ตอนที่ ๘ สังหรณ์
พฤหัสไม่แสดงท่าแปลกใจแม้แต่น้อยเมื่อรถแล่นมาจอดหน้าบ้านสองชั้นในพื้นที่เกือบร้อยตารางวาใจกลางหมู่บ้าน
แทนที่จะเป็นริมบึงดังที่อเวราบอกไว้แต่แรก
ผู้หญิงเป็นสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนใจง่าย
และทุกสิ่งมักขึ้นอยู่กับอารมณ์พอใจไม่พอใจเฉพาะหน้าเสมอ เขาชินจนเฉยเสียแล้ว
แค่เห็นบ้านจากด้านหน้าก็ทราบทันทีว่าเป็นจังหวะปลอด
เด็กหนุ่มแบมือขอกุญแจด้วยน้ำเสียงสดใส
“ม่ะ… ผมลงไปเปิดประตูให้”
หญิงสาวหยิบกุญแจจากกระเป๋าสตางค์ให้เขาไป
มือหล่อนสั่นและเอี้ยวตัวเงอะงะอย่างคนเริ่มไม่มั่นใจขึ้นมาว่ากำลังทำอะไรอยู่
พฤหัสยิ้มเย็น ในบัดนั้นรู้สึกขึ้นมาว่าตนนิ่งกว่า
และคนนิ่งกว่าย่อมเป็นฝ่ายคุมเกมในนาทีสำคัญ
อเวรานำรถเข้ามาจอดและเดินนำพฤหัสเข้าบ้าน
เขาถือกีตาร์ตามมาโดยสงบ ทั้งบ้านปิดเงียบไม่มีวี่แววใครอยู่สักคน
“ผมต้องสวัสดีผีบ้านผีเรือนตรงมุมไหนก่อนหรือเปล่า?”
อเวราหัวเราะออกมาเสียงใส
ค่อยคลายความเกร็งลงได้นิดหนึ่ง วางกระเป๋าถือและเดินไปเปิดหน้าต่างให้ลมเข้า
พฤหัสยืนมองร่างงามเคลื่อนไหวเปิดหน้าต่างเฉยโดยไม่ช่วยเหลือ
เพราะกำลังสะกดใจตนเองมิให้บุ่มบ่ามก่อนกาลอันควร
“ปกติคนในบ้านพี่เค้กกลับกันช่วงไหนหรือครับ?”
“เดี๋ยวก็กลับมั้ง”
ฟังจากเสียงตอบแล้วพฤหัสเดาว่าเขายังมีเวลาอีกพอสมควร
“ท่าทางพี่เค้กไม่ค่อยได้อยู่บ้านเท่าไหร่”
“ทำไม… รกเหรอ?”
“เปล่า… ดูข้าวของเข้าที่เข้าทางดีออก แต่จากการแต่งตัวของพี่เค้ก
ผมรู้สึกว่าพี่เค้กเป็นคนพิถีพิถัน และนิสัยแบบนี้ก็น่าจะแต่งบ้านเก่ง”
“พี่ไม่ได้เป็นเจ้าของบ้านอยู่คนเดียวนี่
แค่ให้ตามไล่เก็บข้าวของที่พวกผู้ชายทิ้งๆไว้อีเหละเขละขละเข้าที่เข้าทางไหวก็นับว่าบุญแล้ว”
เด็กหนุ่มหัวเราะ
“ผู้ชายนี่เกิดมาเพื่อสร้างความรำคาญใจเรื่องบ้านช่องให้ผู้หญิงจริงๆนะ
ทำชุ่ยไม่เข้าท่าไปหมด”
“ก็หาอยู่เหมือนกันว่าผู้ชายเนี้ยบๆในโลกนี้มีไหม”
หญิงสาวเดินเข้าครัวแล้วเดินกลับออกมา
มือถือแก้วน้ำพร้อมจานรองยื่นให้เขา พฤหัสวางกีตาร์พาดกับผนังใกล้ตัว
รับแก้วมาแบบถือโอกาสใช้ฝ่ามือปาดผ่านหลังมือน้อย อเวราสะดุ้งหน่อยๆ รีบผละออกห่าง
ก้มหน้างุดๆไปนั่งที่โซฟาทันที
เด็กหนุ่มกลั้นยิ้ม
ดื่มน้ำจนหมดแล้วนำแก้วไปวางบนโต๊ะอาหาร
จากนั้นคว้าคอกีตาร์เดินตามไปนั่งฝั่งตรงข้ามกับเจ้าของบ้าน วางกีตาร์พาดตัก
มองหญิงสาวผู้นั่งก้มหน้าแกะเล็บเฉยแล้วอารมณ์นักแสดงเอกก็ผุดขึ้น
เชิดหน้าตั้งตัวตรงวาดลวดลายทันที
“สวัสดีครับแขกผู้มีเกียรติ ลูกค้าผู้มีอันจะกินทั้งหลาย…” เสียงทุ้มนุ่มดังกังวานราวกับพูดผ่านไมโครโฟนในผับยามราตรี “ก็ดีใจที่ทุกท่านใจดีให้เกียรติมาฟังดนตรีกันอีกโดยไม่เบื่อหน่ายเสียก่อน
หน้าตาเดิมๆมานั่งซุ่มตามมุมมืดๆอย่างนี้คงคุ้นเคยกับฝีมือของผมอยู่แล้ว
ที่ผ่านมาทุกคืนแต่ละท่านก็ขอเพลงกันเก่งเหลือเกิน… เล่นไม่ได้ซักเพลง”
อเวราช้อนตาขึ้นมองนักดนตรี
ยกสองมือปิดปากหัวเราะจนตัวเขย่ากับมุขตลกหน้าตายของเขา
“ว่าแต่คุณผู้หญิงที่ท่าทางเส้นตื้นโต๊ะนั้นจะว่ายังไง คงมาใหม่กระมัง
มาถึงก็นั่งขำนักร้องเลยทีเดียว จะทดลองขอเพลงกับเขาบ้างไหมครับ?”
หญิงสาวลดมือลง
แก้มแดงราวกับทาด้วยชาด สั่นศีรษะปฏิเสธอย่างน่ารัก ทำให้นักดนตรีเอกลืมตาโพลง
“อ้าว! รสนิยมลูกทุ่งหรือลูกกรุงล่ะเนี่ย ไม่ขอแล้วจะรู้ใจได้อย่างไร?”
อเวราหัวเราะก่อนเม้มปากยิ้มยื่นหน้าขอในที่สุด
“เอาเพลงของนายอุ๊บแล้วกัน”
หล่อนหมายถึงดาวรุ่งซึ่งกำลังพุ่งแรงประจำพ.ศ.และส่วนหนึ่งที่เลือกเพลงของนักร้องหนุ่มคนนั้นก็เพราะรูปร่างหน้าตาละม้ายเขาคนนี้ด้วย
“เพลงไหน?”
“เพลงไหนก็ได้”
พฤหัสเงยหน้ามองเพดานนึกอยู่ครู่หนึ่ง
ก่อนสับมือลงคอร์ด ขึ้นอินโทรเพลง ‘ความจำที่หายไป’ ซึ่งกำลังติดอันดับห้าดาวของหลายคลื่นในขณะนี้
ฝีไม้ลายมือของพฤหัสแพรวพราวราวกับดนตรีที่ดังออกมาจากแผ่นซีดี
และเมื่อเริ่มเปล่งเสียงร้อง ก็ทำเอาอเวราถึงกับนิ่งซึม ทอดตามองเขาด้วยแววเผลอ
กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมา
มีเวลาโทร.หากัน
มีคืนวันเป็นส่วนตัว
กาลครั้งหนึ่งเมื่อนานมา
เรามองตาเป็นสุขจริง
เรายอมทิ้งทุกสิ่งไป
วันที่ถามหารัก
คืนที่พักอิงกัน
หาได้เกิดจากการหลับฝัน
คืนวันเหล่านั้นเป็นความจริง
แต่จริงที่แปรผัน
ต่างจากฝันที่ตรงไหน?
ฝันยังดีไม่อาลัย
จริงสิใจแทบแหลกลง
กาลครั้งนี้ที่ตรงหน้า
คือบรรดาเครื่องเตือนใจ
คือสายใยที่เลือนลืม
กาลครั้งนี้ที่ตรงหน้า
เรามีท่าเหมือนคนอื่น
เราเหมือนตื่นเพื่อลืมกัน…
ทั้งเนื้อร้องและทำนองที่บีบคั้น
ผนวกกับน้ำเสียงกรีดหัวใจได้ของพฤหัส มีอิทธิพลกับอเวราจนเกินห้ามน้ำตาไหว
หล่อนคิดถึงคนรักเก่า คิดถึงอดีตหวานละไมที่หลงเหลืออยู่ก็เพียงรูปรอยในความทรงจำ
ถึงวันนี้ก็ยังไม่อยากเชื่อว่าวันวานผ่านไปแล้วเหมือนฝัน ช่างไม่เหมือนเพลงตอนจบเอาเสียเลย
หล่อนไม่เคยตื่นเพื่อลืมใคร
แต่ใครทั้งโลกสั่งให้หล่อนลืม…
ขณะก้มหน้าเริ่มเบะปากสะอึกสะอื้นแรงขึ้น
ก็รู้สึกถึงอ้อมโอบจากร่างอุ่น หัวตาถูกซับน้ำด้วยทิชชูหอมนุ่มโดยละม่อม
สัมผัสทั้งหมดทรงพลังมากพอจะหยุดอาการสะเทือนสั่นจากภายในได้เฉียบพลัน ราวกับจิตวิญญาณถูกช้อนลอยขึ้นจากหนองน้ำแห่งความโศกด้วยพรมวิเศษจากสวรรค์
ทีแรกอเวราขยับหนีหน่อยหนึ่งเมื่อสำนึกว่านั่นเหมือนยอมตัวตกอยู่ในมือเขาเร็วเกินไป
แต่เพียงห่างออกมานิดเดียวก็เปลี่ยวหนาวและอ่อนแอราวกับเด็กน้อย
จนต้องเป็นฝ่ายเอนกลับมาซบซอกไหล่เขาเสียเอง
หล่อนปล่อยให้หยาดน้ำตารินไหลลงรดเสื้อเขาจนชุ่ม และไม่ขัดขืนเมื่อรู้สึกว่าร่างถูกช้อนลอยขึ้นจากพื้นด้วยปลอกแขนมั่นคงของหนุ่มรุ่นน้อง
มีสติทราบตลอดว่าเขากำลังพาไปไหน
กลิ่นหอมรัญจวนจากร่างเขาเร่งเร้าให้เกิดความวาบหวามจนต้องขบริมฝีปากโดยไม่รู้สึกตัว
แต่ในความรัญจวนใจนั้นอเวราก็ขนหัวลุกด้วยสังหรณ์ประหลาด
หาคำอธิบายไม่ได้ว่าคืออะไร
คล้ายมีเงามืดอันเย็นยะเยือกติดตามขึ้นบันไดมาด้วยฉะนั้น
มีอยู่วินาทีหนึ่ง
ที่หล่อนอยากขอให้เขาวางหล่อนลง คล้ายภาคหนึ่งเตือนตนเองด้วยเสียงกระซิบในหัวว่า ‘ยังไม่สาย…’ แต่นั่นก็เป็นแค่วินาทีสั้นๆที่ถูกวินาทีอื่นๆกลบทับเสียสิ้นด้วยเสียงตะโกนหนุนหลังว่า ‘เอาเลยๆ!’ เหมือนหล่อนกลายเป็นใครคนใหม่ที่ง่ายและกร้านโลกพอจะเห็นตัณหาเฉพาะหน้าสมควรได้รับการสนองตอบทันทีโดยไม่ต้องรีรอ
ทำนองเดียวกับที่ไม่ควรอั้นอุจจาระปัสสาวะยามปวดสุดขีดเอาไว้
เดินทางไปถึงตรงไหนก็ปล่อยลงที่นั่น ใครจะทำไม
อเวราปิดตาลงสนิท
ปลอบตนเองว่าหล่อนไม่ใช่สาวบริสุทธิ์ จึงไม่มีอะไรต้องเสีย
พฤหัสเป็นแค่เครื่องมือช่วยบรรเทาความทุรน เขาผ่านมาอย่างรวดเร็วด้วยไฟราคะแห่งวัย
แล้วในที่สุดก็จะผ่านไปด้วยความเบื่อง่ายกระหายเนื้อสดชิ้นใหม่
หล่อนมองผู้ชายอย่างเขาออก และไม่ไร้เดียงสาขนาดหวังว่าเขาจะมีหล่อนเพียงคนเดียวไปจนชั่วชีวิต
ประตูห้องชั้นบนหับปิดหมดจนเขาต้องถามว่าห้องไหน
อเวราแกว่งแขนนิดหนึ่งไปทางห้องริมขวาสุด
ยามนี้หล่อนอุปาทานคล้ายกับว่าประตูห้องของตนแปะป้าย ‘ยินดีต้อนรับ’ ไว้หรา
น่าให้ผลักเปิดโดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง ในชีวิตจริงคนเราก็มักด่วนเปิดประตูแต่ละบานแบบพรวดพราดอยู่แล้ว
ไม่ค่อยกลัวกันหรอกว่าเปิดผางออกไปแล้วมันจะกระทบกระแทกอะไรเข้าบ้าง
ถ้าจะด่วนเปิดอีกสักครั้งในวันเงียบเหงาถึงที่สุดอย่างนี้จะเป็นไรไป
กามารมณ์ไม่เคยมีวัยวุฒิ
มีแต่สองร่างที่ส่งพลังแม่เหล็กดึงดูดยิ่งใหญ่ ยากจะหาสิ่งใดมากั้นขวางมิให้ประกบเข้าหากัน
ทุกฉากดำเนินไปตามครรลองราวกับภาพยนตร์ที่ทุกคนเดาพล็อตเรื่องได้ตลอดสาย
แต่ก็ยังอยากรู้อยากเห็น ใคร่ดูซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่เบื่อหน่าย
เขาเป็นพระเอกมือดีดังคาด
และหล่อนก็เป็นนางเอกในแบบที่ไม่ห่วงภาพเจ้าหญิงในนิทานนัก
ขณะอยู่บนเตียงไม่มีคำว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่มีคำว่าเหมาะสมหรือผิดฝาผิดตัว
มีแต่ความแปลกใหม่เหมือนอาหารต้องห้ามรสชาติเผ็ดมันเท่านั้น
กระทั่งภาพยนตร์จบและปิดฉากด้วยการช่วยกันเขย่งเท้าตีรวงดาวแตกกระจาย
ต่างฝ่ายต่างเหนื่อยอ่อนนอนนิ่ง พฤหัสหลับตายิ้มสมใจ ส่วนอเวราถอนใจยาว
หันมากะพริบตาปริบๆคล้ายคนเพิ่งสร่างเมารสฝันในวันประหลาด
หล่อนกำลังนอนอยู่ข้างเด็กหนุ่มรุ่นน้องคนหนึ่งที่เพิ่งเจอกันเดี๋ยวเดียว
แต่ได้มาเรียนรู้กันในแง่มุมระทึกลึกซึ้งยิ่งกว่าแฟนดีๆหลายต่อหลายคนในอดีตเสียอีก
ภาษากายของเขามีหลายแบบ
ทั้งแบบเริ่มต้นที่ทำให้รู้สึกเหมือนหล่อนเป็นของขวัญที่น่าแกะห่ออย่างทะนุถนอม
และทั้งแบบสิ้นสุดที่ทำให้รู้สึกเหมือนหล่อนเป็นหญิงบริการหรือตุ๊กตายางไร้ค่า
ไม่มีการคลอเคลียเอาใจ ไม่มีคำหวานกล่อมโสต
ไม่มีแม้แต่จุมพิตฝากรอยสุขสมก่อนผละจาก
มีแต่การถอนตัวไปเฉยๆดุจเดียวกับผู้ตักตวงประโยชน์จากสินค้าลุล่วงแล้วก็แล้วกัน
นึกเสียดายค่าของตนขึ้นมาวูบหนึ่ง
เรือนกายอิสตรีนี้ช่างเหมือนสินค้าเสียจริงๆ ใครเห็นค่าก็ทำท่าหวงแหนแสนถนอม
แต่ถ้าค่าไม่มีให้เห็นก็เหมือนเป็นของราคาถูกที่เขาพร้อมทิ้งขว้างเมื่อใช้เสร็จ
หล่อนเคยคุ้นแต่การถูกเอาใจในวาระแรกๆของการคบหา ทว่านี่ไม่มีอะไรเลยนอกจากการสมสู่อย่างวู่วาม
มันช่างสมความตั้งใจคิดใช้เขาเป็นเครื่องมือบำบัดความใคร่เสียจริงๆ
หลายสิ่งหลายอย่างขาดหายไป
นึกอายตัวเองจนต้องดึงผ้าห่มขึ้นคลุมร่างมิดชิด
แล้วจากความอายก็พัฒนาเป็นความรู้สึกผิด
เพิ่งตระหนักว่าตนก้าวมาถึงอีกขั้นหนึ่งของชีวิต ระดับที่นอนกับผู้ชายได้โดยไม่ต้องรู้จักมักจี่
ไม่ต้องมีสายสัมพันธ์ฉันคนรักกันเสียก่อน!
ไม่บาป… แต่รู้สึกผิด
หล่อนเคยสะอาดกว่านี้
อย่างน้อยก็จัดลำดับเพศสัมพันธ์ไว้ข้างหลังความรักที่อ่อนหวาน
เคยนึกสะอิดสะเอียนกับความมั่วซั่วของสังคม ที่เหมือนทุกคนพร้อมจะเป็นเปรตเปลือยล่อนจ้อนสมสู่กับใครบนเส้นทางระหว่างบ้านกับที่ทำงานก็ได้
อยากเสพกามขึ้นมาก็พยักหน้าตกลงกับใครอีกคนที่กำลังนึกๆอยากอยู่เหมือนกัน
ตั้งใจเด็ดเดี่ยวว่าจะไม่เป็นหนึ่งในนั้น
แต่ทว่าบัดนี้ดูเหมือนจะหลวมตัวมาเข้ากลุ่มเสียแล้ว!
ปิดตาลง
คิดไปคิดมาน้ำตาก็ซึมออกมาเอง โลกนี้เต็มไปด้วยเรื่องบีบคั้น
พอหาทางออกจากความบีบคั้นเปลาะหนึ่งก็ต้องมาเจอกับความบีบคั้นขั้นต่อไป
เศร้าเหงาจนต้องพลิกร่างตะแคงหันหลังให้กับเด็กหนุ่มเพื่อแอบร้องไห้เงียบๆ
สงสารตัวเองเพราะรู้ว่าจะไม่มีใครมาสงสารหล่อนอีก ชีวิตจริงเป็นอย่างนี้
แต่ละคนโดดเดี่ยวอยู่บนเส้นทางตามลำพัง
สังสรรค์เพียงเพื่อให้รู้ว่าบางทีหันหลังให้กันเสียยังดีกว่าหันหน้าเข้าหา…
อ่อนเปลี้ยหลับใหลลงสู่ฝันมัวมน
ความรู้สึกผิดติดตามเกาะกุมหัวใจไปถึงในฝัน
ขณะแห่งความสะลึมสะลือครึ่งหลับครึ่งตื่นครั้งหนึ่ง อเวราถูกพลิกร่างให้นอนหงาย
หล่อนบังเกิดความขยะแขยง ละอาย เสียใจ
แต่ก็ไม่อาจปัดป้องปฏิเสธใดๆกับการกอบโกยผลประโยชน์รอบใหม่ของเขา ครั้งนี้มีแต่ความอึดอัด
เห็นตนเองเป็นสิ่งรองรับความหื่นกระหายอันโสมมของเพศชาย
เพิ่งเห็นชัดๆว่าการร่วมเพศเป็น ‘ของต่ำ’ อย่างไรก็เมื่อขาดความสมัครใจยินดี
และยิ่งตระหนักว่าน่าอดสูขนาดไหนก็เมื่อประตูห้องถูกเคาะรัว
“เค้ก… เค้ก”
เสียงพ่อของหล่อน!
การเคลื่อนไหวทั้งหมดหยุดชะงักลงเป็นความตกตะลึงของทั้งหล่อนและหุ้นส่วน
อเวราสะบัดหน้าไปทางประตูขวับ สองแก้มขึ้นสีแดงจัด
รู้สึกว่าต้องหน้าด้านมากๆถึงจะขานรับพ่อได้ในทันทีนั้น
“เค้ก… หลับอยู่เหรอลูก? อาธนิตมา เขาอยากให้ช่วยติดต่อกับเจ้านายเค้กน่ะ”
หญิงสาวตาเหลือกค้าง
ใจหายวาบเหมือนอยากเป็นลมให้ได้
นอกจากพ่อจะกลับบ้านเร็วกว่าเคยแล้วยังพาใครมาขอคุยกับหล่อนอีก!
ครู่หนึ่งกว่าจะผลักเด็กหนุ่มออกไปพ้นตัว
แล้วตะโกนตอบพ่อเสียงสั่น
“รอสิบนาทีนะคะพ่อ เดี๋ยวเค้กตามลงไป”
“โอเค”
พ่อรับรู้ง่ายๆและผละจากไป
อเวรายกมือเสยผม
อาธนิตเป็นคนที่หล่อนต้องให้ความเคารพและเกรงใจเพราะรู้จักกันมานาน
อีกทั้งยังเคยให้ความช่วยเหลือเรื่องการงานกับหล่อน
ปกติพ่อจะพาอาธนิตมานั่งกินเบียร์ที่บ้านเรื่อยๆ
ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ไม่มีการนัดหมายล่วงหน้า
หันมามองพฤหัส
เห็นเขากำลังจ้องเขม็งก็หลบตา
“อยู่ในห้องอย่าออกไปไหนนะ”
ตระหนักในบัดนั้นว่าตน ‘หน้ามืด’ เพียงใดจึงกล้าพาเขาเข้าบ้านได้อย่างนี้
ยามถลำตัวเผลอไผลนั้น ราคะไม่เคยปรานี ไม่เคยใจดีผ่อนผัน
แต่หล่อนสาบานว่าจะไม่มีครั้งที่สองเป็นอันขาด
เพิ่งรู้เหตุผลว่าทำไมบริการม่านรูดถึงขายดีนัก ทั้งที่เดี๋ยวนี้เสี่ยงยิ่งต่อการกลายเป็นดาราหนังโป๊ที่ถูกลักลอบถ่ายทำโดยไม่รู้ตัว
พฤหัสบีบสองไหล่มนของหญิงสาว
“อีกนิดได้ไหมก่อนลงไป”
อเวราปัดมือเขาออกอย่างแรงพร้อมตวาดเบาๆ
“อย่าทำทุเรศน่า!”
หญิงสาวลุกขึ้นฉวยผ้าเช็ดตัวจากราวตาก
และเนื่องจากห้องน้ำรวมอยู่ด้านนอก หล่อนจึงจำเป็นต้องค่อยๆแง้มประตูก่อนก้าวออกไป
เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครบังเอิญยืนอยู่แถวนั้นแล้วมองลอดเข้ามาเห็นพฤหัสนอนอยู่บนเตียง
เคยเข้าห้องน้ำเพื่อสะสางกายล้างคราบความเหนียวตัวออกจากเนื้อหนัง
แต่ยามนี้อเวรารู้สึกชัดว่านอกจากต้องการ ‘ชำระสิ่งสกปรก’ ออกจากร่างก่อนมีหน้าไปพบใคร
หล่อนยังอยากทำยิ่งกว่านั้นคือ ‘ชะล้างมลทิน’ ออกจากใจ แต่ก็ตระหนักว่าทำเช่นนั้นกันในห้องน้ำไม่ได้
กลับเข้าห้องนอน
เลือกชุดที่ปกปิดมิดชิดเป็นพิเศษแล้วแอบแต่งตัวข้างตู้เสื้อผ้า
ระหว่างนั้นก็สั่งคู่ขา
“ถ้าจะออกไปเข้าห้องน้ำก็แง้มประตูดูลาดเลาดีๆก่อนล่ะ
เดี๋ยวมืดกว่านี้จะมีทยอยกลับมากันอีกสองสามคน ล็อกห้องด้วย
เพราะบางทีชอบมีใครถือวิสาสะเข้ามารื้อซีดีไปฟัง… ดึกๆพอคนหลับกันแล้วเธอค่อยแอบย่องออกไป”
พฤหัสเดินเข้ามาตระกองกอดจากเบื้องหลัง
“กลับมาเร็วๆนะพี่เค้ก”
อเวราขมวดคิ้วหงุดหงิดกับการถูกแตะต้องในยามนี้
คำขอของเขาเหมือนเด็กเรียกร้องจะเอาของเล่นไวๆดังใจนึกน่ารำคาญ
“เธออย่าทำรุ่มร่ามน่า เห็นอยู่ว่ามีคนกลับบ้านแล้ว”
“เอ๋อ… บ้านนี้ติดกล้องไว้ส่องดูข้ามห้องว่าใครกำลังกอดกันได้ด้วยเหรอะ?”
หญิงสาวอดหัวเราะไม่ได้
“มันก็รู้สึกไม่ดีแหละ ตอนนี้ไม่ใช่บ้านว่างแล้ว… ปล่อยเร็ว”
หล่อนสั่งพร้อมกับดิ้นให้พ้นจากวงแขนของเขา
เด็กหนุ่มเลิกคิ้ว ปล่อยให้หญิงสาวหลุดรอดอ้อมกอดไปโดยไม่เหนี่ยวรั้งอีก
อเวราออกจากห้องด้วยใจไม่ปกตินัก
เหมือนต้องเดินในบ้านของตัวเองแบบลักลอบหลบๆซ่อนๆชอบกล กลัวใครรู้ว่าหล่อนแอบเอาผู้ชายขึ้นมานอนบนห้อง
ภาวนาอย่าให้พฤหัสทำเสียงกุกกักเป็นพิรุธเลย
พ่อกับอาธนิตกำลังนั่งคุยกันที่โต๊ะทานข้าว
พอเห็นหล่อนเดินลงมาอาธนิตก็ทักทายก่อน
“ว่าไง! เค้ก”
หญิงสาวพนมมือไหว้เกร็งๆ
“สวัสดีค่ะอา”
“อาเลยมาปลุกเค้กนะ แย่จริง เห็นพ่อบอกว่าเราหลับอยู่”
“อ๋อ… ไม่เป็นไรค่ะ”
ยิ้มเจื่อนกัดฟันตอบ
“นั่นกีตาร์ใครน่ะ? วางอยู่ข้างโซฟา”
ผู้เป็นบิดาถามลอยๆแบบไม่ตั้งใจเอาคำตอบจริงจังนัก
แต่ทำเอาอเวราถึงกับหน้าถอดสี
“เอ้อ… อ้อ… กีตาร์หรือคะ เค้กยืมรุ่นน้องมาหัดเล่นน่ะค่ะ เกิดนึกสนุกขึ้นมา
แต่พรุ่งนี้เอาไปคืนดีกว่า เล่นแค่นิดหน่อยเจ็บนิ้วไปหมด”
ปกติหล่อนไม่ใช่คนชอบโกหก
เมื่อจำต้องโกหกจึงไม่สนิทแนบเนียนนัก คือออกอาการก้มหน้าเกาจมูกเหมือนอยากซ่อนเร้น ‘ตัวมุสา’ ที่กระโดดพ้นริมฝีปากออกมาพร้อมกับคำพูด
อเวรานึกถึงคำพูดบางคำของรสริน
ที่ว่าปากกับใจมนุษย์ไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ร่วมมือกันโกหก เห็นได้จากความติดขัด
อ้าปากยากขณะมีจิตคิดบิดเบือนความจริง คล้ายปากเกิดสภาพบิดเบี้ยวตามจิตไปด้วย
ทว่าสำหรับผู้เป็นบิดา
กีตาร์เป็นเรื่องเล็กเกินกว่าจะสังเกตเห็นพิรุธที่ฉายเต็มหน้าเต็มตาลูกสาว
แค่กวักมือเรียกให้มานั่งคุยเรื่องธุระการงานโดยไม่เหลียวไปทางกีตาร์อีกเลย
อเวราใจเต้นไม่เป็นส่ำ
เพศสัมพันธ์กับหนุ่มรุ่นน้องบาปหรือไม่บาปไม่รู้
แต่การด่วนได้ไม่รู้จักกาลเทศะต้องมีความผิดอยู่แน่ๆ เพราะถ้าไม่ผิดคงไม่ต้องปิดบัง
และถ้าไม่ปิดบังคงไม่ต้องมุสา หลายเดือนที่ผ่านมาหล่อนถูกรสรินพูดกล่อมให้ถือศีล ๕
สำเร็จ จิตใจสะอาดปลอดโปร่งมาระยะหนึ่ง
พอต้องฝืนใจโกหกมดเท็จจึงเหมือนสาดโคลนใส่ผ้าขาวที่อุตส่าห์ลำบากซักรีดและจัดเก็บกับมือมาอย่างดี
น่าเสียดาย เพราะแม้โคลนหย่อมน้อยก็ทำให้ต้องเสียเวลาซักรีดกันใหม่อีก
เซ็กซ์เป็นเรื่องบาดใจ
ยามที่คนสองคนกลัดมันพอจะตะกายขึ้นเตียงร่วมสนุกกันสุดเหวี่ยงแบบกะทันหันนั้น
อุปสรรคหรือข้อจำกัดทั้งหลายกลายเป็นเรื่องขี้ผงไปหมด
แต่ยามเมื่อกระบวนกามจบลงแล้ว ร่องรอยทั้งหลายมักเตือนให้รู้สึกถึงความ ‘ผิดปกติ’ ที่ผ่านไปได้อย่างดี
หล่อนเพิ่งกังวลเดี๋ยวนี้เองว่าพ่อจะอกไหม้ไส้ขมขนาดไหนถ้าทราบว่าลูกสาวคนดีทำงามหน้า
เอาเด็กรุ่นน้องมาทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงถึงบนบ้าน
คุยกับอาธนิตแบบไม่ค่อยปะติดปะต่อ
ต้องถามซ้ำเช่น ‘อะไรนะคะ?’ หลายหน ทั้งนี้ก็เพราะในหัวมีแต่ความหมกมุ่นครุ่นคิดไปทางอื่นจนเหม่อลอย
หล่อนรู้แก่ใจว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่ผิดพลาดเกิดขึ้นในบ้านหลังนี้
และมันก็เริ่มจากที่มีความผิดพลาดบางอย่างเกิดขึ้นในใจหล่อนก่อน
สังหรณ์ชอบกล
ไม่รู้เหมือนกันว่าสังหรณ์อะไร…
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น