<ย้อนกลับอ่านตอนที่ ๒๔
ตอนที่ ๒๕ อิทธิฤทธิ์ของกรรม
ช่วงบ่ายวันนั้นจองฤกษ์ตระเวนหาซื้อคอมพิวเตอร์พร้อมโต๊ะตั้งและอุปกรณ์สำคัญ นั่นหมายความว่าเขา
๒๑๕
สามารถออกมาอยู่บ้านใหม่ได้โดยไม่จำเป็นต้องกลับไปที่บ้านพ่อแม่บ่อยนัก
แปลกที่เขาไม่รู้สึกแตกต่างนักระหว่างอยู่บ้านเดิมกับแยกมาอยู่ตามลำพัง อาจเป็นเพราะบ้านเขาห่างเหินกันอยู่แล้ว ถึงอยู่ชายคาเดียวกันก็ไม่ค่อยเจอ ไม่ค่อยทักทาย ไม่ค่อยแม้จะทานข้าวร่วมกันสักเท่าไหร่
แต่ถึงเขาจะใช้เงินจาก ‘น้ำพักน้ำแรง’ ตนเองซื้อ ‘บ้านหลังแรก’ ในชีวิตมาก็หาได้ภูมิอกภูมิใจสักเท่าใด เห็นจะเป็นเพราะกะใช้ซุกหัวนอนไม่กี่ปี นี่ยังไม่ใช่ ‘บ้าน’ ในความรู้สึกที่แท้จริง เงินพันล้านในมือทำให้เห็นมันเป็นแค่อิฐปูนคุ้มแดดคุ้มฝนชั่วคราวเท่านั้น
หรืออาจจะเพราะมีคนทำให้เขาเชื่อขึ้นมาว่าเงินจากการขโมยไม่ควรภาคภูมิเหมือนเงินจากการทำงานเยี่ยงวิญญูชน…
หลังจากคุมการย้ายของเข้าบ้านเสร็จ จองฤกษ์ก็นั่งแท็กซี่ไปบ้านพ่อแม่เพื่อโยกย้ายถ่ายเทสมบัติสำคัญทั้งหลายรวมทั้งขอเงินจากแม่ใช้ เพราะหลังจากกดเอทีเอ็มครั้งสุดท้ายพบว่าตัวเลขในบัญชีร่อยหรอลงทุกที
เดินเข้าบ้านเนือยๆ ไม่รู้สึกใจหายที่จะขนของย้ายออก นั่นเพราะคิดว่าคงไปๆมาๆเรื่อยๆ อีกอย่างหาใช่เขาจากไกลไปถึงต่างจังหวัดหรือต่างประเทศ ตอนถนนว่างๆนั่งแท็กซี่แค่ ๒๐ นาทีก็ถึง
เปิดประตูเข้าห้องน้ำจะล้างหน้าล้างตา เดินอย่างที่เคยเดินมาชั่วนาตาปี แต่คราวนี้มีบางสิ่งรอเขาอยู่ แตกต่างจากพื้นอันว่างปลอดจากภยันตรายดังเคย เพียงก้าวที่สามที่ย่างเข้าไป เนื้อฝ่าเท้าอ่อนๆก็กดลงไปบนของแหลมเล็กคมกริบชนิดหนึ่ง ถึงขนาดสะดุ้งแหกปากร้องลั่นราวกับโดนลูกธนูเสียบยอดอก
“โอ๊ย!!”
ยกฝ่าเท้าขึ้นดูจึงรู้ว่าตนเหยียบเศษแก้วเข้าให้แล้ว จองฤกษ์นิ่วหน้าตาถลน กระแทกตัวลงนั่งกับฝาส้วม ตามองเศษแก้วบนพื้นด้วยความสงสัยว่าใครชุ่ยขนาดนี้ ทำแก้วแตกแล้วไม่เก็บกวาด ปล่อยให้คนข้างหลังบาดเจ็บได้
เสียงร้องของเขาเรียกแม่มายืนหน้าประตูห้องน้ำในอึดใจเดียว
“อ้าว! ฤกษ์” นันทกาทักแค่นั้นแล้วหัวเราะขำ เพราะเห็นลูกชายกำลังนั่งหน้าเครียดจ้องบาดแผลกลางฝ่าเท้านิ่ง“โดนแก้วบาดเหรอ?”
เด็กหนุ่มได้ยินแล้วโมโหเสียงหัวเราะ
“ก็ใช่น่ะสิแม่ ใครมาทำแก้วแตกไว้เนี่ย?”
“ฉันเอง”
นันทกาตอบกลั้วหัวเราะอย่างคนอารมณ์ดีที่กำลังมีเงินใช้เยอะแยะ โลกจึงปรากฏเป็นความบันเทิงเริงรมย์สดใสสว่างไปเสียทุกแง่มุม แต่คนหาเงินให้ใช้ต้องขบฟันข่มความโกรธ นึกออกเลยว่าตัวเองติดนิสัยชอบหัวเราะเยาะความเจ็บปวดของคนอื่นมาจากแม่นี่เอง เขาถามด้วยความยัวะจัด
“ทำไงถึงมาหล่นแตกอยู่ที่นี่ได้ล่ะ?”
“เมื่อกี้เอามาล้างแล้วลื่นหลุดมือ ความจริงกวาดไปแล้วกองหนึ่ง แต่พอดีมีโทรศัพท์ ใครจะไปนึกล่ะว่าเดี๋ยวแกทะเล่อทะล่ามาเจอแจ็กพอตกองย่อยที่เหลือเข้าให้”
หนึ่งในกองย่อยที่แม่ว่าคือเศษยอดแหลมตั้งเด่ราวกับขวากดักสัตว์ และเขาก็เป็นผู้โชคดีรายแรก ยิ่งคิดยิ่งหัวเสีย
“งั้นแม่น่าจะปล่อยไว้ นี่ถ้ายังไม่เก็บกวาดเลย ให้เหลือเศษแก้วกระจายเกลื่อนยังดีกว่า จะได้เห็นง่ายขึ้น”
๒๑๖
“นั่นน่ะซี”
“แล้วอ่างล้างจานก็มี แม่เอาไปล้างในครัวไม่ได้หรือไง?”
“ได้น่ะได้อยู่ แต่มันขี้เกียจเดิน”
พูดแบบลากเสียงขำเสร็จก็ยืนอ้าปากหัวเราะก้ากๆอยู่คนเดียว อย่างเห็นคำพูดตนเองเป็นมุขตลกชิ้นเด็ด จองฤกษ์ร่ำๆจะเหลืออด เกือบโพล่งว่าแม่มักง่าย ชุ่ย และขาดความสำนึกผิดอย่างแรง เพราะเลินเล่อแล้วยังมีหน้ามาหัวเราะใส่หูคนเดือดร้อนจากผลงานตัวเองอีก แต่วินาทีเดียวกัน จู่ๆก็ระลึกขึ้นได้ว่าเมื่อไม่ช้าไม่นานมานี้ เขาเองเคยเปิดประตูกระแทกหลังนักเลงโต พอเห็นฝ่ายนั้นดิ้นขลุกขลัก แทนที่จะขอโทษกลับหัวเราะเยาะ จนกระทั่งเกิดเรื่องเกิดราวลุกลามและผลสุดท้ายโดนดี เจ็บเนื้อเจ็บตัวเข้าให้บ้าง
สลดใจและปลงตกอย่างรวดเร็ว กรรมอะไรทำให้เจอ ‘กับดัก’ ในห้องน้ำก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเคยหัวเราะเยาะคนอื่นไว้บัดนี้โดนหัวเราะเยาะกลับ รู้รสชัดเจนเลยว่ามันน่าโมโหจี๊ดขึ้นสมองขนาดไหน
ระบายลมหายใจยาว อโหสิให้กับการหัวเราะเยาะของแม่ แล้วบังเกิดวูบแห่งความโปร่งโล่งจากการไม่ผูกใจเจ็บ และนั่นก็ทำให้สำเหนียกรู้เป็นครั้งแรกว่าเมื่อใช้กรรมโดยไม่ผูกใจ ไม่ติดใจ ก็ไม่มีพันธะใดๆเชื่อมโยงให้อยู่ในวงจรเดิมๆอีก สะท้อนชัดด้วยความว่างเบาหัวอกชั่วขณะแห่งการอโหสินี่เอง
แม่เดินหายไป แล้วครู่หนึ่งก็กลับมาพร้อมขวดยาแดง แอลกอฮอล์ พร้อมสำลีและซองพลาสเตอร์ยื่นให้
“ทำแผลซะ”
จองฤกษ์เกือบคว้ามาแบบกระชากๆ แต่พอระลึกได้ว่าถ้าทำเช่นนั้นจะเป็นการฟ้องว่ายังมีร่องรอยโทสะแฝงอยู่ในใจ จึงรับมาดีๆและพร้อมเอ่ยขอบคุณ
“เดี๋ยวช่วยเก็บเศษแก้วให้ฉันด้วยละกัน ฉันจะไปคุยโทรศัพท์ต่อ”
ลูกชายพยักหน้ารับภาระที่ถูกผลักมาโดยดีอีก แต่วูบต่อมาเขาก็เห็นอาการขบฟันนิดๆและความคันอกคันใจ ได้แต่ปลอบตัวเองให้ก้มหน้าก้มตารับกรรมอย่างไร้เงื่อนไข ก็จะได้จบๆกันไป หรืออย่างน้อยก็ทุเลาเบาลงมาก คราวหน้าถ้าซวยอีกจะได้ไม่เจอหัวเราะเยาะซ้ำเติมเหมือนอย่างนี้อีก
จองฤกษ์รู้ตัวว่าเป็นพวกโกรธง่ายหายช้า แล้วก็ขี้โมโหแบบร้ายลึก จู่ๆพอชีวิตมาถึงจุดหักเหให้คิดอยากเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก็คล้ายกำลังพยายามกดคอยักษ์ให้ก้มหัวลงราบกับพื้น จึงต้องเจอแรงฝืนต้านมากมายเป็นธรรมดา นี่เป็นสิ่งที่เขารับรู้และเตรียมใจรับมือไว้ก่อนหน้าแล้ว
คิดถึงณชะเล หล่อนเป็นความงดงามทางใจ แค่นึกเดาว่าหล่อนจะมีปฏิกิริยาเช่นไรหากประสบกับความเคราะห์ร้ายแบบเขา เจอแม่หัวเราะเยาะเหมือนอย่างเขา จิตใจจองฤกษ์ก็สงบรำงับลงเสียได้ แน่นอนว่าณชะเลคงไม่ถือโกรธ ไม่ผูกใจเจ็บ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแม่บังเกิดเกล้า…
ค่อยๆเรียนรู้ว่าการระลึกถึงคนดีทำให้มีกำลังใจอย่างนี้ คนดีไม่ได้เป็นประโยชน์เฉพาะกับตัวเอง แต่ยังมีคุณกว้างออกไป เป็นแรงบันดาลใจ และเป็นเครื่องระลึกได้ว่าโลกนี้ยังมีต้นแบบดีๆที่น่าเอาอย่างอยู่บ้าง
ยิ้มละไม แสนรักหล่อน เห็นค่าของหล่อน แต่ขณะเดียวกันอัตตามานะของเขาก็ทำให้เกิดความละอายที่ต้องอาศัยผู้หญิงเป็นแม่แบบ ได้แต่คิดว่าวันนี้หล่อนเป็นที่พึ่งทางใจให้เขา วันหน้าเขาจะเป็นทั้งที่พึ่งทางกายและทางใจให้กับหล่อน เขาจะเหนือหล่อนทุกๆทาง และจะเป็นต้นแบบที่ทำให้หล่อนระลึกถึงในยามอับจนเหมือนอย่างนี้บ้าง
๒๑๗
เหลือบตากลับมาเล็งแลบาดแผลบนฝ่าเท้าตัวเอง เศษแก้วตำเข้าไปลึกพอสมควร แต่ปากแผลไม่ฉีกกว้างนักเลือดจึงทะลักออกมาเป็นลิ่มเล็กๆ เด็กหนุ่มเอาสำลีเปล่าซับเลือดและแหวกร่องแผลเพื่อหาดูว่ามีเกล็ดเล็กเกล็ดน้อยฝังอยู่ในนั้นหรือไม่ เขาคงเสียวฝ่าเท้าไปอีกหลายวัน และอาจเดินเท้าเปล่าด้วยความหวาดระแวงไม่เป็นสุขไปอีกพักใหญ่
หากเป็นเมื่อเดือนก่อน เขาคงรำพึงว่า ‘ทำไมซวยอย่างนี้วะ?!’
แต่วันนี้เขานึกสงสัยครามครัน ว่านี่เป็นเพียงความบังเอิญ หรือว่านี่คือลีลาแสดงตัวของวิบากกรรมกันแน่?…
สมองของเขาเริ่มมีความเชื่อหยอดเข้ามาเรื่อยๆทั้งทางอ้อมและทางตรง ว่าความเคราะห์ร้ายโดยบังเอิญไม่มี มีแต่ความประจวบเข้ากันระหว่างบุคคล กาล สถานที่ด้วยแรงดึงดูดของกรรม ทุกเหตุการณ์ร้ายดีที่เกิดขึ้นล้วนเป็นการจัดฉาก เริ่มจากวิบากกรรมถึงเวลาให้ผล แล้วก็จะส่งแรงดึงดูดเอาบุคคลมาอยู่ในสถานที่ที่สามารถลงโทษหรือตกรางวัลดังเช่นห้องน้ำนี้ ขณะนี้ มีวัตถุอันเป็นเครื่องลงทัณฑ์วางรอเขาอยู่ราวกับแร้วดักสัตว์ของนายพราน สำคัญคือไม่มีทางใดที่สัตว์หน้าโง่อย่างเขาจะรู้ตัวเลยว่าต้องเจอกับดัก มีแต่ดุ่มเดินไปติดกับและรอการเชือดสถานเดียว
พยายามวิเคราะห์เหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นสดๆร้อนๆนี้ว่าเกิดขึ้นเพราะอะไร ตัดเรื่องความซุ่มซ่ามไม่ดูตาม้าตาเรือออกไปได้ เพราะเศษแก้วมาวางอยู่ในที่ที่ทุกคนเดินผ่านไปผ่านมาเป็นประจำอย่างปลอดภัย สุดวิสัยที่จะนึกว่าวันนี้มีดีรออยู่ อีกทั้งแม่ก็ไม่ได้ตั้งใจเจาะจงเล่นงานเขา แม่เพียงเห็นว่าไม่มีใครอยู่บ้าน เลยชะล่า หากทราบล่วงหน้าว่าเขาจะกลับบ้านเวลานี้ก็คงเก็บกวาดเสียก่อนแล้ว
ไม่ใช่ความผิดด้วยความประมาทของเขา ไม่ใช่ความผิดด้วยความจงใจทำร้ายของแม่ ตกลงคือคนผิดไม่มี มีแต่ความจงใจของกรรม! ถ้าเชื่อว่าโลกนี้ไม่มีความบังเอิญ มีแต่ผลอันไหลมาจากเหตุ ก็แปลว่าเขาเป็นแค่ผู้ถูกตัดสิน และนี่คือทัณฑกรรมสำหรับเขาโดยเฉพาะ หลังจากเศษแก้วถูกเขาเหยียบก็จะไม่มีใครได้เหยียบซ้ำอีก
ครุ่นคิดวนไปเวียนมา ฉากนี้ นาทีนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อเขาโดยเฉพาะ ฉับพลันก็เกิดความเห็นว่ากรรมเป็นสิ่งมีอิทธิฤทธิ์ และเป็นอิทธิฤทธิ์ขั้นสูงสุด เหนือฤทธิ์เดชบันดลบันดาลใดๆของเหล่าพ่อมดหมอผี และอยู่เหนือกำลังต้านทานของส่ำสัตว์ผู้อ่อนแอทั้งปวง ต่อให้เขาฉลาดปราดเปรื่องกว่านี้แสนเท่า ลงถ้ากรรมตัดสินใจจะเล่นงานเสียอย่างก็ไม่รู้จะเอาอะไรไปหือสู้ นี่คือข้อเท็จจริงที่รุมเข้ามาแสดงให้เขารับรู้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดระยะเวลาช่วงหลังๆ
แต่จนแล้วจนรอด โดยความเป็นปุถุชนผู้ยังไม่พบวิธีรู้แจ้ง ก็ต้องถามตนเอง ถามความว่างเปล่าในอากาศ หรือถามสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกอยู่ดี ว่านี่คือวิบากกรรมแน่หรือ? ทำอย่างไรจะแน่ใจเล่าว่ามิใช่เพียงความบังเอิญ? นิยามของความบังเอิญกับการเสวยผลกรรมมีความแตกต่างกันสักเพียงไหน?
ความอยากรู้อย่างรุนแรงทำให้เกิดความเล็งแน่วเข้ามาในปัจจุบัน
เศษแก้วบนพื้นห้องน้ำ…
บาดแผลบนฝ่าเท้า…
ความเจ็บปวดที่แล่นไปถึงศูนย์รวมประสาท…
ท่านั่งทอดอาลัยกับความเดือดร้อนที่ปราศจากผู้รับผิดชอบ…
เมื่อองค์ประกอบแห่งปัจจุบันกาลทั้งฝ่ายรูปและฝ่ายนามประชุมเข้าสู่การรับรู้ทั่วพร้อม และแปรเป็นภาพนิมิตทางใจเพียงหนึ่งเดียว ฉับพลันก็บังเกิดวูบแห่งความเห็นที่ประหลาด สัมผัสว่าที่กำลังปรากฏ ณ บัดนี้คือ ‘ผลอันเกิดจากเหตุ’ หาใช่สิ่งที่เกิดขึ้นเองลอยๆแต่อย่างใด และ ‘ตัวเขา’ นั่นเองเป็นผู้เคยก่อเหตุนั้นไว้ เขาเคยก่อความเดือดร้อนให้
๒๑๘
ผู้อื่นชนิดที่ไม่อาจมีใครตามมาเอาผิด เขาเคยท้าทายกฎแห่งกรรมให้แสดงทัณฑ์เป็นที่ประจักษ์ เขาเคยหัวเราะเยาะคนกำลังลำบาก…
ถึงวันนี้ก็ยังไม่มีใครหน้าไหนเก่งกล้าพอจะตามมาเอาผิดจากเขาได้ แต่วิบากกรรมของเขาเองแหละที่ทำได้!
คนเราไม่อาจเก่งได้เกินกรรมของตัวเอง…
วินาทีแห่งความ ‘บังเอิญรู้’ นั้นยังฉายให้เกิดความเห็นแจ้งบางประการ คือเขากำลังตกอยู่ในท่ามกลาง ‘กระแสแห่งความซวย’ อันยืดเยื้อยาวนานหาที่สุดมิได้ เคราะห์ร้ายหลายครั้งที่ผ่านมา กับเคราะห์ร้ายนานัปการยังยืนเข้าคิวรอเล่นงานเขาอยู่เรียงรายและกระหายเลือด!
ความกลัวแผ่ออกเหมือนเงามืดครอบคลุมไปทั้งจิตวิญญาณ เหมือนคนเหงื่อตกจากการถูกผลักไสไปสู่คุกทมิฬที่เห็นอยู่ตรงหน้ารอมร่อ เขาไม่อยากเข้าไป เขาอยากอยู่ในเขตปลอดภัย แต่ไร้กำลังต้านทานการรุนหลังขับไสของแรงกรรมอย่างสิ้นเชิง…
แต่แล้ววินาทีต่อมา สภาพความหยั่งรู้ก็เลือนลง กลายมาเป็นความรู้สึกนึกคิดของนายจองฤกษ์ตามปกติ เขานั่งอยู่ในห้องน้ำ หน้าซีด และไม่รู้อะไรเลย ตาเห็นแต่สีสันวัตถุ หูได้ยินแต่ความเงียบ กายสัมผัสแต่ฝาส้วมและพื้นหินอ่อนเย็นเฉียบ นี่คือสภาพการรับรู้อันคับแคบจำกัดของมนุษย์ธรรมดาคนหนึ่งที่ถูกปิดกั้นไว้ มิให้ทราบชัดว่ายังมีอะไรอีกอย่างหนึ่งที่พร้อมจะเล่นตลกกับชีวิตตนได้ตลอดเวลา
ประสบการณ์หยั่งรู้กรรมวิบากเพียงชั่วอึดใจเดียวช่วยเขาได้มาก อย่างน้อยก็ทำให้เกิดการเปรียบเทียบได้ว่าปกติจิตจะมีความคิดสุ่มๆห่อหุ้มอยู่ อาจสงสัยอะไรก็ได้ อาจเลือกเชื่ออะไรก็ได้ อาจสุ่มเดาส่งเดชกลับไปกลับมาอย่างไรก็ได้ ไม่อาจเอาแน่ ขึ้นอยู่กับว่าขณะนั้นตั้งทิศทางและมุมมองไว้อย่างไร ถูกใครป้อนความเชื่อให้แบบไหน
ประสาทถูกสั่นคลอนเยี่ยงคนเริ่มตระหนักแล้วว่าตนเดินทางอยู่ในท่ามกลางหมอกมัวแห่งความไม่รู้ เพียงด้วยตาเปล่าอันส่งให้รู้เห็นจำกัดจำเขี่ย เขาอาจเชื่อว่าโลกกลมก็ได้ หรืออาจเชื่อว่าโลกแบนก็ได้ นับประสาอะไรกับกรรมวิบากที่ไร้ตัวตนให้จับต้อง ตราบใดยังจับไม่มั่นคั้นไม่ตาย ก็ป่วยการจะประกาศให้ใครๆเชื่อว่าเป็นสิ่งมีจริงปรากฏตัวได้จริง แถมแสดงผลอยู่ทุกขณะจิตทั่วทุกมุมโลกอีกด้วย!
นานหลายนาทีกว่าจะสงบจิตสงบใจ หมอกมัวในหัวลดลง จองฤกษ์เอียงคอเล็กน้อย เรื่องน่าฉงนที่สุดในโลกก็คงไม่พ้นเรื่องกรรมวิบากนี่เอง และนั่นหมายความว่าเรื่องน่ารู้ น่าพิสูจน์ น่าจับต้องให้ได้ ก็คือเรื่องกรรมวิบากนี่ด้วย!
ดวงตาเปิดขึ้นเต็มหน่วย ถ้าเขาเป็นคนแรกที่สามารถพิสูจน์ด้วยเทคโนโลยีได้ ว่าการเหยียบเศษแก้วหยกๆนี้ของเขามิใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นวิบากกรรม อะไรจะเกิดขึ้น?
รอยยิ้มชนิดหนึ่งผุดขึ้นเต็มหน้า คำตอบคือโลกทั้งใบจะพลิกเปลี่ยนโฉมไปน่ะซี!
คนเราทำกรรมชั่วก็ด้วยความไม่รู้จักผลของกรรมชั่ว ว่าเผล็ดผลแล้วจะเผ็ดแสบยืดเยื้อปานใด แต่ถ้าทุกคน ‘รู้ชัด’ ไม่ใช่แค่เชื่อตามๆกัน ไม่ใช่แค่เชื่อแบบกลับกลอก ไม่ใช่แค่เชื่อแบบขาดเหตุผล ก็แน่นอนว่ามวลมนุษย์จะช่วยกันระดมกำลังปั่นโลกให้หมุนไปอีกทางหนึ่ง มิใช่พากันดันให้กลิ้งหลุนลงสู่เหวนรกเช่นที่ผ่านมา
หากเขาทำสำเร็จจริง ก็คงเป็นกรรมใหม่ที่ส่งผลกระทบกับวงกว้างแรงพอจะกลบกลืนกรรมเก่าที่เคยทำร้ายคนเป็นล้านให้กร่อยลงได้อย่างแน่นอน คงประมาณเอาน้ำทั้งสระมาเจือจางรสเกลือแค่กำปั้นเดียว เกลือย่อมไม่อาจให้รสเค็มได้อีก
๒๑๙
อา! กรรมใหม่นี้แหละทางรอดจากความซวยทั้งปวงของเขา!
“หวัดดีพี่เค้ก”
พฤหัสกดปุ่มรับสายอย่างรู้ว่าต้นทางคือใคร
“จำได้ไหมพรุ่งนี้…”
“พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของคนสำคัญที่สุดในชีวิตผม!” เด็กหนุ่มพูดแซงและประกาศก้องราวกับผู้หยั่งรู้กฎฟ้าดิน“มันผู้ใดลืมวันเกิดนางในดวงใจแห่งตน มันผู้นั้นสมควรโดนฟาดด้วยแส้ชุบน้ำเยี่ยวให้เข็ดหลาบ”
อเวราฟังแล้วหัวเราะร่วน เปิดฉากคุยกับพฤหัสคราวใด เขาก็ทำให้หล่อนหัวเราะได้ในคราวนั้นเสมอ
“โห! โหดจริงๆเลยจอมยุทธท่านนี้”
“เอ่อ… ขอโทษนะพี่เค้ก พอดีติดอีกสายหนึ่งอยู่ ธุระด่วนของเพื่อนน่ะ นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นสายของพี่เค้กไม่รับนะเนี่ย เดี๋ยวสักแป๊บผมโทร.กลับนะ”
“จ้ะ…” หญิงสาวรับคำแบบเสียงอ่อยลงนิดหน่อย “งั้นเสร็จธุระแล้วเดี๋ยวโทร.หาพี่นะ”
“คร้าบโผม…” แล้วหนุ่มรูปงามก็กดปุ่มโยกสายมาหาบุคคลที่คุยค้างอยู่เมื่อครู่ “อ้า! ขอโทษทีครับฝน เพื่อนมันโทร.มาขอให้ช่วยสอนการบ้าน ผมบอกมันว่าตอนนี้ต่อให้ท่านนายกฯมากดออดขอความช่วยเหลือที่หน้าประตูรั้ว ผมก็จำใจปล่อยให้ท่านยืนรอขาแข็งอยู่ตรงนั้นก่อน”
“โอ๋ย! ขนาดนั้น?”
ละอองฝนเอ่ยแบบติดสำเนียงหัวเราะขัน เขาโทร.มาให้ความรื่นรมย์แก่หล่อนมาได้ครึ่งชั่วโมงแล้ว เด็กสาวบอกตนเองว่าเกิดมาไม่เคยเจอใครคุยสนุกเท่านี้เลย
“เมื่อกี้ที่ผมถาม ฝนบอกว่าตกลงใจจะเอนท์ใหม่แน่ใช่ไหม?”
“ใช่… คณะที่เรียนอยู่นี่ไม่ชอบหรอก ยอมเสียเวลาปีหนึ่งเพื่อให้อีกหลายๆปีของชีวิตที่เหลือเป็นไปตามใจชอบดีกว่า”
“ถ้าเป็นผม ผมก็เสียดายเหมือนกันนะ เท่ากับต้องเรียนทั้งหมด ๕ ปีแน่ะ แต่ดีแล้ว ผมกับฝนอาจนัดไปงานรับน้องด้วยกัน ผมจะปกป้องไม่ให้รุ่นพี่มารังแกฝนได้”
ละอองฝนยิ้มกว้าง
“สมัยนี้เขาไม่ปล่อยให้รุ่นพี่รังแกน้องใหม่กันแล้วมั้ง”
“ใครบอก! เพิ่งปีที่แล้วเนี้ย เพื่อนใกล้บ้านผมมาเล่าให้ฟัง เล่นบ้าๆขนาดเอาเครื่องช็อตไฟฟ้ามาจี้กันเลยล่ะ”
“ฮ้า! จริงเหรอ ที่ไหนมีงี้ด้วย?”
“มีจริงๆ! แบบว่าทำโทษคู่ที่วิ่งสามขาเข้าเส้นเป็นอันดับโหล่น่ะ”
ละอองฝนนึกภาพตามแล้วหัวเราะขำ หารู้ไม่ว่านั่นเป็นเรื่องอำเล่นแบบให้ฟังเพลินๆของพฤหัส
“ต๊าย! อุตส่าห์กอดคอวิ่งโขยกเขยกกันมาเหนื่อยๆ แค่แพ้ก็เสียใจแย่แล้ว ยังต้องโดนไฟช็อตให้หนำใจรุ่นพี่อีก”
“นั่นแหละ รุ่นพี่มันตั้งไฟไว้แบบอ่อนๆน่ะ ไม่เอาถึงจอดสนิท แต่ขนาดนั้นก็เล่นเอาชักตาตั้งปากเบี้ยวได้แล้วแกล้งจี้แบบไม่ให้รู้ตัวด้วย แค่บอกไว้ตอนต้นว่าใครเข้าเส้นเป็นคู่สุดท้ายจะมีรางวัลใหญ่ ใครจะไปนึกว่าหมายถึงการ
๒๒๐
เจ็บตัวครั้งใหญ่”
พฤหัสฝึกปั้นน้ำเป็นตัวจนกระหยิ่มว่าฟังสมจริงสนิทสนมไปทุกคำ เขาถือว่าเป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่คนตั้งใจเรียนการแสดงต้องซ้อมไว้ให้ชำนาญ ถ้าหลอกทุกคนได้ทุกเรื่อง ก็แปลว่าได้ประกาศนียบัตรเบื้องต้นก่อนรับปริญญาทำงานจริง
“แย่นะ…” ละอองฝนสลด “รับน้องเล่นอะไรแผลงๆขึ้นทุกที เห็นเป็นของสนุก พอตายขึ้นมาใครรับผิดชอบ ดีแต่ลงเป็นข่าวหน้าหนึ่งให้ฮือฮากันเท่านั้น”
“นั่นสิ มนุษย์เรานี่ก็ประหลาด ชอบเห็นความเจ็บปวดและเรื่องน่าอับอายของคนอื่นเป็นของเล่นสนุก”
“คิดอีกทางหนึ่งก็คือมนุษย์สนุกที่จะขุดหลุมขวากไว้รอตัวเองเดินตกลงไปนั่นแหละ มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น วันหนึ่งก็ต้องเป็นทุกข์สังเวยความสุขให้คนอื่นบ้าง”
พฤหัสเบะปากทำหน้าเมื่อย พอสาวพูดเรื่องกรรมเรื่องเวร ก็ชักขี้เกียจคุยต่อขึ้นมากะทันหัน ประกอบกับเห็นควรแก่เวลาโทร.ไปสานต่อกับสาวอีกนางที่กำลังรอเขาอยู่ จึงแต่งเสียงใสตัดบท
“ฝนครับ… ผมดีใจที่เจอฝนวันนี้นะ”
ละอองฝนอมยิ้ม
“แปลว่าถ้าวันอื่นเจอจะไม่ดีใจเหรอ?”
พฤหัสหัวเราะ หากโลกนี้ไม่มีผู้หญิงชื่อทราย เขาอาจหลงรักละอองฝนนี่ก็ได้
“คุยกับฝนนานๆเดี๋ยวผมนอนไม่หลับ คืนนี้รบกวนมานานแล้ว”
ละอองฝนอารมณ์สะดุดนิดหน่อย หนึ่งเพราะกำลังคุยติดลม สองเพราะเขาเป็นฝ่ายขอวางสายก่อน เหมือนนึกอยากโทร.ก็โทร. นึกอยากวางก็วาง เห็นหล่อนไม่มีค่า จึงชิงพูด
“พอดีเดี๋ยวฝนต้องไปทำธุระล่ะ คงแค่นี้ก่อนนะ”
“ครับ… แต่ก่อนวางผมมีอะไรจะบอก”
พฤหัสเอ่ยอย่างรู้ทิศทางอารมณ์หญิง
“บอกอะไร?”
ละอองฝนเตือนเมื่อเห็นเขาเงียบนานอย่างจะแกล้งให้อยากรู้
“บอกแล้วห้ามโกรธนะ”
“ทำไม จะแกล้งเอาแตรมาบีบแป๊นใส่หูเหรอ?”
“ใครจะกล้า…” เด็กหนุ่มหัวเราะ “ผมแค่จะบอกว่าฝนหุ่นดีที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา แล้วตอนเล่นแบดช่วงต้นๆตอนฝนยังวิ่งเต้นได้ประเปรียว ก็เป็นอะไรที่น่ามองมาก เสียดายแรงตกเร็วไปหน่อย ฝนน่าจะเล่นกีฬาให้แข็งแรงกว่านี้”
ละอองฝนระบายยิ้มอ่อน
“ก็สอนฝนให้เล่นเก่งอย่างต่อยมั่งสิ พอเก่งขึ้นคงเล่นได้นานขึ้นด้วย”
“ได้เลย…” แล้วเขาก็แย็บ “เอาไว้เราไปเล่นกันสองคนบ้างไหมล่ะ? ผมจะช่วยปูเบสิกให้ฝนใหม่หมด”
“ค่าสอนแพงรึเปล่า?”
“เรียนฟรีมีข้าวกลางวันแถม”
๒๒๑
“อุ๊ย! โปรโมชั่นที่ไหน ใครเป็นคนเริ่ม?”
“ก็คนที่กำลังขอนัดฝนเล่นแบดนี่แหละ ริเริ่ม” แล้วเขาก็ถามเป็นเรื่องเป็นราว “พรุ่งนี้เช้าเลยเป็นไง?”
คำนวณเวลาในหัวอย่างรวดเร็ว เสร็จจากละอองฝนค่อยไปกินข้าวกลางวันแฮปปี้เบิร์ธเดย์อเวรา
“อือม์… พรุ่งนี้เลยเหรอ?”
“ใช่! พรุ่งนี้แหละ”
สุ้มเสียงของพฤหัสหนักแน่นและมีกระแสชวนเชิญสูง อะไรบางอย่างทำให้ละอองฝนตกปากรับคำไปง่ายๆ
“ที่เก่าเวลาเดิม?”
“ฝนเห็นผมยื่นรออยู่ก่อนแน่นอน!”
ละอองฝนยิ้มกว้างขึ้น
“ห้ามมาช้านะ”
“ถ้าช้าให้ทำอะไรก็ได้ทีหนึ่ง”
เด็กสาวหัวเราะ
“อยากรู้ว่าถ้าต่อยคนชื่อต่อยหนึ่งทีจะเป็นยังไง”
“อย่าต่อยตรงหัวใจละกัน แล้วจะไม่เป็นอะไรเลย”
ต่างฝ่ายต่างเงียบ พฤหัสเว้นระยะเพื่อให้ละอองฝนเป็นฝ่ายขอวางก่อน
“เท่านี้นะ”
“ครับ! แล้วพรุ่งนี้เจอกัน”
ละอองฝนวางสายแล้วนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่คนเดียว ในหัวอลหม่านไปด้วยความคิดมากมาย รู้สึกหวิวไหว ใจอ่อน แต่ก็ร้อนรนเหมือนมีแรงทะยานอยากโลดแล่นไปสู่ความน่าพิศวงแห่งขอบฟ้าในจินตนาการเบื้องไกล เขาเข้ามาอย่างรวดเร็ว และหล่อนก็ยังไม่เห็นเหตุผลที่มีน้ำหนักพอจะห้ามใจตนเอง…
ประตูห้องเปิดกว้าง ณชะเลนั่นเอง ละอองฝนหันหลังไปเห็นฝ่ายนั้นเยี่ยมหน้าเข้ามาอย่างจะดูว่าหล่อนทำธุระยุ่งอยู่หรือไม่ จึงเป็นฝ่ายทักก่อน
“เฮ้! ว่าไงพรรคพวก”
ทักทายด้วยเสียงสดใสเป็นกังวาน ละอองฝนกำลังนึกขอบคุณน้องสาวอยู่พอดี ที่ทำให้วันนี้เป็นวันแห่งการพบเจอคนพิเศษสำหรับหล่อน
“ยุ่งอยู่หรือเปล่า?”
“เปล่า… กำลังอยากคุยกับตัวเองพอดีด้วย”
ได้ยินเช่นนั้นณชะเลจึงพาตัวเข้ามาให้คุยสมอยาก โดยเดินไปเอนนอนตะแคงบนเตียงเจ้าของห้อง
“ดีใจอะไรอยู่เหรอ? ตาเป็นประกายเชียว”
“ต่อยเขาโทร.มาหาฉันล่ะ เพิ่งวางเมื่อกี้นี้เอง”
“โฮ่!”
ณชะเลร้องออกมาสั้นๆคล้ายร่วมยินดีด้วย แต่สีหน้ากลับเคร่งขรึมเป็นกังวล
๒๒๒
“โฮะโฮ่ โฮ่โฮ่ เลยล่ะ” ละอองฝนหัวเราะเลียนแบบซานตาคลอส “ทั้งหล่อ ทั้งคุยสนุก เดี๋ยวพรุ่งนี้เขานัดฉันไปเล่นแบดด้วย”
น้องสาวเบนหน้ามาจ้องอย่างฉงน
“ไปกันสองคน?”
“ใจ้!”
พี่สาวยื่นหน้าบีบเสียงตอบด้วยอารมณ์รื่น
“ฝน… แต่เธอเป็นแฟนพี่เอ็มอยู่ไม่ใช่เหรอ?”
“เลิกกันแล้ว”
“ใครบอกเลิกใคร แล้วเลิกเมื่อไหร่?”
“เลิกกันทางความรู้สึกมาได้ระยะหนึ่ง”
ณชะเลนิ่วหน้า
“แน่ใจนะว่าไม่ใช่เพิ่งรู้สึกอยากเลิกเมื่อกี้?”
ละอองฝนถอนใจ
“ทราย… ทรายไว้ใจตัวเองได้อย่างไรก็ควรจะไว้ใจฝนได้อย่างนั้น นึกว่าฝนใจง่าย แค่เจอเหยื่อล่อใหม่เข้าหน่อยก็ทิ้งขว้างคนเก่าไม่เหลียวแลเหรอ? ใจฝนกับใจทรายเหมือนๆกันนั่นแหละ”
ผู้เป็นน้องลุกขึ้นนั่ง จ้องพี่เขม็ง
“ก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่ว่าเหมือนกันตรงไหนบ้าง ต่างกันตรงไหนบ้าง”
ละอองฝนชักแปลกใจกับท่าทีจริงจังของอีกฝ่ายจนต้องจ้องด้วยความฉงนฉงายครามครัน หากไม่รู้จักน้องสาวดีเท่าๆกับที่รู้จักตนเอง ก็อาจตั้งข้อหาว่าน้องสาวริษยาหล่อน หรืออยากได้หนุ่มหล่อไว้เป็นแฟนเสียเอง
“แล้วทำไมต้องทำหน้าดุด้วยล่ะ? ทรายซีเรียสเสียอย่างกับฝนไปก่ออาชญากรรมอะไรมา”
ณชะเลรู้สึกตัวก็พยายามคลายหัวคิ้วออก และเผยความคิดของตนตรงๆไม่อ้อมค้อม
“ฝนดูไม่ออกเหรอ ตานี่น่ะเสือผู้หญิงชัดๆ?”
“เอาอะไรมาตัดสิน? ฤกษ์บอกเธอเหรอ?”
“ทรายเชื่อสายตาตัวเอง แล้วก็เคยถามเลียบเคียงดูจากฤกษ์ด้วย ฤกษ์ก็ไม่ปฏิเสธนะ”
ละอองฝนยักไหล่
“ทำไมทรายตัดสินคนง่ายนักล่ะ? เห็นเขาหล่อหน่อยก็หาว่าเป็นเสือผู้หญิง อย่างนี้ผู้หญิงเราก็หมดสิทธิ์มีแฟนหล่อกันพอดีน่ะสิ โดนเหมารวมกันถ้วนหน้าไม่ต้องเปิดโอกาสพิสูจน์ตัวเสียก่อน”
ณชะเลส่ายหน้าอย่างอัดอั้น ขยับจะพูด ทว่าก็ไม่ทราบจะพูดอย่างไร เพราะกรณีนี้หล่อนขาดเหตุผล ขาดหลักฐาน ขาดข้อสนับสนุนใดๆทั้งปวง มีแต่สัมผัสรู้สึกจากภายในอย่างเดียวจริงๆ
พอได้ทีเห็นน้องสาวอ้ำอึ้งตีบตัน ละอองฝนก็ขี่แพะไล่
“จะตั้งตัวเป็นผู้เชี่ยวชาญชำนาญดูผู้ชายหรือไง? ตัวเองผ่านแฟนมาสักคนรึก็เปล่า เพิ่งจะมีคนแรกกับเขาเร็วๆนี้แหละ ทำเป็นมาสอนแล้ว”
๒๒๓
ร่ำๆจะปิดท้ายด้วยประโยคเช่น ‘มิน่าล่ะ ขี้ระแวงอย่างนี้ถึงเลือกหนุ่มไม่หล่อเป็นแฟนคนแรก’ แต่เห็นว่าอาจบาดใจกันยาว เลยยับยั้งไว้เสีย
“ฝน…” ณชะเลทำเสียงอ่อยตาปรอย “ความจริงทรายควรกระดี๊กระด๊าไปกับเธอ ไม่ควรทักให้เธอเสียเส้นอย่างนี้ แต่ทรายขอพูดตามตรง ทรายไม่ไว้ใจเขาเลย ฝนเองก็รู้จักความสงบของจิต ทำไมไม่เห็นว่าจิตของเขาดิ้นพล่านขนาดไหน เขามีความร้อน มีอัตตาที่แตกต่างจากเราเป็นคนละเหล่าคนละพวกชัดๆ”
ละอองฝนชะงักไปเล็กน้อย แต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น เพราะความหล่อและคารมระดับพระกาฬบังตาอยู่
“ไม่รู้ล่ะ จะคบซะอย่าง ใครจะทำไม? อยากรู้ว่าถ้าควบคุมไม่ให้มีอะไรเสียหายจะต้องไปแคร์อะไร”
“แค่เริ่มต้นก็มีเรื่องให้น่าแคร์แล้วล่ะ เหมือนฝนแปลกไป ฝนรับนัดเขาทั้งที่ยังไม่พูดเคลียร์กับพี่เอ็มให้เป็นเรื่องเป็นราว”
คนเจอข้อหาชักทำหน้าเครียดตาม
“ต้องพูดทำไมล่ะ? บอกแล้ว เลิกกันทางความรู้สึกไปแล้ว โทร.หากันอยู่ก็แค่ถามไถ่สารทุกข์สุขดิบ ยังเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องที่ดีต่อกันเท่านั้นแหละ แหม! เสียเส้นหมด ไม่น่าเล่าให้ฟังเลย แทนที่จะนั่งเมาท์กันมันๆ ดันทำหน้าเหมือนผู้คุมนักโทษเสียงั้นแหละ”
พอเห็นพี่สาวไม่สบอารมณ์ ณชะเลก็เริ่มอ่อนข้อ
“ทรายอาจจะคิดมากก็ได้” พูดแล้วก็ลุกมาโน้มตัวกอดอีกฝ่าย “ฝนก็รู้ว่าทรายรักพี่สาวของตัวเองขนาดไหนแล้วทรายไม่มีสิทธิ์ห่วงฝนบ้างหรือ? ทรายเจอเพื่อนของฤกษ์คนนี้ทีแรกก็ไม่ถูกชะตาเลย อธิบายได้ง่ายๆด้วย ท่าทางเขาเป็นคนมีจิตใจกลิ้งกะล่อนไปเรื่อย แล้วก็เห็นผู้หญิงเหมือนลูกไก่ในกำมือไปหมด แต่… อาจจะเป็นอคติ ทรายอาจจะมองผิด ทรายขอโทษ และจะรอฟังจากฝนว่าทรายคิดผิดไปจริงๆ”
ละอองฝนฟังแล้วอารมณ์ดีขึ้นพอจะกอดตอบ
“ขอบใจที่เป็นห่วง แต่อย่าลืม ทรายเป็นคนพาเขามารู้จักฝนเองนะ”
ณชะเลหรี่ตา สังหรณ์ว่านั่นอาจเป็นสิ่งที่ทำให้หล่อนโทษตัวเองและถามตัวเองซ้ำๆซากๆไม่รู้จบ ว่าเหตุใดจึงปล่อยให้เป็นเช่นนั้นได้!
อ่านต่อตอนที่ ๒๖ >>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น