ตอนที่ ๒๙ ริษยา
ขณะกำลังบิดกุญแจไขประตูรั้ว จองฤกษ์ก็สำเหนียกว่ามีเงาร่างสูงของใครคนหนึ่งย่างสามขุมมาทางเบื้องหลังเขาหันขวับไปมองตามสัญชาตญาณระแวงภัย แต่พอเห็นว่าเป็นใครก็เปลี่ยนจากอาการตกใจระวังเป็นฉงนสนเท่ห์ไปแทน“ไอ้ต่อย! กูนึกว่าโจร”
พฤหัสยิ้มเครียดๆ อยู่ในเงาสลัวของถนนที่มีแสงจากโคมนีออนส่องจากระยะห่าง
“ทำไมไม่นึกว่าเป็นพระเอกวะ?”
“มืดๆ ค่ำๆ ใครใช้ให้มึงย่องมาเงียบๆ ข้างหลังล่ะ มันอาการของโจรนี่หว่า เหมือนดักซุ่มรอตีหัวกู” ว่าพลางเปิดประตูก้าวเข้าบ้านโดยเปิดอ้ารอไว้อย่างเชื้อเชิญเพื่อน “เห็นมึงออกจากบ้านทรายไปตั้งนานแล้ว นี่วกกลับมาจากไหนน่ะ?”
พฤหัสก้าวตามเข้าไปในอาณาเขตบ้านชั้นเดียวซึ่งจองฤกษ์อ้างว่าซื้อไว้อาบน้ำ
“กูต้องไปทำธุระ พอจะกลับบ้านต้องผ่านแถวนี้เลยนึกอยากแวะคุยกะมึงหน่อย นี่บังเอิญมาถึงจังหวะเดียวกันพอดี กำลังจะโทร.ถามอยู่ว่าออกจากพื้นที่สีชมพูรึยัง”
๒๕๑
จองฤกษ์หัวเราะคำของเพื่อน เขาเพิ่งออกจากบ้านณชะเลซึ่งอยู่ลึกเข้าไปในหมู่บ้าน ส่วนพฤหัสเพิ่งลับเหลี่ยมซอยมาจากด้านหน้าและเป็นฝ่ายเห็นเขาก่อน รูปการณ์จึงเหมือนพฤหัสแอบซุ่มรออยู่
เจ้าของบ้านบอกเกลอแก้วอย่างมีน้ำใจเมื่อเข้ามาข้างใน
“จะกินอะไรก็หยิบจากตู้เย็นตามสบายนะ”
“ชักมีเครื่องเรือนแยะ คงไม่ใช่แค่เป็นที่อาบน้ำแล้ว” พฤหัสทักพลางเดินไปเปิดตู้เย็น “เอ๊ะ! อะไรกัน ยังไม่มีแม้แต่น้ำสักขวด?”
“อือ...”
จองฤกษ์ส่งเสียงยอมรับหน้าตาเฉย เดินไปนอนเอกเขนกบนโซฟาหนังแท้ติดผนัง
“แล้วมึงจะให้กูหยิบอะไรจากตู้เย็นตามสบายหือ?”
“เห็นอะไรหยิบได้ก็หยิบ แต่ถ้าไม่เห็นก็ไม่ต้องหยิบ”
พฤหัสกระแทกประตูตู้เย็นปัง เท้าเอวแค่นหัวเราะ
“โธ่! กูกำลังหิวน้ำ นึกว่าจะได้กิน”
“กูเพิ่งติดเครื่องกรองน้ำ อยู่ในครัวน่ะ เดินเข้าไปเอาปากรองได้เลย ไม่ต้องหาแก้วให้เก้อเปล่าล่ะ กะว่าอีกวันสองวันค่อยซื้อ”
“ตู้เย็นก็มี เครื่องกรองน้ำก็เพิ่งติด แต่ไม่มีแก้ว??”
“คราวนี้คงรู้แล้วสินะว่าบ้านชายโสดขนานแท้เป็นยังไง”
“อือ... กูเชื่อมึงเลย ถามหน่อยเถอะ บ้านหลังนี้ของมึงจริงเหรอวะ?”
“เออ!”
“มึงซื้อเอง?”
“ถูกต้อง!”
“เอาเงินมาจากไหน?”
“กูคร่ำเคร่งอยู่หน้าคอมพ์นานๆ ก็น่าจะได้อะไรมามั่งซิ”
“รับจ๊อบตั้งแต่เมื่อไหร่? ไม่เห็นเล่าให้ฟังมั่ง”
“ก็ไม่เห็นมึงเคยสนใจอยากรู้”
“เดาๆ อยู่เหมือนกันแหละว่ามึงอาจรับงานประเภทสร้างเว็บหรือเขียนโปรแกรมก๊อกแก๊กให้ใครบ้าง เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าขนาดเก็บเงินซื้อบ้านได้อย่างนี้ นี่แปลว่าไม่ขอตังค์พ่อแม่แล้ว?”
จองฤกษ์ยักคิ้วข้างเดียว
“ก็อย่างที่มึงเห็น”
“เก่งดีโว้ย ขอชมเชย หาเงินเลี้ยงตัวเองได้ตั้งแต่ก่อนเข้ามหาลัย”
ขณะกล่าวก็หันหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนแววตาที่อาจสะท้อนความรู้สึกอันเป็นตรงข้ามกับความชื่นชม พฤหัสเดินสำรวจเครื่องเรือน ซึ่งแม้ยังมีน้อยชิ้น แต่ก็เห็นว่าเป็นของมีราคาทั้งสิ้น แค่ตู้เย็น โต๊ะทานข้าว และชุดโซฟาหนังแท้ก็น่าจะรวมกันเป็นเลขหกหลักได้
๒๕๒
“นี่คงซื้อของขวัญกำนัลทูนหัวหลายแล้วล่ะซี?”
พฤหัสถามเดา
“ก็... มีบ้างนิดหน่อย”
“ชิ้นล่าสุดนี่อะไร?”
“โน้ตบุ๊ก”
จองฤกษ์ตอบอย่างอยู่ในอารมณ์อยากอวดเหมือนกัน โดยไม่ขยายความว่าการส่งมอบล้มเหลวอย่างไร
“วาว! หลายหมื่นซินั่น หรือเป็นแสน?”
“เป็นแสน!”
นั่นคือคำตอบทื่อๆ ที่ปราศจากวี่แววคุยโม้เกินจริง หนังตาของพฤหัสขยิบหน่อยหนึ่ง วัยรุ่นสักกี่คนในโลกที่สามารถซื้อของให้แฟนด้วยเงินก้อนโตจากน้ำพักน้ำแรงของตนเองได้ปานนั้น?
หรือว่านั่นเองคือคำตอบว่าทำไมนางฟ้าผู้แสนโสภิตถึงหลงรักเจ้าหน้านกเค้าแมวนี่...
“เป็นพ่อบุญทุ่มเหมือนกันนี่หว่า รับสารภาพมาดีๆ อีแบบนี้ได้สัมผัสอะไรเป็นรางวัลมั่งแล้ว?”
“เล็บมือทรายอ่อนหรือแข็งแค่ไหนกูยังไม่รู้เลย เกิดมาไม่เคยแตะ”
พฤหัสเบะปาก หันมามองเพื่อนด้วยสายตาเหยียดหยาม
“ดูมึง... โง่แล้วยังอมยิ้มภูมิใจอีก”
จองฤกษ์ไม่สะทกสะท้าน เพราะรู้ดีแก่ใจว่าทุกวันนี้ตนแสนสุขปานใด
“กูโง่ก็โง่อย่างมีความสุข อย่ามายุให้ฉลาดแบบไร้หัวใจอย่างมึงเลย”
พฤหัสหน้าตึง
“ด่าอย่างนี้อีกแล้ว ทำไมชอบว่ากูไม่มีหัวใจนักวะ?”
“ไอ้ที่เต้นกระดุ๊บๆ อยู่ในอกน่ะมี แต่ไอ้ที่ทำให้รักและซื่อกับผู้หญิงสักคนคงไม่มี พูดถึงเรื่องนี้ก็ดี ต่อย... เปิดอกพูดกันอย่างเพื่อนนะ มึงคิดยังไงกับฝน?”
พฤหัสยิ้มเผล่
“ก็... คิดว่าฝนเป็นผู้หญิงที่หน้าตาไม่เลว เอาเป็นว่าไม่แพ้ทราย ส่วนใครจะให้คะแนนมากกว่าทรายหรือเปล่าก็ต้องลองตั้งคณะกรรมการขึ้นมาโหวต หาอุบายให้ไปเจอพรรคพวกเราสิ แกล้งเจอโดยบังเอิญในห้างก็ได้”
จองฤกษ์ส่ายหน้า
“ไม่อยากให้ทรายกับฝนมีมลทินแม้แค่โดนสายตาหื่นๆ ของพวกมึงโลมเลียม” แล้วเขาก็พูดเข้าจุด “ถ้ามึงทำอย่างที่แล้วๆ มา กูจะเข้าหน้าทรายไม่ติดนะต่อย ขอร้องได้ไหม อย่า... ทำอะไรฝนแบบเคยๆ ”
“เอาน่า... ถ้าหากคบๆ กันไปแล้วไม่ถูกอัธยาศัย กูก็จะทำให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี ไม่ให้เสียมาถึงมึงหรอก ไว้ใจเถอะ กูรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
คำสัญญาของเสือผู้หญิงที่พูดว่าจะไม่ทำอะไรผู้หญิงนั้น อ่อนยวบยาบราวกับแมวสัญญาว่าจะไม่กินปลาย่างตรงหน้า หาได้คลายใจจองฤกษ์แม้แต่น้อย
“มึงรู้ว่าอะไรเป็นอะไรแค่ในแบบคนชำนาญพาสาวไปฟันน่ะซี”
๒๕๓
“เอางี้! กูสัญญาว่าจะไม่หลอกล่อ เว้นแต่สาวขอเอง”
“เนี่ย! พูดแบบหัวหมอ กูไม่สบายใจเลยต่อย มึงเห็นฝนเหมือนเนื้อสดชิ้นใหม่ มีกำหนดเวลาเบื่อไว้ในใจเรียบร้อย เหมือนๆ ที่ผ่านมาใช่ไหม? ถามจริงๆ ”
พฤหัสหัวเราะคำว่า ‘มีกำหนดเวลาเบื่อไว้ในใจ’ ของจองฤกษ์
“ใจคนไม่ใช่รถเก๋งนะโว้ย จะได้กะถูกว่าวิ่งกี่กิโลน้ำมันหมด และถึงแม้หมดจริง ตราบใดยังมีน้ำมันเติมใหม่อยู่เรื่อยๆ ตราบนั้นก็วิ่งได้จนกว่าจะผุพัง”
“เปรียบเทียบแบบนั้นเหมือนคู่ที่มีความตั้งใจจะใช้ชีวิตร่วมกันจริงต่างหาก แต่หญิงชายลงถ้าอยู่ด้วยกันเพราะเซ็กซ์อย่างเดียว มันก็เหมือนข้าวปลารอวันบูดเท่านั้น”
พฤหัสฟังแล้วเลิกคิ้วมองเพื่อนด้วยความขบขัน นั่นต้องไม่ใช่คำพูดของคนขาดประสบการณ์ตรงอย่างจองฤกษ์แน่นอน
“จำมาจากไหนวะเนี่ย?”
จองฤกษ์เกือบคุยว่าคิดเอง แต่หลังๆ ชักชินกับการรักษาจิตให้เที่ยงตรงด้วยการพูดคำจริง จึงตอบตรงไปตรงมา
“หนังสือที่ทรายเขาให้ไว้”
พฤหัสขมวดคิ้วยิ้มเฉื่อย
“ท่าทางเด็กมึงนี่ธรรมะธัมโมจัด แล้วตอนนี้มึงก็โดนคุณเธอล้างสมองไปเรียบร้อย”
แทนที่จะรู้สึกเสียอัตตาเพราะได้ชื่อว่าถูกล้างสมอง จองฤกษ์กลับมีความรู้สึกด้านดี เพราะสิ่งที่ถูกล้างออกไปจากสมองล้วนเป็นความคิดชั่วร้ายและเหตุผลด้านมืด ฉะนั้นนอกจากจะไม่พยายามแก้ภาพลักษณ์ของตัวเอง ยังพูดเสริมส่งแถมท้ายให้ด้วย
“ทั้งบ้านนั่นแหละ อยู่ใกล้แล้วทำให้คนอื่นเปลี่ยนแปลงได้ มึงคบกับฝน วันหนึ่งก็ต้องถูกฝนล้างสมองเหมือนกัน”
พฤหัสแสยะยิ้ม ยืดอกเย่อหยิ่ง
“ไม่มีทาง! กูต่างหากจะเป็นคนปรับเปลี่ยนคุณเธอให้ทันสมัยขึ้นเสียบ้าง เอาให้เหมือนโมดิฟายรถธรรมดาเป็นรถซิ่งเลยมึง”
จองฤกษ์เกาศีรษะ
“นั่นไง! ลายเริ่มออกแล้ว”
พฤหัสยักไหล่
“คนเราต้องโตให้ทันโลก กูไม่ชอบเห็นใครฝืนธรรมชาติ”
“เฮ้อ! กูไม่น่าพามึงมาเจอฝนเลย”
“นั่นน่ะซี มึงเป็นคนพามาเอง จะบ่นทำไมนัก”
“ก็ตอนนั้นมึงเซ้าซี้ให้กูพามา”
“ถ้ากลัวจะไม่สบายใจ ก็ไม่เห็นต้องพามานี่หว่า แล้วอีกอย่าง ดูกันวันนี้น่ะ ฝนเขามีอันเป็นไปอะไรหรือ? มึงตีตนไปก่อนไข้ทั้งนั้น”
๒๕๔
“กูก็ไม่อยากตีตนไปก่อนไข้หรอกนะ แต่ทรายน่ะซี แค่เห็นมึงมาเกาะแกะกับพี่สาวเขา เขาก็ทำตาเขียวใส่กูแล้ว”
พอพูดถึง ‘ทราย’ พฤหัสก็ลืมตาโพลง นึกเข้าข้างตัวเองว่าอย่างนี้ณชะเลคงแอบมีใจให้เขาอย่างเร้นลับกระมังจึงไม่สบอารมณ์ที่เห็นเขาไปกุ๊กกิ๊กกับหญิงอื่น
“เอ๊ะ! ทำไมต้องบึ้งด้วยล่ะ?”
ถามเลียบเคียง
“กูเคยเล่าให้ฟัง แต่มึงทำท่าจะไม่เชื่อไง...” จองฤกษ์ตอบเสียงขุ่น “ทรายเขาปักใจเอามากว่าอย่างมึงน่ะ หิวผู้หญิงยิ่งกว่าหิวข้าว หลอกฟันไปวันๆ นี่มายุ่งกับพี่สาวเขา พี่สาวเขาก็คงไม่แคล้วโดนฟันแล้วทิ้ง”
พฤหัสคอแข็ง
“เขาพูดอย่างนี้เหรอะ?”
“ก็ไม่ใช่เป๊ะๆ แต่ความหมายนี้แหละ”
การที่จองฤกษ์ไม่ยกคำพูดณชะเลมาอ้างอิงตรงๆ มีผลให้น้ำหนักความน่าเชื่อถือลดลงฮวบฮาบทันที หล่อนพูดหนึ่งแต่อาจโดนเอามาขยายเป็นสิบ พฤหัสคลายใจลง ยิ่งทบทวนก็ยิ่งไม่เห็นเหตุผลที่ณชะเลจะต้องมองเขาในแง่ลบแง่ร้ายปานนั้น เว้นแต่จองฤกษ์นี่เองพยายามใส่ไฟเขา เพื่อตีกันเขาออกไปห่างๆ อย่างกลัวโดนแย่ง
และเผอิญเขาก็กะจะแย่งอยู่จริงๆ เสียด้วย!
“กูไม่เชื่อมึง!”
พฤหัสพูดตามที่คิด จองฤกษ์ขยับปาก แต่ยังไม่ทันโต้ตอบอย่างไร เสียงโทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้นเป็นเพลง ‘สุดที่รัก’
“ทราย... ว่างาย?”
จองฤกษ์รับสายเสียงหวาน พฤหัสได้ยินแล้วมันเขี้ยว อยากเอาหน้าแข้งไปประเคนเข้าที่ลิ้นปี่คนรับโทรศัพท์แฟนสักครั้ง อยากเห็นเสียงหวานเลี่ยนเปลี่ยนเป็นเสียงแห่งความเจ็บปวดกะทันหันเหลือเกิน
ฟังจองฤกษ์พูดกับณชะเลแล้วพอจับความได้ว่าทั้งสองคุยกันเรื่องคอมพิวเตอร์ ใช้ศัพท์เทคนิคกันชนิดที่ทำให้ประสาทหูของเขาปิดการทำงานไปชั่วขณะ แต่มาทำงานอีกทีก็เมื่อจองฤกษ์ทิ้งท้ายว่า
“ก็ซับซ้อนอย่างนี้แหละ ทรายลองอ่านที่เราเขียนให้ดูดีๆ ... อ๋อ! ไม่หรอก ทรายหัวดีจะตาย... ไม่ได้แกล้งชมเราภูมิใจนะที่มีลูกศิษย์เก่งๆ อย่างนี้ บอกแล้ว อีกหน่อยก็ทันเราเองแหละ... นั่นซี อย่างที่หนังสือของทรายว่าไว้ไง โลกนี้มีหลายสิ่งที่ไม่รู้ก็ไม่เป็นไร ขอแค่รู้ว่าควรรู้อะไรก็พอ”
เสียงแห่งความรักช่างสะอาด อิ่มพลัง และมีประกายสดฉ่ำเสนาะโสต ราวกับผ่านเครื่องขยายชั้นดี พฤหัสต้องเสไปยืนกอดอกมองฟ้ามืดนอกหน้าต่างอย่างไม่อาจทนฟังอีกต่อไป
เห็นจุดดาวใต้เคียวจันทร์ หน่วยตาเบิกขึ้นเล็กน้อยด้วยความพิศวง เพราะเป็นทัศนียภาพเบื้องสูงที่แปลกตา และเผอิญมาประจวบเข้ากับห้วงคำนึงถึงสาวน้อยผู้น่าพิสมัยในใจเขาพอดี
ขณะเมียงมองมุกดากลางฟ้าราตรีนั้นเอง หัวใจของพฤหัสก็อ่อนโยนลงอย่างประหลาด เพิ่งนึกออกว่าเหตุใดตนจึงชอบความรู้สึกที่มีต่อณชะเลมากมายนัก...
๒๕๕
หล่อนทำให้เขาฝันเป็น!
เพิ่งรู้ว่าค่ำคืนของคนธรรมดา กับค่ำคืนของคนที่บินได้ แตกต่างกันเยอะ...
เมื่อปล่อยใจให้ล่องลอยไปกับห้วงมืดเวิ้งว้างเบื้องบน โลกนี้ก็เหลือเพียงความรู้สึกที่นิ่มนวล ความคิดว้าวุ่นทั้งมวลสงบลง เขาชอบที่ความคิดหายไปจากหัวเกือบหมด มันเหมือนจำนวนคนในห้องใหญ่ที่จ้อกแจ้กจอแจลดวูบลงเหลือแต่ความเงียบเกือบสนิท
และนั่นก็ทำให้เขาพบกับสิ่งหนึ่งที่พบได้ยากยามสับสนอลหม่าน... ใจจริง!
“เฮ้ย! ยืนเอามือไพล่หลังชมจันทร์เป็นท่านเจ้าคุณเลย มาคุยกันต่อมา”
เสียงแซวปลุกพฤหัสออกจากภวังค์หวาม แล้วหันหลังกลับมาเพื่อเผชิญกับความจริงอันน่าเจ็บปวด รอยยิ้มของจองฤกษ์คือรอยยิ้มแห่งผู้เป็นเจ้าของสิ่งล้ำค่าที่สุดในโลก และยิ้มนั้นก็เหมือนหยันเขาอยู่!
พฤหัสฝืนยิ้มระรื่น แม้จะเฝื่อนฝืนขื่นขมอยู่ข้างใน
“ทำไมคุยเสร็จเร็วนักล่ะ กลัวค่าโทรศัพท์แพงเหรอะ?”
“ใช่สิวะ โทร.มือถือนี่ อีกอย่างเขาโทร.มาถามปัญหา ไม่ได้โทร.มาเจ๊าะแจ๊ะ เพราะเมื่อค่ำเจ๊าะแจ๊ะกันจนอิ่มแล้ว”
“ไม่ติดโทรศัพท์บ้านล่ะ จะได้คุยกันยาวๆ ”
“สั่งไว้แล้ว กำลังจะมาติดตั้งในวันสองวันนี้แหละ”
พฤหัสคอตก จองฤกษ์มีเงินเหมือนผู้ใหญ่ แถมเก่งกาจขนาดเป็นครูเจ้าหล่อนได้ นี่ยังไม่นับลีลาคมคายเร้าใจในสนามแบดที่สาวๆ เห็นแล้วอยากกรี๊ดอีกต่างหาก ถ้าเปรียบเขาเป็นเจ้าชายผู้หาญกล้าเข้าไปชิงตัวเจ้าหญิง เจ้าเพื่อนยากผู้นี้ก็คือมหามังกรร้ายที่ยืนขวางเป็นกำแพงยักษ์ ไม่มีทางเอาชนะได้ด้วยหอกดาบธรรมดาเป็นแน่
เชิดหน้าขึ้น ปลุกปลอบขวัญและให้กำลังใจตนเอง ต้องมีทางเอาชนะสิน่า...
“เมื่อกี้คุยค้างกันไว้ ทรายพูดถึงกูว่ายังไงมั่งนะ?”
“เขาเห็นมึงเป็นพวกฟันแล้วทิ้งง่ายๆ และเขาก็ไม่อยากให้มึงมายุ่งกะพี่สาวเขา... ชัดไหม?”
“ไม่ยุ่งกะพี่สาวเขาแล้วจะให้ทำไง ไปยุ่งกะเขาแทนงั้นหรือ?”
พฤหัสแหย่แบบทีเล่นทีจริง จองฤกษ์ส่ายหน้ายิ้มแบบเซียนที่รู้ว่าตนถือไพ่เหนือ
“มึงไม่ใช่สะเป๊กของเขาหรอก”
“แล้วสะเป๊กของเขาเป็นยังไง?”
“ไหนคุยว่าเชี่ยวเรื่องหญิงไม่ใช่เหรอ? ลองเดาดูซี่”
“ของมันต้องคุยกันซักระยะหนึ่งเว้ย”
“แต่ก่อนเห็นปุ๊บรู้ปั๊บนี่”
“ผู้หญิงบางคนก็อ่านยาก ต้องใช้เวลาหน่อย อย่างมึงจับจุดทรายถูกก็เอาไป”
จองฤกษ์ขยับตัวนั่งตรงเพื่อพูดเป็นงานเป็นการ
“ต่อย... ทรายทำให้กูได้แง่คิดอย่างหนึ่ง คือเราคบใคร ก็เท่ากับคบความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น กูขอพูดอย่างเพื่อน ไม่ใช่หาเรื่องด่าเล่น ตัวมึงน่ะ คือความเป็นไปได้ของความเจ็บปวดสำหรับผู้หญิง... ทรายเขาอ่านออก
๒๕๖
ตั้งแต่แรกพบ และเขาก็อดห่วงพี่สาวไม่ได้พอเห็นมึงมาเกาะแกะ เข้าใจไหม?”
ร้านอาหารอีสานแห่งนั้นตั้งอยู่ริมบึงสงบในซอยแห่งหนึ่ง พฤหัสกับเพื่อนร่วมโต๊ะอีกสองคนนั่งกินเบียร์และกับแกล้มอย่างเอร็ดอร่อยที่โต๊ะหัวมุมริมบึง หนึ่งในเพื่อนร่วมโต๊ะเป็นเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกัน หน้ายังใสและมีเสน่ห์ดึงดูดสาวพอๆ กับพฤหัส แต่อีกคนมีอาวุโสสูงกว่า และอาจอ่อนด้อยเรื่องเสน่ห์ดึงดูดเพศตรงข้ามกว่าวัยรุ่นหนุ่มทั้งสอง เพราะเริ่มปล่อยเนื้อปล่อยตัวให้อ้วนฉุ แม้หน้าตาพอมีเค้าความหล่อเหลาในอดีตอยู่บ้างก็ไร้ความหมาย เรียกว่ากินบุญเก่าเกือบหมดสิ้นแล้ว หาปิ๊งใหม่ด้วยหน้าตาอย่างเดียวไม่ได้แล้ว
ฉาดฉานเป็นเพื่อนร่วมโรงเรียนของพฤหัส ส่วนสิงคารเป็นอาของฉาดฉาน อาหลานคู่นี้สนิทกันมาก กินเหล้าและเที่ยวด้วยกันเป็นเงาตามตัว และนั่นก็พลอยทำให้พฤหัสสนิทกับสิงคารไปด้วย
เหตุหนึ่งที่ทำให้เขาชอบคุยกับสิงคารคือความรอบรู้สารพัดเล่ห์เหลี่ยมกลโกงของฝ่ายนั้น ยิ่งรู้มากขึ้นเท่าไหร่ใจพฤหัสก็ยิ่งเห็นดีเห็นงามตาม และมองว่าเป็นมนุษย์นั้นทันคนเพื่ออยู่รอดอย่างเดียวไม่พอ ต้องฉลาดเป็นกรดเพื่อความได้เปรียบด้วยจึงจะแปลว่าเก่ง
จากการคุยแบบเปิดอกเป็นกันเองเต็มเหนี่ยวตอนเมาหรือใกล้เมา ทำให้พฤหัสได้ทราบว่าสิงคารผ่านชีวิตวัยหนุ่มอย่างโชกโชน เผชิญคน เผชิญภัย เผชิญโชคมาหลายรูปแบบ ที่ทำให้เขาทึ่งคือความสามารถในการเรียนจบปริญญาตรีด้วยวิธีอาศัยความเป็นชายทำให้คนระดับสูงของสถาบันศึกษาติดใจ และปล่อยให้จบทั้งที่ไม่ควรจบ นั่นทำให้เขานึกอยากเอาอย่างบ้าง
เป็นเรื่องเล่าสนุกปากในวงเหล้าเสมอเกี่ยวกับพฤติกรรมใช้ผู้หญิงทำประโยชน์ สิงคารเป็นพวกมุขเยอะ เหลี่ยมจัด แล้วก็มีอารมณ์ขัน เข้ากันได้ดียิ่งกับหลานๆ ซึ่งวัยห่างกันเกือบสิบห้าปี พอใครเล่ามุขเด็ดใดมา คนที่รับฟังก็จะเกิดแรงบันดาลใจ มีความกระตือรือร้นในการหลอกใช้ผู้หญิงทำประโยชน์ให้ตนยิ่งๆ ขึ้นไป
“ทำไมวันนี้ดูเซ็งๆ เนือยๆ ชอบกลวะต่อย?”
ฉาดฉานทักในนาทีหนึ่งเมื่อพบว่าพฤหัสนั่งเงียบฟังเขากับสิงคารคุยกันพักใหญ่ พฤหัสเลิกคิ้วสูงถาม
“หือ... เหรอ?”
“เออซีวะ ก้มหน้าก้มตากินกับกินเหล้าเหมือนคนอกหัก!”
ฉาดฉานยักคิ้วตอบก่อนกระดกเบียร์เข้าปาก มาดเท่แบบวายร้ายหน้าหยกที่คมคายไปทุกอากัปกิริยา
“อกหักอกเหิกอาราย คนอย่างกูเนี่ยนะ?”
“คนอย่างไหนมันก็อกหักได้ทั้งนั้นแหละ” ฉาดฉานเอ่ยยิ้มๆ “ถ้าอกหักก็ไม่ต้องทำเป็นรักษาฟอร์มกับเพื่อนหรอกน่า”
“โอ๊! มึงนี่” กลิ่นเบียร์ในปากและลมหายใจทำให้พฤหัสพูดแบบไม่ค่อยคิดนัก “กูกำลังหนีผู้หญิงอยู่คน ตามตื๊อไม่เลิก อยากให้หายไปจากชีวิตกูต่างหาก”
สิงคารกับฉาดฉานเหลียวหน้ามองตากัน สิงคารเป็นฝ่ายหันกลับมาเอ่ยถาม
“ทำไมล่ะ เนื้อไม่หวานแล้วเหรอะ?”
“หวานน่ะหวานอยู่ อามู่ แต่...”
๒๕๗
“แต่อะไร?”
“มีที่หวานกว่า แต่ยังไม่ได้ชิม”
สิงคารกับฉาดฉานหัวเราะเบาๆ
“มุขบอกเลิกมีเยอะแยะ เอ็งก็ไถตังค์ใช้สิ แค่ครั้งสองครั้งก็เผ่น”
“มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะซีอามู่ แบบว่าเขารู้จักกับปิ๊งใหม่ของผมด้วย เป็นญาติกัน ถ้าปิ๊งใหม่เกิดรู้ขึ้นมาว่าญาติเขาเสร็จผมแล้วก็จบเลย”
พฤหัสรู้สึกปลอดภัยที่จะระบายความอัดอั้นตันใจ เขาเห็นสิงคารกับฉาดฉานเป็นมิตรแท้ พึ่งพาอาศัยกันได้บอกความลับได้ แตกต่างจากจองฤกษ์ที่เหมือนแข่งกันในทีอยู่ตลอดเวลา
“มีรูปให้ดูไหม?”
พฤหัสควักมือถือออกจากกระเป๋ามาเปิดให้เพื่อนร่วมโต๊ะยล เขากำลังอยู่ในอารมณ์เซ็ง จึงไม่สังเกตนักว่าสิงคารและฉาดฉานให้ความสนใจผิดปกติ
“กูรับช่วงต่อไหมล่ะ?”
ฉาดฉานเสนอตัว เพราะแค่ใบหน้าอเวราอย่างเดียวก็เร้าความคิดให้อยากผิดศีลธรรมได้อย่างแรงกล้าแล้ว จะเคยเป็นเมียเพื่อน หรือกำลังเป็นเมียเพื่อนอย่างไรไม่อยากสน
พฤหัสหัวเราะหึหึ
“สำหรับมึงน่ะ กูมีเตรียมส่งต่อไว้ให้แล้วคนหนึ่ง แต่รายนี้... ที่กลุ้มๆ ก็เพราะอีเป็นญาติกะปิ๊งใหม่ไง วันหนึ่งก็ต้องปูดเรื่องของกู ทำให้ภาพกูเสียหาย”
“แปลว่ามึงแคร์คนใหม่มาก?”
พฤหัสเก็บมือถือใส่กระเป๋า เอียงคอเล็กน้อย อยากบอกว่าปิ๊งใหม่ของเขาคือรักแท้ เสียแต่ว่าสังคมของเสือไม่มีคำว่ารักแท้ คำว่ารักแท้เป็นเรื่องตลก ถ้าใครเอ่ยจากปากจะถูกเย้ยหยันว่าบ้า เหลวไหล สติฟั่นเฟือนไปชั่วขณะ เขารู้ดีและเคยเหยียดหยามคนอื่นมานักต่อนัก
“เอาเป็นว่า... ถ้ายังไม่ได้มา ก็คาใจไปจนตาย”
ตอบแบบออมเสียง ฉาดฉานฟังแล้วยิ้มเฉียง หันไปสบตาอย่างมีนัยกับสิงคารอีกครั้ง
“สรุปคืออยากให้ก้างขวางคอหลุดไปจากคอจริงๆ ?”
“เออ!”
“ยายคนที่เป็นก้างนี่ชื่ออะไร? จะได้อ้างอิงถูก”
สิงคารถามด้วยท่าทีสุขุม
“ชื่อเค้ก”
“โฮ่! ชื่อน่าหม่ำ”
“เนื้อตัวก็น่าหม่ำด้วยแหละอามู่”
ฉาดฉานใช้ส้อมจิ้มเนื้อย่างเข้าปาก ถามทั้งเคี้ยวตุ้ย
“งั้นไม่หม่ำให้เบื่อเสียก่อนล่ะ?”
๒๕๘
“กว่าจะเบื่อจานเก่า จานใหม่ก็ไม่สดแล้วมั้ง”
ตอบตามลีลาอันควร แต่ใจกลับคิดอีกอย่าง คือไม่อยากทนอยู่กับความจริงที่ณชะเลไม่ใช่สมบัติของเขา ไม่อยากทนรับรู้ว่าเนื้อคู่ของเขากำลังตกอยู่ในมือคนที่ตนหมั่นไส้ขึ้นทุกวัน
“พ่อแม่ทำงานอะไรเหรอ? หนูเค้กคนนี้”
สิงคารซัก พฤหัสชักสะดุดหูกับคำถามทะแม่งๆ นั้น แต่ก็ยังคงตอบแบบไม่คิดอะไรมาก
“ก็พนักงานบริษัทมั้ง ท่าทางคงไม่ได้ใหญ่โตอะไร ดูจากสภาพบ้าน”
หนุ่มใหญ่ผงกศีรษะราวกับรับฟังคำตอบที่ถูกต้องตรงใจ
“แล้วหนูเค้กเองล่ะอยู่โรงเรียนอะไร?”
“อ๋อ... อีทำงานแล้วอามู่ ประมาณเลขาฯผู้จัดการอะไรสักอย่าง”
“โอ้!” ฉาดฉานร้องเบาๆ “คั่วรุ่นพี่ด้วยโว้ย อายุเท่าไหร่ หนังเหนียวหรือยังล่ะนั่น?”
“ยังไม่เบญจเพสเล้ย ทุกอย่างยังเหมือนสาววัยรุ่น”
“ได้ไถตังค์ใช้บ้างหรือเปล่า?”
“ก็มีบ้าง” พฤหัสตอบแบบไม่อายกัน เพราะทำๆ กันเป็นปกติอยู่แล้วในวงนี้ “แต่กูไม่มีเจตนาหารายได้หรอกเอาไว้หาความสุขอย่างเดียวมากกว่า เพราะอีก็ไม่ได้รวยอะไรนักหนา”
“แปลว่าถ้าหายไปจากชีวิต มึงก็ไม่เดือดร้อน?”
“อือ”
“ถอดเสื้อผ้าแล้วเป็นไง?”
“ระดับน้ำลายฟูมปากทันทีที่เห็น”
ฉาดฉานพยักหน้า เพราะต่างเชื่อมือ เชื่อสายตากัน ไม่มีการอำ ไม่มีการโม้เกินจริงอยู่แล้ว
“ต่อย...” สิงคารถามเสียงแผ่วลงพอได้ยิน “เอ็งอยากมีเงินใช้สักสี่แสนไหม?”
คราวนี้พฤหัสเริ่มสำเหนียกชัดถึงเรื่องไม่ชอบมาพากลและอยากหยุดคุยในทันที แต่วูบแห่งความรู้สึกต่อมา คำว่า ‘สี่แสน’ เริ่มแปรเป็นสัญญาณภาพในหัวที่ทรงความหมาย เกิดมาเขาไม่เคยแตะเงินมากขนาดนั้น แม้เคยพยายามเอื้อมคว้ารางวัลหลักแสนจากการประกวดหุ่นหรือประกวดเสียง เขาก็ต้องฝ่าฟันกองทัพคนหล่อ เสียงดี มีเส้น ที่แห่แหนแข่งขันคว้าดวงดาวกันอย่างมืดฟ้ามัวดิน จนหมดโอกาสแม้แต่เข้ารอบ ๕ คนสุดท้าย
พฤหัสนึกถึงจองฤกษ์ เคยถามหมอนั่นแบบแย็บๆ เหมือนกันว่ามีเงินอยู่ในธนาคารเท่าไหร่ เจ้านั่นดันเงียบแก้มตุ่ย อมไว้ไม่ยอมบอก ปล่อยให้เขาเดาว่าคงต้องมีอยู่หลาย เผลอๆ อาจเหยียบล้าน มิฉะนั้นจะซื้อบ้านอยู่แถมซื้อโน้ตบุ๊กเป็นแสนให้แฟนได้อย่างไร
น่าเจ็บปวดตรงที่มันทำได้ แต่เขายังทำไม่ได้!
“จะให้ผมทำอะไรเหรออามู่?”
พยายามบังคับเสียงให้คงที่ แต่ปลายประโยคไม่วายพร่าด้วยความตีบตันในลำคอ
“อาเพิ่งจับธุรกิจใหม่ นี่ไอ้ฉานก็เพิ่งช่วยอามาครั้งหนึ่ง”
ฉาดฉานยักคิ้วและช่วยพูดด้วยเสียงที่คุมให้ดังแค่อยู่ในเขตโต๊ะ
๒๕๙
“งานง่าย เงินก้อนโตอย่างคาดไม่ถึงเลยมึง”
พฤหัสกระเดือกน้ำลายแทบไม่ลง สายตาสองคู่ที่ฝั่งตรงข้ามมีแววเลือดเย็นอย่างน่าขนหัวลุก เขาเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันจากความคิดสามานย์ แม้ฉาดฉานกับสิงคารยังดูหน้ายิ้มๆ และนั่งนิ่งๆ เหมือนคุยกันเป็นปกติธรรมดา แต่ก็ให้ความรู้สึกผิดแปลกแตกต่างจากมนุษย์มนาอย่างบอกไม่ถูก
“เดี๋ยวสั่งพล่ากุ้งอีกจานดีกว่าว่ะ ร้านนี้ทำอร่อยดี”
พฤหัสพยายามเปลี่ยนเรื่องพูดและทำทีกวักมือเรียกเด็กในร้าน
“ต่อย...” สิงคารยิ้มเยือกเย็นอย่างเห็นใจเด็กอ่อนเดียงสาที่ยังปอดกระเส่ากับธุรกิจค้ามนุษย์ “ไม่ต้องให้คำตอบอาเดี๋ยวนี้หรอก เอากลับไปคิดดูก่อน หลังๆ ต่อยชอบถามไม่ใช่เหรอว่าทำไมอากับไอ้ฉานมีเงินซื้อโน่นซื้อนี่เยอะนัก อากำลังให้คำตอบเอ็งอยู่เดี๋ยวนี้ไง ถ้าเอ็งใจถึงหน่อยก็จะมีอย่างอามั่ง เอาไหมล่ะ?”
อ่านต่อตอนที่ ๓๐ >>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น