วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2559

เก็บเงินได้แล้วเอาไปทำบุญ จะได้บุญหรือไม่? (ดังตฤณ)

ถาม : สมมุติว่าผมเดินไปเจอเงินตกอยู่กลางถนน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าใครเป็นเจ้าของ (เคยได้ยินบ่อยๆทำนองคนเก็บขยะเคยเจอแหวนเพชรในซองที่ถูกทิ้งโดยไม่ได้ตั้งใจด้วยซ้ำ) ถ้าเรานำเงินมาเข้ากระเป๋าตัวเอง วิบากจะเป็นเช่นไร ถือว่าผิดศีลข้ออทินนาฯไหม? แล้วกรณีที่เราพยายามสืบหาเจ้าของอย่างเต็มที่แต่หาไม่ได้จริงๆ จะยังผิดอยู่ไหม? อีกอย่างถ้านำทรัพย์ดังกล่าวไปทำบุญ ผลบุญที่ได้จะเป็นเช่นไร? ส่วนเจ้าของเงินตัวจริงถ้าไม่ได้อนุโมทนา จะได้บุญตามเราหรือไม่อย่างไร? และถ้าเป็นคุณดังตฤณเจอเงิน คุณจะทำอย่างไรกับเงินนั้น?


ดังตฤณ: 
ต้องทำความเข้าใจเรื่องธรรมชาติของสิทธิ์ในการครอบครองกันก่อนครับ ตามกฎของธรรมชาตินั้นคล้ายคลึงกับกฎหมายทางโลก นั่นคือสิทธิ์ครอบครองสมบัติจะคงอยู่ตราบเท่าที่เจ้าของยังไม่ตาย และ/หรือ ยังไม่ยินยอมยกให้กับผู้อื่น

สิทธิ์ในการครอบครองเป็นสิ่งที่มีพลังในตัวเอง หากใครมาทำลายสิทธิ์นั้น เจตนาฉกฉวยสิทธิ์นั้นไปครอบครองโดยเจ้าของไม่ยินยอม ก็ได้ชื่อว่าทำกรรมข้อที่ว่าด้วยการลักขโมยเต็มร้อย

สิทธิ์ในการครอบครองจะเป็นพลังที่เป็นกลางกับเจ้าทรัพย์เดิม แต่จะแปรเป็นพลังลบ หรือเป็นเงาดำติดตัวหัวขโมยไปในทันทีที่เกิดการยักยอกหรือฉกชิงไป หากคุณมีโอกาสเข้าไปในบ้านหัวขโมย เห็นข้าวของเครื่องใช้ที่ขโมยคนอื่นมาตั้งอยู่เรียงราย ก็จะสัมผัสได้ชัดเลยครับว่ามีกลิ่นอายแปลกๆ ทั้งบ้านมีความทึบทึมน่าอึดอัดอย่างอธิบายยาก และตัวหัวขโมยเองก็มีกระแสประหลาดที่ไม่น่าไว้ใจ ไม่น่าเข้าใกล้ อันนั้นแหละ เงาดำอันเกิดจากการมีสมบัติอย่างไม่ชอบธรรม

คราวนี้มาถึงกรณีของทรัพย์ที่พบตามทาง คุณไม่มีเจตนาไปปล้นใครเขามา อันนั้นเป็นความจริงข้อหนึ่งที่ทำให้การหยิบฉวยไปไม่เข้าข่ายลักขโมย แต่สิทธิ์ในการครอบครองวัตถุยังไม่หายไป เพราะเจ้าของยังไม่ยินยอมยกสิทธิ์ให้ใครอื่น อันนั้นเป็นความจริงอีกข้อหนึ่งที่ทำให้คุณครอบครองสมบัติโดยไม่ชอบธรรมเต็มร้อย เพราะฉะนั้นขอกล่าวว่าคุณไม่ได้ทำกรรมอันเป็นบุญหรือเป็นบาปอย่างชัดเจน แต่มีมลทิน มีกลิ่นเหม็นติดมือมาด้วย ส่วนจะเหม็นมากหรือเหม็นน้อยก็ขึ้นอยู่กับความโลภที่เกิดขึ้น

ตัวอย่างนะครับ ถ้าระหว่างเดินทางเข้าบ้านซึ่งไม่ค่อยมีคนสัญจร หากเห็นกระเป๋าเงินหล่น คุณรีบปรี่เข้าไปฉกทันที ด้วยเจตนาจะรีบอุ๊บอิ๊บไว้ เป็นการป้องกันเจ้าของกลับมาพบ อันนั้นไม่ขโมยก็เหมือนขโมย เพราะใจรู้สึกอยู่ว่าเจ้าของเขามีสิทธิ์รู้ตัวและย้อนกลับมาเอาคืนได้ภายในสองสามนาที ไม่สายเกินการณ์

อีกประการหนึ่ง ถ้าของที่พบเป็นกระเป๋าสตางค์ ปกติจะมีร่องรอยเจ้าของอยู่เสมอ เช่นบัตรประชาชนหรือบัตรประจำตัวพนักงาน อันนี้คุณมีสิทธิ์สองประการเกิดขึ้นทันที หนึ่งคือทำบุญด้วยการนำของไปคืนตามที่อยู่ สองคือทำบาปด้วยการไม่รู้ไม่ชี้ ริบทรัพย์ไปเลยด้วยใบหน้าเฉยๆชาๆ

มันขึ้นอยู่กับว่าใจคุณรู้อย่างไร คิดอย่างไรด้วย ถ้ารู้ตัวว่าอยู่ในมือคุณ เจ้าของมีสิทธิ์ได้คืนแน่ เพราะคุณจะแจ้งเขาตามที่อยู่ตามเอกสารในกระเป๋า อันนั้นหากตัดสินใจทิ้งไว้ที่เดิม แม้ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาปก็ถือเป็นการขาดเมตตา เพาะนิสัยดูดาย อันเป็นกรรมที่กระเดียดไปทางลบอยู่ดี

ยิ่งเป็นกรณีคนเก็บขยะพบแหวนเพชร ถ้าเขาซื่อจริงย่อมสืบได้ว่ามาจากขยะกองไหน เป็นเขตบ้านของใคร การนำไปคืนไม่ใช่เรื่องเหลือวิสัย คือแจ้งตำรวจเรียกหาเจ้าของเดิมมารับพร้อมหลักฐาน

แต่มีอีกกรณีหนึ่ง หากเจอแต่เงินหรือทรัพย์ล้วนๆที่ไม่อาจสืบหาเจ้าของได้ อันนั้นถ้าทิ้งไว้กับที่จะดีที่สุด สบายใจที่สุด เพราะแม้คุณคิดว่าถ้าคุณไม่เอา คนอื่นก็เอา อย่างนั้นก็เป็นการตัดสิทธิ์เจ้าของไม่ให้กลับมาพบทรัพย์ได้อีกเลยอย่างถาวร ให้คนอื่นทำเถอะ อย่าให้เป็นคุณจะดีกว่า

ที่จะเป็นกรณียกเว้น คือคุณรู้ชัดๆว่าเจ้าทรัพย์ตาย หาผู้สืบทอดไม่ได้ อันนั้นโอเคไม่มีปัญหา อย่างเช่นเมื่อครั้งพุทธกาล พอคนตายญาติก็เอาศพไปทิ้งที่ป่าช้า พระก็มีสิทธิ์ชักผ้าห่อศพมาใช้ได้โดยไม่ถือเป็นการขโมย เพราะไหนๆเจ้าของเดิมก็ตายแล้ว ญาติก็นำมาทิ้งให้แร้งทึ้งแล้ว ไม่ใช้ประโยชน์อันใดอีกแล้ว สละสิทธิ์ครอบครองเต็มที่แล้ว ใครจะเอาไปก็ไม่ควรว่ากัน

และหากพิจารณาด้วยใจบริสุทธิ์จริงๆว่าเจ้าของไม่มีทางย้อนกลับมาสืบหาได้ เช่นธนบัตรปลิวมาจากที่ไกล เจ้าของไม่อาจตามเส้นทางลมมาถึงธนบัตร อันนี้ถือเป็นลาภลอยก็คงไม่ผิดอะไร

กรณีที่นำทรัพย์ไปทำบุญ ก็ต้องย้อนกลับไปพิจารณาจากเงื่อนไขที่ผ่านๆมาข้างต้น ถ้าทรัพย์หาเจ้าของไม่ได้จริงๆ เป็นลาภลอยของคุณจริงๆ บุญนั้นก็บริสุทธิ์ แต่ถ้าใจคุณสงสัยแม้แต่นิดเดียวว่าป่านนี้เจ้าของจะกลับมายังตำแหน่งของตกหรือเปล่า เขาจะกระวนกระวายทุกข์ร้อนแค่ไหนเมื่อไม่พบ ใจคุณจะมีมลทินทันที และบุญจะไม่มีทางบริสุทธิ์ไปได้เลย

กรณีที่เจ้าของไม่อนุโมทนา แม้คุณจะอุทิศบุญไปให้เขา เขาก็ไม่ได้รับส่วนบุญหรอกครับ แต่เขาอาจได้รับกระแสความสว่างเย็นแบบไม่รู้เหนือรู้ใต้วูบหนึ่ง เพราะจิตเป็นสิ่งที่สื่อกันได้ผ่านวัตถุ โดยเฉพาะถ้าวัตถุเคยอยู่ในครอบครองของเขา

สำหรับผม ถ้าเจอเหตุการณ์ดังกล่าว ก็จะพิจารณาตามที่กล่าวไปแล้วทั้งหมดเหมือนกันครับ



ที่มา : หนังสือเตรียมเสบียงไว้เลี้ยงตัว
ดังตฤณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น