ตอนที่ ๑๘ หายนะ
คืนนั้นพฤหัสแน่ใจว่าตนเองเป็นเอามาก เขานอนพลิกไปพลิกมากระสับกระส่าย ทำอย่างไรก็ไม่อาจลืมดวงหน้าบาดตาบาดใจของสาวน้อยคนนั้นได้ ที่ทำให้รู้สึกย่ำแย่กว่าอะไรคือต้องยอมรับความจริงว่าเธอคนนั้นเดินควงกับเจ้าเพื่อนยากที่เขาสอนจีบหญิงมากับมือ
ทำไมปล่อยให้ลูกศิษย์มีดีกว่าครูไปได้วะเนี่ย?
เหนือสิ่งอื่นใด ใจกระโดดโลดเต้นเป็นจังหวะประหลาดอย่างไม่เคยมีมาก่อน คือเฝ้าย้ำคิดย้ำนึกว่าคนนี้เองเนื้อคู่ของเขา เขาพบแล้ว เธอเป็นตัวจริง ไม่มีหญิงอื่นใดที่น่าปรารถนาไปกว่านี้อีก พฤหัสรู้สึกถึงแรงดึงดูดมหาศาล ความรู้สึกหนักแน่นเป็นจริงเป็นจัง บุพเพสันนิวาสดูมีตัวตนชัดเจนเสียจนความรักความหลงหญิงอื่นกลายเป็นแค่ความฝันขมุกขมัวสลัวราง
เคยแต่เหนี่ยวนำให้สาวๆ งมงายหัวปักหัวปำเชื่อว่าเขาคือเนื้อคู่แต่ปางก่อน ไฉนจึงพลาดท่ามาโดนเองเข้าได้ แม้พยายามบอกตนเองแล้วๆ เล่าๆ ว่านี่คืออุปาทาน นี่คือการคิดไปเอง นี่คือความเหลวไหลหลอกลวงของใจมนุษย์ ส่วนลึกก็ค้านมาอย่างแรง ถ้าแค่อุปาทานทำไมมันหน้ามืดและจุกเสียดแน่นอกเหมือนจะขาดใจตายปานนี้? ไม่เคยเลยที่เพิ่งเจอครั้งแรกก็หึงหวงปวดแสบปวดร้อนราวกับไฟลุกท่วมตัว เพียงเมื่อเห็นเจ้าหล่อนเดินอยู่กับใครอื่น
กัดริมฝีปากแน่น ต้องทำอะไรสักอย่างก่อนจะวายปราณด้วยแรงเสน่หาเกินประมาณนั้น
“ฮัลโหล ฤกษ์เหรอ?”
“เออ…” เสียงงัวเงียตอบกลับมาด้วยความขุ่นเคือง “เป็นบ้าอะไรโทร.มาป่านนี้ หมาที่ไหนถูกรถทับรึ?”
พฤหัสหัวเราะ ค่อยคลายอาการเสียดแน่นลงบ้าง
“ฮ่ะๆ โทษที กูนึกว่ามึงยังไม่นอน”
“มีอะไรด่วนหรือเปล่า? ไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกันได้ไหม? กูเพลีย”
“เฮ่ย! คุยกันหน่อยน่า แบบว่าเมื่อกี้เพิ่งเข้าเน็ตเจอรูป น่าจะเป็นคนเดียวกับเด็กที่มึงควงไปเดินห้างวันนี้”
พฤหัสไม่นึกเลยว่าคำพูดปั้นน้ำเป็นตัวนั้นจะบังเอิญเป็นหมัดฮุกที่หนักหน่วงยิ่ง เพราะสัมผัสได้ชัดว่าจองฤกษ์ตาตื่นทันที
๑๕๗
“หา! จริงเหรอ… ที่ไหนวะ?”
“ไม่รู้นะ ปิดเครื่องไปแล้ว นี่กำลังจะเตรียมนอน แบบว่าเป็นลิงก์ของลิงก์ที่ฟอร์เวิร์ดมาทางเมล์น่ะ”
“ช่วยเปิดเครื่องอีกทีได้ไหม? บอกให้กูรู้หน่อย”
“เอ๊ะ! สำคัญยังไงนักหนาหรือ?”
“เขาเพิ่งถูกแกล้งมาน่ะ สงสัยจะมีหลงเหลือหรือแพร่กระจายไปไหนต่อไหน”
พฤหัสยิ้มเผล่ เมื่อตระหนักว่ามุขของตนกลายเป็นลูกฟลุกที่ปลุกเร้าให้จองฤกษ์กระตือรือร้นเต็มพิกัด
“มึงเคยบอกชื่อเด็กมึงมาทีหนึ่ง อะไรนะ? กูลืมแล้ว”
“ทราย”
“เออ! ใช่ๆ ! ใช้ได้นี่หว่า ชื่อจริงชื่ออะไร?”
“จะซักไปทำไม?”
“โห่! มีเม้มด้วยเพื่อนเรา ท่าทางหวงน่าดู เด็กคนแรกก็อย่างนี้แหละ” แล้วพฤหัสก็สร้างเรื่องขึ้นในหัวอย่างรวดเร็ว “คือกูว่ากูคุ้นๆ นะ ดูเหมือนเคยเป็นเด็กเพื่อนกูมาก่อน”
พูดเต็มปากเต็มคำโดยไม่มีความละอายใดๆ แม้แต่น้อย เรื่องตอหลดตอแหลฉับพลันทันสถานการณ์นั้นช่ำชองมานานปีอยู่แล้ว
“งั้นหรือ?”
พฤหัสสัมผัสได้ทีเดียวว่าจองฤกษ์เสียวแปลบไปทั้งหัวใจ ยิ้มสะใจที่ได้ลงโทษคนมีหญิงสวยเกินหน้าเกินตาเพื่อน ไอ้เจ้านี่ไม่เคยมีแฟน หัวใจเวอร์จิ้นจึงเต็มไปด้วยจุดอ่อน โดนกระแทกตรงไหนก็เป๋ได้หมด
“กูไม่แน่ใจนะ บอกแล้วว่าแค่คุ้นๆ ” เพื่อนจอมโฉดวางหมากอย่างมีชั้นเชิง “แต่ถ้าใช่ก็…”
ทิ้งหางเสียงอย่างรู้ว่าจองฤกษ์จะต้องกระวนกระวายราวไฟเผา
“ถ้าใช่ก็ทำไม?”
“ช่างเถอะ” ทำเสียงปลงๆ แล้วทำทีเปลี่ยนเรื่อง “มึงไม่อยู่เสียอาทิตย์หนึ่ง รู้ไหมว่า…”
“ต่อย!” จองฤกษ์ทำเสียงเข้มก่อนเพื่อนจะทันจบประโยค “บอกกูมา ถ้าใช่คนที่เป็นแฟนเก่าเพื่อนมึงแล้วทำไม?”
“เอ่อ… ก็… เอางี้ เพื่อความชัวร์ กูจะได้ไม่ต้องพูดพล่อยๆ เขามีพี่สาวหรือน้องสาวอยู่คนหนึ่งใช่ไหม?”
เหวี่ยงแหส่งเดชแต่ดันถูกเผงอีกครั้ง
“ใช่! ทรายมีพี่สาวคนหนึ่ง… คราวนี้มึงบอกกูได้แล้วว่าเรื่องเป็นยังไง”
“เฮ่ย! อาจจะบังเอิญก็ได้ ใครๆ มันก็มีพี่สาวน้องสาวกันทั้งนั้นแหละ เอางี้ดีกว่า ถ้าอยากให้ชัวร์นัดสองสาวเล่นแบดกันซีวะ ดูชัดๆ จะได้รู้แน่ๆ ”
จองฤกษ์เริ่มคลายกังวล เขาไม่เซ่อขนาดตามคนเจ้าเล่ห์ไม่ทัน
“ไอ้เลว!” อัดเพื่อนด้วยเสียงหนักๆ “มึงจะพูดตรงไปตรงมาไม่ได้หรือไง ก็แค่ถามว่ามีพี่สาวน้องสาวเผื่อให้มึงสีไหม เท่านี้ก็หมดเรื่องแล้ว ต้องอ้อมค้อมไม่เข้าท่าอยู่ได้”
พฤหัสหน้าชา รู้สึกบ้อท่าเหลือประมาณที่หล่อระดับชาติอย่างเขาต้องเสียฟอร์ม ต้องเป็นฝ่ายร้องขอนายกระจอกอย่างจองฤกษ์ช่วยจัดหาผู้หญิงให้ แต่แล้วก็ขบฟันกล้ำกลืนความขมขื่นลงอก รีบหาคำพูดแก้หน้า
“กูไม่มีฟอร์มกะมึงหรอก เขาเรียกอารัมภบท”
๑๕๘
“เออ! อารัมภบทได้บัดซบจริงๆ เกือบทำให้ผู้หญิงเขาเสียหาย… ว่าแต่เรื่องรูปที่เจอในเน็ตน่ะจริงหรือเปล่า? กูจะได้จัดการอะไรหน่อย”
“อ้อ! เป็นผู้จัดการส่วนตัวของเขาไปแล้ว น่าอิจฉาจิ๊ง”
พูดเล่นแต่ที่แท้กำลังริษยาตาร้อนแทบมอดไหม้ ยิ่งคิดยิ่งเห็นความอยุติธรรมที่ชะตาพาจองฤกษ์ไปพบโฉมงามนามว่าทรายก่อนเขา รู้สึกเหมือนตัวลีบเล็กและกระจอกลงอย่างน่าอดสูเมื่อต้องมาริษยาเพื่อนผู้ไม่มีทางสู้เขาได้เลยในเรื่องรูปสมบัติ
“ถามจริงๆ ต่อย… มึงเห็นรูปเขาที่ไหนหรือเปล่า? กูจำเป็นต้องรู้ เพราะอาจมีคนแกล้งไม่เลิก”
“ก็แค่คล้ายๆ แต่รู้สึกว่าคงไม่ใช่หรอก” ตอบแบบกลบเกลื่อนแก้เก้อแล้วก็เปลี่ยนเป็นฝ่ายถามบ้าง “ว่าแต่ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้นเกี่ยวกับรูปของทรายบนเน็ตหรือ?”
วินาทีที่ชื่อ ‘ทราย’ ผ่านปากออกไป พฤหัสเสียวปลาบกลางอกราวกับโดนใครแกล้งเอาหนามกุหลาบสวยหวานมาแทงแล้วลากเป็นทางยาว ไม่เข้าใจตัวเองจริงๆ นี่เขาเป็นอะไรไป?
“ก็…” จองฤกษ์เล่าเพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องน่าปกปิด “มียายเบื๊อกคนหนึ่งเกิดอยากลิ้มรสความเป็นดาว อยากให้หนุ่มๆ มารุมตอม เลยแอบถ่ายรูปทรายไปโพสต์บนเว็บติดลมดอทคอม แล้วสวมรอยว่าเป็นตัวเอง แถมพูดจายั่วยวนต่างๆ นานา”
“มีเรื่องอย่างนี้ด้วย?” พฤหัสสะกดความอายอยู่ครู่ก่อนเอ่ยขอ “มึงเก็บรูปชุดนั้นไว้มั่งหรือเปล่า ขอกูดูหน่อยดิ้”
พยายามพูดเสียงเรียบเหมือนขอกันดูตามธรรมดาวิสัยเพื่อนชายด้วยกัน แต่ด้วยเพราะใจไม่รู้สึกธรรมดา สำเนียงเสียงจึงออกหนีบๆ แบบกระดาก
จองฤกษ์หัวเราะหึหึ
“คราวก่อนกูขอรูปที่มึงแอบถ่ายหญิงมาดู มึงก็ขี้เหนียวเหลือเกิน ตากูมั่งล่ะ เรื่องอะไรจะให้!”
“อ้าว! รูปพรรค์นั้นมันลับเฉพาะนี่โว้ย มาเปรียบเทียบกันได้ยังไง ของมึงแค่เห็นหน้าเห็นตาเฉยๆ ”
“อย่านึกว่ากูไม่รู้ มึงปิ๊งทรายอยู่ใช่ไหมล่ะ?”
จามเอาตรงๆ แบบขวานผ่าซากเพราะไม่ใช่เรื่องแปลกที่ใครจะตกหลุมรักณชะเล และจองฤกษ์ก็ได้ทีขี่แพะไล่เพื่อนผู้เคยถากถางเขาต่างๆ นานาในเรื่องความไม่เอาไหนเกี่ยวกับหญิง
“เออซีวะ!” พฤหัสยืดอกรับอย่างลูกผู้ชาย “ยอมรับแล้วจะว่าไง รูปน่ะ จะให้หรือไม่ให้?”
“ไม่ให้!”
พฤหัสถึงกับขมวดคิ้วด้วยความฉุนจัด แต่ก็ระงับอารมณ์ไว้ เค้นเสียงอาฆาตเล่นๆ
“จำไว้เลย เดี๋ยวกูแอบถ่ายเอาเองก็ได้ว้า…” แล้วเขาก็เบี่ยงประเด็น “ว่าแต่พี่สาวเขาน่ะ มึงเคยเห็นหรือเปล่า?”
“เคยตอนไปบ้านทรายครั้งแรก” ถือโอกาสโอ่ไปในตัวว่าเข้าถึงบ้านนางมาแล้ว “มึงจะลองทาบจริงๆ เหรอะ?”
“สวยพอกันไหมล่ะ?”
จองฤกษ์ทบทวนจากความจำ คราวนั้นละอองฝนพี่สาวณชะเลกลับมาพร้อมพ่อแม่ แต่ก็ผ่านเขาเข้าบ้านโดยที่เขาไม่ทันเห็นถนัดนัก จำได้แต่ครั้งยังเด็กที่เคยเห็นเดินคู่กับณชะเลบ้างประปราย ถือว่าทั้งสองเป็นพี่น้องที่ไม่คล้ายกันเท่าใด จึงตัดสินใจตอบแบบเลี่ยงๆ
“มึงชำนาญกว่ากู เพราะงั้นมึงต้องดูเอาเองถึงจะถูก”
๑๕๙
“เอ๊า! แค่เทียบกันว่าใครแจ่มกว่าใครต้องอาศัยความชำนาญด้วยเรอะ?”
“ลางเนื้อชอบลางยา กูไม่กล้าเอาสายตาตัวเองไปตัดสินแทนผู้ชำนาญการ”
พฤหัสอดหัวเราะไม่ได้กับคำพูดย้อนเกล็ดเหน็บแนมนั้น เพราะตนเคยสบประมาทอย่างเปิดเผยมาตลอดว่าจองฤกษ์อ่อนหัด ตาไม่ถึง แยกไม่ออกว่าชั้นไหนเป็นชั้นไหน
“กูยอมรับว่ามึงแน่ สาวคนแรกเปล่งประกายแสบตาซะจริงๆ ตอนนี้บารมีเลื่อนระดับจากไก่อ่อนเป็นไก่แจ้แล้ว เพราะฉะนั้นคำตัดสินนับว่าเชื่อถือได้”
“ไก่จ้งไก่แจ้อะไร กูวาดลวดลายเจ้าชู้เก่งกับใครเป็น ก็แค่โชคดีสบช่องเข้าถึงตัวง่ายหน่อยเพราะรู้จักกันมาแต่เด็ก ไม่งั้นป่านนี้คงแหงนหน้ามองกระสวยอวกาศตาค้าง นอนไม่หลับกระสับกระส่าย”
พฤหัสสะดุ้งเหมือนเหยียบเศษแก้ว เพราะรู้ชัดว่าเพื่อนแกล้งพูดแทงใจดำ
“โชคมึงดี ฝีมือมึงแน่”
กัดฟันชมเชยเสียงยานคางพลางคิดในใจว่าฝากไว้ก่อนเถอะมึง!
“เป็นความร่วมมือของฝ่ายหญิง ตบมือข้างเดียวไม่ดัง”
“เตือนๆ ไว้ก่อนนา…” พฤหัสหาช่องขู่แบบทีเล่นทีจริง “กูเห็นแวบๆ แต่รู้สึกว่ากระแสตาคุณเธอเตะใจแรงพิลึก เท่าที่เคยเจอมาเนี่ย ถาตาคมแบบดุอมหวานสะกดให้ลืมไม่ลงได้อย่างนี้นะ รายไหนรายนั้น เบื้องหลังต้องมีความไร้เหตุผลและความเอาแต่ใจตัวอย่างวายวอด เตรียมรับมือดีๆ เถอะ ตอนคุณเธอโวยขึ้นมาแล้วจะหนาว”
จองฤกษ์หัวเราะเยาะ
“ทรายน่ะเหรอไร้เหตุผล เอาแต่ใจตัว? คำเดียวที่มึงพูดผิดนี่เผาภาพผู้เชี่ยวชาญหญิงของมึงได้เลยนะโว้ย ฮี่โธ่! ฟังแล้วหมดศรัทธาว่ะ นึกว่ารู้จริงเรื่องหญิงขนาดไหน จะบอกให้ว่ากูเคยเห็นกับตา คนทำร้ายเขากี่คนต่อกี่คน มีแต่อภัยไม่ร้ายตอบเลยสักครั้ง”
พฤหัสสะอึก ฟังออกว่าเพื่อนหนุ่มเห็นอะไรมากกว่าตนไปหลายก้าว จึงรีบเปลี่ยนเรื่อง หันมาคาดคั้นแทน
“เอาล่ะ! สรุปว่ามึงสัญญาจะพาสองสาวไปเล่นแบดกับพวกเรานะ”
“เขาไม่ชอบเล่นแบด”
“แล้วชอบเล่นอะไร?”
“เล่นกับหมา”
“ฮ้า!?”
“พูดจริงๆ เขาเลี้ยงหมาน่ารักไว้ตัวนึง แกะออกมาลำบากมาก แต่เอาเถอะ เพื่อมึงกูจะลองพยายามชวน”
จองฤกษ์รู้แก่ใจว่าตนก็อยากอวดแฟนสวยให้เพื่อนอิจฉาเล่นเหมือนกัน เป็นลูกไล่มานาน เพิ่งขยับขึ้นเป็นต่อก็คราวนี้
“ขอบใจโว้ย เสาร์หรืออาทิตย์นี้เลยเป็นไง?”
พฤหัสเร่งเร้าด้วยประกายตามาดหมายและเชื่อมั่นอยู่ในเงามืด นี่เขาโทร.หาเพื่อนโดยไม่เปิดไฟให้เกิดแสงสว่างใดๆ เสียก่อนด้วยซ้ำ!
๑๖๐
จองฤกษ์ยอมขาดเรียนอีกหนึ่งวัน เขาเดินทางไปรับโทรศัพท์มือถือที่ส่งซ่อมไว้เมื่ออาทิตย์ก่อน แต่ความจริงตั้งใจจะไปสืบถามข่าวคราวคนฆ่าตัวตายเป็นหลัก โดยเชื่อแน่ว่าต้องเป็นข่าวใหญ่สำหรับคนทั้งตึก
เริ่มถามจากคนในบริษัทมือถือก่อน หลายคนทราบว่ามีคนโดดตึกก็จริง แต่เหมือนจะไม่มีใครทราบเลยว่าผู้ตายชื่ออะไร มีเหตุจูงใจอันใด หรือแม้กระทั่งเป็นพนักงานของบริษัทไหนในอาคาร
เด็กหนุ่มปลงสังเวช เดี๋ยวนี้การโดดตึกตายจะเป็นเรื่องฮือฮาเพียงสองสามวัน ต่อจากนั้นทุกคนจะลืมเลือนและไม่พูดถึงอีก ไม่มีใครจดจำหรืออยากสืบเสาะทำความรู้จักผู้ตายให้ลึกซึ้ง ก็แค่ชีวิตหนึ่งจบลงเพราะคิดสั้น อีกหน่อยถ้าถึงยุคที่มีภาพคนร่วงจากตึกทุกสองชวโมงราวกับทิ้งขยะ ระยะเวลาในการโจษจันคงยิ่งหดสั้นลงไปอีก เช่นอาจถามกันแค่ว่ารู้ไหมเมื่อกี้เพิ่งโดดตึกไปอีกราย ฝ่ายฟังก็ยักไหล่ตอบว่า อ๋อ! รู้แล้ว จากนั้นก็คุยกันเรื่องดินฟ้าอากาศที่อาจจะน่าสนใจกว่ากัน! ั่
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมยืนรออยู่แถวๆ นั้น ในที่สุดเด็กหนุ่มก็ได้ทราบว่าผู้ตายเป็นพนักงานของบริษัทแห่งหนึ่งบนชั้น ๑๐ เขาจึงรีบรุดขึ้นลิฟต์ไปที่นั่นในทันที ใจยังหวังอยู่บ้างว่าถ้าหมออุปการะทายผิด เขาจะได้พ้นจากห้วงเหวแห่งความรู้สึกผิดเสียที
บริษัทอันเป็นเป้าหมายมีชื่อว่า ‘อินโฟมาสเตอร์’ ด้านหน้ามีเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ เด็กหนุ่มไม่รอช้า รีบปราดเข้าไปถามหญิงพนักงานต้อนรับทันที
“ขอโทษครับ สอบถามหน่อยนะครับ”
หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองเขา
“ค่ะ”
“อาทิตย์ก่อนมีคนในบริษัทนี้โดดตึกใช่ไหมครับ?”
พนักงานสาวชะงัก ท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อย จ้องผู้มาเยือนอย่างสำรวจตรวจตรามากกว่าเดิม คล้ายไม่แน่ใจว่าหล่อนควรให้คำตอบหรือเปล่า เนื่องจากเป็นคำถามแนวสืบสวนชอบกล
“มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?”
“คือผม… เอ่อ… อาจจะ…” คำถามที่ตระเตรียมไว้ล่วงหน้าถูกทำให้สะดุดด้วยท่าทีระแวดระวังของเจ้าหล่อนคนนั้น “คนตายอาจจะเกี่ยวข้องกับผม ผมเพียงแค่อยากทราบว่ามีญาตินำศพไปบำเพ็ญกุศลที่วัดหรือยัง?”
บังเอิญอย่างที่สุด หมัดเหวี่ยงแหของเขาจับเปาะเข้าเป้าอย่างจัง ประชาสัมพันธ์สาวค่อยกระตือรือร้นและเต็มใจตอบมากขึ้น
“เป็นญาติกับคุณครองสิทธิ์หรือคะ? ทางเราพยายามติดต่อกับภรรยาและญาติอยู่หลายวัน แต่เอ… ศุกร์ที่ผ่านมาดูเหมือนภรรยาไปรับศพจากโรงพยาบาลแล้วนี่”
“เมียอาครองเอาศพไปไว้ที่วัดไหน ศาลาอะไรหรือครับ?”
จองฤกษ์สวมรอยทันที เรียกผู้ตายว่า ‘อา’ เต็มปากเต็มคำ
“วัดใกล้บ้านเขาน่ะค่ะ เดี๋ยวจะสอบถามให้นะคะ”
“ขอบคุณครับ”
แล้วพนักงานสาวก็กุลีกุจอต่อโทรศัพท์ให้ทันที ครู่เดียวก็เงยหน้าขึ้นบอก
๑๖๑
“อยู่ศาลา ๒ วัดฟ้าใหม่น่ะค่ะ” แล้วหล่อนก็บอกหลักแหล่ง ชื่อถนนกับชื่อซอยให้เสร็จสรรพ “วันนี้สวดอภิธรรมคืนสุดท้ายพอดี”
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับ แล้ว… พอทราบสาเหตุหรือยังว่าทำไมอาครองคิดสั้น?”
“เรื่องนี้ดิฉันไม่ทราบนะคะ ได้ยินว่ามีการทำงานผิดพลาดอะไรสักอย่าง ลองไปที่วัดแล้วสอบถามใครดูเถอะ”
นันทกางุนงงครึ่งกล้าครึ่งกลัวเมื่อลูกชายคนเก่งขอให้ไปงานศพกับเขาในเย็นนั้น จองฤกษ์นำชุดดำมาให้เปลี่ยนถึงที่ทำงาน และวางท่าเงียบขรึมเมื่อหล่อนพยายามไถ่ถามว่าผู้ตายเป็นใคร มีความสัมพันธ์กับเขาอย่างไร จำเป็นขนาดไหนต้องให้หล่อนไปเป็นเพื่อน
ขับรถไปตามทิศทางที่ลูกชายบอก แต่ยิ่งใกล้วัดก็ยิ่งสะบัดร้อนสะบัดหนาวมากขึ้นทุกที กระทั่งอดรนทนไม่ได้ ต้องเอ่ยเสียงสั่น
“ฉันรู้ว่านี่ไม่ใช่เรื่องของเด็กๆ แกไม่ใช่เด็กอมมือที่ฉันจะซักไซ้ไล่เลียงตามใจชอบอีกต่อไป แต่อย่างน้อยก็ให้ฉันรู้หน่อยเถอะว่ามันเรื่องอะไร เกี่ยวกับเงินเกือบสิบล้านที่อยู่ในบัญชีฉันหรือเปล่า ไอ้ท่าจ๋อยหงอยของแกในช่วงที่ผ่านมาไม่ค่อยทำให้ฉันปลอดโปร่งกับเงินในมือเลย ให้ตายเถอะ!”
จองฤกษ์โน้มศีรษะเกาหน้าผากแผ่ว
“ความตายของเขาไม่เกี่ยวกับเงินในบัญชีหรอกแม่ สบายใจได้”
“แล้วแกมางานศพเขาทำไมล่ะ? จู่ๆ ก็เอาชุดดำมาให้ใส่ นึกว่าฉันมีความสุขนักเรอะ?”
“เอาเป็นว่า… ผมมาเพื่อพิสูจน์อะไรบางอย่าง ผมช่วยแม่ไปตั้งมาก แม่จะช่วยผมบ้างไม่ได้หรือ?”
ทั้งรถตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง
“เราอยู่บ้านหลังเดียวกัน…” นันทกาพึมพำเสียงขรึม “ฉันเห็นแกหมกตัวอยู่ในห้องนอนตลอด แต่ที่แท้แกอาจหายตัวไป ฉันไม่รู้ว่าไปอยู่โลกไหน รู้แต่แกกลับมาอีกทีพร้อมกับประวัติไม่ดีแน่ๆ แล้ววันนี้แกก็เอาชุดดำมาให้ฉันใส่พร้อมกับพามางานศพโดยไม่มีคำอธิบายอะไรเลย!”
“แล้วแม่ล่ะ ตะลอนๆ ไปสร้างประวัติอะไรไว้บ้าง? เอาเป็นว่าประวัติไม่ดีของผมมันล้างหนี้แม่ได้หมด จองรถใหม่ให้คันหนึ่ง แล้วเหลือเงินอีกก้อนให้แม่ถลุงได้ตามใจชอบก็แล้วกัน แค่นี้ยังดีไม่พอหรือ? ผมไม่บอกรายละเอียดเกี่ยวกับคนตายเพราะยังไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไร รออีกเดี๋ยว เถอะ ถ้าแน่ใจแล้วผมค่อยพูด และจะขอให้แม่ช่วยจัดการบางอย่างหน่อย”
“ยืมมือฉันตลอด กะให้ติดคุกแทนแกหรือไง?”
เด็กหนุ่มเบือนหน้ามองออกนอกหน้าต่างเพื่อซ่อนยิ้ม
“อย่ามองโลกในแง่ร้ายน่า ไม่มีใครคิดทุเรศๆ อย่างนั้นกับแม่ของตัวเองได้ลงคอหรอก ผมยังเป็นเด็ก ทำอะไรบางอย่างเกินตัวก็จะเป็นที่สังเกต เลยต้องขอความช่วยเหลือจากแม่บ้าง รับรองว่าจะไม่มีเรื่องให้ต้องลุ้นตัวโก่งตามหลังมาเป็นอันขาด”
“อย่าดีแต่พูดก็แล้วกัน ขอให้รู้จริงๆ เถอะว่าแกทำอะไรลงไป แล้วมีสิทธิ์เกิดอะไรขึ้นบ้าง”
ทีแรกอัตตาอันใหญ่โตเกือบปิดการทำงานของประสาทหูเสียสนิท แต่พอนึกได้ว่างานศพซึ่งเขากำลังบึ่งไปหานี้ก็เป็นหนึ่งในเรื่องที่ไม่เคยคิดว่ามีสิทธิ์เกิดขึ้น จองฤกษ์จึงก้มหน้าสลด ช่วงนี้เขาช่างก้มหน้าก้มตาดูพื้นบ่อยเสียจริงๆ …
๑๖๒
เดินตามทางมาถึงบอร์ดบอกหมายเลขศาลาที่มีชื่อผู้ตายปรากฏอยู่ จองฤกษ์เห็นชื่อ ‘ครองสิทธิ์ เลิกราวี’ ที่บรรทัดศาลา ๒ ของวันนี้ เขาได้แต่จดจำชื่อและนามสกุลนั้นไว้ในใจเงียบๆ
ศาลา ๒ มีผู้คนมาร่วมไว้อาลัยโหรงเหรง ทั้งที่สวดเป็นคืนสุดท้าย เมื่อหญิงวัยกลางคนกับเด็กหนุ่มแปลกหน้าเดินเข้ามาในศาลาก็ไม่เป็นจุดสนใจ เพราะญาติผู้ตายหลงนึกว่านันทกาเป็นเพื่อนร่วมงานของครองสิทธิ์ ส่วนเพื่อนร่วมงานตัวจริงที่นั่งๆ กันอยู่ก่อนหน้าก็เข้าใจว่าหล่อนเป็นญาติของผู้ตาย
ยกมือไหว้และรับไหว้ทักทายภรรยาผู้ตายตรงประตูกกระจกทีเดียว สองแม่ลูกก็เดินหาที่นั่งกันเอาเองโดยไม่มีใครนำพา นันทกาเดินเก้ๆ กังๆ อย่างใจคอไม่ค่อยดี รู้สึกไม่เป็นมงคลนักกับการใส่ชุดดำมาในงานศพของใครก็ไม่รู้ หันไปทางไหนก็ไม่เจอคนรู้จักสักราย คล้ายจะมาหลอกกินข้าวต้มหลังเสร็จพิธีสวดฉะนั้น
จองฤกษ์ชวนหล่อนไปนั่งหลังสุดแล้วกระซิบว่า
“ผมขอตัวไปคุยกับคนข้างๆ นี่แป๊บหนึ่งนะ”
นันทกาพยักหน้า แม้ต้องนั่งคนเดียวก็โล่งขึ้นบ้าง เพราะการที่ลูกชายตัวดีมีใครให้คุยก็แปลว่าการมาครั้งนี้มิใช่เรื่องประหลาดจนเกินไป
เด็กหนุ่มเลือกชายร่างสันทัดคนหนึ่งที่นั่งอยู่คนเดียวห่างไปสองสามเก้าอี้ เขายกมือไหว้ชายคนนั้น นั่งแหมะลงข้างๆ แล้วทักเสียงสุภาพ
“สวัสดีครับพี่ พี่เป็นเพื่อนร่วมงานกับอาครองสิทธิ์ใช่ไหม?”
การคะเนนั้นมาจากบุคลิกที่ซึ่งเหมาะจะเป็นพนักงานบริษัทอินโฟมาสเตอร์
“ใช่”
เสียงแหบตอบมาสั้นๆ ไม่รู้สึกแปลกใจเพราะนึกว่าจองฤกษ์เป็นญาติของครองสิทธิ์
“พี่อยู่ในวันเกิดเหตุหรือเปล่าครับ?”
“ก็อยู่ วันนั้นธุระด่วน ยุ่งกันนัว”
ตอบแบบชินๆ เนือยๆ เยี่ยงผู้ที่เคยถูกพนักงานสอบสวนซักมาแล้ว
“ผมเพิ่งมาวันนี้ และไม่อยากถามคำถามซึ่งเมียอาครองสิทธิ์คงตอบซ้ำซากหลายหนแล้ว อยากให้พี่ช่วยบอกสักนิดได้ไหมครับว่าอะไรเป็นเหตุจูงใจของอาครองสิทธิ์ ตำรวจสันนิษฐานบ้างไหมว่าเป็นฆาตกรรม?”
“หัวหน้าโดดลงมาเองตรงๆ เลย คนเห็นกับตากันเยอะ แล้วเขาก็ชันสูตรศพกันไปแล้ว ไม่ใช่ฆาตกรรมหรอก”
“อ้อ! อาครองเป็นหัวหน้าพี่หรือ?”
“อือ”
“อาครองคงเป็นหัวหน้าที่ดีใช่ไหมครับ?”
ลูกน้องคนตายทำปากเบะนิดๆ ด้วยอารมณ์ขุ่นมัวตกค้าง ไม่ใช่ด้วยเจตนาทำร้ายจิตใจญาติ
“ก็… โอเค”
เห็นได้ชัดว่าตอบแบบถนอมน้ำใจแล้ว เพราะท่าทางความรู้สกข้างใจน่าจะเป็นลบมากกว่านั้นแยะ และจองฤกษ์ก็พอจะเดาทางถูก ึ
“อาครองไปกะทันหันแบบนี้คงทิ้งภาระหนักไว้ให้พี่พอดู”
๑๖๓
“โคตรๆ เลยล่ะ!”
ชายหนุ่มหรี่ตาขมวดคิ้วตอบแบบแสดงท่าสาหัส จองฤกษ์เห็นเค้าว่าถ้ากระทุ้งดีๆ ฝ่ายนั้นคงยอมเล่าแบบปากไม่มีหูรูด
“ระดับหัวหน้าแผนกของบริษัทศูนย์ข้อมูลน่าจะมีความรับผิดชอบสูง อาครองไม่ได้สะสางอะไรไว้เสียก่อนเลยหรือครับ?”
คำถามที่คล้ายเปิดช่องรับการระบายความในใจนั้น ทำให้หนุ่มศูนย์ข้อมูลเปิดปากแบบไม่ยั้ง ชนิดลืมตัวว่าโลงศพอยู่ตรงหน้า
“สะสางกะผีอะไรล่ะ ละเลงขี้ไว้ให้เช็ดกันไม่ทันน่ะซี ไม่รู้แกทำยังไงของแก ข้อมูลลูกค้าตลอดทั้งวันเสาร์ที่ผ่านเครื่องแกถึงหายเรียบ อัพเดทข้อมูลลงเซิร์ฟเวอร์มีแต่ไฟล์เก่ายุคหินทั้งนั้น พอลูกค้าจะใช้ด่วนในวันอาทิตย์แล้วไม่มีให้ก็จบเห่เลย ลูกค้าสูญสัญญามูลค่าเกือบร้อยล้านมั้ง บริษัทจะโดนฟ้องอยู่เนี่ย ต้องวินาศสันตะโรกันอีกเท่าไหร่ยังไม่รู้เลย เผลอๆ ถ้าชดใช้ค่าเสียหายไม่ได้ก็อาจต้องปิดบริษัท เพราะชื่อเสียงและความรับผิดชอบตามกฎหมายของเราผูกอยู่กับงานพรรค์นี้โดยตรง เจ๊งจังๆ งานเดียวอาจหมายถึงต้องชดใช้ด้วยทั้งหมดที่เรามี!”
จองฤกษ์ยกมือขึ้นแปะหน้าด้วยความเศร้าลึก ตกลงความหายนะครั้งนี้เป็นฝีมือของเขาจริงๆ …
กระแสความเศร้าของจองฤกษ์ทำให้ลูกน้องคนตายรู้สึกตัว เปลี่ยนมาพูดในเชิงให้ความเห็นใจบ้าง
“ที่หัวหน้าคิดสั้นคงเป็นเพราะอยู่ในช่วงทะเลาะกับแฟนด้วย เห็นว่าแฟนหอบลูกหนีไปนอนนอกบ้านน่ะ รู้สึกกำลังมีปัญหาเรื่องเงินๆ ทองๆ กันอยู่ พอเครียดซ้อนเครียดเลยวูบด่วนตัดสินใจอย่างนั้นไป… ยังไงพี่ก็เสียใจด้วยนะ”
“ครับพี่ ขอบคุณ เอ่อ… พี่พอทราบไหมว่าครอบครัวอาครองติดหนี้หรือมีปัญหาเรื่องเงินอยู่เท่าไหร่ คุณแม่ผมอาจยื่นมือเข้ามาช่วยได้”
เขาพยายามเลียบเคียงเพราะขลาดเกินกว่าจะเผชิญหน้ากับ ‘คนข้างหลัง’ ของผู้ตาย
“อุ้ย! พี่จะไปรู้ได้ยังไงล่ะ ไม่สนิทกับหัวหน้าขนาดนั้นนี่ เห็นแค่บ่นๆ ว่าแม่ของแฟนป่วยหนัก เจอค่ารักษาพยาบาลอาน น้องไปถามกับแฟนหัวหน้าสิถ้าอยากรู้”
จองฤกษ์พยักหน้าอย่างพอปะติดปะต่อเรื่องราวได้ แม่ยายป่วยหนัก ใช้เงินมากจนมีปากเสียงกันแบบผัวๆ เมียๆ จนเมียหนีไปนอนค้างโรงพยาบาลไม่ยอมกลับบ้าน กำลังเครียดจัดอยู่แล้วเป็นทุน พอเจอของแถมเป็นการก่อความเสียหายให้บริษัทป่นปี้โดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เห็นอนาคตว่ากำลังจะต้องโดนไล่ออกอยู่รอมร่อ ก็เป็นธรรมดาที่ใครคนหนึ่งจะเสียสติคิดสั้นชั่ววูบขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อยืนอยู่ ณ ระดับความสูงที่แรงดึงดูดโลกอาสาเป็นเครื่องมือประหารให้ได้ง่ายๆ เช่นนั้น
“ลูกอาครองอายุเท่าไหร่พี่ทราบไหมครับ?”
“เพิ่งสองสามขวบเองมั้ง คงยังไม่ทันจำหน้าพ่อได้ชัดๆ หรอก เอ๊ะ! นี่แสดงว่าน้องไม่ได้ติดต่อกับหัวหน้านานแล้วสิ ถึงไม่รู้อะไรเลย”
ชายหนุ่มชักเริ่มตั้งข้อสังเกต เพราะจองฤกษ์ท่าทางเศร้าซึมจัดกับการจากไปของครองสิทธิ์ แต่กลับไม่รู้ตื้นลึกหนาบางอะไรเกี่ยวกับครองสิทธิ์สักอย่าง มาถามเอาจากเขาหมด
“ครับพี่ ผมแย่จริงๆ ที่ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอาครองเอาเสียเลย… เดี๋ยวคงต้องติดต่อแฟนอาครองเพื่อให้คุณแม่ช่วยเหลือเสียหน่อย ขอบคุณมากนะครับ”
๑๖๔
“ได้ๆ … ไม่เป็นไร”
กลับมานั่งกับแม่ เอาแต่นิ่งไม่พูดไม่จาแม้เจอคำถามหลายคำ พอได้เวลาพิธีสวดก็นั่งตาลอยพนมมือ เหม่อมองโลงศพเบื้องหน้าคล้ายกลายเป็นร่างไร้วิญญาณไปเสียเอง แทนที่กลิ่นธูปเทียนและเสียงพระจะทำให้รู้สึกสงบและสลดปลงกับความไม่เที่ยงของสังขาร บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมทั้งหมดกลับตอกย้ำให้รู้สึกผิดจนสมองมึนชา เขามีปัญญารับผิดชอบอะไรกับการจากไปที่ไม่มีวันหวนกลับของคนๆ หนึ่ง?
ความอุดอู้ หดหู่ และคิดโทษตัวเองเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง รู้สึกผิดแรงที่สุดเท่าที่เคยมีมาทั้งชีวิต เขากลายเป็นมีดเล่มสุดท้ายที่มีส่วนเข้าปลิดชีวิตคนโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันก็บังเกิดความกลัวบาปกลัวกรรม เท่าที่จับความจากหมออุปการะ การแกล้งคนแบบไม่เลือกหน้าจะทำให้ต้องซวยแบบไม่เลือกเหตุการณ์ไปเรื่อยๆ คล้ายเข้ามาอยู่บนเส้นทางแห่งความซวยเต็มตัว ทุกสิ่งและทุกคนในโลกอาจเป็นเครื่องมือให้กับกฎแห่งกรรมกลั่นแกล้งเขาได้หมด
เขาใช้ความฉลาดไปในการสร้างความเดือดร้อนให้ผู้อื่น และสร้างความหายนะให้กับตนเองโดยแท้!
นาทีหนึ่ง จองฤกษ์มองกรอบรูปถ่ายหน้าตรงบนขาตั้งกลางพวงหรีดน้อยใหญ่ ครองสิทธิ์เป็นชายที่ดูคร่ำเคร่งเอาจริงเอาจังจนเดาวัยไม่ถูกว่าเป็นสามสิบเศษหรือจวนห้าสิบกันแน่ ทราบแต่ว่าเขายังไม่น่าจะได้เวลาจากลาโลกนี้ไป บัดนี้หมดลมมานอนทอดร่างอยู่ในหีบไทยราคาถูกเสียแล้ว
ถ้าชาติหน้ามีจริงก็แปลว่าความตายไม่มี และชายคนนี้ก็ไม่ได้ฆ่าตัวตาย แต่เป็นการเลือกเกิดใหม่ในสภาพที่แย่กว่าเดิม นั่นแหละความหายนะที่แท้จริงชนิดไม่อาจแก้ไขอะไรให้ดีขึ้นได้…
เทียบกันแล้ว ความหายนะของเขายังดีตรงที่เป็นความหายนะของคนมีชีวิต ยังมีสิทธิ์เปลี่ยนล้มให้กลายเป็นลุก และอาจแปรทุกข์ให้กลายเป็นสุข
มนุษย์กว่าครึ่งโลกต้องประสบกับความวิบัติซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่นานปี กว่าจะรู้ซึ้งว่าชีวิตไม่ใช่ของเล่น สำหรับเขานับว่ามีวาสนาขนาดไหนแล้วที่พบกับผู้พลิกความคิดได้เสียตั้งแต่ต้นวัย ยังไม่ทันก่อบาปก่อกรรมจนหยั่งรากแก้วยึดเขาไว้กับอกุศลแน่นหนาเกินถอน
นั่งนิ่งตาวาว ต่อไปนี้เขาจะศรัทธาในศักยภาพของมนุษย์ ใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อแก้ความวิบัติให้กับตนเองและผู้อื่นจนกว่าจะหาไม่!
อ่านต่อตอนที่ ๑๙ >>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น