วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กรรมพยากรณ์ ตอนเลือกเกิดใหม่ (ตอนที่ ๒๔ อิทธิบาท)

<ย้อนกลับอ่านตอนที่ ๒๓
ตอนที่ ๒๔ อิทธิบาท
พฤหัสสั่งน้ำดื่มแก้วเดียว จึงมานั่งที่โต๊ะเร็วกว่าคนอื่น เขาชำเลืองแลณชะเลไม่วางตา แม้ยืนหันหลังให้เขาพฤหัสก็ได้เห็นอารมณ์หวานรื่นที่หล่อนมีต่อจองฤกษ์ถนัด เดิมทีเขาไม่เชื่อสนิทนักว่าระดับนั้นจะยอมรับจองฤกษ์เป็นแฟนจริง ทว่าบัดนี้จำต้องกัดฟันเชื่อ จองฤกษ์ไม่เพียง ‘จีบติด’ แต่ยังทำให้เจ้าหล่อนหลงใหลได้ปลื้มเอามากอีกด้วยประมาณว่ายอมเป็นฝ่ายทอดแขนเกี่ยวคอแฟนหนุ่มโน้มมาจุมพิตตนด้วยความพิศวาสลึกซึ้งได้แล้ว ทำนองนั้น
นั่นเป็นเรื่องเหลือเชื่อในสายตาของเขา อาจจะเพราะเขาไม่เคยพินิจจริงจังว่าจองฤกษ์มีเสน่ห์ในตัวอย่างไรบ้างแค่เห็นว่าไม่หล่อ สังคมแคบ พูดกับผู้หญิงไม่เป็น เอาแต่ก้มหน้าก้มตาอยู่กับคอมพิวเตอร์หน้าดำคร่ำเครียดทั้งวัน ก็ตัดสินแล้วว่าหมดสิทธิ์จีบหญิงติด อย่าว่าแต่สาวสวยเลย กะแค่หน้าตาพื้นๆ ดาษๆ ก็ยากเต็มกลืน
มองมุมใหม่ในวันนี้ เขาเห็นใครอีกคนที่มีความเฉียบคม ปราดเปรียว และแข็งแกร่ง คุณสมบัติเหล่านั้นอาจทำให้ผู้หญิงใจอ่อน อยากได้มาเป็นองครักษ์พิทักษ์หัวใจโดยไม่ต้องทำศัลยกรรมใบหน้าเสียก่อน
จะอย่างไรก็ช่างเถอะ ยามนี้เมื่อเฝ้าลอบมองจองฤกษ์ยืนคู่กับณชะเลอย่างชื่นมื่นแล้ว พฤหัสก็ไม่รู้สึกอะไรอื่นมากไปกว่าเห็นไอ้เพื่อนเวรนี่แย่งเมียเขาไป!
ปกติคิดๆ ฝันๆ เกี่ยวกับผู้หญิงคนไหน พอเจอตัวจริงสมฝัน ก็เหลือแต่ความอยากฟันเป็นหลักแต่กับณชะเล มีกระแสบรรยากาศบางอย่างที่ละม้ายยังฝันอยู่ เขาเลิกพยายามทำความเข้าใจกับความลึกลับของอารมณ์ตน แต่หันมาพยายามคิดวางแผนแล้วว่าจะทำอย่างไรอารมณ์ฝันตนจึงจะเป็นจริงถึงจุดยอด!
ละอองฝนเดินนำจานพายสับปะรดกับน้ำส้มมานั่ง หล่อนยิ้มให้เขาบางๆ และพฤหัสก็ยิ้มตอบในแบบที่สาวเห็นแล้วแทบทรุดทั้งยืนมาหลายร้อยราย
“หายเหนื่อยหรือยังครับฝน?”
ขานชื่อหล่อนอย่างสนิทสนม
“ยังเพลียอยู่เลยอ้ะ นานๆ ออกกำลังจนเหงื่อท่วมอย่างนี้ที ท่าทางต่อยไม่เหนื่อยเลยนะคะ”
“เล่นประจำก็เหนื่อยยากหน่อยครับ ชินแล้ว พวกเราน่าจะมาเล่นกันอีกบ่อยๆ ผมกับฤกษ์มาที่นี่เป็นประจำเลย”
“ไม่เข็ดที่จะเล่นคู่ฝนเหรอ?”
“โอย! ไม่เลย! เล่นเอาสนุก แล้วพวกเราก็ได้ความสนุกกันแล้วไง อีกอย่างนานๆ ได้เล่นคู่ รู้สึกดีไปอีกแบบ ผมชอบบรรยากาศร่วมทีมกัน เหมือนมีส่วนขยายของเราแตกออกไป แพ้ด้วยกัน ชนะด้วยกัน”
มายาการในสายเลือดทำให้ไม่ต้องฝืนกัดฟันพูดแม้แต่น้อย ทั้งที่เมื่อครู่คับแค้นแทบอยากบีบคอหล่อนเขย่าๆ
“ได้ออกกำลังกายก็รู้สึกสดชื่นเหมือนกันนะ”
ละอองฝนเอ่ยคล้ายตอบรับอยู่ในที และนั่นก็ทำให้พฤหัสตาสว่าง สาวน้อยนางนี้จะเป็นใบเบิกทางสำคัญ ปรายตาดูนิดเดียวก็รู้แล้วว่าเจ้าหล่อนเป็นอีกหนึ่งในบรรดาหญิงงามที่ติดแร้วเสน่ห์ของเขาเข้าอย่างจัง
“รู้จากฤกษ์ว่าบ้านฝนอยู่ใกล้นิดเดียว”
“ใช่ เดินไปหน่อยก็ถึงทางเข้าหมู่บ้านแล้วค่ะ” แล้วหล่อนก็เปรย “ต่อยกับฤกษ์ท่าทางต่างกันมากนะ มาสนิทกันได้ยังไง?”
“ตอนมัธยมต้นเคยเล่นแบดคู่ให้โรงเรียน ก็สนิทตั้งแต่นั้น อีกอย่างคบๆ ไปแล้วมีอะไรหลายอย่างที่ทำให้
๒๐๙
ผูกพันกว่าเพื่อนคนอื่นด้วย”
ขยักไว้ไม่แถลงไขให้กระจ่างแจ้งว่าถ้าไม่มีความผูกพันดังกล่าว ป่านนี้เขาคงสอบตกไปหลายวิชา
“ได้ยินว่ากีฬาทำให้ผู้ชายเป็นเพื่อนรักเพื่อนแค้นและผูกพันกันมากกว่าเพื่อนทั่วไป”
ละอองฝนเดาเช่นนั้น พฤหัสหัวเราะเอื่อยๆ รูปร่างหน้าตาสาวน้อยนางนี้มองเพลินใช้ได้ แต่เขาก็เริ่มเลียบเคียงเข้าหาเป้าหมาย
“ฝนกับทรายท่าทางสนิทคุ้นเคยกับเจ้าฤกษ์ดีนะ เหมือนคบหามานาน”
“แฟนคนแรกของทรายน่ะ ฝนเพิ่งเห็นหน้าครั้งแรกไม่กี่อาทิตย์ก่อนนี่เอง พูดคุยทักทายกันแค่สองสามคำ”
เกือบเสริมด้วยแล้วว่านับคำมาถึงบัดนี้ หล่อนคุยกับพฤหัสมากกว่าจองฤกษ์เสียอีก!
“เหรอ! ทรายก็เป็นแฟนคนแรกของฤกษ์เหมือนกัน” พฤหัสทำเสียงตื่นเต้นตาโตหน่อยๆ “ฤกษ์มีอะไรก็เล่าสู่กันฟังกับผมตลอด เจ้าเพื่อนคนนี้มีอะไรพลิกความคาดหมายของเพื่อนฝูงได้เป็นระยะ เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนเก่าสมัยประถมกับทรายใช่ไหม?”
ละอองฝนพยักหน้า
“ฝนก็เรียนอยู่โรงเรียนเดียวกับเขานั่นแหละ แต่ตอนเด็กๆ ไม่ค่อยเห็นหรือไม่ค่อยสังเกตกันเท่าไหร่ ทรายบอกว่าช่วงนั้นฤกษ์เป็นคนเงียบมาก เก็บเนื้อเก็บตัวตลอด เลยไม่เด่น”
“เดี๋ยวนี้ก็ยังเก็บตัว ผมต้องคอยต้อนมันออกมาดูเดือนดูตะวันเสียบ้าง” แล้วเขาก็ทำทีคล้ายลังเลว่าจะพูดดีไหม“ความจริงผมเคยพยายามแนะนำสาวๆ ให้ฤกษ์หลายคนเหมือนกันนะ แต่เหลวตลอด ไม่นึกว่ามันจะหาได้เองอย่างนี้ มีสักกี่คู่ที่เป็นเพื่อนเก่าสมัยประถมแล้วเวียนกลับมาพบเจอกันอีก แถมลงเอยได้เป็นแฟนกันเสียด้วย”
“ก็น่าระทึกทีเดียวล่ะกับวิธีเจอกันอีกครั้ง บางทีชะตาลิขิตของแต่ละคู่ก็น่าสนุกเหมือนใครแกล้งจัดฉากไว้ มีอย่างที่ไหน เพื่อนเก่าวิ่งหนีนักเลงมาจนตรอก ต้องปีนบ้านมาเจอกันได้อย่างนี้”
พฤหัสหูผึ่ง นั่นเป็นข้อมูลสุดจะน่าทึ่งชิ้นใหม่ แต่ก็หัวเราะเรื่อยเฉื่อยแบบทำตัวเป็นคนสนิทที่ไม่เคยตกข่าว รู้เห็นความเป็นไปของเพื่อนซี้ทุกอย่าง
“นั่นน่ะซี ดีเท่าไหร่ที่คุณพ่อของฝนไม่เอาปืนลูกซองส่องเข้าให้”
“ตอนนั้นออกไปธุระข้างนอกกันหมด แม้แต่คนใช้ก็ไม่อยู่ ทรายนั่งคนเดียวที่ซุ้มชิงช้า มีหมาตัวกะเปี๊ยกอยู่เป็นเพื่อน โรแมนติกซะไม่มี ตอนนี้มาสอนคอมพ์ทรายที่บ้านทุกวันเลยด้วย”
พฤหัสย่นคิ้วนิดๆ รอยยิ้มลดลงด้วยความสงกาว่าอะไรมันจะลงตัวได้ขนาดนั้น
วันที่จองฤกษ์ปีนบ้าน ก็คงเป็นวันที่มาเล่นแบดกับเขาแล้วเขาขอแยกตัวกลับก่อนนั่นเอง ทำไมวันนั้นเขาถึงไม่อยู่ต่ออีกสักนิด ขอเพียงเจอะเจอณชะเลพร้อมกัน จองฤกษ์จะไม่ได้แซงหน้าเขามาถึงขั้นนี้ได้เลย ให้ตายเถอะ!
อยากหาทางเลียบเคียงซักไซ้ต่อ แต่ก็เห็นเงาของเจ้าตัวอันเป็นเป้าสนทนากำลังเคลื่อนใกล้เข้ามาพอดี เห็นเดินคู่เคียงกับเจ้าหญิงในฝันของเขาแล้วรู้สึกบาดเจ็บปวดแสบปวดร้อนเหลือเกิน!
“กำลังคุยอะไรกันเหรอฝน?” จองฤกษ์ถามยิ้มๆ “ถ้ามันนินทาอะไรเรา ช่วยเก็บไว้บอกต่อด้วยนะ เราจะได้เช็กบิลล์ถูก”
“คนสมัยนี้เป็นโรคขี้ระแวง” พฤหัสพยักพเยิดยิ้มกับละอองฝน “สงสัยมีความผิดติดตัวเป็นชนักปักหลังอยู่มาก
๒๑๐
เลยกลัวคนอื่นเขาจะนินทากาเล”
ละอองฝนหัวเราะในลำคอ
“เมื่อกี้ต่อยบอกว่าทรายกับฝนควรจะเล่นกีฬาให้สม่ำเสมอ” แล้วหล่อนก็หันไปทางน้องสาว “ความจริงก็ดีเหมือนกันนะ บ้านเราอยู่ใกล้สนามแบดนิดเดียว แต่ไม่เคยมาเล่นกันเลย พวกนี้เขาอุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล”
“เราเล่นสู้พวกเขาไม่ได้หรอก”
ณชะเลพยายามพูดบ่ายเบี่ยงเพื่อเลี่ยงการผูกสัมพันธ์ระยะยาวกับพฤหัส เพราะรู้สึกว่าถ้าพฤหัสจะคบกับละอองฝน เขาก็คงมองพี่สาวหล่อนด้วยสายตาของเด็กที่เห็นของเล่นชิ้นใหม่เท่านั้น
“ให้หนุ่มๆ สอนเราก็ดีนะ ท่าทางเบสิกแต่ละคนแน่นปั๋งเลย เห็นว่าเคยแข่งให้โรงเรียนด้วยล่ะ”
ละอองฝนไม่วายแสดงความกระตือรือร้นออกนอกหน้า ณชะเลปรายหางตาเหล่พฤหัสหน่อยหนึ่ง เผลอแป๊บเดียวท่าทางหมอนี่กรุยทางไปได้เยอะแล้ว
“น่าทึ่งนะ…” เด็กสาวเบนหน้ามาทางแฟนหนุ่มเป็นการเบี่ยงประเด็น “เธอนี่เก่งรอบตัวไปหมด ทั้งเรื่องเรียนเรื่องกีฬา สงสัยคงทำกรรมมาดี”
พอพูดเข้าเรื่องกรรมอันเป็นเบื้องหลังความเก่ง ละอองฝนก็ร่วมให้ความสนใจในทันที
“นั่นสิ เอาที่เห็นๆ ในชาตินี้ เธอว่าเธอทำอะไรมั่งถึงได้เก่งไปหมด?”
จองฤกษ์รู้สึกราวกับใครเอาลมมาปั๊มใส่อกให้พองเป็นลูกโป่ง
“ก็…” พยายามยิ่งที่จะเก็บอาการยืด แต่เก็บอย่างไรก็ไม่แนบเนียนนัก “เราแค่ทุ่มสุดตัวกับสิ่งที่สนใจ”
ณชะเลพยักหน้าน้อยๆ
“อือม์… ‘ทุ่มสุดตัว’ นี่ก็คืออิทธิบาท ๔ เต็มขั้นนั่นเอง”
สองหนุ่มฟังแล้วงงๆ แม้จะคุ้นว่าเคยได้ยินมาก่อนอยู่บ้าง แต่ก็นึกไม่ออกว่าคืออะไร
“เป็นยังไงเหรอ?”
จองฤกษ์อมยิ้มถาม
“ก็เป็นอย่างที่เธอว่าเธอทุ่มสุดตัวนั่นแหละ ทุ่มสุดตัวของเธอเป็นยังไงล่ะ?”
“อือม์… ก็… ถ้าเราติดใจอะไร เราก็จะอยู่กับมันได้ทั้งวันทั้งคืนด้วยความสนุก แล้วก็คิดๆ ๆ ถึงมันอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจะได้สิ่งที่ต้องการ”
“เรียกว่าเป็นคนยอมลงทุน ลงแรง ลงเวลาชนิดเทหมดหน้าตักเพื่อได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ”
แฟนหนุ่มผงกศีรษะรับและเสริมว่า
“อีกอย่างหนึ่งคือเป็นคนชอบทางลัด เราจะตื่นเต้นเป็นพิเศษถ้าเป็นคนค้นพบทางลัดได้ก่อนใคร ถ้าเหมือนเล่นกลได้ก็ยิ่งสนุกเลย”
“ทรายก็เห็นอยู่นะว่าฤกษ์หลงใหลคลั่งไคล้มายากลเป็นพิเศษ”
สองหนุ่มสาวสานตายิ้มๆ อย่างรู้กัน และจองฤกษ์ก็เผยว่า
“ตอนเด็กๆ เราขนซื้ออุปกรณ์มายากลจนแทบไม่เหลือเงินไว้กินขนม หมกมุ่นกับมันอยู่ช่วงหนึ่ง จำได้ว่าอยากทำอาชีพแหกตาชาวบ้านอย่างถูกกฎหมายมากเลย”
๒๑๑
“มิน่าล่ะ กูถึงรู้สึกว่ามึงเป็นคนเจ้าเล่ห์ พลิกแพลงเก่งมาตลอด”
พฤหัสเห็นช่องตัดคะแนนเพื่อนด้วยสำเนียงสัพยอกหยอกเล่น ละอองฝนมองจองฤกษ์นิ่งๆ มาครู่หนึ่ง พอถึงจังหวะนั้นก็เอ่ยอย่างที่ใจนึก
“มายากลทำให้คนเราคิดอย่างที่คนอื่นไม่คิด มองอย่างที่คนอื่นไม่มอง แล้วด้วยวิธีของมายากล ก็ทำให้คนธรรมดาคนหนึ่งเหมือนกลายเป็นผู้วิเศษขึ้นมา ทั้งที่ไม่ได้มีอำนาจเหนือมนุษย์อื่น ฝนว่าคนเราชอบมีฤทธิ์ แล้วก็ชอบดูการแสดงฤทธิ์ อาชีพผู้วิเศษกำมะลอถึงได้รุ่ง”
“แต่ทรายเคยเห็นมาแล้วนะ…” ณชะเลพูดกับพี่สาวแต่สายตาทอดจับแฟนหนุ่ม “ว่าความคิดแบบมายากล ก็กลายเป็นฤทธิ์เดช บันดาลให้เกิดเรื่องเหลือเชื่อขึ้นมาได้จริงๆ ”
“ทุกแวดวงถึงมีพ่อมดประจำวงการไง” ละอองฝนเออออ “อย่างเช่นแฮกเกอร์ก็คือพ่อมดในโลกของคอมพิวเตอร์ จริงไหมเอ่ย?”
พูดอย่างพอรู้เลาๆ ว่าจองฤกษ์เป็นแฮกเกอร์มือฉกาจ ขนาดช่วยปัดเป่าทุกข์ภัยให้กับณชะเลได้มาแล้ว ซึ่งแทนที่จองฤกษ์จะรู้สึกดีกับการเป็นเป้าแห่งความชื่นชมของสาวๆ เขากลับขยับตัวอย่างอึดอัด เพราะแม้เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กอย่างพฤหัสก็ไม่เคยระแคะระคายความเคลื่อนไหวใดๆ ในฐานะ ‘พ่อมดคอมพิวเตอร์’ ของเขามาก่อนเลย
“พ่อมดที่ไหนล่ะ เผลอจ้องคอมพ์ตาไม่กะพริบทีไร คนชอบว่าเราเหมือนตุ๊กตาผีดิบอยู่เรื่อย”
สองสาวหัวเราะคิกคักกับวิธีถ่อมตัวติดตลกของเขา
“ก็ใช่เนอะ” ละอองฝนเห็นด้วย “หลายคนนั่งจ้องคอมพ์นานๆ แล้วตาแห้ง ตัวแข็งทื่อเหมือนโดนคอมพ์ดูดวิญญาณไปจนเหลือแต่ซากจริงๆ ”
“โห! สงสัยต้องระวังตัวแล้วสิเรา ตอนนี้ทรายยิ่งติดใจคอมพ์ตามฤกษ์อยู่ด้วย”
“พอเริ่มติดใจ ก็เริ่มมีไฟอิทธิบาทจุดขึ้นเป็นดวงแรกไง” ละอองฝนให้กำลังใจ “เดี๋ยวพอไฟอิทธิบาทลุกขึ้นเต็ม๔ ดวง อีกหน่อยเธอก็มีฤทธิ์เป็นแม่มดคอมพิวเตอร์ตามแฟน”
คำพูดของละอองฝนสะดุดใจจองฤกษ์ เพราะรู้สึกว่ามีความจริงอยู่ในนั้น แม้จะยังมองเห็นเป็นเพียงภาพเลือนราง
“ฟังเหมือนอิทธิบาท ๔ เป็นหนทางของการได้ฤทธิ์เดชหรือเปล่า?”
“ใช่เลย!” ณชะเลเป็นคนตอบ “พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ชัดเจน ว่าอิทธิบาทคือแนววิธีเพื่อกระทำตนให้เป็นผู้มีฤทธิ์เฉพาะทาง ใครมีอิทธิบาทครบ ๔ ข้อเต็มขั้น จนจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิ ก็ได้ชื่อว่าถึงซึ่งความมีฤทธิ์ในทางนั้นๆอย่าง… เทียบดูแล้วก็ตรงกับความรู้สึกนะ ในสนามแบดฤกษ์เหมือนมีอำนาจวิเศษอยู่จริงๆ ลูกยากแค่ไหนก็ก้าวเท้าพรวดๆ ไปรับได้ แล้วบทจะตบก็ตบได้แรงราวกับยิงธนู…”
เกือบเติมท้ายว่าสาวเห็นแล้วเกิดอารมณ์กรี๊ด อยากส่งเสียงเชียร์ด้วยความตื่นตาตื่นใจ แต่เท่าทันเจตนาของตนเองยามนั้นว่าถ้าพูดตามที่คิด ก็คงเป็นไปเพื่อทำให้พฤหัสริษยาเพื่อนเล่น จึงยับยั้งไว้เสีย
ส่วนพฤหัส หลังจากเห็นสองสาวเทประกายตาชื่นชมไปให้จองฤกษ์คนเดียว ก็เกิดความอิจฉาจนก้นร้อน ต้องเปลี่ยนท่านั่งถึงสองหนในเวลาไล่เลี่ยกัน เกิดมาไม่เคยตกอยู่ในฐานะมนุษย์ล่องหนมาก่อน ปกติจะนั่งเป็นประธานใหญ่ฉายรัศมีฮ่องเต้ข่มหนุ่มอื่นอยู่เสมอ ไฉนคราวนี้จึงปล่อยให้มีไต้อ๋องมาเบียดบัลลังก์ได้เล่า?
๒๑๒
“ชักอยากเป็นพ่อมดขึ้นมามั่งแล้วซี” พฤหัสเปรยแบบเรียกร้องความสนใจ “จำได้ว่าเคยเรียนแต่ลืมแล้ว สี่ข้อของอิทธิบาทมีอะไรมั่งเหรอครับทราย?”
นั่นเป็นการส่งคำถามเพื่อขอเสวนากับณชะเลตรงๆ เป็นครั้งแรก ขานชื่อหล่อนเต็มเสียงเป็นครั้งแรก และหล่อนก็หันมาสบกับเขาเต็มตาเป็นครั้งแรกเช่นกัน ต่างฝ่ายต่างชะงักนิ่งไปนิดหนึ่ง ก่อนเด็กสาวจะเอ่ยตอบด้วยเสียงเรียบเฉย
“ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา”
พฤหัสเบิ่งตาค้าง ตีหน้าเหมือนเผอิญเจอแม่ชีพูดด้วย แล้วก็ฟังไม่รู้เรื่องจนต้องเอียงคอถามเสียงเอ๋อ
“แปลว่าอะไรอ้ะ?”
ณชะเลเกือบหัวเราะลีลาเหลอหลาน่าขันนั้น แต่รู้ว่านั่นเป็นวิธีย้อนเกล็ดตนที่พูดแต่บาลีล้วนๆ จึงต้องทำหน้าเฉยสนิทสืบต่อ
“ฉันทะแปลว่าพอใจ วิริยะแปลว่าความเพียร จิตตะแปลว่าฝักใฝ่ วิมังสาแปลว่าใคร่ครวญ จำง่ายๆ ว่ามีใจรักรู้จักพากเพียร เวียนใฝ่ใจ ใคร่ครวญเสมอ”
หล่อนเอาคำคล้องจองที่แม่ให้ไว้จำนิยามอิทธิบาท ๔ ง่ายๆ มาพูด
“เหมือนที่ฤกษ์บอกว่าชอบอะไรก็ทุ่มสุดตัวไง” ละอองฝนช่วยขยายความ “พอเกิดแรงบันดาลใจ ติดใจอะไรตรงนั้นคือเกิดฉันทะ พอมีกำลัง อยู่กับสิ่งนั้นได้ทั้งวันทั้งคืน ตรงนั้นคือวิริยะ พอเอาแต่คิดๆ ๆ ถึงแต่เรื่องที่สนใจไม่เลิกตรงนั้นคือจิตตะ พอค้นคว้าแสวงหาทางเอาสิ่งที่ต้องการมาให้ได้ มีการประเมินผล มีการคิดใหม่เมื่อของเก่าล้มเหลวหรือหาทางลัดเข้าถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น ตรงนั้นคือวิมังสา”
“โอเคเลย…” จองฤกษ์ฉีกยิ้ม “อย่างน้อยเราก็มีธรรมะอยู่บ้างโดยไม่รู้ตัว”
ณชะเลอธิบาย
“ศัพท์อย่างเช่น ‘อิทธิบาท’ แค่ทำหน้าที่แจกแจงความจริง แต่ไม่ใช่สิ่งที่ต้องท่องจำเป็นคำๆ เสียก่อนแล้วถึงจะเป็นคนมีอิทธิบาทได้ ตรงข้าม อย่างทรายรู้ความหมายของอิทธิบาท แต่ก็ไม่ได้มีไฟอิทธิบาททั้ง ๔ เจิดจ้าเท่าหนึ่งในร้อยของฤกษ์หรอก”
พฤหัสเผยอปากหน่อยๆ ชักรู้สึกแปลกแยกเหมือนแกะดำหลงเข้ามานั่งตรงใจกลางฝูงแกะสีตรงข้าม เกือบตอบตัวเองไม่ถูกว่ามานั่งอยู่ตรงนี้ทำไม
เธอคนนั้น…
เธอผู้เหมือนฝันที่เป็นจริง เธอสวยสดงดงาม เธอมีธรรมะ…
เจ้าข้าเอ๋ย! นี่เขาหันมานิยมผู้หญิงธรรมะธัมโมตั้งแต่เมื่อไหร่กัน? นั่นมิแปลว่าต้องปรับมุมมองตัวเองใหม่ล่ะหรือ แท้จริงแล้วอดีตชาติของเขาคงมีจิตวิญญาณที่สูงส่งแน่เลย จึงเคยมีโอกาสทำบุญร่วมกับเธอมา และดลใจให้ปรารถนาจะครองคู่อยู่ด้วยกันต่อไปอีกเรื่อยๆ
สลัดหน้าเล็กน้อยด้วยความมึนงงขึ้นมาวูบหนึ่ง ก่อนจับจ้องสาวน้อยฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง คราวนี้เขาเห็นใครคนหนึ่ง สวยแพรว มีแววหวานฉาย และสาดประกายเสน่ห์แรงพอจะทำให้คนมองหลงละเมอเพ้อไปว่าเป็นเนื้อคู่ของตนอย่างแน่แท้…
๒๑๓
ดูเหมือนเขายอมทำอะไรก็ได้เพื่อครอบครองหล่อน…
ไม่ใช่สิ… ถ้าตั้งใจครอบครองหล่อน เขาควรรู้ให้แน่ๆ ว่าต้องทำอะไร ไม่ใช่ยอมทำอะไรก็ได้!
เสียงคุยกันเรื่องธรรมะของเพื่อนร่วมโต๊ะทำให้ประสาทหูของพฤหัสหยุดทำงานไปชั่วขณะ และหันมาครุ่นคิดทบทวนรายละเอียดต่างๆ ทุกสิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าคือโจทย์ ขอเพียงตีโจทย์แตก เขาก็จะได้คำตอบที่ดีที่สุดในชีวิตเป็นรางวัล…
เสียงสัญญาณเรียกเข้าของมือถือดังขึ้น และณชะเลก็เป็นคนหยิบอุปกรณ์สื่อสารของตนขึ้นกดรับ
“ฮัลโหล… อือ… วันนี้ขี้เกียจไปอ้ะ… อ้าวเหรอ! เอออย่างนั้นไปก็ได้ เดี๋ยวทรายกลับไปอาบน้ำที่บ้านก่อน นี่มาตีแบดกับพี่สาว หยกมารับทรายที่บ้านหน่อยนะ ขอเวลาชั่วโมงเดียว”
เมื่อส่งสองสาวที่หน้าบ้านเรียบร้อย พฤหัสก็เอียงคอเหล่เพื่อนหนุ่มทันที
“ไง! มึงน่ะ เจอกูตัวๆ ให้จบๆ ไหม?”
จองฤกษ์แค่นยิ้มและเริ่มก้าวเท้าออกเดิน
“พูดอย่างกับจะท้าชก ไอ้เวร!”
พฤหัสยิ้มเกรียมๆ คิดในใจว่าอยากหาเรื่องท้าชกอยู่เหมือนกัน พ่อจะชกให้คว่ำข้าวเม่าเลยคอยดู โทษฐานดอดเอาเนื้อคู่ของเขาไปควงก่อนได้รับอนุญาต!
“มึงกลับไปสนามแบดกับกูเดี๋ยวนี้เลย กูกำลังเข้าฝักอยู่ดีๆ มึงก็เสือกชวนเลิก อารมณ์ค้างหมด พนันกันดีกว่าใครแพ้คลานสี่ตีนรอบสนามแบด”
ไม่ได้ชกหน้าด้วยหมัด ตบด้วยลูกขนไก่ไปเสียดแทงใจก็ยังดี เอาให้อายหมากันไปข้าง แต่จองฤกษ์กลับส่ายหน้าหัวเราะหึหึกับท่าทีโอหังของหมูไม่กลัวน้ำร้อน
“วันนี้เหนื่อยแล้ว อยากอาบน้ำมากกว่า”
“เฮ้ย! ทำไมใจเสาะอย่างนี้ล่ะ?”
“เอาน่า กูกำลังชุ่มชื่นหัวใจ ไม่มีแก่ใจทำอย่างอื่น”
คำพูดเจ้าเพื่อนยากคล้ายคาถาบิดไส้ พฤหัสถึงกับทำหน้าเหย
“กูจะอ้วก!”
“นี่แหละ เห็นไหมล่ะ ความริษยานั้นร้ายกาจขนาดไหน ถึงกับอ้วกทีเดียว ระวังของที่ขย้อนออกมาจะมีสีแดงเหมือนเลือดนาโว้ย”
ลักษณาการเดินทอดน่องอย่างคนอารมณ์ดี แต่มีวาจาทิ่มแทงของจองฤกษ์นั้น แทบเค้นให้พฤหัสรู้สึกเหมือนจะกระอักเลือดได้รำไร เด็กหนุ่มมือไม้สั่น ก้ำกึ่งอยู่ในระหว่างความคันหัวใจเล่นๆ กับอาฆาตแค้นอยากฆ่าคนขึ้นมาจริงๆจริงอย่างชนิดที่ถึงกับต้องขบฟันข่มอารมณ์เมื่อรู้สึกว่าตนชักเกิดวูบความคิดใหญ่เกินเหตุเสียแล้ว…
“ตกลงมึงจะกลับบ้าน?”
เสียงของพฤหัสผ่อนลง
“เดี๋ยวแวะอาบน้ำที่นี่ก่อน”
๒๑๔
“ที่ไหน?”
“มึงตามกูมาละกัน”
เดินมาจนถึงบ้านชั้นเดียวหลังหนึ่ง สภาพดี สีเพิ่งทาใหม่ ในพื้นที่กว้างพอจะมีสนามหญ้าผืนเล็กไว้ปูเสื่อนั่งเล่น แต่ไร้ต้นไม้ใหญ่ในอาณาบริเวณ จึงแลโล่งโถงเหมือนบ้านในโครงการเพิ่งเสร็จใหม่
พฤหัสทำตาโตเมื่อจองฤกษ์ควักกุญแจขึ้นมาไขเปิดประตู
“เฮ้ย!” ร้องหนักๆ ด้วยความตกใจ “บ้านใคร?”
ตกใจกับความบังเอิญเหลือเชื่อที่เพื่อนหนุ่มมีหลักแหล่งที่อยู่ใกล้บ้านแฟน อะไรจะประจวบเหมาะขนาดนั้นจองฤกษ์หัวเราะหึหึ ทีแรกเกือบจะโกหกว่าเป็นบ้านญาติ แต่เกิดนึกอยากลองพูดความจริงดูบ้าง
“บ้านกูเอง กูซื้อไว้อาบน้ำ”
พาเพื่อนเดินเข้าบ้านด้วยท่าทีคุ้นเคยแบบเจ้าของ เขาเพิ่งลิ้มรส ‘วาจาอันเป็นจริง’ ในสถานการณ์ที่ชวนให้อยากโกหก เกิดความรู้สึกหนักแน่น จิตใจมีความเที่ยงตรงไม่บิดเบี้ยว คำพูดมีพลังในตัว และเหมือนเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมที่รู้จักปฏิเสธคำเท็จในปาก
อย่างไรก็ตาม คำพูดที่เป็นจริงในบางครั้งก็ฟังเกินจริงได้เหมือนกัน พฤหัสหัวเราะด้วยความสังเวชใจ
“ไอ้… ไอ้บุคคลมีรายได้น้อย! ถ้าอย่างมึงมีเงินซื้อบ้านไว้อาบน้ำ กูคงต้องรีบซื้อคอปเตอร์ไว้ส่องอีกาเล่นมั่งแล้ว”
“ค่าคอปเตอร์ยังขาดอีกเท่าไหร่มายืมกูก่อนได้นะ”
สุ้มเสียงจองฤกษ์ฟังดูเป็นหลักเป็นฐานราวกับอาเสี่ยที่มีเงินเป็นร้อยล้านให้เขายืมมาซื้อเฮลิคอปเตอร์ได้จริงๆพฤหัสได้ยินแล้วส่ายหน้าช้าๆ หัวเราะออกมาอีก ขยับปากจะพูดแต่ก็พูดไม่ออก เพราะอยากหัวเราะต่อ
แต่พอมายืนข้างใน พฤหัสก็ชักเอะใจ เพราะบ้านทั้งหลังว่างโล่งไร้ข้าวของ เขาถือวิสาสะก้าวไปเปิดดูทีละห้องจึงทราบว่านอกจากห้องน้ำกลางกับห้องนอนปีกขวาแล้ว ไม่มีสมบัติข้าวของเครื่องใช้ใดๆ ให้เห็นอีกเลย ซึ่งนั่นก็แสดงว่าเพื่อนเขาอยู่ตามลำพังโดดๆ
จองฤกษ์เปลี่ยนเสื้อผ้ามานุ่งผ้าเช็ดตัวผืนเดียว พฤหัสยืนเท้าเอวอยู่หน้าประตูห้อง สบตากับเพื่อน ฝ่ายนั้นเบะปากให้นิดหนึ่งแล้วเดินผ่านเขาไปเพื่อเข้าห้องน้ำ
“กูอาบก่อน เดี๋ยวค่อยตามึง”
คนอยู่ในฐานะแขกผู้มาเยือนขมวดคิ้วย่น มองกวาดและเดินสำรวจทั่วบ้านอีกครั้ง ทั่วทุกหนทุกแห่งว่างเปล่าแต่ห้องนอนปีกขวาที่จองฤกษ์เข้าไปเปลี่ยนชุดนั้น มีโต๊ะทำงานใหม่เอี่ยม ตู้เสื้อผ้าใหม่เอี่ยม กับเบาะนอนแบบปิ๊กนิกใหม่เอี่ยม ที่เหลือคือร่องรอยบางอย่างแสดงการขนย้าย เช่นรอยลากบนพื้นและรอยตอกเล็กๆ หลายแห่งบนผนัง
แว่วเสียงน้ำฝักบัวตกกระทบพื้นเข้าหู พฤหัสขนลุกเยือก หรือว่า… บ้านหลังนี้มีไว้ใช้อาบน้ำจริงๆ ?!
อ่านต่อตอนที่ ๒๕ >> 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น