์อ้ำอึ้ง จนอุปการะต้องช่วยสะกิดด้วยการพยากรณ์ระยะสั้น
“ถ้าน้องไม่เปิดปาก อีกเดี๋ยวหนูทรายเขาจะงอนแล้วนะ”
“เอ้อ…” เด็กหนุ่มยังยักแย่ยักยันอีกครู่หนึ่ง ก่อนเอียงหน้ากลั้นใจกระซิบกระซาบ “หลังจากพยายามอยู่หลายปี พอแกะรหัสสัญญาณดาวเทียมสำเร็จ เราก็ทำให้บัญชีในสวิสที่ไม่ควรจะมีเงิน กลับกลายเป็นบัญชีที่มีเงินขึ้นมาก้อนหนึ่งน่ะ”
ณชะเลแทบหยุดหายใจ
“ฤกษ์… อย่างนี้เธอไม่ใช่แค่คนร้อนวิชาแล้ว แต่เธอเป็นขโมย!”
น้ำเสียงคล้ายธารน้ำแข็งของเพื่อนสาวทำให้เด็กหนุ่มหนาวเย็นด้วยความกลัวสูญเสียมิตรภาพ เขารีบหาคำอธิบายอย่างรวดเร็ว
“ถ้าเงินของทรายหายไปสลึงเดียว ทรายจะรู้สึกว่าตัวเองถูกขโมยไหม?”
แม้จะยังไม่เข้าใจเรื่องราวกระจ่าง แต่ณชะเลก็พอตอบคำถามนั้นได้ทันที
“สลึงเดียวอาจไม่ทำให้ทรายรู้ตัวว่าโดนขโมย และต่อให้เงินหายไปห้าบาทหรือสิบบาททรายก็อาจจะไม่รู้สึกว่าถูกขโมย… แต่ถ้าเธอเอาไป เธอก็ได้ชื่อว่าเป็นขโมยอยู่ดี!”
“ไม่!” จองฤกษ์สั่นหน้าอย่างแข็งแรงเยี่ยงคนที่คิดแตกมาก่อน “เมื่อไม่มีความรู้สึกว่าถูกขโมย ก็ย่อมไม่มีผู้ถูกขโมย เมื่อไม่มีผู้ถูกขโมย ก็แปลว่าไม่มีการขโมยเกิดขึ้น และเมื่อไม่มีการขโมยเกิดขึ้น ก็แปลว่าไม่มีใครสักคนที่เป็นหัวขโมย!”
เหตุผลของเพื่อนหนุ่มทรงพลังมากพอจะหยุดเด็กสาวลงได้ชั่วขณะ แต่ไม่ใช่สำหรับอุปการะ
“คนเราตั้งต้นเป็นขโมยกันตรงเจตนาเอาสิ่งที่เจ้าของหวงแหนมาเป็นของตน โดยไม่เคยได้รับการอนุญาต และไม่เคยผ่านความเห็นชอบจากใคร”
จองฤกษ์หันขวับมาเถียงทันที
๑๔๑
“ถ้ามองในแง่นั้น ผมก็ไม่ได้ตั้งต้นด้วยเจตนาที่พ่อหมอว่ามา ผมแค่ใช้ความรู้ความสามารถที่มีอยู่ในการ ‘แปลงข้อมูลให้เป็นเงิน’ เท่านั้น ทุกคนมี ‘สิทธิ์’ ที่จะใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์ไม่ใช่หรือ? มันเหมือนเล่นเกมที่ใครผ่านด่านได้ก็เอาคะแนนไป และในโลกความเป็นจริงก็ไม่มีใครเดือดร้อนสักราย เพราะผมตอดเงินส่วนเกิน… ส่วนที่ความหวงแหนของพวกเขาแตะเข้าไปไม่ถึง”
อุปการะฟังแล้วถึงกับหัวเราะอย่างอดขำความคิดมนุษย์เจ้าปัญญาไม่ได้
“ผมเห็นล่ะว่าน้องเชื่อของน้องอย่างนั้นจริงๆ ”
ณชะเลมองเพื่อนหนุ่มแน่วนิ่ง
“เธอเล่นเกมได้คะแนนมากี่แต้ม?”
พอถามแล้วเด็กสาวก็ไม่แน่ใจตัวเองนักว่าประสงค์อยากรู้ ‘ขนาดความเลวร้าย’ ของเขา หรือว่าอยากทราบ ‘ขนาดกระเป๋าสตางค์’ ของเขากันแน่…
จองฤกษ์สบตาคนถาม แต่พอเจอแววดุจากนัยน์ตาคู่งามก็เบนหน้าไปมองทางอื่นก่อนตอบเสียงค่อย
“พันเดียว”
ณชะเลถอนใจโล่งอก ทว่าขณะเดียวกันก็ฉงนฉงายครามครัน หากเป็นเงินเพียงเล็กน้อยเท่านี้เหตุใดสองชายต่างวัยจึงตั้งข้ออภิปรายราวกับเป็นประเด็นอาชญากรรมใหญ่โตนักหนา
“แค่พันบาท เอาคืนเขาไปเถอะ ทรายช่วยออกเอง”
เด็กหนุ่มแค่นยิ้ม โคลงศีรษะช้าๆ โดยไม่เหลียวกลับมาสบตา และนั่นก็ทำให้ณชะเลถึงกับชาวาบในครู่ต่อมา
“เธอหมายถึงพันล้าน?!!”
อาการนิ่งเป็นดุษณีของจองฤกษ์ชัดเจนยิ่งกว่าตอบด้วยปากเสียอีก…
เงียบจนแทบได้ยินเสียงหัวใจเต้นเหมือนตีกลอง ณชะเลจ้องมองเพื่อนหนุ่มเต็มหน่วยตาราวกับไม่เคยพบเคยเห็นเขามาก่อน เป็นนานกว่าหล่อนจะถามเสียงระโหย
“แล้วเธอมีหน้าบอกได้ยังไงว่าไม่มีใครเดือดร้อน เงินกองภูเขาขนาดนี้”
เด็กหนุ่มระบายลมหายใจยาว
“พันล้านบาทไทยน่ะ คิดเป็นเงินดอลก็แค่ ๒๕ ล้านนะทราย ถ้ามีเศรษฐีระดับโลกสัก ๒๕๐ คนเงินหายไปคนละแสนเหรียญ ซึ่งเทียบค่าเท่ากับสลึงเดียวของทราย เชื่อเถอะจะไม่มีใครในพวกเขาสะดุ้งสะเทือนสักราย คนพวกนี้ไม่เคยรู้ด้วยซ้ำว่าวันๆ ตัวเองมีเงินหรือสินทรัพย์อยู่ทั้งหมดเท่าไหร่กันแน่ ได้แต่ยกหน้าที่ให้สำนักงานรักษาผลประโยชน์จัดการกันเท่านั้น เมื่อไหร่พวกเขาเห็นชื่อตัวเองติดกลุ่มคนรวยที่สุดในโลก ๔๐๐ อันดับแรกจากนิตยสารฟอร์บ เมื่อนั้นถึงค่อยเสวยสุขจากตัวเลขดอลลาร์ ๑๑ หลักสักที พวกเขาจะไม่แยแสกับเศษเงิน ๖ หลักเลยแม้แต่นิดเดียว สายตามีไว้สำหรับเห็นเลขที่ระดับหลัก ๑๐ กับ ๑๑ เท่านั้นแหละ”
ณชะเลเริ่มเคว้งงง ความเป็นปุถุชนทำให้เริ่มเห็นดีเห็นงามตามเขาวูบหนึ่ง คล้ายคนประสาทช้าที่เสียงกระทบหูเพิ่งคืบคลานมาโดนใจ เมื่อครู่เพื่อนผู้มีเงินพันล้านของหล่อนเอ่ยปากว่าอยากยกทุกสิ่งให้หล่อน…
“ถ้าทรายมีเงินอยู่หมื่นบาท…” จองฤกษ์พยายามอธิบายเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเองต่อ “ทรายจะไม่มัวมาคิดเล็กคิดน้อยว่าเงินหนึ่งสลึงสองสลึงอยู่ในมือครบไหม นั่นแหละเป็นอัตราส่วนเดียวกันกับเศรษฐีหมื่นล้านดอลลาร์! เรา
๑๔๒
เป็นแค่คนที่พบเงินสลึงไร้ค่าของเศรษฐีเหล่านั้นแขวนอยู่ในอากาศอย่างเปล่าประโยชน์ มันเหมือนส่วนเกินของระบบเงินตรา แล้วเราก็แค่คิดวิธีเอาเงินสลึงนั้นลงมาจากอากาศทีละเหรียญหลายร้อยครั้ง”
อุปการะมองเด็กหนุ่มด้วยสายตาของผู้อยู่เหนือความละโมบ ได้เห็นชัดว่าความคิดของมนุษย์นั้นน่ากลัวเพียงใด และเหนี่ยวนำปุถุชนผู้ยังมีภูมิต้านทานเงินล้านต่ำๆ ด้วยกันให้คล้อยตามได้ง่ายดายขนาดไหน สัมผัสรู้ของเขาบอกว่าณชะเลกำลังจะยอมเป็นพวกกับเพื่อนหนุ่มอยู่รำไร นั่นจึงทำให้หมอดูใหญ่คิดว่าถึงเวลาตนต้องออกโรงบ้าง
“แล้วน้องรู้ไหมว่าเงินสลึงที่รวบรวมได้จากเศรษฐีหลายร้อยรายเหล่านั้นจะทำให้เกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของน้อง?”
คำถามรุกนั้นมีอิทธิพลพอจะทำให้ความอหังการของจองฤกษ์ชะงักลงเล็กๆ เนื่องจากเด็กหนุ่มเริ่มตระหนักว่าตนจะรู้แจ้งแทงตลอดก็เฉพาะเรื่องในโลกแห่งเหตุผลเชิงอิเล็กทรอนิกส์ แต่ในโลกแห่งเหตุผลเชิงวิบากกรรม เขายังไม่รู้อะไรเลยจนนิดเดียว
“ผมวางแผนไว้แล้ว…” รวบรวมความเชื่อมั่นตอบอย่างจะอวดอ้างว่าตนก็มองการณ์ไกลได้เหมือนกัน “ระหว่างเรียนมหาลัย ผมจะตั้งบริษัทที่ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ขึ้นมา จะทำงานจริงๆ มีลูกค้าจริงๆ สิ่งที่ทุกคนจะเห็นก็คือบริษัทของผมเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพียงทำงานให้ลูกค้าไทยสองสามราย ก็จะได้รับการติดต่อจากลูกค้าต่างประเทศซึ่งมีชื่อแต่ไม่มีตัวตน ถึงตอนนั้นต่อให้ผมขับเบนซ์ไปเรียนก็คงไม่มีใครสงสัย”
คำว่า ‘ขับเบนซ์ไปเรียน’ คล้ายหินก้อนใหญ่ที่ทุ่มลงไปในหัวใจสะอาดใสของวัยรุ่นสาว ก่อกวนให้ป่วนปั่น ตะกอนแห่งความโลภฟุ้งกระจายพรายพร่าง หัวใจณชะเลเต้นไปอีกจังหวะหนึ่งเพียงเมื่อเห็นภาพตนมีรถเบนซ์ไปรับไปส่ง หรือกระทั่งภาพบรรเจิดที่ตนนั่งถือพวงมาลัยเบนซ์ด้วยตนเอง!
“เธอแน่มากนะ…”
หางเสียงติดสั่นเล็กน้อย แม้แต่เจ้าตัวเองก็ไม่ทราบว่านั่นเป็นการสดุดีแกมประชดหรือว่าเป็นการเริ่มมีใจเอนเอียงไปชื่นชมความเจ้าเล่ห์ของเพื่อนหนุ่มเข้าแล้วจริงๆ รู้แต่ตอนนี้มีคำว่า ‘สบายไปทั้งชาติ’ วนเวียนอยู่ในหัวตลอดเวลา!
แต่สำหรับจองฤกษ์ซึ่งยังขาดความสามารถในการหยั่งรู้ความระส่ำระสายของอีกฝ่าย เมื่อได้ยินณชะเลพูดเช่นนั้นก็บังเกิดความหวั่นวิตก เกรงจะโดนมองเป็นทรชนคนชั่วซึ่งไม่อาจเป็นเพื่อนกับสาธุชนเช่นหล่อน จึงร้อนรนอธิบาย
“ทรายเชื่อเถอะ โดยพื้นฐานเราไม่ใช่หัวขโมย เราเจาะระบบเล็กใหญ่มาได้หลายปี แต่ไม่เคยแสดงอำนาจบาตรใหญ่ ไม่เคยทำตัวเป็นนักเลงโต ไม่เคยเอารหัสเครดิตใครไปใช้ ทั้งที่สามารถทำได้ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ”
“ใช่สิ! เธอเป็นคนรอบคอบนี่ คงไม่ทิ้งร่องรอยจิ๊บจ๊อยแบบตีนแมวเอาไว้เปรอะหรอก แต่เอาทีเดียวแบบมายากลชุดใหญ่ที่สามารถล่องหนหายตัวไปพร้อมกับภูเขาทองทั้งลูก!”
อยากจะตอกหน้าว่าอย่างเธอไม่ใช่หัวขโมย แต่เข้าขั้นมหาโจรด้วยซ้ำ ยามนี้ใจณชะเลเหมือนแบ่งเป็นสองฝักสองฝ่ายตีกันเองอยู่ เกลียดตัวเองที่ฝ่ายหนึ่งเข้าข้างจองฤกษ์ และไม่อยากพูดจากระทบกระทั่งให้เขาต้องระคายใจเลยสักนิด!
“เราแค่ต้องการหลักประกันชีวิต ทำครั้งเดียวไม่ได้ชื่อว่าเป็นโจรหรอก เป็นโจรต้องทำหลายหน ทำเป็นอาชีพ และไม่สามารถหยุดขโมยได้เนื่องจากทำอย่างอื่นไม่เป็น แต่เราทำเป็น เราจะมีหน้ามีหน้าอยู่ในสังคมได้อย่างโปรแกรมเมอร์แถวหน้าคนหนึ่ง”
“น้องรู้จักฤทธิ์เดชของกิเลสดีแค่ไหน? รู้ได้ยังไงว่าก้าวแรกจะไม่ตามมาด้วยก้าวที่สอง?”
๑๔๓
“รู้ซี! ก้าวที่สองจะไม่มีอีกเพราะขาดแรงจูงใจไง ผมมีเงินพอแล้ว สามารถเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงพ่อแม่ได้ทั้งชาติ ไม่จำเป็นต้องดิ้นรนให้เกิดความเสี่ยงขึ้นอีก และที่สำคัญ… ผมแน่ใจว่าถ้าทรายต้องการอะไร ผมจะหาให้เขาได้ทุกอย่าง”
พูดหยอดตรงๆ เพื่อรีบ ‘ซื้อ’ ใจเพื่อนสาวมาอยู่ข้างเดียวกัน ณชะเลหน้าแดงเข้ม แม้ตัวยังนั่งนิ่ง แต่ใจก็เต้นระส่ำไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้นทุกที เพราะคล้ายจองฤกษ์โมเมแต่งตั้งหล่อนเป็น ‘คนพิเศษ’ เอาดื้อๆ ต่อหน้าพยาน หล่อนควรเอะอะปฏิเสธ แต่ทว่านาทีนี้ที่เขาเพิ่งแปลงร่างจากเด็กวัยรุ่นต๊อกต๋อย กลายเป็นหนุ่มน้อยผู้ขึ้นทำเนียบมหาเศรษฐีใหญ่ไปสดๆ ร้อนๆ ก็คล้ายมีพลังสะกดที่น่าเกรงขาม ทำให้หล่อนเกรงใจ ไม่อยากต่อปากต่อคำบ่ายเบี่ยงตำแหน่งที่ได้รับการอุปโลกน์จากเขาสักแอะ
อุปการะปรายตามองเด็กสาวยิ้มๆ ด้วยความเห็นใจ บารมีธรรมของหล่อนยังไม่แข็งแกร่งพอจะเป็นปราการต้านการกระหน่ำตีกะทันหันจากพายุชื่อ ‘พันล้าน’ กลิ่นหอมแปลกใหม่ชวนระทึกของมันทำให้ปุถุชนปั่นป่วนรวนเรกลืนน้ำลายแทบไม่ลงได้ทุกคน นี่เป็นเรื่องธรรมดา ไม่น่าผิดหวังอะไร ใครๆ ก็อยากมีชีวิตดังใจคิดที่ลิขิตได้ด้วยเงิน เขาได้แต่ระบายลมหายใจยาว ปิดตาลงครู่หนึ่งเพื่อวางจิตให้เป็นกลางจากสภาพบรรยากาศร้อนแรงด้วยเพลิงโลภะตรงหน้า ก่อนลืมตาขึ้นเอ่ยแบบค่อยๆ รินน้ำเย็น
“ย้อนกลับมาคุยเรื่องที่ยังค้างกันอยู่ดีกว่า น้องมาที่นี่เพื่อถามผมว่าจะหลุดจากบ่วงวิบากกรรมได้อย่างไร ทีนี้เพื่อให้เกิดการเห็นกระจ่างตลอดสาย ก็ต้องมาดูให้เห็นกรรมอันเป็นเหตุแห่งวิบากทั้งหมดเสียก่อน อย่างเช่นการเอาเงินคนอื่นมาโดยไม่ได้รับอนุญาต ผมทราบชัดว่านั่นเป็นการละเมิดศีล เป็นอกุศลกรรม เป็นหนี้บาปส่วนหนึ่งที่ต้องชดใช้ ผมมีหน้าที่ชี้ให้เห็นอย่างนี้ แต่หากน้องจะเลือกเชื่อด้วยเหตุผลส่วนตัวที่หนักแน่นน่าฟังกว่ากัน ก็เป็นสิทธิ์ที่น้องจะเก็บความเชื่อนั้นไว้”
จองฤกษ์ฟังแล้วคอแข็ง แต่ก็กลับอ่อนลงในเวลาต่อมา เพราะเชื่อแล้วว่าชายตรงหน้ารู้บางเรื่องดีกว่าเขาจริง
“ผมก็ไม่ได้มาที่นี่เพื่อถกเถียง แต่ก็อยากเข้าใจ ไม่ต้องคาใจ ว่าการเอาสิ่งที่ไม่มีใครใช้ประโยชน์มาทำให้เกิดประโยชน์ มันจะเป็นบาปเป็นกรรมได้อย่างไร เงินส่วนเกินของระบบที่ไม่มีค่าสำหรับใครตลอดไป มันต่างอะไรกับสายลมแสงแดด? ในเมื่อมนุษย์มีสิทธิ์เอาใบพัดไปรับกระแสลม และเอาเซลล์แสงอาทิตย์ไปรับแดดมาแปรรูปเป็นพลังงานไฟฟ้า ทำไมผมจะเอาจานดาวเทียมไปคว้าสัญญาณข้อมูลมาแปรรูปให้เป็นเงินบ้างไม่ได้เล่า?”
“เพราะสัญญาณดาวเทียมที่น้องว่าถูกส่งมาจากเจตนาของคนที่ต้องการเก็บงำ ไม่ได้มาจากธรรมชาติที่ยอมเผื่อแผ่ทรัพยากรให้สัตว์โลกใช้อย่างเปิดเผย”
“ที่ไหนมีช่องโหว่ ที่นั่นคือการเปิดโอกาสให้ใช้สิทธิ์!”
“สิทธิ์ที่จะเอาเงินเขามาเป็นของเราหรือ? อย่างนี้ใครสะพายกระเป๋าไว้บนไหล่ ก็ถือว่ามีช่องโหว่ให้ใช้สิทธิ์วิ่งราวได้ล่ะซี? สิ่งที่ทำให้ดูเหมือนน้องมีสิทธิ์คือสติปัญญา ความอุตสาหะ และความช่างสังเกตเกินมนุษย์ ผมไม่รู้เรื่องสัญญาณดาวเทียม แต่สิ่งที่ผมเห็นในน้องคือความสามารถคิดสร้างสรรค์ได้ระดับเดียวกับนักมายากลผู้สร้างกลมหัศจรรย์ใหม่แบบไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน น่าเสียดายที่น้องใช้ความสามารถสร้างสรรค์ไปในทางไม่ชอบธรรมเท่านั้น!”
จองฤกษ์ขมวดคิ้วและส่ายหน้าอย่างดื้อดึงกับคำลงท้ายของอุปการะ
“สติปัญญามีส่วนทำให้เข้าถึงสิทธิ์ แต่คำว่า ‘สิทธิ์’ จริงๆ อยู่ตรงที่เงินอยู่ในสภาพเหมือนของกลางต่างหาก ของกลางคือสิ่งที่ไม่มีใครหวงแหน ยังไม่มีใครแตะต้อง และลอยไปลอยมาอยู่บนอากาศรอการหยิบฉวยไม่ต่างจากสายลมและ
๑๔๔
แสงแดด ตัวเลขที่ผมได้มาคือดอกเบี้ยนะ ไม่ใช่เงินฝากก้อนเดิมของพวกเขา และถ้ามองอีกแง่หนึ่ง ผมก็ต้องทำงานเหมือนคนอื่น หรืออาจจะต้องทนหลังขดหลังแข็งนานปียิ่งกว่าคนอื่นด้วยซ้ำกว่าจะคว้ามันมาได้ ทำไมมันถึงจะไม่ชอบธรรมเล่า?”
“บรรดาเจ้าของเงินรู้เข้าคงไม่พอใจแน่ที่จู่ๆ น้องไปตู่ว่าทรัพย์สินของเขาเป็นสายลมแสงแดด”
“ก็เขาจะไม่รู้ไง และจะไม่รู้ไปจนชั่วชีวิตนั่นแหละ! แม้แต่ผมเองก็ไม่เคยใส่ใจด้วยซ้ำว่าที่ตอดมาทีละนิดทีละหน่อยเป็นดอกเบี้ยจากบัญชีของมาเฟียใหญ่หรือเจ้าพ่อกิจการระดับโลกประเทศไหน รู้แต่ว่าพวกนี้รวยเป็นบ้าเป็นหลัง และกำเงินสกปรกไว้ได้ก็ด้วยบริการของเหล่าธนาคารที่ลึกลับที่สุดในโลกบนเกาะเคย์มาน เกาะนั้นน่ะเหมือนศูนย์รวมบ่อน้ำครำดีๆ นี่เอง ผมเป็นแค่ใครคนหนึ่งที่ผ่านมาและขอร่วมโดดลงบ่อน้ำครำหนเดียว เพื่อเก็บเกี่ยวสายลมแสงแดดบนเกาะมาปั่นไฟให้ชีวิตตัวเองสว่างขึ้นหน่อย”
คำก็สายลมแสงแดด สองคำก็สายลมแสงแดด อุปการะชักนึกคร้านที่จะเถียงขึ้นมาวูบหนึ่ง แต่แล้วก็ตั้งใจอธิบายต่ออย่างอดทน
“น้องไปเปรียบเงินทองที่มีเจ้าของเข้ากับสายลมแสงแดดไม่ได้ แต่ต้องเปรียบกับดอกไม้มีพิษ ดอกไม้พวกนี้จะอยู่ดีและไม่เป็นอันตรายกับลำต้นของตัวเองเลย ต่อเมื่อมีใครไปเด็ดมันออกจากต้น นั่นแหละพิษสงจึงสำแดงตัวต่อมือของผู้เด็ด บางพันธุ์ก็อาจแค่ทำให้ผื่นขึ้น แต่บางพันธุ์อาจลุกลามถึงหัวใจจนม้วยมรณัง น้องจะแกล้งไม่รู้ไม่ชี้ ไม่ยอมรับว่าเกิดอาการแพ้ดอกไม้ก็ได้ แต่เมื่อไหร่พิษลามเข้าถึงหัวใจ ทุกอย่างจะสายเกินแก้นะ”
“ผมเห็นแต่ตัวเลขในบัญชี” เด็กหนุ่มเถียงอีกด้วยสำนึกว่าตนเป็นเศรษฐีใหญ่ผู้รู้ดีเกินใครในห้องนี้ “ตัวเลขเหล่านั้นให้ความรู้สึกถึงหลักประกันในชีวิต ผมยังมองไม่เห็นเลยว่ามีพิษสงซ่อนอยู่ตรงไหน ผมเพิ่งไปถอนมันมาใช้เป็นครั้งแรก เพื่อเรื่องอะไรรู้ไหม? ใช้หนี้พนันให้แม่ก่อนจะถูกนักเลงทวงด้วยไม้แข็ง! และใครจะรู้ วันหนึ่งก่อนตายผมอาจบริจาคให้ยูนิเซฟสักร้อยล้านก็ได้ ในขณะที่ถ้าตัวเลขยังยืนเด่อยู่บนเกาะเคย์มาน มันจะไม่ทำประโยชน์ให้ใคร และไม่เป็นคุณต่อโลกได้เลยสักนิดเดียว!”
“ถ้าน้องเอาเงินมาช่วยแม่ได้ และคิดเอาเงินมาทำประโยชน์ให้กับโลกในวันข้างหน้า ผมก็ขออนุโมทนา เพราะอันนั้นเป็นบุญ แต่อย่างไรนั่นก็เป็นเรื่องต่างกรรมต่างวาระ ที่ผ่านมาตอนน้องจิ๊กจากกระเป๋าคนโน้นทีคนนี้ที ผมขอยืนยันว่าเป็นบาปที่ต้องชดใช้อยู่ดี”
จองฤกษ์ชักเหลืออดกับการยืนอยู่คนละจุด คนละมุมมองกับคู่สนทนา จึงแบะท่าเปิดโอกาส
“อ้ะ! งั้นอธิบายให้ผมยอมรับหน่อยสิ ว่าแค่การยักย้ายถ่ายเทตัวเลข ไม่ก่อความเดือดร้อนให้ใคร ไม่ต้องรบกวนผู้รักษากฎหมายประเทศไหน ทำไมมันถึงเป็นบาปไปได้?”
“ทรัพย์สินของมนุษย์ไม่ได้มีแต่กฎหมายคุ้มครอง แต่ยังมีอำนาจการครอบครองของใครคนหนึ่งแผ่เงาปกคลุมอยู่ด้วย ความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของคือพลังสะเทือนอย่างหนึ่ง นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมช่วงริปล้นใหม่ๆ หัวขโมยถึงได้มือสั่นและหน้ามืดวูบวาบเสมอ โดยเฉพาะตอนมีเจตนาพยายามเคลื่อนย้ายของจากตำแหน่งที่มันควรจะปักหลักตั้งอยู่ ยิ่งเจ้าของมีความหวงแหนมาก แรงสะเทือนก็ยิ่งมากเป็นเงาตามตัว มนุษย์ที่ยังไม่ชินชากับงานโจรกรรม ยังไม่ถูกห่อหุ้มด้วยกำแพงบาปหนาแน่น จะสัมผัสรู้สึกถึงกระแสพรรค์นี้ได้ชัด เพราะจิตย่อมเปลี่ยนจากสภาพดีๆ เป็นเศร้าหมองด้วยบาปอกุศลเห็นถนัด”
หน่วยตาจองฤกษ์เบิกขึ้นหน่อยๆ ด้วยความขบขัน
๑๔๕
“ตอนผมเจาะระบบเข้าไปถึงช่องทางควบคุมการสื่อสารของดาวเทียมได้สำเร็จ ผมมีแต่ความขนพองสยองเกล้าด้วยความดีใจสุดชีวิต แหกปากจนชาวบ้านตกใจนึกว่าถูกใครยิง รับรองว่าต่อให้พวกที่ขึ้นไปยืนรับเหรียญทองโอลิมปิกก็ไม่เคยไปถึงขีดสุดของความปลาบปลื้มเท่าผมหรอก ให้ตายเถอะ! ผมไม่รู้สึกถึงแรงสะเทือนที่ทำให้จิตเศร้าหมองหรือหน้ามืดวูบวาบอย่างพ่อหมอพูดเลยสักนิด!”
อุปการะส่งใจตามคำพูดของเด็กหนุ่มโดยไม่หลับตา เห็นขณะจิตที่จองฤกษ์ลักลอบทำจารกรรมดาวเทียมสำเร็จ รู้สึกถึงโสมนัสใหญ่หลวงตามคำเล่าจริงๆ
“ตอนดีใจ หรือเกิดโสมนัสครั้งใหญ่ น้องจะไม่รู้สึกถึงแรงสะเทือนในทางลบหรอก ทั้งที่มันปรากฏตัวอยู่ตรงนั้นพร้อมๆ กัน เพราะโดนโสมนัสกลบกลืนเสียหมด ตัวโสมนัสนี่แหละหลอกเราว่ากำลังทำถูกอย่างที่สุด ทั้งที่อาจจะกำลังทำผิดร้ายแรงอย่างที่สุด!”
เด็กหนุ่มยักไหล่ มองว่านั่นเป็นการพูดแก้เกี้ยวของหมอดู
“ทุกหน้าประวัติศาสตร์บอกเสมอว่าสิทธิ์ครอบครองเป็นของผู้มีอำนาจ ฉะนั้นใครมีอำนาจเหนือกว่าก็สมควรเป็นผู้ครอบครองมากกว่าเจ้าของเดิม จริงๆ นะ ทกวันนี้ผมไม่รู้สึกผิดแม้แต่นิดเดียวที่ดักควบคุมช่องทางสื่อสารของดาวเทียมได้ แรงกายกับพลังสมองที่ผมทุ่มไปหลายปีทำให้ผมได้รับในสิ่งที่สมควรจะได้รับแล้ว ผมแค่เป็นผู้ชนะคนหนึ่ง!” ุ
อุปการะเงียบเฉยอย่างคร้านจะโน้มน้าวใจลูกค้าวัยรุ่นต่อ ตั้งแต่ดูหมอมาไม่เคยเจอใครดื้อด้านและช่างเถียงขนาดนี้ และเหมือนจองฤกษ์จะเริ่มรู้สึกตัว นึกขึ้นได้ว่าวันนี้มาที่นี่ในฐานะใด
“สมมุติว่าถ้าเชื่อตามที่พ่อหมอตัดสิน แปลว่าผมจะต้องเจอดีจากวิบากที่ไปลักเงินคนอื่นอย่างไร?”
“ก็เป็นเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับทรัพย์สินเงินทองนั่นแหละ” อุปการะตอบเนิบๆ “น้องมีส่วนถูกอยู่อย่างหนึ่ง ตรงที่ว่าการตอดเงินเบี้ยหัวแตกของเศรษฐีนั้น ไม่ทำให้พวกเขาสะดุ้งสะเทือนอะไรนัก ความจริงนี้จะทำให้น้องไม่ได้รับผลเป็นความเดือดเนื้อร้อนใจรวดเร็วทันตาเห็น หรือถึงแม้ต้องประสบกับความพินาศของทรัพย์บ้างก็ไม่มากนัก”
จองฤกษ์ฟังแล้วสัมผัสได้ว่าอุปการะยังพูดไม่จบ จึงยังไม่ใจชื้นเร็วนัก และอุปการะก็พูดต่อจริงๆ
“แต่มีกฎของการสนองกรรมอยู่ข้อหนึ่ง คือใครเอาสิ่งที่ไม่ใช่สิทธิ์ของตนมาเท่าไหร่ ก็ต้องชดใช้ด้วยการสูญเสียสิทธิ์ของตนเป็นประมาณเท่านั้น หรือมากกว่านั้น ยิ่งผู้เป็นเจ้าของทรัพย์สินมีคุณธรรมสูงขึ้นเท่าไหร่ ค่าของสิทธิ์ครอบครองที่ห่อหุ้มทรัพย์สินก็จะยิ่งสูงขึ้นเป็นเงาตามตัว เช่นการลักทรัพย์คนบางคนนั้น เอาหนึ่งแต่อาจต้องใช้คืนเป็นร้อยเป็นพัน”
เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างเพิ่งจับจุดได้ถนัด
“ความเห็นของผมกับพ่อหมอต่างกันก็ตรงเรื่องของ ‘สิทธิ์’ นั่นเอง ผมเคยได้ยินว่าความจริงขึ้นอยู่กับมุมมอง เรามองอย่างไร ความจริงก็อย่างนั้น เช่นขณะเจาะระบบดาวเทียม หรือขณะยักย้ายถ่ายเทตัวเลขผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่าผมมีสิทธิ์ ผมไม่ได้ทำบาปทำกรรม เพราะฉะนั้นก็น่าจะมีอภิสิทธิ์จากความไม่เชื่อเป็นตัวคุ้มครองไม่ให้ต้องรับบาปถูกไหม?”
อุปการะอ่อนใจจนกลายเป็นขำ
“คิดได้ไงเนี่ยคำนี้ อภิสิทธิ์จากความไม่เชื่อ…” หมอดูใหญ่พูดกลั้วหัวเราะในลำคอ “ถ้าคนเราไม่เชื่ออะไรแล้วได้รับอภิสิทธิ์ อย่างนี้ถ้าเกิดน้องไม่เชื่อว่าตัวเองจะต้องตาย ก็แปลว่าได้อภิสิทธิ์ไม่ต้องตายน่ะซี?”
จองฤกษ์อับจนถ้อยคำไปชั่วขณะ อุปการะเห็นอีกฝ่ายกำลังหาทางเถียงอยู่จึงเอ่ยต่อไปพลางๆ
“คนเราเชื่ออะไรได้เรื่อยเปื่อยสารพัด แต่จะมีอยู่แค่ความเชื่อเดียวที่ตรงกับความเป็นจริง”
๑๔๖
“ผมว่าความจริงเปลี่ยนไปตามความเชื่อต่างหาก นักปราชญ์ที่ไหนก็พูดกันมาตั้งนานแล้ว”
“นักปราชญ์ที่ยังเข้าไม่ถึงความจริงสุดท้ายน่ะซี”
“ความจริงสุดท้ายคืออะไร?”
“ความจริงสุดท้ายนั้นอยู่สูงสุด น้องอย่าเพิ่งสนใจเลยถ้ายังเห็นไม่ได้ว่าความจริงตื้นๆ เกี่ยวกับบุญและบาปเป็นอย่างไร”
เด็กหนุ่มรู้สึกจุกอก น่าแปลก แทนที่จะหมดความอดทนหรือเกิดความขัดเคืองพ่อหมอผู้พยายามยัดเยียดให้เขาเป็นคนผิดในเรื่องที่เขาไม่รู้สึกว่าผิด กลับกลายเป็นว่าประโยคที่เพิ่งผ่านปากออกมานั้นสะดุดใจเขามากกว่าทุกคำพูดที่ได้ยินมาในวันนี้
ด้วยเทคนิคทางการเก็บข้อมูลคอมพิวเตอร์ เขาเคยชินกับการคุ้ยแคะค้นหา ‘ความจริง’ เอาอย่างทื่อๆ เสมอมา ข้อเท็จจริงในโลกอิเล็กทรอนิกส์ไม่เคยเรียกร้องให้เขาสนใจเรื่องบุญเรื่องบาปเสียก่อน อยากรู้หรืออยากได้อะไรก็ใช้เล่ห์กลไปเอามา ประหนึ่งไม่มีกำแพงใดในโลกกั้นขวางกำลังทะลุทะลวงจากมันสมองของเขาได้
พอฟังว่า ‘ความจริงสุดท้าย’ หรือ ‘ความจริงขั้นสูงสุด’ จะปรากฏต่อเมื่อเห็นความจริงเบื้องต้นเกี่ยวกับบุญบาปเสียก่อน เลยรู้สึกว่ามีความเย้ายวนที่น่าพิศวงแฝงอยู่ เกิดวูบแห่งความอยากรู้ขึ้นมาว่าความจริงขั้นสูงสุดของอุปการะคืออะไรกัน
กะพริบตาถี่ๆ วันนี้เขาไม่ได้ที่นี่เพื่อเอาความจริงสุดท้าย…
“เอาล่ะ! ผมอยากได้คำทำนายสำหรับกรรมที่รู้สึกว่าตัวเองทำผิดไปจริงๆ ผมแกล้งคนเป็นล้าน ตอนนี้กรรมสนองมามากแล้ว เมื่อไหร่ถึงจะหมดเวรหมดกรรม?”
ณชะเลชิงเป็นฝ่ายตอบอย่างอดไม่ได้
“เรื่องนี้พ่อหมอทำนายไว้แล้วตั้งแต่ครั้งแรกที่ทรายมาพบ”
จองฤกษ์ตะแคงหน้ามองเพื่อนสาว
“ทำนายว่าไง?”
“เธอแกล้งคนแบบไม่เลือกหน้า หวังผลไว้ก่อนว่ายิ่งมากยิ่งดี และความจริงก็คือมีคนหลงกลเธอเป็นล้าน เพราะงั้น… ข่าวร้ายนะ ผลสำเร็จที่เกิดขึ้นกว้างขวางไปในหมู่ชนไม่เลือกหน้าแบบนี้ จะก่อให้เกิดเงากรรมที่ตามให้ผลเป็นกัปเป็นกัลป์ ไม่ใช่แค่เฉพาะชาตินี้ที่ยังพอจำความได้ว่าเคยก่อเรื่องอะไรไว้ แต่จะยืดเยื้อต่อเนื่องไปถึงอนาคตอีกนับชาติไม่ถ้วน แม้ลืมชาตินี้ไปแล้วอย่างสนิท พูดง่ายๆ ว่าเธอจะรู้สึกเหมือนชะตาคอยกลั่นแกล้งไม่ให้มีอันเป็นสุขไปอีกนานเท่านาน”
ความรักตัวกลัวทุกข์ทำให้จองฤกษ์ตัวลีบเล็กลงชั่วขณะ ทว่าไม่กี่วินาทีถัดมาก็กลายเป็นฉุนเฉียว หันมาว้ากใส่อุปการะอีก
“แค่แกล้งคนเหมือนเด็กเล่นขัดแข้งขัดขากันหน่อยเดียว ถึงกับตัดสินสาปแช่งผมเป็นกัปเป็นกัลป์ ไม่มากไปหน่อยเหรอ?”
“ผมพูดตามที่เห็นกฎแห่งการสนองกรรมเขาตัดสิน ไม่เคยคิดพิพากษาหรือสาปแช่งน้องด้วยความคิดเห็นส่วนตัวเลย ว่าแต่นี่แน่ะ… น้องแค่แกล้งขัดแข้งขัดขาคนอื่นเล่นๆ ก็จริง แต่คนโดนกันเป็นล้าน จำนวนขนาดนั้นอะไรๆ ก็เกิดขึ้น
๑๔๗
ได้ ส่วนใหญ่อาจแค่หัวคะมำหรือล้มลุกคลุกคลานนิดหน่อย แต่หนึ่งในร้อยหรือหนึ่งในพันอาจเจ็บตัวขนาดหัวแตก หรือกระทั่งล้มตายไปเลย”
จองฤกษ์หัวเราะเฮอะหนึ่งแล้วแสยะยิ้ม ยิ่งเชื่อมั่นมากขึ้นทุกทีว่าอุปการะอาจเห็นเรื่องราวต่างๆ จริงด้วยญาณทิพย์ แต่ช่างไร้ความสามารถในการชั่งน้ำหนักผิดถูก ดีแต่เห็นความผิดว่าเป็นสีดำปี๋เท่าเทียมกันหมด ไม่มีดำมาก ดำน้อย หรือแค่ดำด่างหน่อยๆ เสียบ้างเลย
“ถ้าจิตของพ่อหมอเป็นตาชั่ง ผมว่าสปริงขาดแล้วล่ะ ต่อให้วางสำลีลงไปก็นึกว่าเป็นตุ้มเหล็ก มีอย่างเหรอโดนขัดขาล้มแล้วถึงตาย? ผู้คนที่โดนโปรแกรมผมเล่นงานน่ะ อย่างมากเซฟไฟล์ไม่ลงครั้งเดียว คราวหน้าเขาก็รู้ตัวและสังเกตเห็นความผิดปกติได้ ความเสียหายจะสักเท่าไหร่กัน”
“อย่างที่ผมเปรียบเทียบ ว่าหกล้มบางจังหวะมันเจอของมีคมทิ่มแทงให้ถึงชีวิตได้ ฉันใดก็ฉันนั้น ถ้าหากมีคนเร่งงานและอุตส่าห์เก็บข้อมูลสำคัญสุดท้ายที่ชี้เป็นชี้ตายได้ในวันรุ่งขึ้น เขาคงนอนหลับสบายในคืนที่คิดว่าทำงานเสร็จ เพื่อตื่นขึ้นมาพบว่าข้อมูลหายไปอย่างไม่อาจนำกลับมาได้ทันการณ์ ชีวิตเขาอาจถึงความหายนะได้ทีเดียวนะ”
ลมหายใจของจองฤกษ์ขาดห้วงให้กับข้อสมมุติของอุปการะอีกครั้ง แต่แล้วก็ยังยิ้มเย็น เพราะอย่างไรนั่นก็เป็นแค่เรื่องสมมุติ
“ผมดูข่าวซีเอ็นเอ็นทุกวัน อย่างมากก็เห็นมีแต่คนบ่นแบบโกรธๆ หรือไม่แฮกเกอร์ด้วยกันก็ชมเปาะว่าผมแน่มากที่ทะลวงยักษ์ใหญ่ได้ถึงไส้ ยังไม่เคยได้ยินข่าวร้ายแรงคอขาดบาดตายจากเรื่องนี้เลย”
อุปการะพยักหน้าน้อยๆ
“ข่าวหลายๆ ข่าว น้องจะไม่มีวันได้ยิน และต่อให้เหตุการณ์ในข่าวมาวางแบให้รู้เห็นกับตาอยู่ตรงหน้า น้องก็ไม่มีวันทราบว่าตัวเองมีเอี่ยวอยู่ด้วยหรือเปล่า”
“ทรายขอเป็นตัวแทนคนนับล้าน บอกฤกษ์ให้รู้ไว้ว่ามันเจ็บปวดมาก และไม่ได้รู้สึกว่าเสียแค่งาน แต่ยังเสียใจจนนอนไม่หลับไปหลายคืน”
เพื่อนสาวหรี่ตาเอ่ย จับจ้องเขาด้วยแววเจ็บแค้นอีกครั้ง และณชะเลก็ดูเหมือนเป็นคนเดียวในโลกที่ทำให้เขาตกอยู่ในสภาพก้มหน้าสำนึกผิดได้
“ยังมีคนที่เจ็บมากกว่าหนูทรายเยอะ” อุปการะทอดตามองเด็กหนุ่มยิ้มๆ “และน้องเองก็ได้พบเห็นเหยื่อมากับตาทีเดียว”
จองฤกษ์เงยหน้าขึ้นมองพ่อหมอผู้วิเศษงงๆ พานนึกไปว่าฝ่ายนั้นได้ทีขี่แพะไล่ เห็นเขาหงอให้ณชะเลเลยตามมาซ้ำเติม
“ผมน่ะเหรอ? เจอเหยื่อของตัวเองเมื่อไหร่กัน มีทรายอยู่คนเดียว ผมขอโทษเขาไปแล้ว และจะชดใช้ไถ่โทษด้วยการทำคุณกับเขาถึงที่สุดด้วย!”
อุปการะยิ้มพราย นัยน์ตาฉายแววลึกเยี่ยงผู้พบช่องทางปราบพยศของม้าป่า
“อาทิตย์ที่แล้วมีคนโดดตึกตายเฉียดหลังน้องไปหน่อยเดียวใช่ไหม?”
ประโยคคำถามสั้นๆ นั้นยิ่งกว่ากำปั้นนักเลงที่กระทุ้งเขาลงไปกอง คล้ายถูกซัดด้วยทรายร้อนแล้วสาดตามด้วยเกล็ดน้ำแข็งทั้งกระบะทันที จากร้อนสุดกลายเป็นหนาวสุดเฉียบพลัน ความทรงจำประดุจเงามืดแห่งฝันร้ายย้อนกลับมาเป็นฉากๆ อย่างรวดเร็วและเสมือนเกิดขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง เพราะนั่นเป็นโศกนาฏกรรมที่สั่นประสาทเขาได้จนชั่วชีวิต
๑๔๘
มีคนตายเพราะเขา และเป็นการล่วงลับชนิดไม่อาจกู้ชีวิตกลับคืนมาได้อีก เช่นเดียวกับข้อมูลที่สูญเสียไปอย่างถาวรของผู้หลงกลเขากว่าครึ่งโลก แต่เขาช่างไม่รู้สึกสำนึกตัวเอาเลยจนกระทั่งบัดนี้ อย่างมากก็ดีแต่กลัวลานว่าจะโดนวิบากกรรมไล่ล่าหนักหนาปานใด
จุกแน่นคอหอยจนต้องค่อยๆ โน้มตัวลงต่ำ น้ำตาแห่งความสำนึกผิดพรั่งพรูออกมาดุจเดียวกับทำนบแตกทลาย จากนั้นเสียงสะอึกสะอื้นแห่งความเสียใจรุนแรงก็ติดตามมา เสียงร่ำไห้ของจองฤกษ์กลายเป็นเสียงเดียวท่ามกลางความสงัดจากส่ำเสียงอื่นใดในห้องนั้น ยืดเยื้อยาวนานราวกับจะไม่มีวันสิ้นสุดลงได้…
อ่านต่อตอนที่ ๑๗ >>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น