ตอนที่
๑๒ คำท้า
จองฤกษ์ทั้งแปลกใจทั้งหงุดหงิดที่โทรศัพท์มือถือรุ่นล่าสุดของตนใช้งานไม่ได้
ทั้งที่เพิ่งซื้อมาใหม่เอี่ยมถอดด้าม
เมื่อตรวจสอบดูจนแน่ใจว่าเป็นความบกพร่องของฮาร์ดแวร์ จึงโทร .ไปถามฝ่ายขายว่าจะเปลี่ยนเครื่องใหม่ให้ได้หรือไม่
เนื่องจากซื้อมาเพียงอาทิตย์เศษ คำตอบที่ได้รับคือถ้าพ้น ๗
วันทางบริษัทจะเปลี่ยนอะไหล่ให้โดยไม่คิดค่าบริการ
แต่อาจต้องรอสักอาทิตย์หนึ่งจึงจะมารับเครื่องได้
เด็กหนุ่มพยายามอ้อนวอนว่านี่เพิ่งพ้นสิทธิ์แลกเครื่องใหม่มาเพียง ๓
วัน ควรจะหยวนๆหน่อย เปลี่ยนเครื่องให้ใหม่เลยดีกว่า เพราะเขาจำเป็นต้องใช้งานสำคัญจริงๆ
แต่ก็ได้รับคำยืนยันแบบกระต่ายขาเดียวว่าพ้น ๗ วันจะไม่เปลี่ยนให้
เพราะเงื่อนไขถือว่ายุติธรรมที่สุดแล้ว
คือลูกค้านำเครื่องมาจะซ่อมฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย
จองฤกษ์อธิบายว่าเวลาซ่อมหนึ่งอาทิตย์ที่เขาต้องรอนั่นแหละคือค่าใช้จ่ายมหาโหด
เพราะเขาจำเป็นต้องติดตามข้อมูลสำคัญบนอินเตอร์เน็ตจากนอกบ้าน
เป็นข้อมูลที่เขารอมานาน
หากพลาดไปอาจหมายถึงการสูญมากกว่าเงินค่าเครื่องใหม่เสียอีก
ที่เขายอมลงทุนซื้อมือถือแพงๆก็เพื่อช่วงเวลานี้โดยเฉพาะ
เครื่องเก่าก็ขายทิ้งไปแล้ว ไม่เหลืออะไรให้ใช้สำรองได้อีก
ยื้อกันไปยื้อกันมาเป็นนานสองนาน
ในที่สุดพนักงานก็ยื่นข้อเสนอแบบตัดรำคาญว่าให้ลองไปที่ศูนย์ซ่อมโดยตรง
และขอให้ช่างทดสอบเครื่องที่เคาน์เตอร์
หากเห็นว่าเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อยก็อาจเปลี่ยนอะไหล่ให้ได้ทันที
นี่คือทางออกสุดท้าย
รู้ทั้งรู้ว่ามีโอกาสเพียงริบหรี่ที่ช่างซ่อมจะใจดีเช็กดูแล้วเปลี่ยนอะไหล่ให้รวดเร็วดังคำตัดรำคาญของพนักงานขาย
แต่จองฤกษ์ก็ต้องจำใจยอมถ่อสังขารแบบข้ามเมืองมาที่อาคารอันเป็นศูนย์ซ่อมของบริษัทเจ้ากรรม
มิฉะนั้นก็ต้องอาศัยทางเลือกอื่น
เช่นยอมโดดเรียนเป็นอาทิตย์ๆเพื่ออยู่กับบ้านนั่งเฝ้าข้อมูลที่ตนรอคอย
หรือไม่ก็ซื้อโทรศัพท์มือถือรุ่นต่อเน็ตได้เครื่องใหม่ไปเลย
ซึ่งทั้งสองทางเลือกล้วนแล้วแต่สิ้นเปลืองเวล่ำเวลาหรือไม่ก็เงินทองเกินกว่าจะทำใจยอมรับ
ยามนี้ในหัวจองฤกษ์เหมือนห้องที่คละคลุ้งด้วยหมอกควันโทสะร้อนแรง
คอยดูเถอะ ถ้าบริษัทไม่ช่วยเหลือเขาเต็มที่ก็จะได้เห็นดีกัน เล่นกับใครไม่เล่น
เขาจะทำให้พวกไร้สำนึกได้สังวรเสียบ้างว่าในกลุ่มลูกค้าหมื่นคนแสนคนนั้น
อาจมีคนธรรมดาที่น่าครั่นคร้ามปะปนอยู่ด้วย
ถ้าขืนบริการไม่ดีก็อาจเจอบทเรียนแสบสันอันยากจะลืมเลือนได้ทุกเมื่อ!
กินส้มตำดับโมโห เวลาเจอจานเด็ดเผ็ดแสบเรียกน้ำตาให้ซึมได้แล้วเขามักจะอารมณ์เย็นลง
ระยะหลังเริ่มรู้สึกตัวว่าพอปล่อยให้เกิดอาการโกรธเปรี้ยงปร้างและคิดแค้นไม่หยุดแล้วจะมึนๆทึบๆไปทั้งวัน
หัวไม่ค่อยแล่น ซึ่งเป็นผลเสียกับงานชิ้นโบแดงที่เขากำลังทำอยู่
ร้านเจ้าประจำหน้าปากซอยเป็นแหล่งพึ่งพิงของเขามาแต่เด็ก
เรื่องความสะอาดไว้ใจได้เพราะไม่เคยมีปัญหามาก่อน
แต่แล้ววันนั้นก็เกิดประสบการณ์ครั้งแรก เมื่อเริ่มขึ้นรถประจำทาง
ทุกอย่างยังคงเป็นปกติดีไม่มีอะไร
แต่พอกำลังนั่งมองนอกหน้าต่างเพลินๆได้สักครึ่งชั่วโมง ท้องไส้ก็ชักปั่นป่วนขึ้นมา
ตอนอยู่ในขั้นของสัญญาณเตือนธรรมดานั้นเขานึกว่ามันล้อเล่น
แต่พอเริ่มมีการทุบประตูโครมครามถี่ขึ้น
จองฤกษ์ก็ทราบว่านั่นไม่น่าจะใช่เรื่องล้อเล่นเสียแล้ว
เพิ่งมาได้แค่ครึ่งทาง เสียดายค่ารถโดยสารปรับอากาศจะแย่
แต่ทำอย่างไรได้ ขืนไม่ลงป้ายเดี๋ยวนั้นเหตุการณ์จะยิ่งเลวร้ายขึ้นอีกเป็นทวีคูณ
เพราะรถติดเป็นแพยาวเหยียด เกือบสิบนาทียังจอดแช่แบบมองไม่เห็นอนาคตอยู่กับที่เช่นนั้น
จองฤกษ์ลงมาเดินเม้มปากบนฟุตบาท เหลียวซ้ายแลขวารอบด้าน
ภาวนาให้มีปั๊มน้ำมันอยู่แถวนั้นสักแห่ง
แต่ก็ต้องพบกับความผิดหวังที่ไม่มีให้เห็นแม้แต่เงา
รอบทิศเต็มไปด้วยตึกแถวอาคารร้านค้า หาสุขาสาธารณะไม่เจอ
ลังเลอึดใจหนึ่ง
เลือกระหว่างร้านก๋วยเตี๋ยวฝั่งตรงข้ามซึ่งต้องเดินข้ามสะพานลอยไป
กับอาคารสำนักงานตรงหน้า แล้วเด็กหนุ่มก็ตัดสินใจเลือกที่พึ่งใกล้ตัวกว่า
โดยไม่มีแก่ใจดูด้วยซ้ำว่าบริษัทชื่อเสียงเรียงนามใด เห็นแต่ภายนอกเป็นอาคารเก่าๆ
ก้าวเท้าเข้าเขตรั้วไปแล้ววังเวงใจชอบกล
เมื่อเข้าสู่ตัวอาคารก็ชักเร่งรีบขึ้นกว่าเดิม
สำนักงานไม่ได้มีป้ายแสดงความเอาใจใส่บอกทิศบอกทางลูกค้าเหมือนห้างสรรพสินค้าทั้งหลาย
เด็กหนุ่มเริ่มหันรีหันขวาง
กำลังตัดสินใจว่าจะเสี่ยงเดินไปจนสุดทางข้างซ้ายหรือข้างขวาดี
เกรงว่าเลือกผิดเพียงในเวลาสั้นๆทุกอย่างอาจสายเกินไปแล้วก็ได้
ชั่วเวลาห่างกันเพียงไม่กี่อึดใจ
สถานการณ์เริ่มเลวร้ายขึ้นกว่าเดิมหลายเท่าตัว
บางครั้งต้องหยุดยืนกลั้นหายใจด้วยความประหวั่นพรั่นพรึงสุดขีดว่าอาจจะทนต้านทานไม่ไหวในอีกไม่กี่พริบตาข้างหน้า
เขาจำเป็นต้องรู้จุดหมายปลายทางของชีวิตในระยะสั้นให้ได้เดี๋ยวนี้ว่าควรจะเป็นไปในทิศทางใด
โชคเข้าข้างอยู่บ้าง
ผู้ชายอ้วนๆหน้าตาใจดีคนหนึ่งเดินลงบันไดมาจากชั้นสอง
จองฤกษ์เห็นเข้าก็ปราดเข้าไปถามฉับพลัน ลืมมาดสุขุมที่ตั้งใจรักษาไว้เสียสนิท
“พี่ครับ ชั้นนี้มีห้องน้ำหรือเปล่า?”
ชายคนนั้นเห็นท่าทางตื่นเต้นประกอบคำพูดของเด็กหนุ่มแปลกหน้าก็รู้ว่ากำลังมีเรื่องด่วนประเภทใด
จึงเปลี่ยนจากสีหน้ายิ้มๆเป็นขึงขัง พูดจาเป็นงานเป็นการทันที
“น้องไปทางซ้ายนะ”
เขาปาดแขนไปตามทิศที่บอก “สุดทางแล้วเลี้ยวขวา พอไปจนสุดอีกทีก็เจอแล้ว”
“ขอบคุณมากครับพี่!”
“ไม่เป็นไร รีบไปเถอะ”
จองฤกษ์เลิกสงวนท่าปิดบังอาการใดๆ
พอยินวจีเผยทางสวรรค์จบก็แทบวิ่งจู๊ดเป็นลูกธนูแล่นจากแล่ง
ราวกับกำลังแข่งเวลากับความเป็นความตาย
เกิดมาเป็นตัวเป็นตนไม่เคยตกอยู่ในสภาพน่าอดสูเยี่ยงนี้มาก่อน แต่ก็ช่างเถอะ
ชายที่ฟ้าส่งมาช่วยสงเคราะห์เขาคงไม่ได้เห็นหน้ากันอีกจนชั่วกัลปาวสาน
ฉะนั้นคงไม่กระไรนักหรอกกับการขายหน้านาทีเดียว
วิ่งปรี่ไปจนสุดทาง
เลี้ยวขวาแล้วตรงดิ่งต่อแบบไม่ปล่อยเวลาให้ล่าช้า
แรงกระแทกที่เกิดจากการรีบวิ่งไม่ส่งผลดีต่อสภาพเพียบหนักในขณะนั้นเท่าใดนัก
เหมือนด้านนอกประตูเมืองมีท่อนซุงกระทุ้งอยู่ปังๆไม่พอ
ในเมืองยังได้ทหารทรยศช่วยเขย่าๆเสริมด้วยอีกแรง ยิ่งรู้สึกว่าใกล้ห้องน้ำ
ร่างกายคล้ายยิ่งตอบสนองเป็นพิเศษ
คล้ายมีทหารเลวขออนุญาตยิงปู้ดออกไปให้ได้เดี๋ยวนั้น
เรียกว่านับเวลาถอยหลังเข้าสู่ภาวะปลดปล่อยเป็นวินาทีตามการคำนวณระยะทางกันเลยทีเดียว
ทว่ายิ่งวิ่งใกล้ที่หมายเข้ามา
สังหรณ์ก็ยิ่งเริ่มทำงานมากขึ้นทุกที
บริเวณนั้นมืดๆทึมๆเหมือนไม่ค่อยน่าจะมีกิจกรรมของมนุษย์ผู้ใดเท่าไหร่นัก
กระทั่งท้ายสุดต้องตัวแข็งทื่อราวกับถูกไฟช็อตเมื่อเจอป้าย ‘ไม่มีกิจห้ามเข้า !’
แปะไว้เหนือขอบประตูข้างซ้ายสุดทาง จองฤกษ์ชะงักกึกขนลุกซู่
จ้องป้ายแทบตาถลนอย่างไม่เชื่อสิ่งที่ตนเห็น พยายามอ่านใหม่ให้เป็นอื่น
แต่มันก็ไม่เป็นอื่นอยู่เช่นนั้น
ความท้อที่จะมีชีวิตต่อก่อตัวขึ้นท่วมท้น
เรียกว่าหมดความไยดีตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นมาถึงศีรษะ
อยากนั่งแปะปลดปล่อยทุกสิ่งทุกอย่างให้เป็นไปตามเวรตามกรรม
คับแค้นจุกอกแน่นเสียดเมื่อรู้ตัวว่าถูกหลอก เรื่องแค่นี้ทำไมต้องหลอกกันด้วย? ให้ตายเถอะ
!นึกไม่ถึงว่าจะมีใครใจไม้ไส้ระกำอย่างระยำได้เท่าเจ้าอ้วนนั่นเลย
ขบฟันแน่น
เป็นนาทีที่เขารู้สึกว่าตนกลายเป็นเด็กน้อยร่างกายอ่อนแอถูกรังแกอย่างไร้เหตุผล
ไม่เข้าใจโลก ไม่เข้าใจชีวิต
สงสัยว่าทำไมคนเราจึงต้องเลวร้ายต่อกันทั้งที่ไม่เคยรู้จักมักจี่มาก่อน
อย่าว่าแต่ทำเรื่องแค้นเคืองอันใดให้
เกร็งแน่นทั้งตัวเหมือนกล้ามเนื้อทุกมัดเขม็งเกลียวเตรียมระเบิดเป็นเสี่ยงๆ
นี่คือวิกฤตที่ร้ายแรงเกินประมาณ แต่แล้วพออัดอั้นตันใจมากๆเข้า ธรรมชาติทางกายก็เหมือนจะผ่อนปรนให้บ้าง
ค่อยรู้สึกทุรนทุรายน้อยลง จึงใจชื้นขึ้นมาหน่อย
รีบหันทิศกลับดุ่มเดินย้อนกลับทางเก่า
ไม่แน่ใจว่าถ้าเจอชายอ้วนผู้สวมหน้ากากนักบุญนั่นยืนรออยู่ เขาจะยอมขี้แตก
ขอเพียงให้ได้เตะก้นมันสักป้าบหรือไม่
ระหว่างเดินซอยเท้า ยิ่งคิดถึงสีหน้าแสดงความเป็นห่วงเป็นใยเปี่ยมน้ำใจเอื้ออาทรแล้ว
ก็ยิ่งคันคะยิกขึ้นมากลางอกด้วยความคั่งแค้น จนกระทั่งต้องกัดริมฝีปากแทบห้อเลือด
เกิดมาไม่เคยเจอใครเหี้ยมโหดอำมหิตได้สนิทแนบเนียนภายใต้หน้ากากพ่อพระได้เหมือนอย่างนั้นมาก่อนเลย
ถึงทางแยก เจอผู้หญิงคนหนึ่งเดินมา
จองฤกษ์กัดกรามแน่น คราวนี้ไม่กล้าแสดงความดีใจออกนอกหน้าเท่าใดนัก
“พี่ครับ… ห้องน้ำไปทางไหน?”
ผู้หญิงคนนั้นปรายตามาเห็นสภาพเลิ่กลั่กตัวลีบของเขาแล้วเบะปากยิ้มนิดๆ
เออ… เห็นคนเหงื่อแตกถามหาทางไปห้องน้ำเป็นเรื่องตลกนักหรือไง? กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแทนที่จะสงสาร
กลับส่งสายตาเยาะหยันสมน้ำหน้ากันแบบไม่เก็บงำแบบนี้
“ชั้นนี้ไม่มีหรอกน้อง ต้องขึ้นไปข้างบน”
“ไม่มีที่ชั้นล่างหรอกหรือครับ?”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้วนิ่วหน้า
หลุดปากถามอย่างกังขาสุดขีดว่าไม่มีได้อย่างไรกัน ผิดหลักเป็นอย่างยิ่ง
บังเกิดความระแวงขึ้นมาทันทีว่าอาจถูกหลอกซ้ำสองเข้าให้แล้ว
“อือ !ไม่มี ตึกเรามันยากจน
คนสร้างเขาประหยัดงบ ทำชั้นเว้นชั้น ความจริงสมัยก่อนก็มีอยู่นอกอาคาร แต่เขาทุบทิ้งไปนานแล้ว
เปลี่ยนเป็นที่จอดรถแทน เพราะที่จอดรถมันไม่พอ อยู่ในเมืองก็อย่างนี้แหละน้อง
ที่จอดรถมีค่ากว่าห้องส้วม คนข้างนอกทะเล่อทะล่าเข้ามาก็หาลำบากหน่อย”
ยายนั่นสาธยายยืดยาวเสียงยานๆคล้ายจะถ่วงเวลาหน้าตาเฉย
เวรกรรมที่ดันมาเจอคนขี้แกล้งเข้าอีกรายจนได้
“ครับ… ขอบคุณครับ เอ้อ
!แล้วข้างบนนี่มุมไหนครับ?”
“พอไปถึงก็เลี้ยวซ้าย พอสุดทางก็เห็นเอง”
จองฤกษ์ไม่ขอบคุณซ้ำ
แต่รุดขึ้นบันไดลิ่วๆแบบก้าวทีละสองขั้นสามขั้นไปในทันที
ระหว่างทางก็ภาวนาขออย่าให้เกิดอาการเข้าขั้นตรีทูตขึ้นมาอีก
เอาแค่ตอดนิดตอดหน่อยแบบให้โอกาสปลอดภัยได้ตลอดรอดฝั่งกันบ้างเถอะ
และถ้าคราวนี้ถูกหลอกอีกหน ก็ขอให้ฟ้าดินเป็นพยาน
เขาจะตามล่าเด็กเลี้ยงแกะชายหนึ่งหญิงหนึ่งให้พบทั้งสองคนแล้วลงโทษอย่างสาสมที่สุด!
ขึ้นมาถึงชั้นบน
เลี้ยวซ้ายวิ่งขโยกเขยกไปจนสุดทาง ประตูอยู่ที่นั่นจริงๆ กลิ่นห้องน้ำที่โชยออกมาเตะจมูกช่างหอมหวนทวนลมไม่มีอะไรเกิน
เพิ่งเข้าใจคำว่า ‘สุขา’ อย่างถ่องแท้ก็วันนี้เอง เด็กหนุ่มก้าวพรวดเข้าคอกหนึ่ง
ปิดประตูปึงปังกลับหลังหันปลดกางเกง
กระแทกตัวลงนั่งโครมทันเวลาแบบฉิวเฉียดขนาดเส้นยาแดงผ่าแปด
ถอนใจเฮือกแล้วเฮือกเล่า
คล้ายผ่านมรสุมชีวิตมาอย่างยากเย็นเหลือพรรณนา หลายนาทีผ่านไป
ทุกอย่างกลับสงบลงเหมือนทะเลป่วนที่คืนสู่สภาวะราบคาบ จองฤกษ์ยิ้มกับตนเองเหี้ยมๆ
พยักหน้าหงึกๆอย่างเพิ่งนึกออกเกี่ยวกับความจริงในชีวิตข้อหนึ่ง
คือคนเราไม่จำเป็นต้องเกลียดกันเสียก่อนถึงค่อยคิดกลั่นแกล้งกันได้ ขอเพียงมีนิสัยเด็กเกเรติดตัวอยู่เป็นทุนเท่านั้น
ความแค้นของจองฤกษ์เมื่อถึงขีดหนึ่งจะปราศจากปฏิกิริยาปึงปังโว้กว้าก
ทว่าจะเงียบสงบแบบคนเลือดเย็น
หรี่ตาครุ่นคิดหาวิธีจองล้างจองผลาญอย่างเอาจริงเอาจัง
หากยังตกลงปลงใจเลือกวิธีดับแค้นไม่ได้ก็จะคิด คิด และคิดต่อไปเรื่อยๆจนกว่ากระดิ่งแห่งความชั่วร้ายจะลั่นเปรี้ยงขึ้นมาในหัว
วางแผนเป็นขั้นๆว่าจะตามล่าตัวยักษ์ใหญ่ใจมารตนนั้นด้วยวิธีใด
ลักษณะเครื่องแต่งกายลำลองแบบคนมาสะสางงานวันอาทิตย์ทำให้ทราบว่าต้องเป็นคนในบริษัท
และน่าจะประจำอยู่ที่ตึกนี้แน่ ฉะนั้นถ้ามีความอุตสาหะเพียงพอ เดินหาทีละห้อง
ก็ต้องได้พบได้เจออยู่แล้ว ถ้าใครถามว่ามาด้อมๆมองๆดูอะไร
เขาก็จะบอกว่าต้องการพบชายสูงประมาณ ๑๗๐ เซนติเมตร รูปร่างอ้วนท้วน หน้าตาใจดี
ผิวขาว ไม่ไว้หนวด วันนี้ใส่เสื้อเชิ้ตสีฟ้ามาทำงาน
หากถูกซักว่าต้องการพบด้วยธุระอันใด ก็จะตอบว่าเมื่อครู่ชายคนนั้นฝากอะไรบางอย่างไว้กับเขา
และเขากำลังจะเอามาคืน…
คนคงไม่สงสัย
เนื่องจากเขาเป็นวัยรุ่นดูไร้พิษสง
อย่างน้อยคงบอกชื่อเสียงเรียงนามพร้อมห้องที่อยู่ให้โดยดี
ซึ่งขอเพียงรู้ชื่อนามสกุลพร้อมที่ทำงานเช่นนี้
แฮกเกอร์อย่างเขาสามารถเล่นงานใครให้บอบช้ำแค่ไหนก็ได้ โดยที่เจ้าตัวจะไม่มีวันรู้เลยว่าชะตากรรมอันย่ำแย่เหลือเชื่อนั้น
ใครเป็นผู้กำหนด!
ไม่มีวันรู้ว่าใครเป็นผู้กำหนดชะตา…
คล้ายความคิดที่ผุดขึ้นระลอกนั้น
พลิกผันปฏิรูปตัวเป็นมนต์บันดาลใจให้หวนระลึกถึงณชะเลอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้
หล่อนและหนังสือของหล่อนอ้างเสมอว่าเรื่องราวทั้งหลายในชีวิตถูกลิขิตขึ้นจากกรรมเก่า
อาจจะชาตินี้หรือชาติก่อน และเมื่อเกิดเรื่องขึ้นมา
ก็จะเป็นเหตุกระตุ้นให้มนุษย์เกิดปฏิกิริยาทางใจ
บันดาลให้ทำกรรมดีร้ายตอบสนองต่อไปอีก กลายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ไม่รู้จบ
กะพริบตาสองสามครั้ง
หากคิดถึงปฏิกิริยาลูกโซ่ที่เกิดขึ้นในกรอบของกรรมวิบาก
ก็คงต้องบอกว่าผู้แกล้งคนอื่นย่อมถูกคนอื่นกลั่นแกล้งคืน
เมื่อใครถูกกลั่นแกล้งก็ย่อมผูกใจเจ็บ อยากกลั่นแกล้งกลับ แล้วก็ต้องโดนแกล้งอีก
หมุนวนเป็นวัฏจักรแห่งความชั่วร้ายอยู่อย่างนี้
หากการเจอเจ้าอ้วนใจร้ายคือผลกรรมเก่า
แล้วเขาไปกลั่นแกล้งหมอนั่นไว้ตั้งแต่ปางไหนในเมื่อเกิดมาไม่เคยเจอกันสักหน? ถ้าบอกว่าเป็นอดีตชาติแล้วจะไปรู้ได้อย่างไร
ใครจะอยากเชื่อว่าไอ้คนลวงโลกนั้นเป็นเจ้าหนี้เก่าที่มีสิทธิ์ทวงแค้นคืนตามกฎแห่งกรรม?
ขณะที่ยังไม่ทันสามารถตอบคำถามเดิมของตนเองได้
ก็เกิดคำถามใหม่แทรกซ้อนขึ้นมาอีกชนิดที่ทำให้ชะงักกึก
เพราะเป็นคำถามซักค้านของคนที่พร้อมจะเถียงแม้แต่ตัวเอง
ตามแบบฉบับนิสัยของแฮกเกอร์ นั่นคือ
จะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าอ้วนนั่นไม่เคยถูกเขากลั่นแกล้งในชาติปัจจุบัน
โดยทางตรงหรือทางอ้อม?
แต่ละคนมีสิทธิ์ก่อกรรมชนิดที่ส่งผลกระทบต่อวงกว้างได้เสมอ
ทั้งที่ตระหนักและไม่ตระหนัก…
นึกถึงกรรมใหญ่ที่ตนเพิ่งก่อ
คือใช้ความรู้ความสามารถทางคอมพิวเตอร์กลั่นแกล้งผู้คนไปทั่วโลก
มันเป็นการแกล้งแบบเหวี่ยงแห ไม่จำเพาะเจาะจง ไม่เลือกหน้าอินทร์หน้าพรหมใด
หลอกคนเป็นล้านด้วยอุบายลวงแยบยลดุจคนที่คิดอยากช่วยเหลือกัน
แต่ที่แท้เป็นการต้มตุ๋นแบบตลกเลือด
เชือดกระเดือกชาวบ้านเล่นโดยไม่ต้องมีเหตุบาดหมางมาก่อน
หนึ่งในล้านของเหยื่อเหล่านั้นอาจเป็นคนที่เพิ่งหลอกให้เขาหลงทางไปสดๆร้อนๆก็ได้
ใครจะรู้!
ระบายลมหายใจยาว
คิดถึงกรรมที่ตนเพิ่งทำไป เหตุผลแท้จริงที่อุตส่าห์อดตาหลับขับตานอนอยู่หลายเดือนมาก่อการร้ายผ่านอินเตอร์เน็ตครั้งนี้
ก็เพียงแค่อยากมีชัยเหนือบริษัทซอฟต์แวร์อันดับหนึ่งของโลก
เพียงแค่อยากตบหน้ายักษ์ใหญ่ที่ชอบอวดโอ่และส่งคำท้าทายไปยังเหล่าแฮกเกอร์ให้ทะลวงผ่านรั้วป้องกันเวอร์ชั่นล่าสุดของตนดู
ประมาณว่าใครทำได้ถือเป็นเทวดาอะไรทำนองนั้น
ความสำเร็จของเขาเท่ากับการประกาศศักดาว่ามีชัยเหนือกลุ่มโปรแกรมเมอร์ซึ่งฉลาดที่สุดของบริษัทซอฟต์แวร์เจ้าใหญ่ที่สุดบนพื้นพิภพไปแล้ว
แม้ไม่ได้โล่รางวัลจากสถาบันใด แต่ก็เป็นที่โจษจันระดับโลก
และเป็นความน่าทึ่งในหมู่จารชนคอมพิวเตอร์ด้วยกัน หาอ่านตามเว็บบอร์ดชุมนุมแฮกเกอร์ที่ไหนก็มีแต่คนกล่าวขวัญถึงเขาอย่างชื่นชม
ในขณะที่เขานั่งผยองลำพองขนอยู่ตามลำพังเงียบๆในประเทศเล็กๆที่ยังไร้วีรบุรุษทางด้านนี้
ไม่มีใครนึกถึง และไม่มีร่องรอยใดๆให้ใครสาวมาเจอตัวเขาได้เลยแม้แต่น้อย
เพราะเขาใช้เทคนิคแบบเซียนเหยียบเมฆที่ไม่เคยมีใครใช้มาก่อน
แต่ถ้ามองว่าวิบากหรือผลกรรมมีจริง
เหตุการณ์วันนี้อาจเป็นการประกาศศักดาของธรรมชาติให้เขาประจักษ์บ้าง
ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือมนุษย์ยังมีกฎแห่งการสนองกรรม
!เขาโดนเล่นงานแบบถึงเนื้อถึงตัวโดยไม่ต้องมีการสืบหาเบาะแส ไม่ต้องมีการแกะรอย
ไม่ต้องมีการใช้เทคโนโลยีชั้นสูงใดๆมางัดข้อกัน
นึกถึงคำถามของตัวเองเมื่อครู่ที่วนซ้ำๆอยู่ในหัว
ว่าทำไมมันทำหยั่งงี้วะ? กูไปทำอะไรให้มึงวะ? ทำไมเรื่องแค่นี้ถึงต้องหลอกกันด้วยวะ?
เหล่านั้นจะเป็นคำถามเดียวกันกับที่อึงอลอยู่ในหัวของเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายนับล้านของเขาด้วยหรือไม่?
กะพริบตาถี่ๆอย่างมึนงง
เพราะวูบหนึ่งคล้ายตระหนักว่าเสียงในหัวที่เกิดขึ้นกับผู้ถูกกระทำอย่างไร
เสียงเดียวกันนั้นจะย้อนกลับมาดังขึ้นในหัวของผู้กระทำเข้าให้จนได้…
นึกถึงการตีบทแตกของชายหน้าตาใจดี
ที่คล้ายพลอยตระหนกเป็นเดือดเป็นร้อนแทนเขา ก็ยิ่งสะกิดให้ย้อนนึกถึงอุบายลวงโลกของตนที่พูดแบบหวังดี
ชักชวนให้ไปดาวน์โหลดโปรแกรมป้องกันไวรัสมาติดตั้ง
แต่พอผู้ใช้คอมพิวเตอร์ทั่วโลกเอามาติดตั้งจริงกลับกลายเป็นตัวคายพิษไปเสียฉิบ!
เคยหัวเราะเยาะคนอื่นที่รู้ไม่ทันตนลับหลัง
บัดนี้ต้องมากลายเป็นไอ้หน้าโง่ที่ถูกหัวเราะเยาะไล่หลังเข้าให้บ้าง
ช่างเถอะ คงแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น…
จองฤกษ์ปลอบใจตนเอง
ความประจวบเหมาะระหว่างสองเหตุการณ์ที่ละม้ายคล้ายคลึงกัน
ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวโยงกันแม้แต่น้อย ทุกเรื่องเป็นอิสระจากกัน
มนุษย์มีอิสระที่จะเลือกเดินไปเจอสิ่งต่างๆ
และสิ่งต่างๆก็มีสิทธิ์ที่จะเลือกต้อนรับมนุษย์ตามอำเภอใจ
ซึ่งมันก็แค่บังเอิญมาซ้ำรอยกัน
แค่บังเอิญ…
เอ… หรือว่าไม่บังเอิญ?
เขาจะรู้ได้อย่างไรกัน? หากนี่เป็นวาระแรกแห่งการปรากฏตัวของวิบากกรรมขึ้นมาจริงๆอะไรจะเกิดขึ้น?
เรื่องน่ากลัวมีอยู่ว่าถ้านี่เป็นแค่จุดเริ่มต้น
ก็แปลว่าชีวิตเขากำลังเข้าสู่เส้นทางแห่งความหายนะเกินกว่าจะเดาผลสุดท้ายได้ถูก
เพราะการทำให้คนเดือดร้อนเป็นล้าน
คงไม่ใช่แค่โดนหลอกเรื่องห้องน้ำในนาทีวิกฤตเท่านี้หรอก
ย้อนทวนขึ้นไปแล้วต้องหนาวยะเยือก
เขาลืมไปสนิทว่าที่ออกจากบ้านวันนี้ก็เพราะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นเป็นอันดับแรก
คือกำลังจำเป็นต้องใช้อุปกรณ์สื่อสารเพื่อติดตามข้อมูลสำคัญอย่างต่อเนื่อง
อุปกรณ์ดันเสียขึ้นมาเฉยๆราวกับถูกกำหนดเวลาไว้พอดิบพอดีให้พ้นระยะเปลี่ยนเครื่องได้ใหม่
จากความเย็นสันหลังแปรเป็นอาการขนหัวลุก
นี่เป็นเรื่องน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าภูติผีปีศาจ
เพราะภูติผีปีศาจจะเล่นงานใครยังมีรูปแบบ
ยังมีเงื่อนไขข้อจำกัดเกี่ยวกับเวลาและสถานที่ในการหลอกหลอน
แต่วิบากกรรมนั้นหากมีจริงแล้วล่ะก็ จะเล่นงานผู้เป็นเป้าหมายด้วยรูปแบบใดก็ได้ไม่จำกัด
ในเมื่อทุกชีวิต ทุกวินาที และทุกหนแห่งที่เขาผ่านไปพบบนโลกใบนี้
อาจแปรเป็นเครื่องมือของวิบากกรรมได้ทั้งหมดทั้งสิ้น!
ทำอย่างไรจะรู้ได้ว่าวิบากกรรมเป็นของจริง
และบัดนี้เขากำลังเผชิญหน้ากับมันอย่างเต็มตัว? ไม่เคยรู้สึกการพิสูจน์ใดๆจำเป็นเท่านี้มาก่อนเลย
เขาจะต้องรู้ให้ได้ เพื่อเตรียมรับสถานการณ์ข้างหน้าที่กำลังจะมาถึง
ในหนังสือเลือกเกิดใหม่ระบุไว้ว่ากรรมคืออะไรอย่างหนึ่งที่ปราศจากรูปร่างหน้าตา
ปราศจากความรู้สึกนึกคิด ปราศจากเจตจำนง
ไม่มีแม้กลุ่มพลังให้สัมผัสได้อย่างเปลวแดดหรือควันไฟ มีแต่ ‘ความจริง’ ให้รับรู้ว่ามันเป็นเงาตามทุกคนและคอยทำหน้าที่บันดาลเหตุการณ์ดีร้ายอย่างปราศจากอคติอยู่เท่านั้น
ถ้าอยากให้กรรมออกจากที่ซ่อนและแสดงตัวเป็นรูปธรรมทันใจ
ก็ให้เลือกเอากุศลกรรมเด่นๆที่ทำประจำมาเป็นตัวตั้ง
จากนั้นจงเอ่ยปากแบบเสียงดังฟังชัด อธิษฐานว่าหากกรรมวิบากมีจริง
ก็โปรดบันดาลเรื่องดีสมกับกรรมดีที่ทำ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ เพื่อเป็นกำลังใจ
เพื่อให้มีมานะในการบำเพ็ญบุญกุศลยิ่งๆขึ้นไปด้วยเถิด
พลังแห่งความจริงนั้นน่าพิศวงเหนือพลังอื่นใด
เมื่อใดอ้างถึงความจริง ทุกคนย่อมสามารถสัมผัสรู้สึกได้ถึงพลังที่มีอยู่จริง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นกุศลผลบุญอันหนักแน่นที่สั่งสมมานาน
แต่นาทีนั้น ขณะแห่งความรู้สึกบีบคั้น
และประหวั่นพรั่นพรึงในบาปอกุศลที่เพิ่งทุ่มใส่ผู้คนนับล้าน
ทำให้จองฤกษ์นึกไม่ออกว่าตนเคยประกอบกรรมดีอันใดไว้บ้าง
ย้อนนึกควานค้นในสมองก็เจอแต่เรื่องเลวๆ แม้กระทั่งการช่วยณชะเลให้หลุดรอดจากการสวมรอยของจุ๊บแจง
เขาก็อุตส่าห์ทำความเจ็บช้ำน้ำใจให้จุ๊บแจงด้วยการเอาไปประจานเสียอีก
พอนึกไปนึกมาหาความดีของตัวเองไม่เจอ
หนักเข้าจองฤกษ์ก็โกรธตัวเอง โกรธกฎแห่งกรรม โกรธสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพุทธศาสนา
เมื่อบวกกับความเลือดร้อนแห่งวัยจึงทำให้หน้ามืดไปชั่ววูบ
แทนที่จะนึกอธิษฐานอ้างอิงกรรมดีตามคำแนะนำในหนังสือ
เด็กหนุ่มกลับพูดออกมาลั่นห้องส้วมว่า
“ถ้ากรรมที่ทำให้คนต้องทุกข์หนักมีผลสนองได้จริง
ก็ขอให้เล่นงานกูภายในวันนี้อีกรอบเถอะ อยากพิสูจน์ว่ะ!”
นั่น! ต้องอย่างนั้น! พูดแล้วอดสะใจในความบ้าดีเดือดของตนเองไม่ได้
จะมัวหัวหดอยู่ทำไม ส่งคำท้าให้เห็นดำเห็นแดงกันไปเลย! ถ้าวิบากกรรมมีจริงก็อยากท้าชกกันตัวๆไปเลย
แต่อึดใจเดียว
จองฤกษ์ก็ขนลุกเกรียวอย่างประหลาด วูบหนึ่งคล้ายหน้ามืด
สายตาพร่าพรายเห็นทุกอณูอากาศรอบตัวปรากฏเงาดำทะมึนหลอกหลอน เขาปิดเปลือกตาลงบีบแน่นแล้วลืมตาขึ้นใหม่
แต่ความรู้สึกหนักๆทึบๆนั้นที่น่าพรั่นพรึงยังคงลอยวนอยู่รอบรายไม่หายไปไหน
จนต้องสูดหายใจเข้าปอดยาวๆเพื่อสร้างความปลอดโปร่งให้ตนเองหลายๆหน
จึงค่อยรู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
กลืนน้ำลายอึกใหญ่ คงไม่มีอะไร
แค่อุปาทานไปเอง…
แต่ถ้าความจริงคือไม่มีอะไร แล้วอะไรเล่าที่ทำให้เขาขนลุก? นี่เขาเพิ่งพูดอะไรน่ากลัวที่สุดในชีวิตออกไปหรือเปล่า?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น