ตอนที่ ๒๒ จุดเปลี่ยน
กลับจากเวียนเทียนที่วัดเกือบสองทุ่ม อเวราเป็นคนอาสาขับให้ โดยมีรสรินเจ้าของรถนั่งด้านข้าง ส่วนเบาะหลังนั้นพี่น้องสองสาววัยรุ่นนั่งอยู่คู่กัน ละอองฝนนั่งหลับตาทำสมาธิเงียบเชียบ แต่ณชะเลนั่งคุยกับเจ้าอุ๊ยโหยหนุงหนิง ชนิดที่ถ้าใครไม่รู้เพิ่งเข้ามานั่งมืดๆ คงนึกว่าเป็นลูกชายวัย ๓ ขวบของหล่อนจริงๆ
“นึกไม่ถึงนะ…” อเวราเปรยกลั้วหัวเราะ “ว่าจะมีคนบังคับให้หมาถือธูปเดินเวียนเทียนได้ด้วย”
รสรินพยักพเยิดอย่างชินตาเสียแล้ว
“นั่นแหละ ทรายเขาล่ะ ตั้งหน้าตั้งตาให้หมาทำบุญเป็นที่หนึ่ง ไม่มีใครเกินหน้าอีกแล้วในโลกนี้”
ณชะเลอุตส่าห์ตัดธูปเทียนสั้นเป็นพิเศษ และเตรียมดอกไม้ช่อเล็กมาเองจากบ้าน พอเดินเวียนเทียนก็ประคองอุ้มอุ๊ยโหยด้วยมือซ้าย ส่วนมือขวารวบสองขาหน้าของมันกุมไว้ในท่าพนม โดยมีธูปเทียนและดอกไม้ปักอยู่ระหว่างกลาง มิไยใครจะพากันมองเป็นแถว เด็กสาวก็ยังเดินตัวตรงทำหน้าเฉยๆ ร่วมไปกับขบวนเวียนเทียนจนครบสามรอบ
“น่าแปลกเหมือนกันนะคะที่เจ้าอุ๊ยโหยไม่ดิ้นเลย ขนาดเปลวเทียนอยู่ห่างหน้ามันนิดเดียว”
“ของเคยๆ มั้ง ทรายเขาทำแบบนี้เป็นสิบรอบแล้ว”
“เสียดาย ตอนหมาของน้ายังอยู่ น้าน่าจะเอามาเดินเวียนเทียนดูมั่ง” คำพูดนั้นส่งตรงมาถึงหลานสาว อเวราเพิ่งสัมผัสจริงๆ จังๆ ว่าแม้แต่หมาก็มีจิตสงบเย็นเป็นกุศลได้คล้ายกระแสจากจิตมนุษย์ “ความจริงก็เก๋ดีเหมือนกันนะ และท่าทางอุ๊ยโหยก็มีความสุขมากเลย”
“น้าเค้กไม่ซื้อหมามาเลี้ยงอีกล่ะคะ?”
“เห็นอุ๊ยโหยบ่อยๆ ก็ชักนึกมันเขี้ยวขึ้นมาอีกเหมือนกัน แต่เอาจริงคงไม่ไหวหรอก ต้องทำโน่นทำนี่เหนื่อยจะตายชัก ขืนเลี้ยงหมาอีกตัวมีหวังลงไปนอนชักแด่กๆ ให้มันสงสัยว่าเราเป็นอะไร”
ณชะเลหัวเราะแผ่ว
“ทำงานเหนื่อย กลับมาเจอหน้าหมาจะได้หายเหนื่อยไงคะ”
“เลี้ยงเจ้าพวกหมาศักดินานี่คงไม่ใช่แค่กลับมาเจอหน้าให้หายเหนื่อย ต้องเล่นกับมัน เลี้ยงมันเหมือนเป็นลูก ไม่งั้นเห็นมันเหงาแล้วสงสารแย่ สมัยก่อนตอนจำเป็นต้องเอาหมาเข้ากรงแต่ละครั้ง น้ารู้สึกผิดเหมือนจับเด็กขังคุก ย้อนนึกไปแล้วเหมือนชีวิตขาดเสรีภาพเสียหลายปี ต้องรับผิดชอบลูกคนหนึ่งที่ไม่ได้ออกมาจากท้องเราไปจนกว่าจะครบวาระ”
ณชะเลเอาหน้าซุกลงไปกับตัว ‘ลูกชาย’ อย่างแสนรัก นึกไม่ออกว่าต่อไปหล่อนจะย้อนกลับมาระลึกถึงเจ้าอุ๊ยโหยโดยความเห็นว่ามันเป็นภาระได้อย่างไร
“ง่ำๆ ๆ ๆ ๆ ”
เด็กสาวงุ้มริมฝีปากงับสุนัขคู่ใจพร้อมเสียงประกอบ เจ้าอุ๊ยโหยเห่าตอบเล็กๆ และพยายามม้วนตัวมาเลียหน้านายแม่ ซึ่งนายแม่ก็ยิ้มชื่นยื่นหน้าให้ลิ้นมันโดนถนัดๆ โดยดี
“คนเมื่อกี้ใครเหรอ? สงบเสงี่ยมสุภาพเรียบร้อยดีจริงๆ ท่าทางฉลาดนะ แฟนทรายหรือเปล่า?”
อเวราถามถึงเด็กหนุ่มซึ่งคืนนี้ณชะเลชวนมาร่วมขบวนด้วย
“ก็เป็นคนสนิทน่ะค่ะ แต่แม่คงยังไม่อยากให้ยอมรับกับน้าเค้กเกินฐานะเพื่อนมั้ง”
น้าสาวยิ้มอย่างเข้าใจ และอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้
“เขามองทรายอยู่ตลอดเวลาเลยนะ เหมือนคนกลัวของหาย”
“สงสัยพยายามระลึกชาติมากกว่า เห็นก่อนกลับกระซิบว่าคุ้นบรรยากาศมาทำบุญกับทรายจัง”
๑๙๑
“วาว!…”
อเวราลากเสียงยาว ต้นเสียงเป็นประกายสดใสด้วยความชื่นมื่นแทนหลาน แต่ปลายเสียงซึมแผ่วลงด้วยความคิดเปรียบเทียบกับวิถีทางของตนเอง มีผู้ชายพูดกรอกหูหลายรายว่าคุ้นกับหล่อนเหมือนเคยครองคู่กันมา แต่เคยครองอีท่าไหนไม่รู้ชาตินี้ถึงกระเด็นจากกันไปด้วยเหตุผลต่างๆ นานา อาจจะเป็นเพราะไม่เคยมีสักคนที่กระซิบบอกหล่อนขณะอยู่ในงานบุญ ว่าคุ้นเคยกับบรรยากาศทำบุญร่วมกับหล่อนมาก่อนดังเช่นที่จองฤกษ์กระซิบบอกณชะเล…
เงียบคิดฟุ้งซ่านเป็นครู่ ก่อนเอ่ยถามรสริน
“พี่หน่อง คู่ที่เคยทำบุญร่วมกันมา จะต้องเกิดความคุ้นเคยขณะอยู่ในงานบุญร่วมกันเสมอไปทุกชาติหรือเปล่าคะ?”
รสรินอึ้งคิดก่อนตอบเลี่ยงๆ
“เค้กก็ไปเอาจริงเอาจังทำไม อีตาฤกษ์หาเรื่องหยอดให้ทรายเคลิ้มไปงั้นแหละ”
“แต่ทรายก็รู้สึกแบบเดียวกับเขานะคะแม่” ณชะเลแทรก “เหมือนนี่ไม่ใช่การนัดมาทำบุญร่วมกันครั้งแรก เดินอยู่ข้างๆ กันแล้วอุ่นใจ รู้สึกปลอดภัย และเหมือนเป็นเงาตามไปในทิศเดียวกัน แตกต่างจากที่เคยมาเดินตามเราต้อยๆ ทุกคน พวกนั้นทำให้ทรายรู้สึกเหมือนมีคนแปลกหน้าสะกดรอยตาม”
“กำลังชอบใคร สนิทกับใคร หรือถูกอัธยาศัยกับใคร ก็เกิดอุปาทานทำนองนี้ได้ทั้งนั้นแหละ อย่าเพิ่งยึดมั่นถือมั่นง่ายๆ ดูๆ กันไปเรื่อยๆ ก่อน”
รสรินพูดปัด เพราะชักนึกกลัวขึ้นมาอีก จองฤกษ์เข้ามาเร็วเหลือเกิน ทั้งสามีหล่อน ทั้งน้องสาว เหมือนชอบใจให้การต้อนรับเป็นอันดี แถมพอเดินทำบุญด้วยกันแล้ว หล่อนยังพลอยรู้สึกดีไปด้วยอีกคน จนต้องถามตัวเองว่านี่หล่อนปล่อยให้โจรเก่าเข้าถึงครอบครัวได้ง่ายดายปานนี้ทีเดียวหรือ?
“ก็ดูอยู่ไงคะ วันนี้ก็ดู”
ณชะเลทำเสียงอ้อน
“ดูแต่ตาไม่พอหรอก ใจต้องคิดด้วยว่าเขาเป็นคนยังไงกันแน่ สิ่งที่แม่เห็นคือเขากำลังหลงหนู หนูอยากให้เขาเป็นอย่างไรเขาก็คงจะเป็นอย่างนั้น เอาไว้คบนานจนชินๆ แล้วค่อยดูใหม่ว่าจะออกลายอะไรหรือเปล่า”
พอเห็นแม่แสดงท่าทีเมินจองฤกษ์ต่อหน้าคนอื่น ณชะเลก็ย่นคิ้วเล็กน้อย หล่อนว่าหล่อนสับสน เพราะตลอดมาทั้งพ่อและแม่สอนให้คิดเป็น กล้าตัดสินใจและพร้อมจะรับผิดชอบทุกการเลือกของตนเอง แต่เอาเข้าจริงเหมือนแม่ตั้งท่าถือบังเหียนควบคุมชีวิตหล่อนอยู่ตลอด เห็นได้ชัดจากการเลือกคบคนรัก ซึ่งวัดได้ว่าหล่อนสามารถเป็นตัวของตัวเองแค่ไหน แม่ไว้ใจหล่อนเพียงใด และเหตุการณ์ก็พิสูจน์แล้วว่าหล่อนยังไม่เป็นตัวของตัวเอง แม่ยังไม่ไว้ใจ ยังไม่เชื่อถือสายตาหล่อน
แต่อย่างไรณชะเลก็ท่องได้ขึ้นใจว่าแม่รักหล่อนมากกว่าใครในโลก ความรักของคนอื่นอาจเป็นอื่นได้เสมอ แต่ความรักของแม่จะคงเดิมไปจนชั่วชีวิต ความขึ้นใจนั้นทำให้ณชะเลเห็นใจแม่ แม่มีเหตุผลอันสมควร จองฤกษ์มีมลทิน มลทินยิ่งใหญ่เท่าไหร่อนาคตก็ยิ่งยากจะไว้ใจขึ้นเท่านั้น แม่หล่อนอ่อนไหวกับเรื่องการคบคน และปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างกับหล่อนและพี่สาวมาตลอด หากใครก่อกรรมอันเป็นเหตุให้ได้ชื่อว่าเป็นพาลแล้ว แม่จะตั้งระยะความสัมพันธ์ไว้ห่างเหินมาก ต่อให้เป็นเครือญาติก็ตาม นี่จองฤกษ์เป็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งโผล่มาด้วยวิธีปีนรั้วเข้าบ้าน แถมพกด้วยประวัติอันดำทะมึนระดับข้ามชาติ จู่ๆ หล่อนจะหวังให้แม่ไว้ใจเขาง่ายๆ กระนั้นหรือ?
๑๙๒
พอคิดได้ ณชะเลก็รู้สึกสงบลง และเลือกนิ่งเงียบไม่โต้ตอบ หล่อนจะเป็นเด็กดีของแม่ต่อไป ในขณะเดียวกันก็จะมีความคิดเป็นของตัวเองไปพร้อมๆ กัน ความเปลี่ยนแปลงที่ผ่านมาของจองฤกษ์ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่าหล่อนสามารถฉุดเขาขึ้นสูงได้ถึงยอดโดยไม่กลับพลัดตกต่ำลงอีกเลย วันไหนเขาอยู่บนยอดอย่างแจ่มชัด วันนั้นแม่คงเลิกกังวลไปเอง
ฝ่ายอเวราฟังแม่ลูกโต้ตอบกันเพียงสั้นๆ ก็พอจับทิศทางถูก อ่านออกในทันทีว่าณชะเลเปิดใจรับจองฤกษ์เต็มที่แล้ว แต่รสรินยังก้ำกึ่งอยู่ ความจริงหล่อนไม่น่ามีเอี่ยวเกี่ยวข้องกับเรื่องในครอบครัวของพี่สาวนัก แต่ประหลาดที่เกิดความรู้สึกอยากเป็นเหมือนณชะเลขึ้นมา…
เมื่อครั้งอยู่ในวัยเดียวกับณชะเล หล่อนก็เหมือนเด็กสาวร่วมยุคอีกหลายๆ คน ที่พ่อแม่ยังเข้มงวดและเขม่นมองหนุ่มทุกหน้าที่มาติดพัน จะไปไหน จะทำอะไร เป็นต้องจับตามองทุกฝีก้าว กระทั่งหล่อนเกิดความเกร็ง รำคาญ รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองอย่างแรง จนอยากเรียกร้องให้มีกฎหมายห้ามพ่อแม่เข้มงวดกับลูกสาวขึ้นมาสักฉบับ
ช่วงที่อยู่ในการควบคุมของผู้ปกครอง หล่อนเป็นเด็กดื้อเงียบ คือเหมือนไม่เถียง ไม่ขัดใจ ไม่ปึงปังใส่พ่อแม่ แต่ก็ทำทุกสิ่งที่ตนปรารถนา แม้ต้องหลบๆ ซ่อนคบหนุ่มบางคนที่พ่อแม่ไม่ชอบขี้หน้าก็ยังเคย
มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เข้าถึงกันได้ยากเย็น กะแค่จับคู่ให้ถูกฝาถูกตัวก็ต้องเฟ้นแล้วเฟ้นอีก ไหนจะต้องฝ่าด่านอรหันต์ของลูกคือพ่อแม่อีกโสด และครั้งหนึ่งหล่อนเคยได้บทเรียนที่น่าเจ็บใจ เมื่อดันทุรังคบกับหนุ่มหล่อซึ่งพ่อแม่วิจารณ์ว่าขาดสัมมาคารวะ มองหล่อนเหมือนเสือมองเหยื่อที่จะดับหิวของมันเพียงมื้อหนึ่ง แต่หล่อนก็ไม่เชื่อ และมีความทะนงว่าสามารถเป็นเบอร์หนึ่งของเสือผู้หญิงตัวฉกาจ รวมทั้งนึกว่าตนมีเสน่ห์มัดใจแรงพอจะเปลี่ยนแปลงเขาให้รักจริงหวังแต่ง
แต่เพียงสองเดือนหลังจากพลีกายถวายพรหมจารีให้ เจ้าหมอนั่นก็สำแดงเดชเสือติดปีก บินหนีไปหาเหยื่อใหม่ง่ายๆ บทเรียนนั้นสอนอะไรหล่อนหลายอย่าง เช่นความเชื่อมั่น ความทะนง กับความมีดีจริง แค่ไหนก็ไม่เพียงพอจะสยบเสือให้เชื่อง สัญชาติเสือย่อมไม่เบื่อออกล่า และนั่นเป็นครั้งแรกที่แอบร้องไห้เสียใจกับการไม่เชื่อฟังพ่อแม่
แต่ครั้งเดียวไม่เข็ด พักเดียวก็เอาอีก แล้วก็โดนพ่อแม่เอ็ดเสียงเขียวอีก สมัยเป็นวัยรุ่นหล่อนจึงโหยหาอิสรภาพเสมอ ปรารถนาจะอยู่พ้นสายตาดูแลควบคุมของพ่อแม่เสมอ อยากให้พ่อแม่ท้วงติงห้ามปรามน้อยๆ เสมอ
ทว่าเมื่อเป็นอิสระเข้าจริงๆ ชีวิตก็ปรากฏเป็นอีกแบบหนึ่ง อยากทำอะไรก็ทำ อยากคบใครก็คบ อยากเลิกเมื่อไหร่ก็เลิก บางวันก็งงเคว้งว่าใช้ชีวิตมาถึงไหน เกิดอะไรขึ้นบ้างแล้ว ตัดสินใจผิดพลาดไปกี่ครั้ง ทุกอย่างคลุมเครืออยู่ภายใต้เวิ้งฟ้าของคำว่า ‘อิสรภาพ’ คำเดียว จนต้องถามตัวเองบ่อยๆ อิสรภาพที่ปราศจากความอบอุ่น อิสรภาพที่หนาวเย็นนี่หรือ คือสิ่งที่หล่อนต้องการอย่างแท้จริง?
ความที่พยายามดิ้นหนีจากการควบคุมของพ่อแม่มาตลอด ทำให้หล่อนไม่เคยขอคำปรึกษา ไม่เคยเห็นด้วย และไม่เคยแม้แต่จะฟังสิ่งที่พ่อแม่พูดเกี่ยวกับเรื่องคนรัก ดังนั้นเมื่อถึงเวลาอยากได้คำปรึกษา หรือกระทั่งคำตักเตือนดุด่าว่ากล่าวเพื่อเบรกหล่อนจากการหลงทิศหลงทาง หล่อนจึงเหมือนไม่มีใคร ต้องหันมาพึ่งคนนอกบ้านแทน และรสรินก็คือที่พึ่งนั้น
คืนนี้หล่อนเพิ่งเห็นหน้าจองฤกษ์เป็นครั้งแรก ลักษณะภายนอกแม้ไม่ได้โดดเด่นเป็นเอกทัดเทียมกับณชะเล แต่ก็มีความคมคายในบุคลิกที่ดึงดูดสายตากว่าวัยรุ่นธรรมดา และแม้ส่วนสูงจะไล่เลี่ยกันกับณชะเล ดูไม่ค่อยเหมือนจะเป็นองครักษ์พิทักษ์แฟนสาวจากภัยพาล แต่ทั้งคู่ก็มีหลายสิ่งที่กลมกลืนกัน มองแล้วเข้าคู่กันเหมาะเจาะชวนพิศ ทั้งจองฤกษ์และณชะเลต่างมีประกายตาล้ำลึกผิดวัยคล้ายๆ กัน อีกทั้งมีกระแสทางใจที่คล้อยไปในทางเดียวกัน เป็นอะไรประมาณว่า
๑๙๓
อยู่ใกล้กันแล้วคงสุขสม คงพูดจาภาษาเดียวกัน คงทำความเข้าใจกันรู้เรื่องตลอด ไม่ใช่อยู่ใกล้แล้วอึดอัดหรือไม่ทราบจะหาเรื่องใดมาคุยดี
สำคัญคือจองฤกษ์ท่าทางรักและหลงณชะเลเสียเหลือเกิน เป็นความรักที่ผู้หญิงทุกคนใฝ่หา คือมีใจเดียว จริงจัง ยั่งยืน เป็นความรักที่ฉายชัดในตัวเองจนแทบไม่ต้องการข้อพิสูจน์ใดๆ เสียแต่ว่าในความดูดี เขาอาจมีบางสิ่งที่รสรินไม่ชอบใจ และเหตุเพียงเท่านั้นก็ทำให้ความรักติดขัดไม่ราบรื่นได้แล้ว นี่แหละปัญหาโลกแตก
ทั้งรถเงียบกริบ ต่างคนต่างคิดกันไปคนละทางจนกระทั่งถึงบ้าน
“ทรายเปิดให้ค่ะแม่”
เด็กสาวขอลูกกุญแจซึ่งติดไว้ที่ตอนหน้าของรถ พอได้มาก็นำสุนัขตัวโปรดฝากไว้กับตักพี่สาวซึ่งยังคงอิ่มบุญ นั่งซาบซึ้งกับรสวิเวกแห่งสมาธิแน่นิ่ง แล้วลงจากรถไปไขกุญแจผลักประตูรั้วออกกว้าง ยืนแอบขวาพร้อมกับดึงใบปลิวที่เหน็บไว้กับช่องประตูอัลลอยด์ออกมาอ่านอย่างสนใจ เนื่องจากเป็นโฆษณาของร้านเปิดใหม่ใกล้บ้าน ซึ่งเป็นธุรกิจครบวงจรเกี่ยวกับสุนัขและแมว
อเวราหักหัวรถเข้าบ้าน หล่อนไม่เคยชินกับวงเลี้ยวของโตโยต้าวิชเท่าใดนัก จึงต้องมองระวังเหลี่ยมรถกะให้ห่างจากเสาด้านซ้ายพอประมาณ แต่ขณะกำลังเกร็งๆ อย่างพะวงอยู่กับมุมมองทางซ้ายมืออยู่นั้นเอง หญิงสาวก็ได้ยินณชะเลกรีดร้องลั่น มันเป็นเสียงแหลมก้องแห่งความตระหนกสุดชีวิตที่บาดโสตประสาทลึกเข้าไปถึงขั้วหัวใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับสารถีสาวที่รู้สึกชัดในวินาทีต่อมา ว่าล้อขวาหน้าเหยียบอะไรหยุ่นๆ เข้าอย่างหนึ่ง…
กดเบรกและลงเกียร์ว่างทันที ตกใจในแวบแรกด้วยนึกว่าเหยียบเท้าหลานสาว แต่พอหันไปมองแล้วก็พบว่าระยะที่ณชะเลยืนอยู่นั้นห่างเกินรัศมีของอันตรายไปพอควร จึงโล่งอกเปลาะหนึ่ง ทว่าเมื่อเห็นใบหน้าขาวซีดขาวและหน่วยตาเปิดกว้างเยี่ยงคนกำลังช็อกของหลานสาวถนัด สัญชาตญาณก็บอกว่าหล่อนเพิ่งขับรถเหยียบอะไรที่ไม่น่าเหยียบอย่างที่สุดเข้าให้แล้ว สิ่งนั้นเปราะบางและแตกดับง่าย มันทำให้บังเกิดความรักตัวกลัวบาป เสียวสันหลังและสยองเกล้ายิ่ง มือไม้หนักอึ้งเมื่อจำใจต้องเปิดประตูรถเพื่อเผชิญหน้าความจริงให้รู้ดำรู้แดง
ทันทีที่วางเท้าลงพื้น หญิงสาวก็สัมผัสถึงสิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่กำลังดิ้นพราดๆ โดยปราศจากเสียงร้อง มันชักกระตุกดีดไปดีดมาคล้ายปลาถูกทุบหัวด้วยค้อนอำมหิต แสงนีออนจากถนนสาดลงมาให้เห็นไส้ที่หลุดทะลักออกมานอกตัว ที่ร้ายกว่าอะไรคือร่างน้อยนั้นจำเพาะต้องแด่วดิ้นกระเด็นกระดอนมาฟาดข้อเท้าหล่อนตั้บๆ พอดิบพอดี!
อเวราร้องไม่ออก ได้แต่อ้าปากค้างตาเบิกโพลง หวิวโหวงคล้ายพื้นโลกและร่างกายแหว่งหายไปฉับพลัน ไม่อยากเชื่อว่านั่นเป็นความจริง เจ้าอุ๊ยโหย!!
ภาพที่เข้าตาในบัดนั้นประดุจการเลียนแบบฝันร้าย สองขาหน้าของสุนัขยอร์กเชียร์ เทอเรียตะกายอากาศรุนแรง ไม่มีใครทำอะไรได้มากกว่าดูมันแสดงบท ‘ลาจาก’ ไปต่อหน้าต่อตา และเมื่อแสดงบทหนักสุดท้ายในละครโรงใหญ่จนสมควรแก่เวลา อุ๊ยโหยก็ค่อยๆ โรยแข้งขาลงสู่ความสงบทีละน้อยจนกระทั่งยุติความเคลื่อนไหวทั้งปวงอย่างสนิท เป็นสัญญาณการปรากฏตัวของมัจจุราช เหลือไว้แต่ดวงตาเหลือกค้างคล้ายตุ๊กตาซึ่งประดิษฐ์ขึ้นด้วยเจตนาหลอนจิต เอาให้สารถีมือเพชฌฆาตลืมไม่ลงไปจนกว่าจะหลับและฝันร้ายต่อ!
อเวราไม่รู้สึกว่าตนเป็นอะไรอื่นมากไปกว่าหุ่นปั้นไร้ชีวิตเท่าๆ กับเจ้าอุ๊ยโหยที่นอนนิ่งอยู่แทบเท้า กระทั่งสติกลับมาอีกครั้งก็เมื่อณชะเลเดินเข้ามาอย่างสงบ และช้อนร่างที่อ่อนเป็นหยวกราวกับไร้กระดูกของสุนัขแสนรักขึ้นอุ้มกอดแนบอก ไม่แยแสว่าร่างยับเยินโชกเลือดนั้นจะทำให้เสื้อผ้าเปรอะเปื้อนอย่างไร
๑๙๔
อเวราทรุดกายกลับลงนั่งกับเบาะ ครึ่งตื่นครึ่งฝัน ปากคอสั่นทำอะไรไม่ถูก ขณะนั้นรสรินและละอองฝนเปิดประตูก้าวอ้อมรถมาดูเหตุการณ์ แล้วต่างก็ตกตะลึงหน้าซีดเผือดกันไปหมด ณชะเลผู้เป็นเจ้าของสุนัขชะตาขาดเองเสียอีก บัดนี้ดูสงบเป็นปกติ ไม่มีอาการฟูมฟาย ไม่มีอาการร่ำร้องเพ้อพก ไม่มีแม้แต่นัยน์ตาโกรธขึ้งเล็งแลมายังคนขับผู้ทำหน้าที่เพชฌฆาตแม้แต่น้อย
“ทำไมเป็นอย่างนี้ล่ะ?”
ละอองฝนร้องอย่างงุนงง เพราะเมื่อครู่ตอนน้องสาวเอาเจ้าอุ๊ยโหยมาวางบนตักหล่อน หล่อนก็รู้สึกตัวดีแม้จะหลับตาอยู่ แต่วินาทีเดียวร่างมันก็หายไปจากตัก หล่อนมิได้เฉลียวคิดเลยว่านั่นคือการกระโดดแผล็วลงจากรถตามณชะเลไปด้วย เพียงนึกว่ามันลงจากตักหล่อนไปยืนหรือนั่งลงกับเบาะด้านข้างเท่านั้น
ณชะเลใช้จุมพิตปิดตาศพทีละข้าง ก่อนเงยหน้าขึ้นมองผู้พี่ ละอองฝนไม่อยากสบตาน้องสาวเลย เพราะรู้ตัวว่ามีส่วนผิดเต็มประตู ค่าที่ไม่รู้จักดูแลของฝากที่รับมา แต่ณชะเลก็นิ่ง เย็น และดูเป็นสุขอย่างน่าประหลาดขณะตอบกลับ
“ไม่เป็นไรหรอกฝน ถึงคราวของมันน่ะ ทุกอย่างถึงได้ประจวบเหมาะอย่างนี้”
ความตะลึงค้างระลอกใหม่เกิดขึ้น ทั้งรสริน อเวรา และละอองฝนพากันจ้องงงงันไปยังเจ้าของสุนัขที่ได้ชื่อว่ารักและหวงแหน ‘ลูกชาย’ มากที่สุดในโลกคนหนึ่ง คล้ายตาฝาดและหูแว่วที่เห็นและได้ยินณชะเลกล่าวออกมาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนั้น
รสรินเป็นห่วง นึกว่าลูกสาวช็อกจนด้านชาไร้ความรู้สึก อุ้มศพแนบอกและพูดจาแบบครึ่งหลับครึ่งตื่น จึงเคลื่อนกายเข้ามาโอบไหล่
“ทรายเป็นอะไรหรือเปล่าลูก?”
แม้ควบคุมอารมณ์ได้เก่งเพียงใด รสรินยังปลายเสียงสั่นไหวไปกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญ ณชะเลเข้าใจความห่วงใยของแม่จึงยิ้มแป้นเป็นการคลายความกังวลให้ท่าน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่”
รสรินขมวดคิ้วมองหน้าลูกอย่างฉงนฉงาย แทนที่จะรู้สึกดีกลับเป็นห่วงหนักขึ้นกว่าเดิม เพราะนั่นไม่ใช่ปฏิกิริยาสามัญอันพึงคาดหวังได้จากเด็กวัยรุ่นสาวคนหนึ่งที่เพิ่งสูญเสียสุนัขสุดสวาทไป จึงยิงคำถามตรงๆ เพื่อดูว่าผู้เป็นลูกจะตอบอย่างไร
“รู้หรือเปล่าว่าอุ๊ยโหยมันตายแล้ว?”
คราวนี้ณชะเลถึงกับหัวเราะร่วน เพราะทราบว่าแม่เห็นหล่อนตกใจจนสติวิปลาสไปแล้ว
“ก็ตายน่ะสิคะแม่ ตัวเล็กนิดเดียวโดนรถทับเข้าจังๆ ขืนยังวิ่งให้ดูได้ พวกเราคงต้องเป็นฝ่ายวิ่งหนีกันอุตลุดล่ะ”
รสรินหยุดหายใจไปชั่วขณะ กลืนน้ำลายเกือบไม่ลง
“แล้ว… นี่ลูกแกล้งทำหน้าเฉยๆ อยู่หรือเปล่า? เก็บกดไว้ไม่ดีนะลูก”
“แม่จะให้หนูร้องไห้ให้ดูเหรอคะ? ก็ได้ ความจริงหนูก็เศร้าอยู่เหมือนกัน”
ณชะเลไม่ต้องเค้นมากนัก แค่พลิกนิดหนึ่งด้วยเจตนาให้คนอื่นสบายใจ หันอีกด้านของอารมณ์คือห้วงแห่งความรู้สึกจากพรากออกมา น้ำตาก็พรั่งพรูลงมาเป็นสายทันที หล่อนซบหน้าลงกับใบหน้ามันและเบะปากพึมพำปนสะอื้นเยี่ยงผู้ที่โศกลึก
“ลูกไปดีแล้วนะลูกนะ”
๑๙๕
สตรีอีกสามนางอึ้งเงียบ ก้อนสะอื้นมาจุกอยู่ที่คอหอย อเวราถึงกับลุกจากที่ ดึงร่างณชะเลมาจากอ้อมโอบของรสริน แล้วโผเข้ากอดอย่างไม่รังเกียจศพในอ้อมอกหลาน
“ทราย… น้าขอโทษ!”
ขอโทษเสร็จก็ร้องไห้โฮเป็นที่น่าเวทนา ณชะเลรู้สึกได้ว่าน้าสาวเศร้าและรู้สึกผิดแรง จึงหยุดสะอื้น ใช้แขนขวาโอบปลอบ เอ่ยชัดถ้อยชัดคำใกล้ใบหูอเวรา
“น้าคะ… อย่าร้อง นี่แค่ภาพหลอกภาพหนึ่ง”
คำพูดเพียงสั้นแต่ขลังชะงัด อเวราสะดุดกึก หยุดร่ำไห้ทันใจ ผละถอยออกมาหนึ่งก้าวเพื่อมองหน้าหลานสาวให้เต็มตา
“หมายความว่ายังไง ภาพหลอก?”
“ก็หลอกว่ามีการตาย หลอกว่ามีเหตุการณ์น่ากลัว ความจริงแล้วเปล่าเลย เจ้าอุ๊ยโหยได้เวลาเป็นสุขขึ้นกว่าเดิมต่างหาก”
แล้วณชะเลก็ก้มลงมองซากอันปราศจากวิญญาณครองในมือ ด้วยสายตาของคนเข้าใจจริงๆ ว่าสิ่งที่ตนอุ้มอยู่มิใช่สัตว์เลี้ยงแสนรักอีกต่อไปแล้ว เหลือแต่ก้อนเลือดก้อนเนื้อที่ต้องฝังกันตามเรื่องตามราวเท่านั้น
“ทรายทำใจได้จริงๆ เหรอเนี่ย?”
ละอองฝนถามอย่างไม่วายกังขา แม้มีธรรมะหล่อเลี้ยงใจมาพอๆ กัน หล่อนก็ไม่อยากเชื่อว่าน้องสาวจะเก่งได้ขนาดนั้น เพราะหล่อนเองยังตกใจแทบลิ้นจุกปาก มือสั่นเท้าสั่นเทากระทั่งบัดนี้
“ถ้าลำพังทรายเอง เจอเรื่องปุบปับก็คงเอาไม่อยู่เหมือนกันแหละฝน อาจแผดเสียงดังไปแปดบ้านก็ได้ แต่… เพิ่งเตรียมใจไว้ก่อนล่วงหน้า ตอนนี้นอกจากไม่เศร้า ยังปลาบปลื้มยินดีแทนอุ๊ยโหยอีกด้วย” แล้วหล่อนก็หันมาพูดกับน้าสาว “เห็นไหมคะน้าเค้ก ทรายทำตามที่เคยพูดได้จริงๆ ที่ว่าอาจเป็นเจ้าของคนเดียวที่ไม่ร้องไห้ตอนหมาตาย”
อเวราปิดปากกลั้นสะอื้น พยักหน้าหงึกๆ ละอองฝนรีบถามลิ้นพันระรัว
“หมายความว่าไงเตรียมใจล่วงหน้า เธอรู้ว่าอุ๊ยโหยจะตายคืนนี้เหรอ?”
“ก็ไม่ถึงกับรู้แบบเจาะจงว่าเป็นคืนนี้หรอก” ณชะเลเฉลย “ที่ทรายเพิ่งไปหาพ่อหมออุปการะมาไง วันที่นัดกับฝนแล้วฝนปวดหัวตัวร้อนกะทันหันน่ะ ทรายถามแกเรื่องอุ๊ยโหย ก็ได้รับการทำนายว่าอีกไม่นานมันกำลังจะถึงคราวเปลี่ยนภพ และมันจะได้ไปดี ไม่ต้องทนทรมานในอัตภาพที่ตกต่ำเป็นหมาเหมือนอย่างนี้อีก หลังจากถูกอกุศลวิบากกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้เสียหลายชาติ และน่าภูมิใจคือในขณะที่ยังช่วยมันได้ ทรายเองเป็นคนกำหนดเลือกให้มันไปดี เกิดใหม่ในที่ดีกว่า แน่ใจอย่างนี้เลยไม่เห็นเหตุผลให้ต้องเศร้า ไม่รู้จะฟูมฟายไปทำไม ปลื้มปีติมากกว่า”
ละอองฝนผ่อนลมหายใจยาว
“พ่อหมอนั่นเอง” แต่ไม่วายกังขา “แน่ใจเหรอว่ามันไปดี ชักดิ้นชักงอตาเหลือกขนาดนี้?”
“นั่นมันแค่อาการทางกาย ทรายจ้องมันเต็มตาโดยไม่มีอุปาทานครอบงำการเห็น ก็ได้สัมผัสความตายอย่างใกล้ชิดนะ รู้สึกชัดเลยว่าอาการดิ้นเป็นเรื่องภายนอก เป็นเรื่องของประสาทกระตุก มันอาจจะขาดใจตายไปด้วยความเจ็บปวดก็จริง แต่ถ้าอารมณ์ก่อนหน้าของมันเป็นกุศลเหนือความทุรนทุรายแบบสัตว์ จิตก็รวมลงเป็นความสว่างเย็นได้ ทรายไม่ได้
๑๙๖
เชื่อหมอดูอย่างเดียว แต่ตัดสินจากสัมผัสของตัวเองเมื่อครู่ด้วย น้ำหนักกุศลที่สั่งสมมาของมันชนะอาการตายทรมาน ส่งให้ผ่านภพอบายไปสู่สุคติแล้ว”
“ไปอยู่ไหน?”
“ไม่รู้ซี ไว้จะลองถามพ่อหมอดู ที่รู้กับตัวเองเดี๋ยวนี้คือทรายสัมผัสกระแสอะไรบางอย่างที่ทำให้เบิกบานและชื่นใจมาก”
อเวรากะพริบตาถี่ๆ
“นี่ทรายไม่ได้กำลังพยายามทำให้น้าสบายใจใช่ไหม?”
“โธ่! ทรายจะแกล้งทำไมล่ะคะ?” แล้วหล่อนก็ยิ้มพราย “ถ้าในอารมณ์ที่ผิดปกติ มองไม่เห็นตามจริง ทรายคงตีโพยตีพายตัดพ้อต่อว่าน้าเค้กที่ขับรถทับมัน หรือไม่ก็กล่าวโทษยายฝนค่าที่ฝากไว้แล้วมัวแต่นั่งหลับตาไม่ดูแล แต่ในอารมณ์นี้ทรายเห็นชัดค่ะว่าเป็นความผิดของทรายเองที่ไม่รอบคอบ ทุกทีตอนลงมาเปิดประตูรั้วให้พ่อแม่ ทรายไม่เคยปล่อยให้มันตามลงจากรถมาได้ วันนี้เป็นไงไม่ทราบถึงชะล่าขาดความระวังไป น้าเค้กไม่มีส่วนผิด ไม่มีโอกาสระมัดระวังอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนสำหรับฝนซึ่งนั่งหลับตาอยู่แบบนั้น ที่ไหนจะนึกว่าเกิดเรื่องแบบนี้ได้”
อเวราค่อยสีหน้าแช่มชื่นขึ้น ทุกถ้อยคำของณชะเลประกาศชัดว่าออกมาจากสติสัมปชัญญะที่สมบูรณ์ อีกทั้งอารมณ์ก็เป็นสุขคงที่ หาความหวั่นไหวไม่ได้เลย และนั่นก็มิใช่เรื่องเกินทำใจเชื่ออีกต่อไป หากสิ่งที่ณชะเลล่วงรู้เป็นความจริงแท้ ก็แปลว่าเหตุการณ์เมื่อครู่เป็นมงคล มิใช่เป็นอัปมงคลดังปรากฏเป็นภาพสยดสยองลวงตาแต่อย่างใด
รสรินถอนใจโล่งอก คลายกังวลและชื่นชมโสมนัสกับความเป็นลูกสาวคนเก่ง นอกจากณชะเลไม่เศร้า ไม่คิดเอาผิดกับใครแล้ว ยังเป็นฝ่ายปลอบใครต่อใครให้สบายใจขึ้นอีกต่างหาก
“นี่แหละทราย หนูทำความหมายของการอยู่ร่วมกันให้ประเสริฐแล้ว” รสรินเอ่ยพลางโอบไหล่ลูกอีกครั้ง “ประคับประคองกันและกันไม่ให้ตกต่ำ หรือกระทั่งทำตัวเป็นเหตุปัจจัยให้กันและกันไปดี นี่แหละการอยู่ร่วมกันที่ประเสริฐสุด”
“ค่ะแม่”
ณชะเลเอียงคอเอาแก้มแนบแก้มแม่แผ่วๆ
“เสียดายเรารู้แต่ว่าเขาจะไม่อยู่กับเราอีกแล้ว แต่ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาต่อจากนี้”
“อย่างน้อยทรายก็รู้ไงว่า…”
“ค่ะ…” ลูกสาวรีบต่อคำให้มารดา “กรรมของอุ๊ยโหยจะติดตามไปดูแลมันเอง!”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น