ตอนที่ ๑๑ ติดใจ
อเวรากดออดรออยู่ครู่หนึ่งก็มีเด็กสาวคนหนึ่งเดินมาเปิดประตู
“สวัสดีค่ะน้าเค้ก”
คนเปิดประตูยกมือไหว้
ซึ่งอเวราก็ยกมือรับไหว้เขินๆ เล็กน้อยที่เด็กวัยอ่อนกว่าตนเพียง ๖-๗ ปีเรียก ‘น้า’
“เป็นไงมั่งทราย
ได้ข่าวจากพี่หน่องว่าเพิ่งโดนแอบถ่ายเอารูปไปโพสต์ในเน็ตมาเหรอ?”
“อ๋อ! ไม่มีอะไรมาก เรื่องจบไปแล้วล่ะค่ะ… เดี๋ยวทรายช่วยน้าเค้กถือนะคะ”
เด็กสาวดึงกระเช้าผลไม้ไปจากมือผู้เป็นน้า
อเวราสั่นศีรษะ
“ไม่เป็นไรหรอก เบาแค่นี้เอง”
ณชะเลสั่นศีรษะบ้าง
“ไม่เป็นไรหรอก ทรายกินได้หลายอย่าง”
สองน้าหลานหัวเราะเบาๆ
พร้อมกัน เด็กสาวพาอาคันตุกะผู้เป็นญาติเข้ามาในห้องรับแขก
เปิดเครื่องปรับอากาศเชื้อเชิญให้นั่ง แล้วรินน้ำจากตู้เย็นใกล้ๆ
ใส่จานรองมาวางบนโต๊ะกลาง
“คุณแม่เพิ่งแต่งต้นไม้เสร็จเลยขึ้นไปอาบน้ำค่ะ ลืมไปว่ามีนัด
สั่งให้ทรายมานั่งคุยเป็นเพื่อนก่อน”
“อ๋อ… ไม่เป็นไรจ้ะ พี่… เอ๊ย! น้านั่งรอคนเดียวได้ ถ้าทรายทำอะไรอยู่ก็ไปทำต่อเถอะ ไม่ใช่คนอื่นคนไกล”
“ว่างค่ะ อยากคุยกับน้าเค้กอยู่แล้วด้วย
คราวก่อนตอนไปทำบุญด้วยกันมีโอกาสคุยกันสองสามคำเอง”
ขณะนั้นเองสุนัขยอร์กเชียร์แสนรักแสนหวงของณชะเลวิ่งมาถึงก็กระโดดแผล็วขึ้นนั่งบนตักเจ้านายและลงหมอบด้วยอาการประจบ
ซึ่งณชะเลก็ยกมือลูบหัวลูบตัวมันด้วยความถนอม
“สวัสดีน้าเค้กซิลูก”
ด้วยความประหลาดใจของผู้มาเยือน
เจ้าหมายอร์กเชียร์ลุกจากอาการหมอบ หยัดตัวขึ้นตั้งด้วยสองขาหลัง
หันหน้ามาทางอเวราและประกบสองขาหน้าเข้าหากันทีหนึ่ง ก่อนทรุดลงกลับไปหมอบตามเดิม
“เอ๊ย! สอนเก่งนี่!”
หญิงสาวอุทานตาเป็นประกาย
แทนที่จะชมหมากลับชมเจ้าของ ซึ่งณชะเลก็ยิ้มรับคำชม
เอียงคอเหลือบตาลงมองสุนัขแสนรู้ของตน เอามือจับขาหน้าข้างหนึ่งของมันขึ้นสั่นนิดๆ
“เสียดาย ทรายยังสอนให้มันพูดสวัสดีไม่ได้”
อเวราหัวเราะ
“ชื่ออะไร?”
“อุ๊ยโหยค่ะ”
“น่าฟัดจริงๆ เลย… น้าเคยมีอยู่ตัวหนึ่ง”
บอกยิ้มๆ
พลางมองสิ่งมีชีวิตตัวน้อยบนตักหลานด้วยแววเอ็นดู
“ยอร์กเชียร์น่ะเหรอคะ?”
“เปล่า… น้าหมายถึงเป็นหมาของเล่นเหมือนกัน พุดเดิ้ลน่ะ”
“ฉลาดจัดเลยนะคะนั่น เขาว่าไอคิวสูงที่สุดเลยทีเดียว”
“สูงสุดนี่คอลลี่ไม่ใช่เหรอ? พุดเดิ้ลอันดับสอง ถ้าวัดจากความสามารถในการฝึกเรียนรู้”
“แหม! ก็พอๆ กันนั่นแหละค่ะ ทรายว่าถ้าเอามาเทียบกันตัวๆ นี่กินกันไม่ลงหรอก
อย่างยอร์กเชียร์ของทรายอยู่อันดับตั้งสามสิบ จัดว่าแค่ปานกลาง
แต่ทรายก็ว่ามันฉลาดแสนรู้อย่างน่าอัศจรรย์แล้วนะ” แล้วณชะเลก็ใช้สองมือช้อนคอเจ้าอุ๊ยโหยขึ้น
ก้มลงจุ๊บกลางหน้าผากลูกรัก “จริงมั้ยลูก? ลูกแม่เก่งออก”
น้าสาวหัวเราะเบาๆ
“เนอะ… ดูฉลาดเป็นกรด เหมือนรู้หมดทุกอย่าง เพียงแต่ใช้ภาษาไม่ได้อย่างมนุษย์เรา”
“ยังมีภาษากายกับภาษาใจที่เป็นสากลนี่คะ ทรายว่าทรายคุยกับมันรู้เรื่องนะ
สัตว์ยิ่งฉลาดเท่าไหร่ ก็ยิ่งเหมือนจะสื่อกับมนุษย์เข้าใจได้มากขึ้นเท่านั้น
พวกหมาของเล่นเนี่ย ทรายว่ามันมีบุญเก่าหนุนอยู่เยอะ
หลายครั้งทำให้เรารู้สึกเหมือนกับเป็นเด็กเจ้าปัญญาคนหนึ่ง เสียแต่เป็นใบ้
พูดเป็นคำๆ ไม่ได้”
อเวรายิ้มพินิจและครุ่นคิดถึงความจริงที่ปรากฏตรงหน้า
แม้เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังมีระดับชั้นวรรณะ หากกรรมเป็นผู้จำแนก
เป็นผู้แบ่งชั้นสัตว์ทั้งหลายจริง
หล่อนก็อยากรู้เหลือเกินว่ากรรมใดทำให้เกิดความเป็นไปได้พิสดารเห็นปานนี้
“แสดงว่าเจ้าอุ๊ยโหยต้องเคยทำกรรมประเภทที่เกิดสติปัญญาระดับหนึ่ง ถึงได้เกิดในสายพันธุ์ไอคิวสูงอย่างพุดเดิ้ลกับยอร์กเชียร์
ถ้าต่ำกว่านั้นก็ต้องไปเข้าพวกไอคิวเตี้ยอย่างบุลดอกกับอาฟกันฮาวด์ใช่ไหม?”
“ที่ทรายเคยอ่านเจอมา เขาบอกว่าแต่ละเผ่าพันธุ์มีล็อกของตัวเองเป๊ะๆ
อย่างเจ้าอุ๊ยโหยขั้นแรกก็ต้องเคยทำบาปบุญประมาณได้เกิดเป็นหมาก่อน
จากนั้นมีบาปบุญระลอกสองสามสี่เข้าตกแต่งให้เป็นเพศผู้เพศเมีย
ส่งให้เข้าสายพันธุ์ที่น่ารักหรือน่าชัง อยู่ในที่สบายหรือลำบาก
ตลอดจนกระทั่งฉลาดหรือโง่ สัดส่วนของบุญกรรมหนึ่งๆ
จะลงตัวให้มีอัตภาพเหมาะสมได้ยิ่งกว่าเราสั่งตัดเสื้อผ้าตามสเป๊กให้เหมาะกับบุคคล
กาล และสถานที่เสียอีก”
อเวราพยักหน้าอย่างเริ่มสนุกกับการทำความเข้าใจ
รวมทั้งรู้สึกคล้อยตามว่าถ้าไม่ต้องการเชื่อว่าระดับชั้นวรรณะทั้งหลายเป็นเรื่องบังเอิญ
ก็ต้องเชื่อเรื่องวิบากกรรมจำแนกให้เป็นไปนี่เอง
“แปลว่าถ้าเป็นคน เจ้าอุ๊ยโหยคงหน้าตาดี รวย แล้วก็ฉลาดมากสินะ”
“แน่นอนค่ะ รับรองเป็นพ่อรูปหล่อที่สาวติดตรึมไม่แพ้ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ”
“โห! ปานนั้น… งั้นก็น่าเสียดายที่โอกาสของมันมีอยู่แค่นี้” เว้นวรรคกะพริบตาปริบๆ
ครุ่นคิดจริงจัง “แสดงว่ากรรมที่กำหนดให้เป็นคนนี่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดเลยนะ
ถ้าอดเป็นคนเสียอย่างเดียว กรรมดีๆ แค่ไหนก็ให้ผลในแบบที่เอาไปทำอะไรไม่ได้มาก”
สองน้าหลานพากันมองสุนัขซึ่งเปี่ยมด้วยคุณสมบัติเลอเลิศเหนือชาติสุนัขด้วยกัน
สายตาของมนุษย์ทำให้ทั้งสองเกิดความรู้สึกพร้อมกันขึ้นมาขณะหนึ่ง
ว่าชาตินี้จิตวิญญาณที่มีวาสนาสูงของเจ้าอุ๊ยโหยถูกกักขังไว้ในอัตภาพต่ำต้อยน่าสังเวชยิ่ง
“แล้ว… กรรมอะไรเหรอที่ส่งวิญญาณมาอยู่ในภพมนุษย์?”
อเวราถามด้วยความอยากรู้ขึ้นมาจริงๆ
และคาดหมายว่าหลานสาวคงมีคำตอบให้
“พระพุทธเจ้าตรัสว่ากรรมที่ทำบนพื้นฐานของความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง
อย่างใดอย่างหนึ่งน่ะค่ะ ส่งให้ได้เป็นมนุษย์”
น้าสาวฟังแล้วยังกังขา
มองมาด้วยสีหน้าสงสัย ณชะเลจึงหาคำอธิบายให้ง่ายขึ้น
“กรรมที่ทำด้วยความไม่โลภก็คือสละออก หรือให้ทาน
กรรมที่ทำด้วยความไม่โกรธก็คือใจดีมีเมตตา หรืออภัยได้
กรรมที่ทำด้วยความไม่หลงก็คือการไม่เห็นผิดเป็นชอบ หรือไม่เห็นกงจักรเป็นดอกบัว
โดยย่อคือมีใจประเภทที่รักบุญรักกุศล ละอายต่อบาปผิดทั้งปวง”
“แปลว่าถ้าสัตว์รู้จักเสียสละเป็น รู้จักระงับความโกรธเป็น
มันก็มีสิทธิ์มาเป็นมนุษย์สินะ?”
“ใช่เลยค่ะ แต่หาสัตว์แบบที่ว่าได้ยากขนาดไหนลองคิดดูเถอะ มีแต่จะแย่งชิง
มีแต่จะกัดกันเป็นแผลเหวอะหวะทั้งนั้น”
“แล้วเอามนุษย์ที่ไหนมาเกิดมากมาย? นี่ตั้งเกือบหมื่นล้านแล้วโลกเรา”
“แค่สัตว์ในโลกก็มากกว่ามนุษย์ไม่รู้กี่ล้านเท่าแล้วนี่คะ ได้ยินว่าพวกช้าง
ม้า วัว ควาย ถ้าใช้กรรมหมดและมีบุญเก่าหนุน ก็มาเป็นคนได้ค่ะ
ขอแค่หนึ่งในร้อยหนึ่งในพันของพวกมันมีสิทธิ์เข้าท้องมนุษย์ เราก็จะเห็นการไหลมาเทมาอย่างที่กำลังเห็นได้แล้ว”
“อือม์… คิดอย่างนั้นก็เข้าเค้าเนาะ แต่ทุกชีวิตทำทั้งบุญทั้งบาป
แล้วจะเอาอะไรเป็นเกณฑ์ว่าบุญหรือบาปจะให้ผลก่อน?”
“ธรรมชาติกรรมวิบากเขามีเครื่องชั่งตวงวัดที่ปุถุชนอย่างเราเดาไม่ถูกหรอกค่ะ
แต่โดยรวมอำนาจกรรมจะส่งเรามาเกิดเป็นมนุษย์
ขอเพียงน้ำหนักบุญของเราอยู่ในช่วงที่มีมากกว่าบาป
อันนี้พิสูจน์ได้ด้วยความจริงที่ว่ามนุษย์มีพื้นฐานความรู้ผิดรู้ชอบติดตัวกันทุกคนโดยไม่ต้องสอน”
อเวราฟังแล้วทอดตามองยอร์กเชียร์ในมือคนพูดซึมไป
นึกถึงการสมสู่ของสัตว์ที่ไม่ต้องมีความรัก ไม่ต้องมีความอายฟ้าดิน
ไม่ต้องคำนึงถึงสิ่งใดๆ มากไปกว่าการเป็นเพศตรงข้ามกัน
แล้วเห็นจริงว่าพื้นฐานจิตวิญญาณสัตว์ต่างจากมนุษย์ก็ตรงความละอายนี่เอง
ณชะเลเงยหน้าเห็นน้าสาวเหม่อๆ
เหมือนมีอะไรในใจ ก็ถามแบบชวนคุย
“ว่าแต่ตอนนี้พุดเดิ้ลของน้าเค้กไม่อยู่แล้วหรือคะ?”
ผู้เป็นน้ากระแอมเล็กน้อย
“ไปนานแล้ว เลี้ยงมาตั้งแต่น้ายังเด็ก พอเข้าวัยรุ่นเขาก็จากเราไป”
“คนเราว่าอายุสั้นแล้ว เจ้าพวกนี้ยังสั้นกว่าหลายเท่านะคะ
ถ้ามันกลับมาเกิดใหม่กับเราได้
ก็อาจโตขึ้นแล้วตายให้เราดูเป็นสิบครั้งกว่าพวกเราจะถึงคราวบ้าง”
“ก็แปลว่าต้องร้องไห้เพราะมันเป็นสิบรอบ ไม่เอาดีกว่า… น้าร้องไห้หนักๆ
ให้มันไปหนเดียวเข็ดเลย เหมือนจะขาดใจตายตามน่ะ
วันก่อนไปทำบุญกับพี่หน่องยังอุทิศส่วนกุศลให้มันอยู่เลย ตายไปเกือบสิบปียังไม่ลืม
คิดดู ถึงตาทรายก็ระวังเถอะ แล้วจะรู้ว่าวันนั้นเป็นยังไง
ท่าทางรักและผูกพันกับเจ้าอุ๊ยโหยไม่ใช่น้อยๆ ”
“ไม่แน่นะคะ ทรายอาจเป็นเจ้าของหมาคนเดียวที่ไม่ร้องไห้ตอนมันตายก็ได้”
อเวรายิ้มนิดๆ
“แน่รื้อ? ทำใจเก่งขนาดนั้น?”
“ทรายเป็นคนทำใจไม่เก่งหรอกค่ะ
แต่ถ้าแน่ใจว่ามันจะไปเกิดในภพที่สบายกว่านี้ ก็เดาว่าตัวเองคงไม่ร้องไห้
อาจเศร้าบ้าง แต่นึกปลื้มที่มันจะได้สบายกว่าตอนอยู่กับเรา”
”ฮื้อ! ของอย่างนี้รู้กันได้ด้วย?”
“ได้สิคะ ทรายสร้างความมั่นใจมากับมือ”
อเวราเอียงคอฉงน
“ยังไง?”
“ก็อ่านหนังสือธรรมะให้มันฟัง ใส่บาตรให้มันดู
มีคนบอกว่ากระแสกุศลจะย้อมติดจิตติดใจมัน ทำให้รักบุญ ทำให้ละอายบาปได้เอง
ถ้าตายดีก็ไปสูงขึ้นกว่านี้แน่นอน”
น้าสาวผู้สาวเกินศักดิ์ทำหน้าเหมือนพูดไม่ออก
จนหลานต้องเลิกคิ้วถาม
“ไม่เชื่อเหรอคะ?”
“ปละ… เปล่า ทุกวันนี้แม่ของทรายทำให้น้าเชื่อและวนเวียนคิดเกี่ยวกับเรื่องบุญทำกรรมแต่ง
เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ตลอดเวลา
เพียงแต่สงสัยว่าหมามันจะฟังธรรมะรู้เรื่องได้ยังไง”
“น้าเค้กเลี้ยงหมามา น้าไม่เชื่อเหรอว่ามันฟังภาษาเราออก”
“ก็ใช่ แต่เป็นคำสั่งง่ายๆ หรือคำพูดสั้นๆ ที่เราพูดซ้ำให้มันได้ยินบ่อยๆ
ต่างจากธรรมะนี่นะ เพราะธรรมะเป็นภาษาที่ต้องการจิตวิญญาณอีกระดับหนึ่ง
คิดดูซิขนาดมนุษย์เรายังมีไม่กี่คนที่เปิดหัวใจรับฟังธรรมะ
และแม้เปิดหัวใจรับแล้วก็น้อยลงไปอีกที่จะเข้าใจกันจริงๆ น้าเองทุกวันนี้ยังงงๆ
ว่าอะไรเป็นอะไรอยู่เลย สารภาพกันตรงๆ นะ เรื่องบุญบาปนี่ยังโง่ๆ เซ่อๆ อยู่มาก
ทรายได้เปรียบน้าที่ซึมซับข้อมูลจำพวกนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ”
“น้าเค้กว่ายังไม่ค่อยเข้าใจ ยังงงๆ ตอนฟังธรรมะ
แต่ถ้าตั้งใจฟังก็จะรู้สึกสบาย เยือกเย็น แล้วก็สงบสว่างนี่ใช่ไหมคะ?”
ณชะเลกล้าอธิบายแบบตะล่อมปลอบ
เพราะไม่รู้สึกว่าห่างรุ่นกับน้าเท่าใดนัก อเวรานึกตามแล้วยอมรับ
“ก็ใช่”
“นั่นแหละค่ะ ต่อให้ยังไม่เข้าใจกระจ่าง แต่จิตน้าเค้กมีความเคารพธรรม
ซึมซับกระแสกุศลอันสว่างเยือกเย็นเข้ามา
จะผ่านกระแสเสียงหรือกระแสจิตของพระผู้ทรงคุณใดๆ ก็เป็นการเลื่อนชั้นให้จิตได้
ทำให้โอกาสต่อๆ ไปซึมซับรับรู้และเข้าใจธรรมะได้ง่ายขึ้นเรื่อยๆ
แต่สำหรับภพเดรัจฉานแล้วไม่ต้องให้เข้าอกเข้าใจถึงแก่นธรรมะขนาดนั้น
ขอเพียงจิตพวกมันซาบซึ้งในกระแสกุศลนิดเดียว
ก็มากพอจะพลิกจากภพที่คว่ำลงมืดให้หงายขึ้นสว่างได้
เหมือนอยู่ในกะลามืดทึบน่าอึดอัดนานๆ ไม่ทราบจะทำอย่างไร
พอใครช่วยแง้มกะลานิดเดียวก็เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทันที ได้เห็นทั้งแสง
ได้สัมผัสทั้งอากาศโปร่ง มันจะเกิดสัญชาตญาณดีดตัวออกไปเป็นอิสระกันเอง”
อเวราจ้องหลานสาวทึ่งๆ
แต่อดแย้งไม่ได้
“กรรมดีมาจากความคิดตั้งใจในทางกุศลไม่ใช่หรือ? เห็นพี่หน่องบอกว่าถ่ายทอดให้กันไม่ได้
แต่นี่เหมือนทรายเอาธรรมะไปกรอกหูเจ้าอุ๊ยโหยแล้วมันจะได้ดีขึ้นมาเฉยๆ งั้นแหละ”
“กรรมคือเจตนา คือความตั้งใจ ตอนอ่านหนังสือธรรมะให้อุ๊ยโหยฟัง
สิ่งหนึ่งที่ทรายสังเกตเห็นคือมัน ‘ตั้งใจฟัง’ โดยดีนะคะ จะเรียกว่ายอมสงบรับสิ่งดีงามก็ได้ ถือว่ามีมโนกรรมไปในทางกุศลแล้วไง”
คำตอบที่ตีโจทย์ตกได้ทุกประเด็นทำให้ผู้เป็นน้าอ้าปากค้างนิดๆ
ตระหนักว่าหลานวัย ๑๗ ของตนไม่ธรรมดาเลย
เด็กวัยเดียวกันกับณชะเลอาจมีแรงบันดาลใจสร้างความเป็นเอตทัคคะ
มีความสามารถโดดเด่นเฉพาะทางเช่นเล่นกีฬาคว้าเหรียญทองโอลิมปิก
หรืออาจเข้าแข่งขันรู้รอบตอบคำถามวิทยาศาสตร์ระดับนานาชาติ
ตามค่านิยมที่สังคมให้เกียรติเชิดชู แต่ณชะเลคงมีแรงบันดาลใจที่ต่างออกไป
และกลายเป็นเอตทัคคะในทางที่หาได้ยากยิ่ง
“รู้มากจัง น้าน่าจะมาเกิดในบ้านนี้มั่ง จะได้รับอะไรดีๆ
มีแรงบันดาลใจในทางบุญทางกุศลตั้งแต่เล็กอย่างทราย”
“ไม่ขนาดรู้มากหรอกค่ะ ทรายก็ยังอยู่ในระดับดีแต่อ่าน
ยังไม่ใช่ผู้รู้แจ้งเห็นจริงลึกซึ้งที่ไหน
ทุกวันนี้ยังต้องใช้วิธีเก็บตกจากใครต่อใครเพิ่มไปเรื่อย
ถ้าธรรมะเป็นของลาดลึกเหมือนทะเล
ก็ถือว่าทรายลงทะเลห่างจากชายฝั่งมาได้ไม่กี่คืบหรอก”
“แต่อย่างน้อยทรายก็ออกทะเลแล้ว ส่วนน้ายังแกร่วอยู่แถวดอยจุ๊กกรูอะไรสักแห่งโน่นมั้ง”
ณชะเลหัวเราะขันแล้วเอียงคอยิ้ม
“สำเนียงถ่อมตัวไม่เหมือนคนอยู่บนดอยหรอกค่ะ
คนไม่มีธรรมะถ่อมตัวไม่เป็นหรอก”
ขณะนั้นเองรสรินก็เดินเข้ามาในห้อง
“ว่าไง! เค้ก”
เสียงทักดึงสายตาอเวราไปอีกทาง
พอเห็นพี่สาวต่างรุ่นก็รีบยกมือไหว้
“สวัสดีค่ะพี่หน่อง”
“ได้ยินคุยกับยายทรายกระจุ๋งกระจิ๋งแต่ไกลทีเดียว ฉันหมดหน้าที่หรือยัง? ยกหน้าที่ให้ลูกสาวแทน”
“คุยกับทรายเหมือนคุยกับพี่หน่องเลยล่ะ รู้มากจริงๆ ”
“อือ… บางทีเกินหน้าแม่เสียด้วย”
“แหม! ไม่จริงหรอกค่ะแม่” แล้วเด็กสาวก็ขอตัวอย่างรู้หน้าที่ “หนูไปเล่นกับอุ๊ยโหยก่อนนะคะ”
เมื่อณชะเลพ้นออกจากห้องไป
รสรินก็ส่ายหน้าบ่นพึมพำ
“วันๆ ไม่ทำอะไร เล่นกับหมา”
“เห็นใจเขาเถอะค่ะ
ถ้าพี่หน่องไม่เคยเลี้ยงเจ้าตัวแบบนี้ไม่มีทางรู้หรอกว่าน่าติดใจยังไง”
“ออกไปนั่งหลังบ้านดีกว่า เผื่อเธออยากคุยเป็นส่วนตัวจะได้ถนัดหน่อย”
“ดีค่ะพี่หน่อง”
พี่น้องเดินตามกันมานั่งในซุ้มชิงช้า
“ให้ฉันแทงหวยก่อน” รสรินเปิดฉาก “เธอเสร็จไอ้หมอนั่นแล้ว”
“อุ๊ยตาย! ทำไมแม่นนักล่ะคะ?”
ใจจริงอเวราขวยเขิน
แต่พอพี่สาวเปิดฉากด้วยคำถามแบบนั้นก็ไม่อยากทำท่าอายม้วนต้วนให้เห็น
รสรินมองดวงหน้าสะสวยของน้องสาวด้วยแววปลงสังเวช
ความที่เคยสั่งสอนกันมาทำให้ไม่เกรงใจ ยิงคำถามตรงๆ เหมือนเอาขวานจามเข้าให้อีก
“โดนมากี่ทีแล้ว?”
อเวราหน้าเจื่อน
ทำเสียงอึกอัก
“โธ่… พี่หน่องอ้ะ”
“อยากเห็นนัก หมอนั่นมันหล่อสักขนาดไหนเธอถึงได้… เฮ้อ!”
หญิงสาวควักโทรศัพท์มือถือซึ่งมีกล้องดิจิตอลในตัวออกมากดปุ่มอวดทันที
“นี่ค่ะ”
รสรินผงะนิดหนึ่งกับอุปกรณ์อเนกประสงค์ที่ยื่นมาตรงหน้า
ชะงักค้างพูดไม่ออกไปเป็นครู่อย่างนึกไม่ถึงว่าแค่เปรยแบบบ่นๆ ก็จะได้ดูทันที
พอก้มหน้ามองจอดิจิตอลแล้วก็ถอนใจเฮือก หายสงสัยในบัดดล
ประเภทหล่อล่ำหนำใจสาวอย่างนี้อย่าว่าแต่กำลังเหงาอย่างอเวราเลย ต่อให้ควงแฟนอยู่ดีๆ
ก็มีสิทธิ์เขวได้ง่ายๆ
“เธอก็ท่าทางไปดีแล้วนี่” รสรินเอ่ยปลงๆ “แล้ววันนี้จะมาหาฉันทำไม? หรือแค่อยากเอารูปมาอวด?”
อเวราเก็บโทรศัพท์
ก้มหน้าก้มตาจ๋องๆ ไป
“ถ้าแค่อยากอวดรูปก็ส่งให้ดูทางอีเมลสิคะ”
ทีแรกรสรินมองน้องสาวเมินๆ
แต่ในที่สุดก็อดสงสารไม่ได้ ทั้งสงสารและเห็นใจ เพราะอเวราเคยทำตัวดี
ไม่ใช่เหลวแหลกมาแต่ไหน ทว่าชะตากรรมที่ผ่านมาส่งพวกเจ้าชู้ประตูดินมาให้ตลอดศก
กี่ครั้งๆ ก็เหมือนถูกหลอกทุกทีไป
“เค้กเอ๊ย…” พี่สาวทอดเสียง “เธอก็รู้อะไรทุกอย่างดีแล้ว พี่คงบอกแค่ว่าอดไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
แต่หยุดให้เป็นก็แล้วกัน”
“หยุดให้เป็น… หยุดยังไงด้วยวิธีไหนหรือคะพี่หน่อง? คนที่เขา ‘หยุดเป็น’ เขาทำกันยังไง?”
รสรินอึ้งไปนิดหนึ่ง
ด้วยความที่ครองตัวสะอาดปราศจากมิจฉากาเมมาตลอดทำให้นึกคำตอบไม่ออกทันทีทันใด
เพราะเคยแต่ป้องกัน ไม่เคยมีประสบการณ์แก้ไข
ไม่เคยต้องฝืนใจหยุดเรื่องน่าอายกับใครเขา
แต่หล่อนก็เป็นมนุษย์ปุถุชนที่รู้และเข้าใจ
เครื่องเพศเป็นของติดตัว เป็นกายทั้งแท่ง
เป็นธรรมชาติซีกหนึ่งที่รออีกซีกตรงข้ามมาประกบ ธรรมชาติมักสร้างสถานการณ์กดขี่ให้เกิดความอยาก
แต่หลายครั้งพอทำตามอยากขึ้นมาก็โดนลงโทษให้รู้สึกละอายเสียอีก
ไม่รู้จะเอาใจธรรมชาติอย่างไรดี
“เธอดูผู้คน…” ในที่สุดพี่สาวก็เอ่ยไปอีกทางหนึ่ง ไม่ตอบตรงคำถาม “มองให้เป็นภาพง่าย
ทุกวันนี้ส่วนใหญ่เป็นสุขหรือเป็นทุกข์? แต่ละคนก้มหน้าก้มตาทำในสิ่งที่หลงนึกว่ามันเป็นสุข ทั้งที่สุขเดี๋ยวเดียว
ที่เหลืออีกยืดเยื้อยาวนานมันคือนรกแท้ๆ ”
อเวราผินหน้าไปอีกทางหนึ่ง
ทอดตามองเหม่อ นาทีนี้หล่อนยังไม่ได้ลงนรกหมกไหม้
แต่ก็มีความหวาดหวั่นบางประการที่ทำให้จิตใจกระวนกระวายไม่เป็นสุขนัก
“เธอกำลังกลัวใช่ไหมเค้ก?”
รสรินดักทาง
ซึ่งก็ทำให้น้องสาวก้มหน้ายอมรับโดยดี
“ค่ะพี่หน่อง เค้กกลัวว่าเขาจะไม่ใช่แค่สิ่งที่จะผ่านมาแล้วผ่านไปง่ายๆ
อย่างที่นึกไว้แต่แรก เค้กกลัวความติดใจของตัวเอง…”
ฝ่ายพี่สาวหรี่ตาครุ่นคิด
โลกเต็มไปด้วยปัญหา อเวราพูดแต่ละคำเหมือนประกาศอยู่ในทีว่าทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น
และยังไม่มีเค้าของการจบสิ้นแม้แต่น้อย
“ลองพยายามไหม? ตัดใจเดี๋ยวนี้น่าจะยังไม่สาย”
อเวราส่ายหน้า
“ถ้าใจเหมือนเชือกให้เอากรรไกรตัดง่ายๆ ก็ดีสิคะ เค้กขยะแขยง
แต่พอหมดความขยะแขยงก็ถูกแทนที่ด้วยความอยากอีก มันทรมาน…”
รสรินเม้มปาก
ป่วยการซ้ำเติมว่าเห็นหรือยัง ว่าให้ห้ามใจหลังจากที่ปล่อยใจไปแล้วมันลำบากเพียงใด
เหตุใดผู้คนจึงเข้าใจกันยากนักว่าสร้างเหตุแห่งทุกข์แล้วต้องทุกข์
โลกพากันเป็นเสียอย่างนี้ อยากก่อต้นเหตุทุกข์ตามเดิม แต่ไม่อยากทุกข์เท่าเดิม
รสรินต้องปลอบตนเองว่าดีแล้วที่เป็นแค่น้อง ไม่ใช่ลูกสาว
มิฉะนั้นคงช้ำใจแทนยิ่งกว่านี้หลายเท่า
“เค้ก…” รสรินลากเสียงยาว อ่อนโยน “เวลาพี่ถามตัวเองว่าเคยโง่ที่สุดในชีวิตตอนไหน
พี่ตอบตัวเองว่าตอนเสียรู้คน ถูกหลอกต้มเอาเงินไปจนเกือบล้มละลาย
เดือดร้อนถึงลูกถึงผัว พี่เข้าใจเลยว่าคนเราอยากฆ่าตัวตายกันได้ยังไง”
อเวราเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ
เพราะเหมือนพี่สาวจะเปลี่ยนเรื่อง ขอเป็นฝ่ายระบายทุกข์บ้าง แต่แล้วก็ไม่ใช่
“ในอีกทางหนึ่ง เวลาพี่ถามตัวเองว่าเคยตัดสินใจฉลาดที่สุดเมื่อไหร่
พี่ตอบตัวเองว่าตอนเลือกคู่! พี่ใจเย็น ไม่บุ่มบ่าม แล้วก็ไม่ใช้วิธีเลือกแบบฉาบฉวย ซึ่ง… เธอเข้าใจไหม อยู่ๆ
คนเราไม่ได้ใจเย็นกันด้วยความบังเอิญ แต่ต้องด้วยนิสัยที่สั่งสมมามากพอ
ถ้าวันนี้เธอยอมปล่อยตัวปล่อยใจไปกับเด็กที่อ่อนกว่าถึง ๗ ปี
เธอจะไม่มีนิสัยของความใจเย็นนั้น
และในที่สุดวันหนึ่งข้างหน้าเมื่อเธอถามตัวเองว่าชีวิตนี้เคยโง่ที่สุดกับการทำอะไรลงไป
เธออาจตอบไม่ถูก เพราะทุกการตัดสินใจจะมาจากความมักง่ายไปหมด”
รสรินพูดจบก็พักนิ่ง
รอว่าน้องสาวจะตอบกลับมาอย่างไร แต่พอเห็นอีกฝ่ายนิ่งนานก็เอ่ยต่อ
“ให้พี่พูดตรงๆ เป็นเหตุเป็นผล อย่านึกว่าพี่ด่านะ
กิริยาบางอย่างของผู้หญิงเรามันน่าละอาย ควรให้ผู้ชายที่เรารักเห็นอยู่คนเดียวพอ
แต่ถ้าให้ใครต่อใครเห็นได้เรื่อยๆ ก็แปลว่าเราเป็นคนหน้าไม่อาย
เซ็กซ์ที่ขาดสำนึกจะทำให้เราหน้าด้านขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่รู้สึกตัว”
ชั่วโมงก่อนอเวราตอบตัวเองไม่ได้ว่ามาหาพี่สาวทำไม
แต่ตอนนี้รู้แล้วว่าหล่อนอยากได้หลุมหลบภัย อยากให้รสรินด่าเจ็บๆ
เผื่อจะตัดใจได้อย่างน้อยก็ชั่วคราว
“ค่ะพี่หน่อง” อเวรายอมรับเสียงอ่อย “เค้กก็รู้สึกว่าตัวเองหน้าด้านอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน”
รสรินพยักหน้าด้วยท่าทีของพี่ที่ยืนอยู่ข้างเดียวกับน้องเสมอ
“อบายมีเส้นทางพัฒนาตัวเอง
เริ่มต้นที่สุดอาจเป็นการหยวนให้กับความอยากเล็กๆ น้อยๆ จากหยวนหนึ่งเป็นหยวนสอง
หยวนสาม แล้วแก่กล้าขึ้นเรื่อยๆ เป็นความมักง่าย
อยากมากอยากน้อยก็ปราศจากความยับยั้งชั่งใจ ไม่มีกรอบ ไม่มีเครื่องห้ามใดๆ ทั้งสิ้น
ในที่สุดก็พานดูถูกกรรมเวรเป็นเรื่องเหลวไหลหลอกเด็ก”
เหมือนได้แสงที่ทำให้ตาสว่าง
อเวราบอกตนเองว่าหล่อนจะเห็นแก่อนาคต คิดตัดใจตั้งแต่บัดนี้
รสรินแย้มยิ้ม
เพราะเคยเห็นอาการคิดได้ คิดตก คิดเปลี่ยนแปลงตัวเองของน้องสาวมาก่อน
และบัดนี้อเวราก็มีนาทีนั้นอีกครั้ง หล่อนจึงมีแก่ใจสำทับ
“สำหรับผู้ชาย ถ้าเป็นของใหม่จับต้องแล้วจะรู้สึกมันมือไม่อิ่มไม่เบื่อ
แต่ถ้าเริ่มชิน ความแปลกใหม่หมดไป เขาก็จะไม่สนุกอีก
ตรงนั้นถ้าไม่มีความรักมาช้อนรับ
เราก็จะเหมือนทิชชูที่เขาสั่งขี้มูกเสร็จก็อยากปาทิ้งถังผง ถนอมตัวไว้รอเจอคนที่เขารักและพร้อมจะรับผิดชอบเรา
ทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นดอกกุหลาบมีค่า น่าปักในแจกันห้องนอนของเขาตลอดไปเถอะ”
อเวราเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มกระจ่าง
แม้ไม่เอ่ยคำใดก็ดูรู้ได้ว่ามีการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยวฉายชัดอยู่ในประกายตาเงางามคู่นั้นแล้ว!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น