ตอนที่ ๓๓ คนพาล
พฤหัสขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด ความผิดปกติของอเวราทำให้เขางุ่นง่านกระวนกระวายอยู่ไม่สุข นึกเดาไปต่างๆ นานาว่าเกิดอะไรขึ้นอเวรายังไม่รู้เรื่องชะตาเล่นตลกพัดพาเขาไปหาหลานสาวหล่อนอย่างแน่นอน เพราะเขายังคุยกับละอองฝนทุกวันเป็นปกติ แต่จู่ๆ ทำไมคิดตัดสวาท สะบั้นสัมพันธ์ระหว่างกันทิ้ง นั่นยังคงเป็นปริศนา คิดไปคิดมาก็น่าจะมีอยู่เรื่องเดียว คือกรณีเขาดันละเมอเรียกชื่อทรายออกมากลางดึก หล่อนเห็นเขามีคนอื่นในใจ ก็อาจเอาอย่างบ้างให้สมน้ำสมเนื้อกันกระมัง
เขาไม่สนใจว่าอเวราจะมีใครใหม่ สนแต่ว่าวันนี้หล่อนมีความหมางเมินเย็นชากับเขาอย่างผิดปกติ และนั่นอาจหมายถึงความรู้สึกที่เป็นลบต่อกัน ซึ่งจะปล่อยเลยตามเลยไม่ได้ เพราะหล่อนดันเป็นญาติสนิทกับแก้วตาดวงใจของเขา วันดีคืนดีอเวราอาจปูดเรื่องเขาขึ้นมาโดยบังเอิญ เช่นถามณชะเลเล่นๆ ว่ารู้จักคนชื่อต่อยไหม มีคนชื่อต่อยละเมอหา...
คงไม่รู้จะเอาหน้าไปมุดที่ไหน หากณชะเลบอกว่ารู้จักอยู่ต่อยหนึ่ง กำลังตามจีบละอองฝนอยู่ เพียงอเวรายื่นโทรศัพท์มือถือให้ดูรูปเขาแล้วถามว่าต่อยนี้ใช่ไหม? ทุกอย่างก็จบสนิทกัน
๒๙๐
และคงเป็นเรื่องบัดสีบัดเถลิงขนานแท้ หากณชะเลเกิดตั้งคำถามขึ้นมาว่าได้ยินนายต่อยละเมอชื่อทรายที่ไหน อเวราคงพรั่งพรูหมดสิ้นด้วยความคับแค้น ว่าได้ยินกับหู... บนเตียง... กลางดึกสงัด...
ทุกวันนี้ก็ไม่กล้าเยี่ยมหน้าไปที่บ้านณชะเลอีกเลย ทั้งที่คิดถึงใจจะขาด กลัวเกิดเหตุรถไฟชนกันเข้าจังๆ และคราวต่อไปอาจไม่โชคดีเท่าคราวก่อน ที่รอดตัวได้ราวกับมีมือลึกลับยื่นลงมาช่วยบังตาใครต่อใครให้
ทราบจากจองฤกษ์ว่าณชะเลเกลียดคนเจ้าชู้ อยากห่างเพลย์บอย เขาไม่ต้องการให้หล่อนเสียความรู้สึก เดาได้ว่าคงกระอักกระอ่วนพิลึกหากทราบว่าน้าสาวคนสนิทเคยเป็นคู่นอนของเขา
คิดไกลหลายตลบ ถึงณชะเลจะไม่ถือสา หรือถึงแม้โชคดีณชะเลพึงใจที่รู้ว่าเขาละเมอหาหล่อนกลางดึก อย่างไรอเวราก็คงไม่ปล่อยให้เขาตีสนิทกับหลานสาวโดยสะดวกดายเป็นแน่ เขาคงโดนใส่ไฟไม่ยั้ง ในเมื่อความรู้สึกที่มีต่อเขาเป็นลบเสียแล้ว
เพราะอเวรา ชีวิตเขาจึงเหมือนต้องเต้นในเตาอบไม่เลิก
ขบฟันแน่น เข้าใจอารมณ์คนอยากกำจัดสิ่งกีดขวาง แต่เสียดายยังไม่เหี้ยมขนาดเข้าใจอารมณ์เพชฌฆาต นั่นทำให้พฤหัสสงสารตัวเองจับใจ เสียดายที่เขาไม่ใช่คนเลว จึงเฝ้าคิดแต่ว่าแค่นี้เรื่องเล็ก สมควรทนไปก่อน
แต่เอ... เรื่องเล็กแน่หรือ?
เขาอยากได้ณชะเลอย่างไม่เคยอยากอะไรเท่า ฝันถึงหล่อนเกือบทุกคืน บางคืนเป็นตุเป็นตะเยิ่นยาวยืดเยื้อ ตื่นนอนทีไรสับสนงุนงงทุกทีว่ารู้จักสนิทกับหล่อนจริงๆ หรือยัง ฝันยามหลับไม่พอ ยังฝันกลางวันต่อราวกับคนเป็นโรคจิต
จากคนรักใครไม่เป็น จากคนหัวใจกระด้าง จากคนไม่เห็นคุณค่าของผู้หญิงมากไปกว่าตุ๊กตายาง บัดนี้เขากลายเป็นคนโหยหารักแท้ และเข้าใจความรู้สึกนึกคิดของคนบ้ารักที่พร้อมแลกทุกสิ่ง แม้กระทั่งวิถีชีวิตเสเพลแบบเดิมๆ ขอเพียงให้ได้หล่อนมา
อย่างนี้น่ะหรือเรื่องเล็ก? เรื่องใหญ่ที่สุดในชีวิตล่ะไม่ว่า!
หากโลกนี้ยังมีอเวรา เขาก็จะไม่มีวันได้ตัวณชะเลมา สิ่งใดขัดขวางไม่ให้ได้ตัวณชะเลมา สิ่งนั้นควรถูกสำคัญว่าเป็นโจทย์ข้อใหญ่ที่สุดเช่นกัน
วูบหนึ่งพฤหัสคิดถึงคำชักชวนของสิงคารและฉาดฉาน ที่จะดึงเขาเข้าร่วมขบวนการค้ามนุษย์ วูบนั้นเกิดอาการคันไม้คันมือขึ้นมาอย่างแรง เขาอยู่ในดงนักเลงผู้หญิงมานานจนคุ้นกับบรรยากาศของโลกสีเทา ไม่แม้แต่จะแปะป้ายให้สิงคารกับฉาดฉานเป็นอาชญากร เพราะถูกสอนให้เห็นว่าทุกคนมีเรื่องจำเป็นต้องทำเพื่อการอยู่รอด และอยู่รอดอย่างมีระดับด้วย ไม่ใช่แค่คิดอยู่รอดแบบคนกระจอก
“เฮ้ย! ต่อย!”
เสียงเรียกพร้อมน้ำหนักมือที่ตบลงมาบนบ่าหนักๆ ทำให้พฤหัสสะดุ้งโหยง และยิ่งประสาทกระตุกเมื่อคนทักคือเจ้าเพื่อนยากที่กำลังอยู่ในห้วงคำนึงนึกถึงพอดี
“ไอ้ฉาน! เรียกดีๆ ไม่ได้รึไงวะ? คราวหลังระวังเจอระบบประสาทอัตโนมัติดีดลงไปกองนะมึง”
๒๙๑
ฉาดฉานเตี้ยกว่าเขา หุ่นก็ไม่ออกแนวนักกีฬาอย่างเขา แต่อะไรบางอย่างในประกายตาคมปลาบและรอยยิ้มเย็นของหมอนั่น ทำให้เขารู้สึกตะครั่นตะครอได้ทุกครั้งยามมองสบกันตรงๆ และที่เขาแกล้งโวยวายพร้อมทำเป็นฉุนหน่อยๆ เมื่อถูกทัก ก็เพื่อกลบเกลื่อนท่าทีหวาดผวาที่อาจหลุดๆ ไปให้เจ้าตัวดีเห็นเท่านั้น
“โถ! ขวัญอ่อน กำลังใจลอยหาใครอยู่”
ฉาดฉานสัพยอก
“เรื่องของกู!”
“เฮ่ย! เรื่องของมึงก็เรื่องของกูเหมือนกันแหละน่า”
สุ้มเสียงที่ให้ความอบอุ่นเยี่ยงมิตรสนิทนั้นทำเอาพฤหัสอ่อนยวบลงทันตา
“กลุ้มใจว่ะ”
“เล่าให้กูฟังหน่อยดิ้ ไปนั่งโน่นไป”
ขณะนั้นเป็นเวลาโรงเรียนเพิ่งเลิก จึงเต็มไปด้วยผู้ปกครองและนักเรียนชุลมุน ที่นั่งตามทางเดินเต็มหมด จึงต้องเลือกบันไดทางขึ้นตึกใหญ่เป็นที่หย่อนก้น
“เรื่องเดิมล่ะสิ...” ฉาดฉานเปิดฉาก “หญิงใหม่ไม่คืบหน้าเพราะติดหญิงเก่า?”
“เออ...” พฤหัสรับเสียงอ่อย “กูรู้สึกเหมือนกำลังตาบอด หญิงใหม่นี่กู... จริงจังมาก บอกไม่ถูก กูหลงจนไม่เป็นอันทำอะไร ปวดแสบปวดร้อนไปหมด อย่างกะเป็นไก่อ่อนแน่ะ อย่าด่ากูล่ะ”
“ด่าทำไม กูก็เคยเป็น” ฉาดฉานพูดนิ่มๆ “กูเชื่อว่าผู้หญิงบางคนมีความหมายเกินกว่าจะมัวกลัวเสียฟอร์ม ยอมรับไปเถอะวะว่านี่แหละของวิเศษ มันทำให้ชีวิตเรามีความหมายมากขึ้น อย่างน้อยก็ใจถึงพอจะยอมทำอะไรบ้าๆ มั่ง”
คำพูดแค่ไม่กี่คำของเจ้าเพื่อนหน้าหยกถึงกับสลายความเครียดลงได้เกินครึ่ง นอกจากฉาดฉานจะไม่เห็นเขาเป็นตัวตลก ยังเข้าข้างเขา ช่วยให้เขาเลิกโทษตัวเอง เลิกคิดว่าตนเองบ้าบอเป็นไก่อ่อนอีกต่างหาก
“บ้าที่สุดเพื่อหญิงของมึงนี่คืออะไร?”
พฤหัสถามยิ้มๆ
“ก็... ฆ่าใครสักคนทิ้ง”
เสียงตอบนั้นเย็นสนิท เย็นจนพฤหัสไม่แน่ใจว่าเป็นการพูดเล่นหรือพูดจริง
“มึงเคย?”
ฉาดฉานผงกศีรษะด้วยอาการปกติเหมือนยอมรับว่าเคยตกปลา และนั่นก็มีผลให้พฤหัสกลืนน้ำลายแทบไม่ลง ไม่กล้าถามย้ำ เพราะเชื่อว่าเจ้านี่ใจถึงจริง
ในสังคมแบบหนึ่ง ความดีความชั่วเป็นเรื่องล้าสมัย ตัดสินยากว่าใครถูกใครผิด สู้แข่งกันเรื่องความกล้าบ้าบิ่นไม่ได้ ทันสมัยกว่ากันเยอะ ตัดสินง่ายด้วยว่าใครเจ๋งกว่าใคร เขาใกล้ชิดกับสังคมชนิดนี้มาตั้งแต่เด็ก ฉะนั้นเวลาฟังว่าใคร
๒๙๒
ทำอะไร ‘แรงๆ ’ จึงไม่ค่อยนึกว่านั่นเรียกดีหรือชั่ว แต่สิ่งที่ทำลงไปคล้ายเป็นมาตรวัดความใจถึงหรือความบ้าดีเดือดเสียมากกว่า
ช่วงต้นชีวิตที่เริ่มจำความได้ ก็ได้ยินพ่อพูดในร้านอาหารริมเจ้าพระยาซึ่งมีระเบียงยื่นล้ำออกไปในแม่น้ำมากกว่าใครอื่น โดยพ่อชมเชยเจ้าของร้านว่า ‘เก่งแฮะ’
คำชมชนิดนั้นคล้ายเสาเข็มที่ปักลงมาบนพื้นฐานชีวิตของเขา และยังมีเสาอื่นๆ อีกที่ตอกย้ำครั้งแล้วครั้งเล่า ทำให้เขาเห็นกฎบัตรกฎหมายบ้านเมืองเหมือนรั้วที่มีไว้ให้พิสูจน์ความสามารถในการแหก ใครเก่งกว่าก็แหกได้มากกว่า
พ่อเป็นบันไดขั้นแรก เพื่อนฝูงรอบตัวเป็นบันไดขั้นต่อๆ มา เขาขึ้นบันไดชีวิตมากับความไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก รู้แต่ว่าใครเจ๋งใครไม่เจ๋ง
แต่กระนั้น ที่ผ่านมาพฤหัสก็ไม่ได้คบสนิทกับกลุ่มตีรันฟันแทง ไม่เคยร่วมก๊วนยกพวกไปกระทืบกัน ฉะนั้นเรื่องฆ่าแกงจึงเป็นอีกระดับของความใจถึงซึ่งเขายังไม่คุ้น
“มันมากเกินไปรึป่าววะ?”
ถามเพื่อนด้วยสีหน้าเกรงๆ อยู่ในที
“อะไรคือมากหรือน้อยไปล่ะต่อย?”
“ชีวิตคน เกิดหนเดียว ตายหนเดียว อยู่ๆ มึงไปทำให้เขาตายก่อนกำหนด มันต้องนับเป็นเรื่องใหญ่ซิ”
“มองไปรอบๆ นะ...” ฉาดฉานเพ่งสายตานำไปสู่สนามบาสเกตบอลที่มีการชิงลูกกันอย่างเอาเป็นเอาตาย “มึงจะรู้ว่าทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยการแย่งชิง ทั้งในเมืองและในป่า ทั้งมนุษย์และสัตว์ ต่างก็อยากได้อะไรอย่างหนึ่งเสมอ และยอมแบ่งปันให้ใครไม่ได้ซะด้วย สำหรับช่วงวัยเรา อะไรจะสำคัญไปกว่าหญิง? กูเชื่อว่าการตามใจตัวเองไม่ใช่เรื่องผิด ตรงข้าม ถ้าหัวใจสั่งอะไรแล้วมึงไม่ทำตาม ใจมึงจะเสาะลงเรื่อยๆ แล้วในที่สุดก็ไปไม่ถึงไหน ไม่ได้อะไรมาเป็นสมบัติสักอย่าง”
“แล้วถึงกับต้องฆ่าทิ้งเลยเหรอะ ไม่แข่งกันดีๆ วะ? อย่างมึงถ้าเอาจริง ใครมันจะสู้ไหว”
“มันรวย มันหล่อ มันปากหมา ทำให้กูรำคาญ!”
“สรุปคือนอกจากเรื่องแข่งแล้วยังมีเรื่องแค้น?”
“ใช่!”
พฤหัสมองเพื่อนตาค้าง ความแค้นอย่างเดียวเป็นเหตุผลที่เพียงพอกับการก่ออาชญากรรมทุกระดับ และทุกวันนี้ก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอีกแล้วที่มนุษย์ยุคอินเตอร์เน็ตจะฆ่ากันด้วยเหตุเพราะแค้นเพียงเล็กน้อย แต่เขานึกไม่ถึงเท่านั้นว่าเพื่อนรักจะเคยก่อวีรกรรมชนิดนี้ด้วย เด็กหนุ่มเสยผมทีหนึ่งก่อนร้องสดุดี
“โอ้จอร์จ! มึงแน่มาก”
ฉาดฉานยิ้มขรึม เรื่องราวที่เป็นคดีชนิดพาตัวเข้าคุกได้มักถูกเล่าออกมาอย่างสะดวกปากในหมู่วัยรุ่น ส่วนใหญ่เป็นการคุยโม้เกินจริงเพื่อประกาศศักดาว่าข้าแน่ แต่สำหรับเขาแล้ว นี่ไม่ใช่แค่ความปากพล่อยเพื่อสร้างภาพน่าเกรงขาม
๒๙๓
เล่นๆ เขากำลังพยายามชักชวนเพื่อนมาทำงานหาเงินด้วยกัน ก็ต้องวาดให้เห็นว่าถ้าทำเพื่อความรักเสียอย่าง แม้การฆ่าแกงยังเป็นเรื่องขี้ผง เขารู้ดีว่าเพื่อนกำลังหมกมุ่นบ้ารัก และตระหนักว่าความบ้ารักจะทำให้คนเราตรึกตรองน้อยลง มอมเมาให้คล้อยตามในเรื่องโลดโผนโจนทะยานได้ง่าย จึงจี้กันด้วยจุดนี้
“มึงติดอุปสรรคอะไร ก็กำจัดอุปสรรคนั้นทิ้งสิวะ รีรออะไร”
พฤหัสอึ้งคอแข็งอย่างรู้ว่านั่นเป็นอีกครั้งที่ฉาดฉานชวนให้ทำเรื่องระทึก นั่นแสดงถึงเจตจำนงจริงจัง มิใช่การชวนเล่นขายของ เขาตัวชามือเท้าอ่อน ที่ผ่านมามีหลายวูบที่ตกลงใจจริงจังว่าจะจัดการ ‘กำจัดอุปสรรค’ ตามคำแนะนำอันจะสร้างเงินแสนเป็นของแถมอยู่เหมือนกัน แต่ทว่าพอมาเจอของจริง ต้องตกลงใจอย่างจะเซ็นสัญญากันจริงๆ ก็รู้ว่าตนยังไม่ใจเด็ดขนาดนั้น
“แหม้... ใจคอมึงจะให้กู... เหมือนจับคนเก่าโยนลงบ่อจระเข้เลยเหรอะ? เขาก็เคยให้ความสุขกะกูไม่ใช่น้อยนา”
รู้ว่าตนเองเสียงแหบพร่าอย่างน่าสมเพช เห็นมุมปากของฉาดฉานเหยียดออกไปนิดๆ และนั่นก็ก่อให้เกิดภาพยิ้มอำมหิตต่อสายตาพฤหัสจนใจคอไม่ดี
“เขาก็จะไปมีความสุขต่อไงล่ะ มึงนึกว่าธุรกิจที่อามู่ทำคือการจับไปฆ่าเหรอะ? ไม่ใช่อย่างนั้นหรอก”
พฤหัสกระเดือกน้ำลายลงคออึกหนึ่ง เกิดความอยากรู้อยากเห็นจนต้องซัก
“จะเกิดอะไรขึ้นกับผู้หญิง?”
ฉาดฉานยื่นหน้ามาใกล้เพื่อนกว่าเดิมเล็กน้อย เพื่อตอบอย่างชัดเจน แต่ไม่ให้แพร่งพรายไปในอากาศ
“ตอนนี้มียาอยู่ตัวหนึ่ง กินแล้วครึ่งหลับครึ่งตื่น ไม่เป็นตัวของตัวเอง แล้วก็อยากเล่นกับผู้ชายบ่อยๆ ”
พฤหัสหัวเราะหึหึ แทรกว่า
“ยาแบบนี้เหมือนกำลังโปรยในอากาศทั่วโลกอยู่แล้วนี่”
ฉาดฉานหัวเราะหึหึบ้าง
“นั่นแหละ ผู้หญิงสมัยนี้ไม่คิดอะไรมากอยู่แล้ว เพราะงั้นก็ใช้ประโยชน์จากพวกหล่อนซะ อามู่รู้จักกับเครือข่ายที่ติดต่อกับเศรษฐีแขก กำลังมีออเดอร์เยอะเลย”
“พอไปถึงที่ ผู้หญิงก็ต้องโวยวาย ร้องแรกแหกกระเชอบ้านแตก”
“ไม่หรอก บอกแล้วมียาดี เสพแล้วขาดไม่ได้ ความเป็นอยู่พวกเธอจะดีกว่ามึงกะกูเยอะ มีชีวิตแบบเจ้าหญิงในวังหรู กูเห็นรูปถ่ายแล้ว เหมือนทัชมาฮาลเลย ทุกคนเป็นอิสระ ไม่ต้องทำงานหน้าดำคร่ำเครียด”
“ถ้าเป็นอิสระ แล้วเกิดติดต่อกลับมาหาญาติ กูก็ซวยดิ้”
“ไม่หรอก จะมีอยู่ประเภทหนึ่งที่เขาล็อกไว้ ไม่ให้ติดต่อกับโลกภายนอก”
พฤหัสลำคอแห้งผาก
“ถูกขู่ฆ่าไว้?”
๒๙๔
“แหงล่ะ มีชิปติดตามตัวฝังอยู่ลับๆ ด้วย”
พฤหัสเอียงหน้าสงสัย
“พอแก่แล้วทำไง?”
“ก็ปล่อยกลับบ้านมั้ง... แต่ป่านนั้น มึงก็สมใจกะหญิงใหม่แล้วไง”
“ไม่ใช่แก่แล้วฆ่าทิ้งนะ?”
“เขาจะทำอย่างนั้นทำไมวะ” ฉาดฉานตอบหัวเราะๆ เหมือนปลอบเด็ก “มึงก็บอกเองว่าหญิงเก่าของมึงหน้าอ่อน ท่าทางเฉายาก แล้วคุณสมบัติต่างๆ ก็เข้าสะเป๊กทุกประการ พ่อแม่เขาก็ไม่เคยเห็นหน้ามึงซักทีนี่ใช่ไหม?”
“พวกเราคบหญิงก็ไม่เคยให้พ่อแม่เธอๆ รู้จักหน้าอยู่แล้วนี่หว่า”
“เห็นไหมล่ะ การทำตัวลึกลับไม่ให้ญาติเจ้าหล่อนรู้จักมันดียังไง หายตัวไปก็ไม่มีทางเชื่อมถึงมึงได้หรอก... ในที่สุดทุกคนจะเป็นสุข วินวินโว้ย อีได้ไปอยู่คฤหาสน์ ส่วนมึงก็มีเงินใช้ แล้วอามู่ก็รับส่วนแบ่ง และยังมีเครดิตที่ดีกับเครือข่ายต่อไป”
ฉาดฉานเว้นวรรคดูท่าทีของเพื่อน พอเห็นพฤหัสคิดหนักก็กล่อมต่อ
“มึงกลุ้มเรื่องความต้องการของตัวเองเถอะวะ เหมือนไอ้พวกที่เล่นบาสมันกลุ้มเรื่องเอาลูกให้ข้างตัวเอง ต่างคนต่างไม่ปล่อยให้คนอื่นแย่งไป แล้วก็รู้ไว้ซะ มีหญิงสมัครใจไปทำเองเยอะแยะ เด็กมึงไม่เหงาหรอก รับรอง”
“นั่นดิ้ ถ้ามีเยอะแล้วทำไมต้องมาหาอย่างนี้ด้วยล่ะ?”
“เป็นออเดอร์พิเศษ มีคลาสหน่อย กำลังฮอตฮิต ราคาแพง”
“อ้อ... อยากรู้จังว่าแพงเท่าไหร่แน่ ถ้ากูได้สี่แสนเป็นส่วนแบ่ง แสดงว่าอามู่ต้องได้มากกว่านั้นอีกเยอะสิวะ?”
“ก็ใช่ ยอมรับ... แต่ทำครั้งแรกยังระดับบริวารโว้ย ต้องมีแต้มสะสมเยอะๆ ก่อนซิ ค่อยเขยิบขึ้นไปโกยมากแบบอามู่”
พฤหัสถอนใจยาว คล้ายเงาบางอย่างแวบผ่านไปผ่านมา บอกไม่ถูกว่าคืออะไร อยู่ข้างนอกตัวหรือในตัว รู้แต่ว่าเกิดความกดดันในอก ลำคอตีบตันกลืนน้ำลายไม่ค่อยลง
“กูต้องทำไง?”
“ก็... อาศัยความใกล้ชิด ค่อยๆ อัดยา เพราะต้องทำให้ติดสักระยะหนึ่งก่อนถึงจะพาตัวไปได้ง่ายๆ เงียบๆ ถ้าดื้อแล้วต้องเหนื่อยกันยาว หรืออาจทำให้สินค้าช้ำ... เอานะ?”
ผู้ถูกชักชวนทำหน้าครุ่นคิดหนักหน่วงที่สุดในชีวิต แต่นั่นก็ดูจะเป็นสิทธิ์ขาดอันชอบธรรมที่เขาต้องตัดสินใจเอาเองเพียงคนเดียว ขึ้นอยู่กับว่าใจถึงหรือไม่ถึงเท่านั้น
เริ่มต้นทุกคนปฏิเสธความชั่วที่เกินตัวเสมอ แต่จิตใจมีสิทธิ์แปรปรวนไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะบนทางลาดลงต่ำที่เดินๆ กันอยู่ ถึงจุดหนึ่งความชั่วที่เกินตัวก็ดูกลายเป็นการกระทำสามัญที่ไม่น่ารังเกียจเกินไปนัก
๒๙๕
“ขอกูคิดดูก่อน”
นั่นเป็นคำที่เล็ดออกมาแบบครึ่งขลาดครึ่งกล้า
“อย่าช้านะ เพราะถ้าออเดอร์หมด ส่วนแบ่งของมึงจะไม่มากเท่านี้”
พอถูกจี้ท่านั้น พฤหัสก็ทำหน้าเครียดพักใหญ่ แล้วคลี่คลายออกเป็นหัวเราะกร่อยๆ
“ทำงี้มึงว่าต้องไปรับกรรมในนรกหรือเปล่าวะ?”
“เหอะๆ ถามใจตัวเองที่กำลังอยู่กับความเป็นจริง มึงเชื่อว่ามีเหรอะ?”
พฤหัสคิดครวญ เหลือบตามองฟ้า มองต้นไม้ มองผู้คน และสิ่งแวดล้อมรอบตัวที่จับต้องได้ ก่อนแค่นหัวเราะส่ายหัวไปมา ตอบหนักๆ ว่า
“ไม่เชื่อว่ะ!”
เย็นวันต่อมา อเวราต้องหงุดหงิดตั้งแต่ยังไม่เลิกงาน เมื่อประชาสัมพันธ์ด้านล่างโทร.ขึ้นมาบอกว่ามีนักเรียนหนุ่มมารอพบ
นี่เป็นครั้งแรกที่พฤหัสบุกถึงออฟฟิศ หล่อนแทบทำอะไรไม่ถูก ยามเมื่อสิ้นศรัทธา เลิกบูชากามารมณ์เป็นใหญ่ ก็เหมือนกลับคืนสู่ภาวะปกติ และภาวะปกติของหล่อนคือการเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่ง ที่รู้สึกว่าการคบหาเด็กนักเรียนซึ่งยังนุ่งขาสั้นนั้น น่าอับอายขายหน้าเหลือทน
ตอนราคะบดบังสติปัญญา ทุกอย่างเกิดขึ้นได้จริงๆ ยามนี้พอมองย้อนกลับไป ก็เห็นแต่ความเหลวแหลก น่ารังเกียจ พาให้รู้สึกเกลียดตัวเองมาก
ใช้มือถือของตนต่อเข้ามือถือของพฤหัสโดยตรง พอเขารับก็ถามเสียงขุ่น
“มีธุระอะไร?”
“เย็นชามาเลยเชียว... ก็แค่คิดถึง ไม่ได้เจอกันหลายวันแล้ว นี่ผมขอขึ้นไปที่ชั้นของพี่เค้ก เขาก็ไม่ยอมให้ผ่านประตูน่ะ”
ความเครียดจับใบหน้าทันควัน อเวราปิดตาขบริมฝีปากแน่น เงียบพักใหญ่เพราะคล้ายการรับรู้ทั้งมวลขาดหายไปชั่วคราว ก่อนคุมสติได้ในเวลาต่อมา
“ขึ้นลิฟต์ทางปีกซ้ายไปที่จอดรถชั้น ๕ รอตรงประตูทางออก อีกไม่เกินสิบนาทีเจอกัน”
“โอเค! แล้วเจอกันครับพี่เค้ก”
หัวใจหญิงสาวเต้นระส่ำไม่ถูกจังหวะ ร้อนรุ่มกลุ้มใจจนมือไม้สั่นงกๆ เงิ่นๆ เห็นได้ชัดว่าเขามาด้วยท่าทีราวี และจะไม่ถอยฉากไปจากชีวิตหล่อนง่ายๆ
น้ำเสียงไม่รู้คิดของพฤหัสเป็นเช่นนั้นมาแต่ไหนแต่ไร ทำไมหล่อนไม่เคยเงี่ยหูฟังให้ชัดๆ จะได้ตระหนักแต่เนิ่นๆ ว่าโลกของเขายังเล่นสนุกไร้สาระไปวันๆ ไม่คำนึงถึงความเสียหายของใคร อยากเอาอะไรเข้าตัวต้องเอาให้ได้
๒๙๖
มีงานเหลือค้างอีกเพียงนิดหน่อย อเวรารวบรวมสติ พยายามตั้งสมาธิสะสางให้เสร็จในสองสามนาที เพราะถ้าใช้เวลาเกินกว่านั้นหล่อนรู้ตัวว่าสมาธิจะขาดตอนและต่อติดยาก
รัวนิ้วพิมพ์งาน รัวจนเสร็จสิ้นแล้วเก็บข้าวของ เลิกงานก่อนเวลาเพียง ๑๐ นาทีคงไม่เป็นไร ขี้เกียจขอเจ้านาย แต่ฝากฝังกับเพื่อนข้างโต๊ะไว้
“อ้อย... เราต้องรีบล่ะ มีธุระด่วน”
“อือ ไปเถอะ”
เพื่อนร่วมงานสาวโบกมือไล่ทั้งยังถือกระบอกโทรศัพท์คุยกับคนอื่นค้างอยู่
อเวรามาถึงที่นัดหมายในเวลาเพียงอึดใจต่อมา ไม่สบตา ไม่หยุดทัก แต่เดินเลยร่างพฤหัสไปเปิดประตูรถและขึ้นนั่งประจำที่เลยทีเดียว
พฤหัสเดินตามมาแบบทอดน่องเอื่อยเฉื่อย ก้าวขึ้นรถด้วยอากัปกิริยาเป็นปกติ
“เธอจะเอาอะไร?”
อเวราถามโดยไม่หันมามอง และยังไม่สตาร์ทรถ
“เอาคำตอบจากพี่เค้ก ว่าพักนี้เป็นอะไรไป?”
เขาพยายามทำเสียงสบายๆ
“ก็ไม่เป็นอะไร เพียงแต่จู่ๆ ก็สำนึกว่าที่ผ่านมาเหมือนถูกผีสิง เพิ่งไล่สำเร็จเมื่อวาน”
“ผมน่ะงงจริงๆ พี่เพิ่งเช่าห้องเพื่ออยู่กับผมแท้ๆ ทำไม...”
“นั่นแหละ เพราะห้องนั่นแหละ ทำให้พี่เข้าใจความรู้สึกตัวเองมากขึ้น ว่ามันต้องไม่ใช่อย่างนี้” แล้วหล่อนก็หันหน้ามามองเขา “ให้เราเป็นพี่น้องกัน ให้พี่รักเธออย่างถูกรุ่นเถอะ บอกซ้ำอีกครั้งว่าพี่ไม่เสียใจแม้แต่นิดเดียวกับสิ่งที่ผ่านมา แต่จะเริ่มเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปอย่างขาดสำนึกแล้ว”
พฤหัสแค่นยิ้ม
“เอาล่ะ... ผมก็ไม่นึกว่าละเมอชื่อทรายออกมาทีเดียวจะเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ พี่เค้กถามผมว่าคนชื่อทรายสวยมากไหม งั้นผมยอมเอารูปให้ดูก็ได้” เด็กหนุ่มยกโทรศัพท์มือถือให้ดูรูปสาวน้อยนางหนึ่ง หน้าหวานปานน้ำตาลเคลือบ “และผมจะโทร.คุยกับเธอให้พี่ฟังเดี๋ยวนี้ ว่าต่อไปผมกับเขาไม่มีอะไรกันอีกแล้ว”
นั่นเป็นเพียงแผนลวงตื้นๆ พฤหัสนัดแนะกับฉาดฉานไว้เรียบร้อย ให้เปิดเครื่องดัดเสียงเป็นผู้หญิงตอบเขาเมื่อโทร.หา
แต่สำหรับอเวรา เรื่องผู้หญิงอื่นของพฤหัสหาใช่ประเด็นสำคัญแต่อย่างใดไม่ หล่อนเพียงเหลือบตามองรูปนิดเดียวแล้วช้อนขึ้นสบกับเขาด้วยแววว่าง
๒๙๗
“ไม่เกี่ยวกันเลยต่อย พี่บอกแล้วว่าไม่ติดใจอะไร เธอต้องเข้าใจใหม่ดีๆ นะ พี่ขอให้เรายุติการคบหากันแบบชู้สาวอย่างนี้ ต่อไปถ้ายังรักจะคบกัน ก็ให้พี่เป็นพี่สาวของเธอ ไม่ใช่คู่นอนเหมือนที่ผ่านมา เราสองคนต่างก็ได้สิ่งที่ต้องการแล้ว ไม่ควรมีอะไรติดใจแล้ว เธอมีคนของเธออีกแยะ เชื่อแน่ว่าไม่เดือดร้อน เพราะงั้น... พอแค่นี้เถอะ”
พฤหัสก้มหน้ากัดปากเงียบเป็นครู่ คิดว่าจะเอาอย่างไรดี นึกฮึดอยากงัดใจจริงมาพูดไว้เชิงว่าเขาเองก็ไม่สนหล่อนแล้วเหมือนกัน แม้ไม่ถึงกับเบื่อ แต่ก็ไม่ถึงกับติดเป็นเฮโรอีนอย่างเมื่อแรก ไม่ได้อยากจะง้อหรอก ถ้าไม่ใช่มีเหตุจำเป็น!
“พี่เค้ก...” พูดพลางคว้ามืออีกฝ่ายมากุมและขอดื้อๆ “ไปคุยต่อที่ห้องกันเถอะ”
“คุยกันที่นี่แหละ”
ความแกร่งของมือพฤหัสไม่ให้ความรู้สึกอบอุ่นอย่างเคย ตรงข้าม กลับคล้ายคีมเหล็กที่เย็นเฉียบหรือเครื่องพันธนาการหน่วงเหนี่ยวที่น่าหดมือหนี แต่จังหวะนั้นอเวราก็นิ่งเฉย เพราะไม่อยากให้บรรยากาศแปรรูปจากการนั่งนิ่งไปสู่การยื้อยุดฉุดดึง
“ผมไม่อยากเลิกกับพี่ตอนนี้”
พฤหัสแจ้งความจำนงตรงไปตรงมา เพราะไม่ทราบจะงัดไม้เด็ดชิ้นไหนมาใช้ในยามที่กำลังคุกรุ่นด้วยอารมณ์หลายหลากขัดแย้งกันเอง แต่คำพูดประกอบสายตาเอาแต่ได้ของเขาก็ส่งผลให้อเวราเดือดขึ้นมาบ้าง
“ต่อย... เธอเห็นพี่เป็นของเช่าซื้อหรือไง พี่ให้เธอไปหมดแล้ว ทั้งตัว ทั้งเวลา ทั้งเงิน ตอนนี้พี่อยากเป็นอิสระ เธอควรเข้าใจและปล่อยพี่ไปดีๆ ”
เด็กหนุ่มเอียงคอทำหน้าสงสัย นัยน์ตาเอาเรื่อง
“เงิน? พี่เค้กให้เงินผมตอนไหนไม่ทราบ?”
“ก็มาเช่าห้องน่ะ ต้องใช้เงินเท่าไหร่ พาเธอไปเที่ยว ค่าน้ำมันกับค่าอาหารเท่าไหร่ เธอน่ะไม่คิดหรอก แต่คนจ่ายยังไงก็ต้องคิด”
“เอ้า! ก็เวลาผมจะออกบ้าง พี่เค้กมาห้ามทำไมล่ะ แล้วตานี้มาพูดเหมือนเป็นบุญคุณ”
“อย่าเลยต่อย เธอนึกว่าคนอื่นอ่านท่าทีไม่ออกเหรอ ควักเหมือนยั้งๆ ครึ่งๆ กลางๆ หรือไม่ก็พูดแต่ปากว่ามื้อนี้ผมออกเอง แต่สองมือนิ่งสนิท ตีหน้าเหมือนคนเอ๋อ ไม่รู้ตัวว่าใครมาเก็บเงิน”
พฤหัสชักโมโหขึ้นมาจริงๆ ปล่อยมือหล่อนทิ้ง
“นี่หาว่าผมตลกแดกเหรอ?”
“ใช่!” รู้ทั้งรู้ว่าขณะจิตมีกิริยาเสียดแทงเช่นนั้น เอ่ยคำใดออกไปก็ทิ่มแทงรุนแรงไปหมด ทว่าก็เหลืออด หลุดปากจนได้ “พฤติกรรมของเธอหลายๆ ครั้งมันเหมือนพวกเกาะผู้หญิงกินไม่มีผิด!”
ถูกหาว่าเป็นแมงดา พฤหัสก็เลือดขึ้นหน้าสุดขีด
๒๙๘
“แล้วตัวเองดีแค่ไหน...” นึกถึงความเลวของหล่อน แต่นึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก ต้องรีบสวนให้ทันๆ กันเลยเอาเรื่องใกล้ตัวไว้ก่อน “ไร้ยางอาย ร่านพอจะเอากับเด็กบนบ้านตัวเอง นี่ที่แท้คงเจอตัวใหม่ อยากเปลี่ยนรสชาติล่ะสิ อีกหน่อยเถอะ ยังไม่ทันวัยทองคงขับรถเร่ไปโฉบพวกขายตัว จ้างมาบึ้มให้ถึงใจไม่ซ้ำหน้าทุกวัน!”
อเวราหน้าซีดเผือด เหมือนตัวหดเล็กเหลือเท่าไม้ขีด มองอีกฝ่ายด้วยแววร้าวรานนานเท่านาน ก่อนจะพึมพำด้วยแก้วเสียงของหุ่นกระบอกไร้วิญญาณ
“ลงไป...”
เสียงสั่งเพียงแผ่วนั้นปลุกพฤหัสให้สำนึก ไม่ใช่สำนึกผิด แต่สำนึกว่าพลั้งปากไปแล้วด้วยความยั้งโทสะไม่อยู่ อาจทำให้เสียแผนหมด
“พี่เค้ก ผมขอโทษ”
เขาทำเสียงเศร้าได้เหมือน แต่ดูจะไร้ประโยชน์ อเวราย้ำคำสั่งเดิมแบบขึ้นเสียงเกรี้ยวตวาด
“ออกไป!”
เด็กหนุ่มขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน จำต้องแสดงท่าก้มหน้าคอตก คิดว่าจะบุ่มบ่ามแข็งขืนตอนนี้ไม่ได้ จำต้องโอนอ่อนตามพายุโทสะของหญิงสาวไปก่อน เขาเปิดประตูก้าวลงจากรถหงอยๆ เดินไปยืนนิ่งทางหนึ่ง ในตำแหน่งหลีกทางให้หล่อนถอยรถโดยดี
เสียงประตูรถด้านคนขับเปิดออก ตามมาด้วยเสียงก้าวฉับๆ และเสียงเรียกเขา
“ต่อย...”
พฤหัสหันมาด้วยความดีใจ นึกว่าอเวราจะใจอ่อนดังเคย แต่ที่ไหนได้ พอหันมามองหล่อนเต็มตาก็เจอฝ่ามือซัดเปรี้ยงเข้าให้เต็มหน้า อเวราหวดเต็มแรงอย่างจะระบายความคั่งแค้นออกมาทั้งหมด เขากำลังเผลอ พอถูกตบสุดวงแขนเช่นนั้นจึงหน้าหันราวกับโดนบิดคอ
และหล่อนก็แน่เหมือนกัน พอตบเสร็จก็ปักหลักยืนอยู่กับที่ไม่หนีไปไหน จดจ้องนิ่งอย่างท้าให้เอาคืนเพื่อความยุติธรรมได้เลย
พฤหัสค่อยๆ หันกลับมาแลลึกลงไปในตาหล่อน เห็นความชิงชังไร้วี่แววยินยอมอ่อนข้อ ก็รู้ว่าไม่ใช่เวลาที่จะงอนง้อได้ด้วยคำพูดใดๆ จึงสะบัดหน้าหนี ตาวาวกำหมัดแน่น เก็บความคุมแค้นไว้กับท่ายืนแน่นิ่งประดุจถูกสาป
หญิงสาวรอนานจนเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่เอาคืนแน่แล้ว ก็หันหลังกลับก้าวเดินไปขึ้นรถ สตาร์ทเครื่อง ถอยหลังจากซอง แล้วพุ่งตะบึงหายไป ขาดแล้วขาดเลย ไม่ถอยกลับมาต่อสัมพันธ์ใดๆ อีก
ณ ที่ที่ถูกทิ้งให้ยืนอยู่นั้นเอง นัยน์ตาพฤหัสปรากฏแววเลือดเย็นอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เขาถูกตัดรอนด้วยวิธีที่ทำให้หน้าชาไปทั้งแถบ เพราะฉะนั้นก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกรู้สาใดๆ อีก นับแต่นี้อเวราจะกลายเป็นคนแปลกหน้าที่เขาไม่จำเป็นต้องให้ความเห็นอกเห็นใจอะไรอีกแล้ว!
อ่านต่อตอนที่ ๓๔ >>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น