วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กรรมพยากรณ์ ตอนเลือกเกิดใหม่ (ตอนที่ ๓๑ เหตุผลลี้ลับ)

<ย้อนกลับอ่านตอนที่ ๓๐

ตอนที่ ๓๑ เหตุผลลี้ลับ

อุปการะรับไหว้แบบยิ้มในหน้า ชักชวนสองหนุ่มสาววัยรุ่นเข้าห้องรับแขกเหมือนผู้ใหญ่ที่เห็นลูกหลานมาบ้านมากกว่าจะเป็นการต้อนรับระหว่างหมอดูกับลูกค้า
“เป็นไงมั่งหนูทราย สบายดีหรือ? หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสดีจริง”
ณชะเลยิ้มกว้างขึ้น
“ค่ะ สบายดี”
“ทั้งที่มีเรื่องไม่น่าสบายใจเท่าไหร่นี่ใช่ไหม?”
“ก็เอ่อ... คงอย่างนั้นมั้งคะ”
อุปการะหัวเราะครึ้ม
“ถ้ามีเรื่องน่ากลุ้มอยู่มากหลาย แต่หน้าตาไม่ส่อว่ากลุ้มสักเรื่อง อย่างนี้แปลว่าใช้ได้แล้วล่ะ ธรรมะถึงใจหนูแล้ว ปกป้องคุ้มครองหนูจากทุกข์ทางใจได้แล้ว”
เด็กสาวยิ้มแป้นด้วยความปลื้มในคำชมของผู้ทรงธรรม
“ทรายอยากถามพ่อหมอเรื่องหนึ่งค่ะ คือเจ้าอุ๊ยโหยหมาของทราย เป็นไปตามคำทำนายของพ่อหมอเมื่อคราวก่อน ที่ว่าเวลาของมันเหลือน้อย ตอนนี้มันตายไปแล้วจริงๆ ” หล่อนเล่าเรียบเรื่อยราวกับบรรยายความเปลี่ยนแปลงของสภาพดินฟ้าอากาศ “สิ่งที่ทรายอยากรู้คือ ตอนนี้เจ้าอุ๊ยโหยไปอยู่ไหน และที่ทรายทำบุญส่งไปให้ มันได้รับบ้างหรือเปล่า?”
ชายวัยกลางคนรับฟังคำถามแล้วนิ่งไปครู่หนึ่ง เนื่องจากการกำหนดดูภพภูมิให้แม่นยำต้องใช้กำลังมากกว่าเหตุการณ์สามัญ แต่สำหรับอุปการะไม่ถึงกับต้องหลับตาเข้าสมาธิ เพียงลืมตาตามปกติแล้วกำหนดจิตเหมือนขึงผ้าให้ตึง ทำฝ้าหมอกให้โปร่งใส กระทั่งมีความเป็นกลางพอจะล่วงรู้แจ่มชัดหน่อยเท่านั้น
เกือบครึ่งนาทีต่อมา อุปการะก็ให้คำตอบเยี่ยงผู้ที่ผ่านการรู้เห็นมาอย่างละเอียด
“มันสบายขึ้นนะ ไปเป็นเปรตแล้ว”
ณชะเลกำลังรอฟังยิ้มๆ ด้วยความเชื่อมั่นว่าจะได้ฟังอะไรดีๆ พอได้ยินคำว่า ‘เปรต’ ก็หุบยิ้มกะทันหัน ทำหน้าเศร้าทันที
“อ้าว...” เด็กสาวครางเสียงแห้ง “มันไม่ได้ไปเป็นคน หรือไปเป็นเทวดาหรอกหรือคะ?”
ผู้ทำหน้าที่ตอบเรื่องลี้ลับยิ้มอย่างคนใจดี
“ยังหรอก มันยังติดอยู่ในอบาย แต่เป็นเปรตก็ดีกว่าเป็นเดรัจฉานมากแล้วล่ะ ปลอดโปร่งและสะอาดสบายกว่าเดิมเยอะ”
๒๖๘
เด็กสาวทำหน้าอึ้งงง ความคาดหมายทั้งปวงพลิกกลับตาลปัตรหมด ร่ำๆ จะทวงสัญญาที่พ่อหมอเคยบอกหล่อนไว้ว่าเจ้าอุ๊ยโหยจะไปดี ซึ่งพ่อหมอก็รู้ใจ ตอบดักคอเสียก่อน
“มันอยู่ในช่วงพักรอที่จะไปดีน่ะหนูทราย คนไทยฟังคำว่า ‘เปรต’ แล้วมักถึงตัวปากแหลมสูงชะลูดเท่าเสาโทรเลขแบบในหนัง ความจริงยังมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ ที่คล้ายเทวดาก็มาก เพียงแต่ไม่สบายได้ตลอด และไม่มีความคิดอ่านเท่าจิตวิญญาณชั้นสูง”
“ตอนมันกำลังขาดใจ หนูสัมผัสกระแสสว่างบางอย่างจากมัน ทำให้หนูชื่นใจมาก ก็นึกว่านั่นหมายถึงกระแสสวรรค์เสียอีก”
“การจากไปสู่ภพที่ดีกว่า ก็ให้ความรู้สึกแช่มชื่นทำนองนี้แหละ” เขาตั้งใจเล็งดู นัยน์ตาเป็นประกายวับ “ตอนนั้นหนูเพิ่งกลับจากทำบุญ แล้วมันโดนรถทับใช่ไหม?”
“ค่ะ”
ผู้อ่อนวัยตอบรับเป็นปกติอย่างไม่แปลกใจในอำนาจล่วงรู้ของอุปการะแม้แต่น้อย
“อดีตกรรมบางอย่างทำให้ชาตินี้มันต้องตายทรมาน เลยขึ้นสูงทันทีไม่ได้ ต้องไปพักในภูมิเปรตชั่วคราวก่อน แต่ถัดจากนี้พอจิตของมันค่อยๆ คุ้นสภาพใหม่มากขึ้น แล้วพอจะมีกำลังระลึกถึงบุญกุศลในหนหลังก่อนขาดใจได้ ก็จะแจ้งเกิดเป็นมนุษย์กับเขา”
คำปลอบยังไม่ทำให้ณชะเลสบายใจ ที่เคยหายห่วงก็กลับมาพะวงใหม่อีก ความจริงที่เตรียมใจมาวันนี้เพื่อขอทราบว่าอุ๊ยโหยไปเกิดใหม่ ณ แห่งหนตำบลไหน จะได้ตามไปอุปถัมภ์ต่อ แต่กลับต้องมาพบคำตอบว่ามันเป็นได้แค่เปรตเสียนี่
“เป็นเปรตประเภทรับส่วนบุญได้หรือเปล่าคะ? มีทางที่หนูจะช่วยให้มันเกิดใหม่ดีกว่าเปรตเดี๋ยวนี้เลยไหม?”
“อย่าใจร้อนเลย โดยมากสัตว์ที่ตายด้วยอุบัติเหตุมักต้องไปพักรอฤกษ์เกิดใหม่ทั้งนั้นแหละ ตอนนี้มันก็ไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไร แค่นึกว่าตัวเองเป็นหมาอยู่ และท่องเที่ยววิ่งเล่นไปท่ามกลางสนามหญ้าที่มีดอกไม้สวยสะพรั่ง”
ณชะเลเบิกตากว้าง
“หรือคะ? งั้นที่หนูเห็นในฝันก็เป็นเรื่องจริงน่ะซี หนูนึกว่าจิตปรุงแต่งไปเองเสียอีก”
“ก็อย่าเข้าใจว่าตรงจริงเสียทั้งหมด ความฝันนั้นเอาแน่เอานอนยาก อย่าถือเป็นอารมณ์ก็ดี”
“ในฝันหลายครั้งชัดมากๆ เหมือนมันมาหาจริงๆ ความเหมือนจริงและสีสันคมชัดของฝัน คือเครื่องวัดว่าใช่ได้หรือเปล่าคะ?”
“ของพวกนี้ยากจะชี้ คนต้องมีจิตที่ปราศจากความเข้าข้างตัวเอง แล้วก็มีกำลังสมาธิระดับหนึ่ง ถึงจะมีญาณหยั่งรู้ สามารถแยกแยะออก ความชัดหรือความมัวมนไม่ใช่มาตรวัดความจริงได้เสมอไป”
“เจ้าอุ๊ยโหยมีเพื่อนไหมคะ?”
ถามอย่างเกรงว่าลูกชายสุดสวาทของตนจะเหงา
“ก็รวมอยู่กับเปรตที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน คือเพิ่งตายจากความเป็นสัตว์ มีบุญพอตัว เสวยสุขตามควร แต่ยังไม่ถึงขนาดส่งให้พ้นอบายได้ เชื่อเถอะ สัตว์ในสังสาวัฏมีมากนับอนันต์ แต่ละนาทีจะมีจิตที่อยู่ในระดับภูมิเดียวกันมาเป็นเพื่อนเสมอ เว้นแต่ต้องถูกขังเดี่ยวด้วยกรรมเฉพาะตัว ซึ่งก็ใช่จะหาได้ง่ายๆ ”
“แล้วมันกินอยู่ยังไงคะ?”
๒๖๙
“ภพของมันจะมีแหล่งน้ำ แหล่งอาหาร ไม่ถึงกับอุดมสมบูรณ์ แต่ก็ไม่ถึงกับขาดแคลน หย่อมดินบางแห่งปรากฏเหมือนอาหารสุนัข สระบางแห่งก็มีน้ำใสน่ากิน”
“มันหิวบ้างหรือเปล่า?”
“ก็เป็นบางคราว ความหิวเป็นลักษณะหนึ่งของภูมิเปรต แต่บุญเก่าจะจัดหาอาหารให้อุ๊ยโหยกับพรรคพวกของมันเอง ไม่แสบท้องนานหรอก”
“แย่จริง... ทรายอยากเป็นคนหาของให้มันกินจังเลย”
เอ่ยออกมาด้วยใจผูกพันแล้วน้ำตาพานจะไหล จนต้องขบริมฝีปากเพื่อสะกดความรู้สึกไว้
“หนูทรายอย่าห่วงเลย สำหรับภูมิที่เจ้าอุ๊ยโหยไปอยู่นี่ จะมีบางคาบบางเวลา ที่มันรู้สึกว่ายืดตัวขึ้นหยัดสองขาได้ แล้วก็มีความคิดอ่าน มีสำนึกคล้ายมนุษย์อยู่บ้าง ในคาบเวลานั้นมันสามารถหาผลไม้จากป่าโปร่งได้สะดวกกว่าพวกคนป่าเสียอีก”
ณชะเลทำหน้าฉงน
“เป็นภูมิที่แปลงร่างได้ด้วยหรือคะ?”
“เปรตจำนวนมากเปลี่ยนสภาพสลับกันไปสลับกันมา อย่างคาบเวลาที่เจ้าอุ๊ยโหยยืดตัวขึ้นมายืนสองขาได้นั้น ก็เพราะแรงกุศลจากอดีตชาติบันดาลจิตให้สว่างรู้คิดขึ้นชั่วครู่ มันจะรู้สึกคล้ายเด็ก ๕ ขวบคนหนึ่งทีเดียว”
“ถ้าจิตสว่างเป็นกุศลได้เหมือนมนุษย์อย่างนั้น ทำไมถึงไม่จุติไปสู่สุคติเสียเลย ต้องรออะไรด้วยล่ะคะ?”
“เพราะกำลังกุศลของมันอ่อนเกินกว่าจะปฏิวัติวิญญาณให้เลื่อนชั้นไปสู่ภพที่สูงกว่านั้น เนื่องจากในภพที่เป็นหมา บุญของมันเกิดจากการพลอยยินดีรับส่วนกุศลจากหนูล้วนๆ ไม่ใช่บุญอันเกิดจากกุศลเจตนาของตัวมันเอง แถมตายไม่ค่อยสงบอีก เลยยังครึ่งๆ กลางๆ อยู่”
พอฟังเหตุฟังผล สาวน้อยเจ้าของสุนัขแสนรู้ก็คลายสีหน้าลง ด้วยความเข้าใจกฎเกณฑ์ของโลกวิญญาณหลังความตายมากขึ้น ในวาระแห่งการละจากความเป็นสหายของหมู่สัตว์หนึ่งไปสู่ความเป็นสหายของอีกหมู่สัตว์หนึ่ง กำลังบุญที่สั่งสมมาคือตัวตัดสิน ดีเป็นดี ร้ายเป็นร้าย มีแค่ไหนต้องเอาแค่นั้นแล้ว เอาใจช่วยให้มากกว่านั้นไม่ได้แล้ว
“วิบากกรรมนี่น่ากลัวจังนะคะ ใครจะรู้ว่าอกุศลแต่หนไหนตามมาให้ผล ได้ตายสงบหรือต้องตายทรมาน”
“ตอนมันเป็นลูกหนู ที่เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็กอยู่นั้น ก็คึกคะนองไปตามเรื่อง ชอบทรมานสัตว์เล็กๆ จับมาบดขยี้ให้ตายทั้งเป็นด้วยของใกล้มือด้วยความสนุก โดยไม่รู้เลยว่านั่นเป็นบาป กรรมที่ทำด้วยความเคยชินนั้น พอเป็นสัตว์บ้างเลยต้องตายทรมานมาหลายครั้งแล้ว”
ณชะเลนึกถึงครั้งที่จู่ๆ อุ๊ยโหยก็ตะปบผีเสื้อเล่น ซึ่งผิดวิสัยสุนัขเทอเรีย นั่นคงเป็นนิสัยเล่นสนุกกับชีวิตอื่นโดยไม่ตระหนักว่าเป็นบาป และนี่เองคือเหตุของผลอันเป็นธรรมดา ไม่มีใครช่วยแก้กรรมที่ทำไปแล้วให้กันได้ ใครทำอะไรไว้ ก็ต้องเสวยผลอันเกิดจากการกระทำนั้นไม่ช้าก็เร็ว
สาวน้อยเจ้าของสุนัขชะตาขาดปลงตก ใจวางเฉยเป็นอุเบกขายิ่ง พุทธพจน์หนึ่งหยั่งซึ้งเข้าถึงจิตถึงใจจนต้องกะพริบตาเอ่ย
“สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรมจริงๆ นะคะ”
อุปการะยิ้มเอ็นดู
“แต่หนูก็เป็นยิ่งกว่านาย คือทำตัวเป็นทางลัดให้มันขึ้นสูงกว่าเดิมได้”
๒๗๐
“จากที่พ่อหมอเล่าให้ฟังเกี่ยวกับความเป็นอยู่ในภพใหม่ของอุ๊ยโหย หนูก็พอจะมองออกอีกอย่างหนึ่งค่ะ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าภูมิเปรตมีความแปรปรวน ลุ่มๆ ดอนๆ เอาแน่เอานอนไม่ได้ คือรู้สึกเหมือนอุ๊ยโหยติดอยู่ในฝันเลย”
“อย่างนั้นแหละ อัตภาพแบบเปรตนั้นไม่คงเส้นคงวา ไม่มีร่างหยาบคงที่เหมือนอย่างมนุษย์ แม้แต่สภาพจิตก็กลับไปกลับมาโดยไม่จำเป็นต้องมีสิ่งกระทบภายนอกเข้ามากระทำ เดี๋ยวจำได้ เดี๋ยวจำไม่ได้ เดี๋ยวคิดเรื่องกุศล เดี๋ยวคิดเรื่องอกุศล เหวี่ยงไปเหวี่ยงมาระหว่างสองขั้ว แถมยังมีภูมิซ้อนๆ กันอยู่ จำแนกแยกย่อยได้มากมายไม่ซ้ำแบบกัน สุดแต่กรรมของใครของมันจัดสรรให้”
“หนูเข้าใจถูกไหมคะ ภพเปรตนี่จะมีความจำ ความรู้สึกนึกคิดในชาติก่อนฝังแน่นอยู่”
“โลกของเปรตเป็นโลกของความผูกพันกับอารมณ์เก่าๆ จิตยึดติดกับอะไรมากก็เชื่อมโยงกับสิ่งนั้นมาก อย่างตอนนี้เจ้าอุ๊ยโหยก็อุปาทานว่าหนูยังอยู่กับมัน บางทีก็วิ่งตามหาหนูไปเรื่อยๆ ด้วยความรอคอยว่าเมื่อไหร่จะเจอ”
ณชะเลสะอึกอึ้ง นัยน์ตารื้นน้ำขึ้นมาอีก
“ทรายก็อยากให้มันดีใจที่ได้เห็นทรายค่ะ”
“การที่หนูยังคิดถึงอุ๊ยโหยไม่เลิก ก็ทำให้จิตหนูเป็นขั้วต่อกับมัน และเลี้ยงอุปาทานของมันไว้อย่างนั้น ถ้าต่างฝ่ายต่างคิดถึงพร้อมกัน จิตก็จะเชื่อมต่อกัน หากเชื่อมติดระหว่างหนูลืมตาตื่นอยู่ ก็จะมาในรูปของความคิดถึงรุนแรง และรู้สึกเหมือนมันยังอยู่ใกล้ๆ ตัว แต่ถ้าจิตเชื่อมติดระหว่างหนูหลับฝัน ก็จะปรากฏเป็นนิมิตเสมือนจริง ราวกับสัมผัสได้ด้วยกายปกติ”
“มันเห็นทรายเหมือนที่ทรายเห็นมันหรือเปล่าคะ?”
“ต่างฝ่ายต่างเห็นออกมาจากมุมมองของตัวเองนั่นแหละ การปรุงแต่งของจิตเป็นเรื่องพิสดาร ถ้าจิตใครกำลังฟองฟู ก็เห็นอีกฝ่ายสดใส ถ้าจิตของใครกำลังฟุบแฟบ ก็เห็นอีกฝ่ายหม่นหมอง แต่ถ้าจิตของใครมีสติและเป็นกลาง ก็จะเห็นอีกฝ่ายตรงตามจริง หรือใกล้เคียงกับภาวะของเขามากที่สุด”
“เสียดาย ถึงแม้ผูกพันพอจะสื่อกันด้วยใจ ทรายก็คงทำอะไรให้มันดีขึ้นไม่ได้” ณชะเลทำตาละห้อย นึกอยากต่อรองขอความช่วยเหลือจากอุปการะขึ้นมาอีก “แต่พ่อหมอเป็นผู้ทรงฌาน น่าจะแผ่เมตตาหรืออุทิศส่วนกุศลให้มันพ้นจากอบายได้...”
“ถ้าหากเพิ่งตายจากความเป็นมนุษย์ร่วงหล่นไปสู่ความเป็นเปรต อย่างนี้ก็พอรู้เรื่องบุญเรื่องกุศลง่ายหน่อย สามารถหวนกลับมาคิดอ่านแบบวิญญาณชั้นสูงได้ ทำให้หลุดจากภพเปรตไม่ยากนัก เพียงแค่เจอแสงสว่างจากจิตที่แผ่เมตตามาให้แรงๆ พอที่จะรู้สึกเย็นซ่าน ปลาบปลื้มปีติ เหมือนตอนเราอยากยิ้มทั้งน้ำตาด้วยแรงศรัทธาปสาทะ ก็ปลุกให้ระลึกถึงบุญเก่าที่เคยทำๆ สะสมไว้ระหว่างเป็นมนุษย์ได้ อย่างนี้จิตถึงมีโอกาสปฏิวัติ ได้เลื่อนชั้นปุบปับทันใจ”
ณชะเลยิ้มซึมอย่างเข้าใจเงื่อนไข
“แปลว่าถ้าเพิ่งพ้นจากภาวะความเป็นสัตว์ เลื่อนชั้นขึ้นเป็นเปรต ก็รับกุศลจากคนอื่นได้ยาก อย่างนั้นใช่ไหมคะ?”
“อือม์... คือเอาอย่างเจ้าอุ๊ยโหยของหนูเนี่ย ปัจจุบันมันยังคึกคะนองแบบหมาอยู่มาก หนูก็รู้ว่าเจ้าพวกนี้ถ้ามันพอใจกับความสนุกสนานเฉพาะหน้าแล้ว เรื่องอื่นก็ไม่สนใจหรอก แต่เมื่อไหร่ความคึกคะนองจางลง มันก็จะสงบเย็นเหมือนตอนฟังหนูอ่านหนังสือธรรมะ แล้วค่อยๆ ระลึกถึงภาพและเสียงที่ก่อให้เกิดกระแสกุศล พอจิตสว่างเต็มรอบเมื่อไหร่ก็ขาดจากความเป็นเปรตไปเอง”
“แล้วการที่หนูทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้มันบ่อยๆ จะมีส่วนช่วยร่นเวลาให้เร็วขึ้นได้ไหมคะ?”
๒๗๑
“สำหรับเจ้าอุ๊ยโหย ภพต่อไปที่เหมาะกับมันคือมนุษย์ เพราะฉะนั้นก็ต้องรอฤกษ์เกิดที่สมกับกรรมด้วย การอุทิศส่วนกุศลของหนูนั้นดีแล้ว ทำไปเถอะ เหมือนสาดน้ำเย็นข้ามมิติไปให้มันชุ่มฉ่ำชื่นใจ และมีสำนึกทางกุศลแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ไม่มีส่วนเร่งรัดให้มันขาดจากภพเปรตเร็วกว่าเดิมหรอก”
เด็กสาวพยักหน้าอย่างปราศจากกังขาใดๆ อีก
“เข้าใจกระจ่างทุกอย่างแล้วค่ะ”
“เห็นแล้วใช่ไหมล่ะว่าการเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมิไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ไม่ใช่ขึ้นสูงกันง่ายๆ ”
“ค่ะ ที่อวยพรส่งเสียให้ใครไปดี ก็สักแต่เป็นแค่ความหวังดี สักแต่เป็นแค่กุศลจิตของผู้อวยพร แต่ไม่มีผลให้ใครได้ดีตามปากเลย ล้วนแต่ต้องพึ่งกรรมของตัวเองด้วยกันทั้งนั้น”
จองฤกษ์นิ่งฟังมานาน ก็ถึงจังหวะที่นึกอยากถามบ้าง
“แล้วการเปลี่ยนภพภูมินี่โดยมากคือต้องเลื่อนชั้นเป็นขั้นๆ หรือครับ? เช่นจากความเป็นสัตว์นรกมาสู่ความเป็นเดรัจฉาน จากความเป็นเดรัจฉานไปสู่ความเป็นเปรต ก่อนจะเลื่อนชั้นจริงๆ เวียนกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก”
“โดยมากก็อย่างนั้น” อุปการะตอบนิ่มนวล “ผมเคยส่องๆ ดูเล่นอยู่เหมือนกัน ที่จริงการเวียนว่ายตายเกิดเปลี่ยนภพเปลี่ยนภูมินี่เป็นเรื่องพิสดารกว่าการเปลี่ยนแปลงทุกชนิดที่เราเห็นกันด้วยตาเปล่า สัตว์ในสังสารวัฏพุ่งหลาวจากความเป็นอย่างนี้ไปสู่ความเป็นอย่างนั้น กระโดดจากความเป็นอย่างนั้นไปสู่ความเป็นอย่างนี้ หาความสิ้นสุดโดยบังเอิญไม่ได้ และถ้านิมิตของภพอบายเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง ส่วนใหญ่ก็นับต่อไปได้เลยว่าจะมีนิมิตอบายตามมาอีกหลายร้อย หลายพัน หลายหมื่น หรือหลายแสนครั้ง กว่าที่จะเห็นนิมิตสุคติภูมิปรากฏขึ้นใหม่”
ณชะเลทำหน้าเหย
“น่ากลัวจังค่ะ แค่กวาดตาดูภาพสัตว์เป็นร้อยเป็นพันก็น่าเบื่อแย่แล้ว ถ้าต้องรอนแรมเดินทางไกลไปเป็นนั่นเป็นนี่จริง จะยิ่งน่าหน่ายกว่านั้นขนาดไหน”
“แล้วเราจะมั่นใจได้อย่างไรครับ ว่านิมิตที่เห็นเป็นหมื่นเป็นแสนครั้งนั้นคือของจริงทั้งหมด?”
นั่นเป็นคำถามจากเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ละพยศเสียได้ อุปการะสัมผัสว่าจองฤกษ์อยากรู้เหตุผล ด้วยความละม่อม มิใช่ความอยากอวดกล้าคัดง้างจากใจกระด้างดังเคย
“มันขึ้นอยู่กับว่าเราเห็นมั่วๆ หรือสามารถเห็นความผูกโยงเป็นเหตุเป็นผลระหว่างชาติต่อชาติ ประเภทที่เห็นตัวเองเป็นคนป่าบ้าง เป็นเศรษฐีบ้าง เป็นกษัตริย์บ้าง โดยอธิบายไม่ถูกว่าทำไมถึงไปเกิดเป็นอย่างนั้นๆ นั่นเสี่ยงต่อการถูกอุปาทานหลอกแล้ว แต่ถ้าเป็นผู้มีฐานความรู้ มีมุมมอง มีความเห็นชอบเกี่ยวกับกรรมวิบากอยู่เป็นทุน สามารถอธิบายถูกว่าไปเป็นอะไรอย่างหนึ่งด้วยกรรมนำเกิดที่สมกันแบบไหน นั่นถึงจะเรียกว่าเข้าเค้า”
จองฤกษ์มีเครื่องบันทึกเสียงซึ่งกำลังเปิดทำงานอยู่ในกระเป๋าเสื้ออยู่แล้ว แต่เขาก็จดโน้ตสั้นใส่กระดาษอีกด้วยความกระหาย เพราะสิ่งที่พ่อหมออุปการะกล่าวจะเป็นการจุดประกายให้กับประดิษฐกรรมชิ้นโบแดงของเขา
“ตามความเข้าใจจากที่ผมฟังพ่อหมอพูดถึงเจ้าอุ๊ยโหยมา มันเลื่อนชั้นจากสัตว์ไปเป็นเปรตก็เพราะพลอยยินดีกับกุศลของทรายบ่อยๆ ถูกไหมครับ?”
“ถูกต้อง!”
“แล้วกรรมที่ตกแต่งให้มันไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ดี น่าบันเทิงใจล่ะครับ คืออะไร?”
๒๗๒
“ก็ด้วยน้ำหนักความยินดีในกุศลนั่นแหละ หนูทรายป้อนกุศลให้จนจิตมันเข้าขั้นเบิกบาน ความเบิกบานในบุญนั้นก็จัดสรรให้ได้ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สอดคล้องกัน”
เด็กหนุ่มพยักหน้าอย่างเห็นความสมเหตุสมผลในระดับที่คิดตามได้
“แล้วอย่างถ้าพ่อหมอจะดูว่าชาติก่อนผมเคยเป็นอะไรมา หรือเคยทำอะไรมาบ้าง พ่อหมอจะเริ่มดูจากตรงไหน?”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าน้องอยากรู้เรื่องตัวเองในแง่ไหน ถ้าน้องถามว่า ‘เคยเป็นอะไร’ ผมก็จะดูเป็นภาพใหญ่ภาพรวม ว่าอัตภาพเดิมของน้องในครั้งก่อนมีรูปลักษณ์แบบไหน ภูมิจิตอยู่ในภพระดับล่างหรือระดับบน แต่ถ้าน้องถามว่า ‘เคยทำอะไรมา’ ผมก็จะดูเป็นเรื่องๆ นับจากที่เห็นง่ายจากภายนอกก่อน เช่นกรรมอะไรนำน้องมาเกิดเป็นมนุษย์ กรรมอะไรทำให้น้องเป็นชาย กรรมอะไรตกแต่งรูปร่างหน้าตาให้เป็นอย่างนี้ กรรมอะไรเสริมส่งให้น้องมีฐานะการเงินระดับนี้ กรรมอะไรจุดประกายให้น้องฉลาดขนาดนี้ นี่เรียกว่ามีจุดเชื่อมโยงแรกที่อิงอยู่กับหลักฐานเห็นได้จริงแล้ว”
จองฤกษ์จดบันทึกด้วยความสนใจ พอจดเสร็จก็เงยหน้าขึ้นถาม
“หมายความว่า ถ้าเราจับจุดจากเหตุผลของการเป็นอย่างที่เห็นง่ายๆ ได้ถูก ก็จะสามารถสืบสาวลึกซึ้งต่อไปถึงกรรมวิบากด้านอื่นๆ ด้วยใช่ไหมครับ?”
“ก็ไม่เชิง ความหยั่งรู้ของผู้มีฌานเป็นเรื่องอจินไตย คือน้องหาเหตุผลไม่ได้หรอกว่าทำไมถึงรู้ เมื่อรู้ก็รู้ มันเป็นเรื่องของคุณภาพจิต ไม่ใช่ว่าต้องสืบสาวเป็นขั้นเป็นตอนเหมือนที่น้องเจาะระบบดาวเทียม พอแตะจิตเข้าไปที่ความเป็นน้องในปัจจุบัน ผมอยากรู้อะไรก็กำหนดน้อมไปรู้ตรงๆ ”
“แปลว่าข้อมูลทุกอย่าง ทั้งอดีตและอนาคต รวมอยู่ที่ตัวตนในปัจจุบันนี้แล้ว?”
“ภาพของอดีตกับภาพของอนาคตแตกต่างกัน ตัวตนในปัจจุบันเพียงพอที่จะชี้ชัดได้ว่าอดีตเป็นมาอย่างไร แต่ถ้าพูดถึงอนาคต ตัวตนในปัจจุบันแค่ชี้ว่ามีความเป็นไปได้สูง ที่จะต้องประสบกับอะไรบ้าง และมีสิทธิ์ก่อกรรมอะไรบ้าง”
เด็กหนุ่มแข็งขันจดสิ่งที่น่าสนใจสำหรับตน นั่นคือ ปัจจุบันเป็นรากของอนาคตที่ค่อนข้างชัดเจน แล้วเงยหน้าเม้มปากนิดหนึ่ง ก่อนยิงคำถามตรงไปตรงมา นัยน์ตาคมกริบด้วยความมาดหมายสูงล้ำ
“พ่อหมอรู้ใช่ไหมครับว่าผมคิดจะทำอะไร?”
อุปการะทอดมองฝ่ายอ่อนวัยด้วยแววเมตตา และตอบตรงๆ เช่นกัน
“น้องกำลังคิดสร้างเครื่องมือพิสูจน์ว่ากรรมวิบากมีจริง”
จองฤกษ์ยืดกายขึ้นตรงด้วยความตื้นตัน คำตอบที่ยืนยันว่าอุปการะรู้จริงในบัดนั้นมีความหมายกับจิตใจของเขามาก
“งั้นผมขอถามแบบไม่อ้อมค้อมนะครับ ผมจะทำสำเร็จไหม? ขอรู้เสียแต่เนิ่นๆ เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียเวลาเปล่า”
หมอดูใหญ่นิ่งไปในลักษณาการไตร่ตรองว่าจะพูดอย่างไร
“ให้ผมตอบอย่างนี้ดีกว่า...” ในที่สุดอุปการะก็เอ่ยเนิบนาบ “จะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ขึ้นอยู่กับวิธีที่น้องตั้งคำถาม”
เด็กหนุ่มขมวดคิ้ว
“ผมไม่เข้าใจ”
“วันนี้น้องมาเพื่อตั้งคำถามเรื่องกฎแห่งกรรมวิบาก เพื่อนำไปจับจุด และทำเป็นตัวตั้งไม่ใช่หรือ?”
“ครับ!”
จองฤกษ์ยอมรับ
๒๗๓
“นั่นแหละ... ผมบอกว่าสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ขึ้นอยู่กับวิธีที่น้องตั้งคำถาม เพราะคำถามของมนุษย์นั้น แสดงทิศทางชีวิตของเขา ว่ากำลังมุ่งไปจุดหมายปลายทางแบบไหน”
“หมายความว่าถ้าผมตั้งโจทย์ถูก ก็จะค้นคว้าวิจัยได้ถูก และประดิษฐ์เครื่องพยากรณ์กรรมสำเร็จในที่สุดใช่ไหมครับ?”
“น้องมีศักยภาพที่จะทำได้”
วาจาเหมือนบ่ายเบี่ยงเลี่ยงหลีกที่จะให้คำตอบชัดๆ นั้น ทำให้จองฤกษ์คาใจเป็นอย่างยิ่ง
“ถ้าผมตายก่อนประดิษฐ์เครื่องนี้สำเร็จ ก็แปลว่ายังไม่หลุดจากบ่วงกรรมที่แกล้งคนไว้เป็นล้านใช่ไหม?”
“ถึงน้องจะประดิษฐ์เครื่องพยากรณ์กรรมสำเร็จ ก็ใช่ว่าจะทำให้หลุดจากบ่วงกรรมเก่าไปทั้งหมดได้ บุญส่วนบุญ บาปส่วนบาป แต่ถ้ากำลังบุญมันเกินกำลังบาป ใจน้องก็พึ่งบุญได้ถนัดถนี่หน่อย เหมือนได้ทุ่นไว้เกาะอาศัยกลางทะเล ถึงฉลามมันจะมางาบก็ไม่ถนัดนัก ต่างจากลอยคอตัวเปล่าโดยปราศจากหลักยึด”
เด็กหนุ่มอดีตจอมแกล้งระดับโลกกะพริบตาปริบๆ เขาจะต้องเสียดายซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่าไปจนชั่วชีวิตกระมัง ว่าไม่น่าเลย... เพียงเพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เพียงเพราะไม่ทราบว่าทุกการกระทำมีผล เพียงเพราะได้พบกัลยาณมิตรก็สายเกินไป เขาด่วนลงมือทำกรรมหนักไปเสียแล้ว
และธรรมชาติก็เหมือนวางกฎเอาไว้ คือการคิดทำชั่วนั้นง่ายกว่าริเริ่มทำดี ความดีมีคนปูทางให้น้อย ขณะที่ความชั่วมีคนถางทางนำร่องไว้เยอะแยะ แถมกรรมชั่วหลายๆ ชนิดนั้นใช้เวลาทำนิดเดียว แต่กลับให้ผลยืดยาว แม้เหนื่อยหน่ายใจจะขาดเพียงใดก็ต้องก้มหน้าก้มตารับวิบากไปเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุดเสียอีก
“ผมคิดสร้างเครื่องพยากรณ์กรรม...” จองฤกษ์พูดเสียงแหบแบบคนใจคอไม่ดี และเริ่มเสียความเชื่อมั่นในตนเอง “ก่อนอื่นคงต้องเริ่มต้นจากการรู้เรื่องกฎแห่งกรรมวิบากให้ครอบคลุม เพียงแต่เอ่อ... ในระยะยาวถ้าขาดผู้รู้ให้คำปรึกษาก็อาจเคว้งคว้าง เพราะระหว่างค้นคว้าประดิษฐ์คิดค้น คงติดขัดด้วยข้อน่าสงสัยอีกมาก”
อุปการะยิ้มละไมอบอุ่นอย่างให้กำลังใจ
“ผมจะอนุญาตอย่างนี้ ต่อไปน้องโทร.หาผมได้ตลอด ถ้าน้องเอาจริงเอาจัง ทุ่มเทเวลา ๒๔ ชั่วโมงให้กับงาน ก็เอาผมเป็นที่ปรึกษาได้ตลอด ๒๔ ชั่วโมงเช่นกัน!”
คำเสนอตัวช่วยเหลือของผู้วิเศษทำให้นักประดิษฐ์หนุ่มใจชื้นขึ้น เพราะถ้าอุปการะไม่เล็งเห็นความสำเร็จเป็นประโยชน์ใหญ่อยู่บ้าง ก็คงไม่ยอมบริจาคเวลาส่วนตัวมาให้เขาเพื่อความสิ้นเปลืองเปล่าอย่างแน่นอน
“ผมมีคำถามจะถามพ่อหมอเกือบสองร้อยข้อ” จองฤกษ์ชูกระดาษขนาด A4 สองสามแผ่นในมือให้ดู “ยิ่งตั้งคำถาม กิ่งก้านสาขาของคำถามก็ยิ่งแตกออกไปมากขึ้นทุกที ถึงตอนนี้ขอสารภาพ คือผมไม่แน่ใจแล้วว่าจะเริ่มถามข้อไหนก่อน... ยิ่งพ่อหมอบอกว่าคำถามของผมในวันนี้จะเป็นตัวชี้ชะตาความสำเร็จ เลยเอ่อ... ยิ่งทำให้รู้สึกประหม่า”
“เอางี้...” พ่อหมอผู้วิเศษช่วยตัดสินให้อย่างเป็นงานเป็นการ “น้องเริ่มจากการเล่าแนวคิดที่น้องจะประดิษฐ์เครื่องพยากรณ์กรรมให้ผมฟัง พอผมเห็นช่องทางเชื่อมโยงกับสิ่งที่ผมรู้ ผมก็จะชี้เป็นจุดๆ ไป อย่างนี้ดีไหม?”
“ดีครับ”
จองฤกษ์รับคำด้วยความโล่งใจขึ้น และเริ่มต้นอธิบายจากมุมมองที่เห็นง่ายสำหรับอุปการะ
๒๗๔
“ผมพยายามเปิดใจกว้างๆ เข้าไปศึกษาศาสตร์ต่างๆ ที่อาจบอกความเป็นมาเป็นไปของมนุษย์ได้ลึกๆ แล้วก็พบศาสตร์น่าสนใจเช่นการดูลายมือ ซึ่งเดี๋ยวนี้พวกที่ชำนาญการได้พยายามอธิบายปรากฏการณ์เกี่ยวกับลายมืออย่างเป็นวิทยาศาสตร์มากขึ้น เช่นพิสูจน์ด้วยหลักสถิติ หรือส่องดูความสัมพันธ์ระหว่างคลื่นสมองกับการเปลี่ยนแปลงลายมือกัน”
อุปการะพยักหน้ารับรอง
“ก็ถูกนะ เพียงก้มหน้าสังเกตมือตัวเอง ทุกคนในโลกต้องยอมรับกันว่าลายมือมีทั้งเส้นหลักที่เปลี่ยนยาก แล้วก็มีเส้นรองๆ ที่เปลี่ยนง่าย หรือบางทีก็ปรากฏแล้วเลือนลงอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ไม่สนใจสังเกต หรือสังเกตแต่ไม่สามารถวิเคราะห์ว่าที่มาที่ไปของลายมือเป็นอย่างไร”
“เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังลายมือก็คือกรรมเก่า?”
“ทั้งเก่าและทั้งใหม่ ถ้าเป็นกรรมเก่า โดยมากจะมาในรูปเส้นสายตายตัวหรือเปลี่ยนยาก และติดตัวมาแต่เกิด ส่วนถ้าเป็นกรรมใหม่ ก็มักปรับเปลี่ยนกันด้วยคลื่นสมอง อย่างที่น้องคงรู้แล้ว”
“ลายมือบอกเรื่องอดีต ปัจจุบัน และอนาคตได้จริงใช่ไหมครับ?”
“จริง! เหมือนแผนที่ที่ไม่ได้วาดขึ้นมั่วๆ แต่ก็ใช่จะอ่านง่ายนัก เพราะแผนที่อยู่ในรูปรหัสลับแกะยากหน่อย”
“ตรงนี้แหละครับที่ผมอยากขอคำยืนยันจากพ่อหมอ เพราะถ้าหากลายมือเป็นแผนที่ชีวิตจริง ก็แปลว่าเราอาจสืบรหัสชีวิตกันได้ตั้งแต่ก่อนเกิดเสียอีก!”
“ทำยังไง?”
“แกะรอยเข้าไปให้ถึงต้นกำเนิดเส้นลายมือ!”
อุปการะหรี่ตา แม้ทรงความรู้เรื่องลี้ลับกว้างขวางเพียงใด ก็ยังไม่คุ้นกับวิทยาการล้ำยุคที่บรรจุอยู่ในสมองของหนุ่มรุ่นลูก
“วิทยาศาสตร์ช่วยให้เข้าถึงได้หรือ?”
“ได้ครับ! อาศัยข้อมูลที่มีตั้งแต่ทุกคนยังเป็นเซลล์เพียงเซลล์เดียว คือ... ถ้าการสันนิษฐานของผมถูกต้อง ก็แปลว่าอดีตและอนาคตของทุกคนปรากฏอยู่ในรูปที่อ่านได้นับตั้งแต่แรกปฏิสนธิแล้ว ขอเพียงรู้วิธีที่จะอ่านให้ออกเท่านั้น”
หมอดูผู้ทรงญาณนิ่งไปอึดใจก่อนเอ่ย
“ผมดูจากความคิดของน้องนะ น้องตั้งใจจะใช้วิธีการทางคอมพิวเตอร์ วาดรูปของเด็กที่ยังไม่เกิดล่วงหน้า ตั้งแต่วัยเด็ก วัยหนุ่มสาว วัยกลางคน ไปจนถึงวัยชรา โดยทำนายกำกับไว้ได้ด้วยว่าแต่ละวัยจะต้องเผชิญกับอะไรบ้าง รวมทั้งระบุอย่างชัดเจนว่าที่ช่วงชีวิตต่างๆ ประสบวิบากด้วยเพราะกรรมชนิดใด ซึ่งถ้าทำได้ถูกต้องแม่นยำ ก็เป็นอันพิสูจน์ชัดว่าอดีตชาติมีจริง กรรมวิบากมีจริง และรูปกายกับเหตุการณ์หลักๆ คือผลที่เกิดจากเหตุ ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ โดยบังเอิญ”
จองฤกษ์ตัวแข็ง ทั้งดีใจ ทั้งเกรงกลัวระคนกัน
“ถ้าผมทำสำเร็จ จะได้รับผลทันตาอย่างไรครับ?”
“การทำให้มหาชนรับรู้ เข้าใจ และศรัทธาในกฎแห่งกรรมวิบาก ไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดๆ ย่อมได้รับผลเป็นบรมสุข ปรารถนาสิ่งใดมักได้สิ่งนั้นสมใจอย่างน่าอัศจรรย์ และภายในเวลาไม่เนิ่นช้าด้วย”
“แต่เมื่อกี้พ่อหมอบอกว่าอย่างไรก็ไม่มีทางหลุดพ้นจากบ่วงกรรมเก่าได้เด็ดขาด หากยังไม่หลุดจากบ่วงกรรมเก่า แล้วผมจะเสวยผลเข้าขั้นบรมสุขได้อย่างไร?”
อุปการะจ้องผู้นั่งตรงข้าม เล็งญาณกำหนดดูเหตุการณ์ใกล้ๆ ที่พอยกตัวอย่างได้ เพียงไม่กี่พริบตาก็เอ่ยชัด
๒๗๕
“เร็วๆ นี้น้องเพิ่งโดนเด็กไม่รู้คิดคนหนึ่งด่าเอาดื้อๆ ใช่ไหม?”
จองฤกษ์ถอนใจ ยอมรับด้วยความเฉยชิน
“ใช่ครับ อยู่ๆ มันก็ด่าผมว่าไอ้ควาย เล่นเอาสะอึกไปเป็นครู่”
“ถ้าเมื่อก่อนน้องโดนเด็กแปลกหน้าด่าอย่างนี้ ปฏิกิริยาจะออกมาท่าไหน?”
“ก็... อาจจะเหลียวซ้ายแลขวา หาก้อนหินเขวี้ยงเจ้าเด็กบ้านั่นสักที ไม่กลัวมันจะหัวร้างข้างแตกอย่างไร”
“แต่น้องก็ไม่ได้ทำ?”
“ครับ... พอนึกได้ว่านั่นคงเป็นอีกครั้งหนึ่งที่ต้องชดใช้กรรม ก็คอตกและยอมรับสภาพไป”
“ถ้าพูดถึงใจล่ะ สมัยก่อนจะผูกโกรธ เก็บความเจ็บแค้นอาฆาตไว้นานแค่ไหน?”
เด็กหนุ่มเกิดความเบาหัวอก เพราะเริ่มรู้ว่าพ่อหมออุปการะจะกล่าวกับตนอย่างไร
“เมื่อเดือนที่แล้ว ใครทำผมเจ็บใจ ผมจะคิดเอาคืนเป็นสิบเท่าสิบทบ และจะคุมแค้นจนนอนไม่หลับไปหลายอาทิตย์”
“แต่น้องก็ไม่ได้ผูกโกรธนี่ใช่ไหม?”
“ครับ... ผมให้อภัยเด็กคนนั้นภายในนาทีหรือสองนาทีต่อมา หลังจากปลงตกและคิดได้ว่าเด็กเป็นแค่เครื่องมือของกฎแห่งกรรมวิบาก แถมนึกห่วงเขาเสียอีกว่าต่อไปจะต้องเจอวิบากเล่นงานแบบผมไหม”
“การให้อภัยได้ ไม่คิดเอาคืนเสียได้โดยปราศจากเงื่อนไข ทำให้ใจเป็นทุกข์หรือเป็นสุข?”
“เป็นสุข...”
“แปลว่าชีวิตน้องดีขึ้น มีความสุขมากขึ้น ทั้งที่กรรมเก่ายังตามรังควานอยู่ใช่ไหม?”
“ครับ...” แล้วจองฤกษ์ก็ทำหน้าสงสัย “พ่อหมอหมายความว่านี่เป็นผลจากการตั้งใจจริงที่ผมจะสร้างเครื่องพยากรณ์กรรมหรือ?”
อุปการะส่ายหน้า
“เป็นผลกรรมที่เกิดจากการคบบัณฑิตเป็นมิตรหนึ่ง แล้วก็ทำใจน้อมศรัทธาในกรรมวิบากหนึ่ง เห็นไหมว่าน้องได้ผลอันสมควรแก่เหตุที่ใจตัวเองนั่นแหละ ตรงตัว ตรงไปตรงมานั่นเอง การทำความเข้าใจ การทำความเห็นให้ถูกตรง การรู้จักว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์หรือเป็นโทษ นั่นแหละคือยอดแห่งกรรมอันจะนำมาซึ่งความสุขความเจริญสู่ตนไม่รู้จบรู้สิ้น”
เด็กหนุ่มสงบนิ่ง ใจเป็นสุขล้ำ สายตาทอดมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยแววลึกซึ้ง
“ยิ่งถ้าผมสร้างเครื่องพยากรณ์กรรมได้ และทำให้คนอีกมากหันมาศรัทธาความจริงเช่นกฎแห่งกรรมวิบาก ผลสะท้อนก็จะยิ่งได้แรงขยายออกไปมหาศาล ต่างจากที่ศึกษาเพื่อให้เข้าใจและศรัทธากรรมวิบากตามลำพัง นั่นเองที่ความสุขจะเติบโตขึ้นเป็นบรมสุข ผมเข้าใจอย่างนี้ถูกไหมครับ?”
“ใช่!”
จองฤกษ์สูดลมหายใจลึก หันมายิ้มให้ณชะเลอย่างอ่อนโยน สติชัด รู้ตัวทั่วพร้อมด้วยอีกระดับสำนึกที่สูงขึ้นกว่าเคย แล้วเอ่ยเป็นกังวานทุ้มนุ่ม
๒๗๖
“เรามีความตั้งใจจริงในการสร้างศรัทธากรรมวิบากให้เกิดขึ้นในหมู่คนจำนวนมาก อานิสงส์มีเพียงใด ขอให้ได้กับทรายและทุกคนในโลกเท่าเทียมกัน”
ณชะเลตั้งใจสดับฟัง โล่งหัวอกไปถึงไหนๆ นั่นเป็นการเจาะจงเผื่อแผ่ให้หล่อน แต่คำว่า ‘และทุกคนในโลก’ ก็สะท้อนถึงจิตที่เปิดกว้างไม่คับแคบ จึงบันดาลให้บังเกิดปีติเบิกบานซ่านเย็น ขนาดต้องยิ้มกว้างและพนมมือไหว้กระแสบุญจากมหากุศลจิตของจองฤกษ์โดยไม่รู้สึกตัว
“อนุโมทนาค่ะ ทรายจะพยายามช่วยฤกษ์ทุกทาง แม้จะมีกำลังน้อยแค่นี้”
อุปการะพลอยแย้มยิ้มอนุโมทนาตาม เพราะคำประกาศเจตจำนงของอัจฉริยะหนุ่มมีพลังสะเทือนใหญ่หลวง บันดาลปีติได้ท่วมท้นแม้ในจิตของผู้ทรงภูมิ
“ทำไปเถอะ อยู่คู่กันด้วยการบุญนั้น จะให้ผลเป็นความรู้สึกปรองดอง และบันดาลความผาสุกที่ยั่งยืนนานเสมอ”
เด็กสาวโพล่งถามด้วยความโสมนัส
“ถ้าทำให้คนเชื่อกรรมวิบากได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ประวัติศาสตร์ของมนุษย์จะเปลี่ยนแปลงไปทั้งหมดเลยไหมคะ?”
ผู้ทรงอภิญญายิ้มอย่างเข้าใจสัจธรรม
“จำไว้เถอะ ไม่ว่าหนูจะมีอิทธิพลต่อโลกมากมายเพียงใด หนูเปลี่ยนแปลงได้อย่างมากสุดครึ่งหนึ่งเท่านั้น”
ณชะเลเอียงหน้าเล็กน้อย
“ทำไมต้องเป็นอย่างนั้นล่ะคะ?”
“เพราะการเปลี่ยนทั้งหมดจะฝืนธรรมชาติ”
คนฟังเหมือนเข้าใจรำไร แต่ทบทวนแล้วรู้สึกว่ายังไม่รู้อะไรเลย
“ธรรมชาติเป็นอย่างไรหรือคะ?”
“ธรรมชาติต้องมีคู่ตรงข้ามไว้ถ่วงดุลให้เกิดการหมุนไปของวัฏฏะ ถ้าโลกนี้มีแต่คนเข้าใจและศรัทธากรรมวิบาก ก็จะเหลือเพียงกำเนิดสวรรค์ อบายภูมิทั้งหลายจะหายไป นั่นไม่ใช่วิสัยของสังสารวัฏ”
“แล้วไม่ดีเหรอคะ? เหลือแต่ทางไปสวรรค์และนิพพาน ทำไมวิสัยของสังสารวัฏถึงเหมือนกับต้องใจร้ายกับสัตว์ส่วนหนึ่งที่หลงผิดด้วย?”
“ไม่มีใครใจร้ายหรอก เพราะไม่มีใครไปแกล้งกำหนดไว้ ธรรมชาติเขาเป็นของเขาอย่างนั้นมาแต่ไหนแต่ไร แม้พวกเรานั่งคุยกันอยู่นี้ ก็คือการแสดงตัวของธรรมชาติ เป็นการทำงานของธรรมชาติ กรรมเก่าคุมรูปของหนูทรายให้เป็นไปตามที่ผมเห็น กรรมปัจจุบันคุมคำพูดของหนูทรายให้เป็นไปตามที่ผมได้ยิน และกรรมโดยรวมของหนูทรายจะเป็นปราการไม่ให้เขวออกนอกลู่นอกทาง ไม่ให้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว นี่ก็ทำนองเดียวกัน กรรมของคนที่เขาเห็นผิด ก็จะฉุดรั้งเขาไม่ให้มาเห็นถูกเห็นชอบได้ แม้จะชูธงวิทยาศาสตร์นำหน้าไปหาเขาก็ตาม”
ประโยคสุดท้ายของอุปการะทำให้จองฤกษ์พยักหน้านิดหนึ่งและกล่าวเสริม
๒๗๗
“สำหรับหลายๆ คน ปัจจุบันวิทยาศาสตร์ก็เป็นเพียงประเด็นถกเถียงที่ยังหาข้อยุติไม่ได้เท่านั้น”
“แปลว่าถึงแม้ฤกษ์จะสร้างเครื่องพยากรณ์กรรมสำเร็จ ก็ไม่มีทางที่จะแพร่หลายเป็นที่ยอมรับทั่วไปหรือคะ?”
คำถามนั้นเพื่อให้อุปการะทำนาย แต่แทนการทำนาย พ่อหมอกลับกล่าวอย่างเป็นกลาง
“โลกนี้เต็มไปด้วยกลุ่มทุนนิยม ลัทธิซาตาน และกลุ่มความเชื่อทางศาสนาที่เขาไม่ยอมรับเรื่องกรรมวิบาก ผมพูดแค่นี้หนูนึกออกไหมว่าเครื่องพยากรณ์กรรมจะเจอแรงเสียดทานขนาดไหน?”
เด็กสาวเงยหน้าขึ้นสูงอย่างถึงบางอ้อ
“เข้าใจล่ะค่ะ...” ทว่าเมื่อนึกอะไรขึ้นได้ก็กังขาอีก “สมัยนี้ความรู้ที่พิสูจน์ได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์มักเป็นที่ยอมรับโดยปราศจากอคติ เหมือนที่ความเชื่อสืบๆ กันมาบอกว่าโลกแบน ก็ต้องถูกล้มล้างไปด้วยภาพถ่ายจากอวกาศ ขอเพียงมีประจักษ์หลักฐาน มนุษย์เราก็ใช่จะมัวหลงยึดติดกับความเชื่อปรัมปรานี่คะ?”
“ความรู้เรื่องโลกกลมไม่ได้เปลี่ยนแปลงวิธีใช้ชีวิตของคนๆ หนึ่งสักเท่าไหร่นี่ ความรู้ใดไม่เปลี่ยนเส้นทางกรรมของมนุษย์ ธรรมชาติจะอนุญาตให้ความรู้นั้นแพร่หลายได้โดยไม่พบแรงเสียดทานมากนักหรอก”
ณชะเลเอนหลังพิงพนัก ยิ้มออกมาด้วยความฉงนระคนทึ่งในความพิสดารพันลึกของธรรมชาติ ใคร่ครวญแล้วร่ำๆ จะเห็น ‘สัจธรรม’ ตามอุปการะกล่าวขึ้นมารางๆ แม้แต่ ‘ความรู้’ ก็มีระดับของตัวเอง ว่ามีอภิสิทธิ์หรือเป็นของต้องห้ามเพียงใด
“เพราะอย่างนี้ใช่ไหมคะ ศาสนาที่เอาความจริงมาเปิดเผย เอาประโยชน์สูงสุดมาประกาศแสดง ถึงเป็นศาสนาที่กวาดคนได้นิดเดียว กลายเป็นชนกลุ่มน้อยที่ไม่อยากมีใครมาร่วมพวกด้วยเท่าไหร่ เมื่อก่อนทรายเคยคิดๆ สงสัยเหมือนกัน ว่าถ้าพุทธเราสอนให้เห็นตามจริง พิสูจน์ความจริงได้เป็นปัจจุบันอย่างที่สุด ทำไมจึงมีคนศรัทธาเกือบๆ จะน้อยที่สุด โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับความเชื่อแนวอื่น”
“คนต้องมีบุญเก่าที่อยากทำให้เปิดตามองโลกตามจริง แล้วก็ต้องมีบุญใหม่เปิดม่านอุปาทานให้ไปรับรู้อะไรๆ ตามจริงได้ นี่นับเป็นเรื่องยากสำหรับสรรพสัตว์ที่เกิดมาพร้อมกับอวิชชา และยินดีจมปลักอยู่กับกามกิเลส เกือบทุกคนล้วนก่อกรรมในแบบที่ทำให้จิตใจมืดมน หรือโปะม่านอุปาทานบดบังความจริงแน่นหนาขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนั้น”
จองฤกษ์เอ่ยแทรก
“ในอเมริกามีการตั้งสำนักเกี่ยวกับจิตวิญญาณกันเป็นหมื่น แนวเชื่อใหม่ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดไม่เว้นแต่ละวัน ผมพยายามค้นคว้าเรื่องกรรม ก็พบลัทธิที่เชื่อเกี่ยวกับกรรมวิบากอยู่มากพอควรนี่ครับ”
“ความเชื่อเรื่องกรรมวิบากมีมานาน ก่อนยุคพุทธกาลเสียอีก พวกเขาเชื่อว่ากรรมวิบากมีจริง แต่ก็เชื่อตามที่เขาเห็นด้วยญาณระดับเขา หรือกะเก็งด้วยสติปัญญาแบบเขา หรือคาดเดาเอาตามอัตโนมัติของเขา ยกตัวอย่างความเชื่อเช่น พึงช่วยสัตว์ให้พ้นทรมานในบ่วงกรรมดำด้วยการฆ่าบูชาเทพเจ้า หรืออย่างเช่น ใส่บาตรพร้อมหนังสือโป๊จะทำให้ได้กามตามปรารถนา เหล่านี้ล้วนแล้วแต่สะท้อนความเชื่อกรรมวิบากแบบผิดเหตุผิดผล”
จองฤกษ์หัวเราะหน่อยๆ เกิดความอยากรู้ตามประสาหนุ่ม
๒๗๘
“แล้วถึงแม้หวังดี อยากให้หลวงพี่มีความสุข การใส่บาตรด้วยหนังสือโป๊ก็จะไม่ได้บุญเลยหรือครับ?”
“ได้เหมือนกัน แต่ได้อัตภาพหนึ่งซึ่งมีกามเป็นเครื่องทารุณ ทำนองเดียวกับคนต้องทนปวดแสบปวดร้อนเสพกามทั้งมีแผลสด หรือถ้าเขามีวาสนาได้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะมักมาก และตกอยู่ในสถานะลำบากอย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับกาม เช่นหื่นกระหายตลอดเวลา ห้ามตัวเองไม่ได้ แถมอาจได้อัตภาพหญิง ไม่ใช่อัตภาพชายที่เอาแต่สนุกอย่างเดียว”
“ทำไมโทษหนักนักล่ะครับ?”
“เพราะหมู่มนุษย์ย่อมรู้อยู่ว่าพระเป็นมนุษย์พวกที่มีฐานะพรากจากกาม ประพฤติตัวเพื่อออกจากกาม เพื่อพรหมจรรย์ เพื่อยกระดับจิตให้สูงเหนือโลก การให้สิ่งย้อมใจ ปลุกเร้าความกำหนัดยินดี ก็คือลากท่านกลับมาลงต่ำด้วยเครื่องล่อที่เผ็ดร้อน ความเผ็ดร้อนนั้นเองที่จะย้อนกลับมาให้ผลในกาลข้างหน้า”
“เป็นอย่างนี้เอง... ฟังแล้วเพิ่งได้คิดเหมือนกันนะครับ ถึงแม้เชื่อว่ากรรมวิบากมีจริง แต่จับเหตุจับผลไม่ถูก ก็ทำให้ก่อกรรมชั่วทั้งๆ ที่คิดว่ากำลังทำดีอยู่นั่นแหละ”
“ขณะยังมีอวิชชา ตัณหา อุปาทานหนาแน่น คนเราคิดเห็นทึกทักไปได้เรื่อย สุดแต่กิเลสจะสั่งให้เชื่อ”
“เพราะอย่างนี้ถึงต้องมีการทำสมาธิ ชำระจิตให้สะอาดเสียก่อนใช่ไหมครับ? คนเราถึงจะรู้เหตุรู้ผล รู้กลไกของกรรมวิบากอย่างถูกต้องเที่ยงตรง”
“ขั้นต้นของการหยั่งรู้เหตุผลและกลไกกรรมวิบากได้อย่างถูกต้องนั้น ไม่ใช่ด้วยการทำสมาธิ แต่ด้วยการมีพื้นฐานความเห็นที่ชัดเจน ว่าราคะ โทสะ โมหะนั้น เป็นมูลรากของอกุศลเจตนาทั้งปวง และในทางตรงข้าม ความไม่มีราคะ ความไม่มีโทสะ ความไม่มีโมหะ ก็เป็นรากของกุศลเจตนาทั้งปวงด้วย เมื่อรู้ตามจริงอย่างนี้ การศึกษาเรื่องกรรมวิบากจะไม่หลงทางเลย”
จองฤกษ์ตาตื่นตั้งตัวตรง เพราะรู้สึกว่าได้กุญแจสำคัญสูงสุดดอกแรก ก่อนหน้านี้เขาพยายามจับทางว่าจะนับหนึ่งที่ตรงไหนดี ทว่ายิ่งแตกกิ่งก้านสาขาความเป็นไปได้ของการประกอบกรรมมากขึ้นเท่าไร อะไรๆ ก็ยิ่งออกอ่าวมากขึ้นเท่านั้น
“ถ้าบอกว่าโทสะเป็นสิ่งผิด เป็นฝักฝ่ายกันกับบาปอกุศล อย่างนี้พอเข้าใจได้ง่าย เพราะโทสะเป็นชนวนเหตุของการด่าทอ การทำลายล้าง และการฆ่าฟันกัน แต่... จะบอกว่าราคะเป็นสิ่งผิด หรือเป็นฝักฝ่ายกันกับบาปอกุศลได้อย่างไรครับ? ในเมื่อมนุษย์เราก็ถือกำเนิดมาจากราคะกันถ้วนหน้า”
“น้องต้องแยกให้ออก กามราคะในฐานะของเหตุให้เกิดรูปกายก็ส่วนหนึ่ง กามราคะในฐานะของเหตุให้เกิดจิตหม่นหมองก็ส่วนหนึ่ง ถ้าน้องเล็งมาที่จิต ข้อสงสัยจะตกไปง่ายขึ้น”
“ยังสงสัยอยู่ดีครับ ฟังเหมือนจิตที่มีราคะคือจิตที่ผิด”
“ถ้าไม่ใช้คำว่า ‘ผิด’ แต่ใช้คำว่า ‘เป็นมูลเหตุ’ อย่างนี้จะรับได้มากขึ้นไหม?”
“อ๋อ...”
๒๗๙
“ราคะเป็นมูลเหตุให้เกิดความบาดหมางใจกันเมื่อไม่ยินยอมมีเพศสัมพันธ์กัน จริงไหม? ราคะเป็นมูลเหตุให้เกิดความบาดเจ็บรุนแรงโดยการข่มขืน จริงไหม? เพราะราคะเป็นมูลเหตุให้เกิดการข่มเหงน้ำใจกันด้วยการลักลอบเป็นชู้ จริงไหม? ตัวราคะเองปรุงแต่งให้จิตหม่นมืดและเศร้าหมองเพียงชั่วขณะหนึ่ง แม้ยังไม่เป็นบาปผิด แต่ก็เฉียดกันกับภพที่มืดมน ขอเพียงขาดใจตายไปในขณะกำลังมีราคะแก่กล้า คติที่ไปย่อมไม่แจ่มใสสว่างได้เลย”
จองฤกษ์เม้มปาก ยังไม่หายคลางแคลง แต่ในที่สุดก็รับเบาๆ
“ครับ รู้สึกจะเห็นอะไรมากขึ้น”
“เว้ากันซื่อๆ อย่างนี้เถอะ คนเราเมื่อกำลังเล็งโลภอยากเสพกามจัดๆ ล้วนแล้วแต่มีความทะยานไปในทางต่ำ น้องลองนึกถึงหน้าตาและตัวตนขณะราคะแก่กล้า คิดดูซิว่าเหมือนออกไปในทางเข้าป่ารกชัฏหรือออกสู่ทางโล่งสบาย ขณะที่จิตถูกปรุงแต่งให้ทึบแน่นด้วยความทะยานอยาก ตรงนั้นคือการเข้าฝักฝ่ายความมืด เข้าฝักฝ่ายอกุศล แม้จะไม่เป็นบาปทันทีก็ตาม แต่ขณะที่จิตถูกปรุงแต่งให้ปลอดโปร่งด้วยความคลายกำหนัด ตรงนั้นคือการเข้าฝักฝ่ายความสว่าง เข้าฝักฝ่ายกุศล แม้จะไม่เป็นบุญทันทีก็ตาม”
“ครับ”
“หากจิตสำนึกยังเหนือกามก็เสมอตัว แต่หากกามเหนือจิตสำนึก หลงเสพบ่อยถึงระดับหมกมุ่น นั่นแหละความมืดเริ่มมาครอบเต็มๆ แล้ว สังเกตได้ว่าชักคิดแสวงกามแบบผิดๆ แล้ว นี่ไง หมู่ชายหญิงที่หมกมุ่นเรื่องกามถึงพากันมีความคิดและคำพูดไปในทางต่ำ หรือออกไปในทางเสียดแทงทิ่มตำ ซึ่งก็เลียนแบบอาการหยาบๆ ทางกายมานั่นเอง”
“แปลว่าถ้ายังทำกรรมอันเป็นไปเพื่อติดอยู่ในกามแบบมนุษย์ ก็หมดสิทธิ์ขึ้นสวรรค์ใช่ไหม?”
“การมีราคะอยู่ในขอบเขต คือคู่ผัวตัวเมียเดียว ได้กันด้วยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย ได้กันโดยความยินยอมพร้อมใจของผู้ปกครอง หรือได้กันด้วยความเหมาะสมอันปราศจากความเดือดเนื้อร้อนใจของใครๆ กับทั้งไม่ชักชวนกันประพฤติสำส่อนสวิงกิ้งตามสมัยนิยม อันนั้นจัดเป็นกามที่พึงมีพึงได้ในขอบเขตของศีล ๕ และถ้ามีกุศลจิตจากการประกอบบุญด้านอื่นๆ ทำให้ชีวิตมีจิตที่สว่างอยู่โดยมาก อย่างนั้นก็ตายด้วยความผ่องใสได้ถึงระดับสวรรค์”
จองฤกษ์จดตามยิก พออุปการะพูดจบเขาก็เงยหน้าขึ้นถามทันที
“กรรมอันเจือด้วยราคะ โทสะ โมหะ เข้าข่ายอกุศล ส่วนกรรมอันไม่เจือด้วยราคะ โทสะ โมหะ เข้าข่ายกุศล ถูกไหมครับ?”
“ถูก!”
“แปลว่าถ้าไม่เสพกามเลย จัดเป็นบุญ เป็นกุศลใหญ่?”
“ก็ไม่เชิง คือต้องดูด้วยว่าคนไม่เสพกามนั้นคิดอะไรอยู่ หวังอะไรอยู่ บางคนไม่เสพกามเพื่อมาคุยโวว่าฉันวิเศษวิโสเหนือกว่าคนอื่นก็มี นี่เรียกว่าเริ่มไม่เสพกามกันด้วยความคิดอกุศลแล้ว”
“แล้วอย่างไรจึงเรียกว่าไม่เสพกามแล้วเป็นบุญใหญ่ครับ?”
“ก็ด้วยความหวังว่าจะชำระจิตให้สะอาด ปราศจากมลทิน อันนี้ต้องมีหลักการด้วย เช่นทำกรรมสม่ำเสมอที่เรียกถือศีล ๘ เพื่อให้เกิดความปลอดโปร่ง มีความพรักพร้อมพอจะปฏิบัติสมาธิภาวนาให้ก้าวหน้า หรือที่สูงส่งขึ้นกว่านั้น คือ
๒๘๐
พิจารณาด้วยปัญญาแล้ว เห็นการเสพกามเป็นเครื่องขวางความหลุดพ้น ก็ดำริที่จะละเสีย เพื่อดำเนินตามมรรคาของพระพุทธเจ้าให้ยิ่งๆ ขึ้นไปจนครบถ้วนเต็มขั้น กระทั่งพ้นทุกข์ พ้นอุปาทานหลงผิดทั้งปวง”
“สรุปคือกรรมที่ประเสริฐสุดตามมุมมองของพุทธศาสนา คือการตั้งใจปลดปล่อยจิตจากบาปอกุศลและอุปาทานครอบงำทั้งปวง?”
“ถูกต้อง!”
จองฤกษ์เคาะปากกาลงกับสมุดบันทึกด้วยสติที่ตื่นโพลง หากกฎแห่งกรรมวิบากอันสลับซับซ้อนยืนพื้นอยู่บนศูนย์กลางที่เข้าใจได้ง่ายๆ ข้างต้น ก็ถือว่าเขาพบเค้าเงาของการเริ่มประดิษฐ์เครื่องพยากรณ์กรรมจริงๆ แล้ว
“ขอบคุณครับ คิดว่าผมคงออกจากจุดเริ่มต้นได้ด้วยเกณฑ์ที่พ่อหมอว่ามานี่เอง หากปราศจากหลักเกณฑ์หรือเครื่องชี้ชัด ว่าอันไหนเป็นกุศล อันไหนเป็นอกุศล ผมคงต้องวิ่งวนอยู่แถวๆ จุดเริ่มต้นอีกนาน”
อุปการะเล็งดูระบบความคิดของจองฤกษ์แล้วเกิดความทึ่ง หนุ่มเก่งคนนี้มีรูปความคิดที่มหัศจรรย์ซึ่งพบไม่ได้ง่ายๆ ในคนทั่วไป คือเมื่อเกิดประกายปัญญาสว่างวาบขึ้นครั้งหนึ่งแล้ว ก็จะเกิดกิ่งก้านสาขาทางความคิดแตกแขนงออกไปอย่างกว้างขวาง มีความสลับซับซ้อนและเป็นระเบียบยิ่ง แม้ขณะพูดอยู่แท้ๆ กิ่งก้านความคิดก็ยังแตกออกไปเป็นระยะ
“น้องเป็นคนคิดเร็วมากนะ ได้หน้าไม่ลืมหลัง แล้วก็มีความมุ่งมั่น มีไฟทะยานแรงดีเสียด้วย”
อดไม่ได้ที่จะเอ่ยชม ซึ่งโดยทางใดทางหนึ่ง เด็กหนุ่มสามารถสัมผัสได้ว่ากิ่งก้านสาขาความคิดของตนกำลังถูกอ่านอย่างละเอียด
“พ่อหมอเห็นความคิดของผม อย่างนั้นเวลาผมคิดอะไร พอจะให้คำแนะนำว่าถูกทิศหรือผิดทางบ้างได้ไหมครับ? อะไรๆ อาจจะลัดสั้นเข้า”
อุปการะสั่นศีรษะ อธิบายให้อีกฝ่ายเข้าใจ
“ผมเห็นสายความคิดของน้องยืดออกจากจุดเริ่มต้น แยกซ้าย แยกขวา แล้วมีแขนงย่อยงอกเงยออกมา โดยสาขาอื่นๆ ไม่เลือนหาย นั่นทำให้รู้ว่าน้องเป็นคนคิดแบบได้หน้าไม่ลืมหลัง และการเห็นกิ่งก้านแขนงความคิดของน้องแตกออกไปเป็นระเบียบชัดเจนในชั่วไม่กี่พริบตา ก็ทำให้ทราบว่าน้องเป็นคนคิดเร็ว แต่อย่างไรก็ตาม เนื้อหาที่น้องคิดมันเกินขอบเขตพื้นฐานความรู้ของผม ผมไม่เข้าใจวิทยาศาสตร์ลึกซึ้ง เพียงแค่สัมผัสแต่ว่าน้องกำลังตรึกนึกเกี่ยวกับรหัสลับระดับจิ๋วมากๆ ซึ่งเป็นรากฐานของกายมนุษย์”
“ใช่ครับ! งั้นผมขออธิบายให้พ่อหมอฟัง เผื่อพ่อหมอสามารถให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์ ชี้นำให้ผมเชื่อมโยงกรรมวิบากเข้ากับรหัสมนุษย์ได้มากขึ้น”
“เอาซี ลองดู”
“คือเอ่อ...”
ชะงักคิดอย่างไม่ทราบจะเริ่มอธิบายเป็นภาษาธรรมดาอย่างไร
“อธิบายเป็นคำพูดธรรมดาของน้องเถอะ” อุปการะบอกอย่างทราบข้ออึดอัดลำบากของอีกฝ่าย “เอาแบบที่พูดให้หนูทรายฟังก็ได้ จิตผมจะเห็นเป็นฉากๆ เองว่าอะไรเป็นอะไร”
“ครับ” จองฤกษ์กระแอมก่อนเริ่มสาธยาย “ทุกชีวิตเคยเป็นเซลล์เล็กๆ เพียงเซลล์เดียวมาก่อน แต่ก็ได้ทวีตัวมากขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นหลายล้านนับไม่ถ้วน และถึงแม้จำนวนเซลล์ในกายเราจะมีมากมายเหมือนเม็ดทรายในกระบะ แต่
๒๘๑
แกนของทุกเซลล์จะมีข้อมูลเหมือนๆ กันหมด ทำนองเดียวกับที่ใครได้เลขประจำตัวเป็นอะไร องค์ประกอบร่างกายทุกชิ้นของเขาก็จะต้องใช้เลขประจำตัวนั้นเสมอ”
“อือม์...”
อุปการะครางรับอย่างเข้าใจจากจิต เพราะวิชารู้กายตามจริงของพระพุทธเจ้า ทำให้เขาเคยมีประสบการณ์เห็นกายเป็นนิมิตที่ย่อขยายได้ตามใจนึก เมื่อขยายแล้วก็จะเข้าไปเห็นชิ้นส่วนต่างๆ อย่างละเอียด และละเอียดลงไปถึงระดับอณูเนื้อ ยิ่งกว่าใช้กล้องจุลทรรศน์ขยายดูเยื่อบางบนจานแก้วเสียอีก เพียงแต่บอกไม่ถูกว่าสิ่งที่เห็นเป็นไปต่างๆ เหล่านั้น นักวิทยาศาสตร์เรียกว่าอะไรบ้าง
“ด้วยวิทยาการในวันนี้...” จองฤกษ์อธิบายต่อ “ถ้าดึงเส้นผมเส้นหนึ่งออกมาจากหนังหัวของเรา แล้วซอยย่อยออกเป็นร้อยเป็นพันส่วน เพื่อนำไปผ่านกรรมวิธีทางเคมีบางอย่าง เราจะสามารถแยกเอาสิ่งที่อยู่ในแกนของเซลล์ออกมา สิ่งนั้นเรียกว่าสายใยดีเอ็นเอ...”
อุปการะพยักหน้าอย่างผู้ทรงฌานที่สามารถรับข้อมูลลี้ลับได้รวดเร็ว
“ดีเอ็นเอนี่ใช่ไหม ที่น้องเชื่อว่าเป็นแหล่งรวมข้อมูล ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของคนๆ หนึ่ง?”
“ครับ!” เด็กหนุ่มประสานมือโน้มตัวไปข้างหน้า “ถ้าเราสามารถหาลำดับการเรียงตัวของดีเอ็นเอ ก็จะได้รหัสอะไรอย่างหนึ่งเข้ามาเก็บในรูปข้อมูลคอมพิวเตอร์ได้ ใช้งานวิเคราะห์ตามต้องการได้ง่าย ซึ่งปัจจุบันมีการเขียนไว้ในแบบเรียนเพียงว่า รหัสพันธุกรรมทำหน้าที่บังคับควบคุมให้รูปร่างหน้าตาของมนุษย์เป็นไปต่างๆ หรืออาจเป็นปมเหตุให้เกิดโรคผิดปกติเช่นมะเร็ง”
“แต่น้องจะเปลี่ยนความเชื่อเดิม พิสูจน์ให้เห็นว่ารหัสพันธุกรรมทำอะไรมากกว่านั้น”
“ครับ... ผมจะลงลึกไปถึงเหตุผลลี้ลับ ว่าทำไมดีเอ็นเอของแต่ละคนถึงมีการเข้ารหัสในแบบหนึ่งๆ ”
ณชะเลเพิ่งเข้าใจความคิดของแฟนหนุ่มกระจ่าง
“เธออาศัยความเชื่อทางพุทธ สันนิษฐานว่าเบื้องหลังของการเข้ารหัสพันธุกรรม ก็คือกรรมเก่าในอดีตชาติของคนๆ หนึ่งใช่ไหม?”
จองฤกษ์ผงกศีรษะ
“เราฝากอนาคตที่เหลือทั้งหมดของตัวเองไว้กับความเชื่อมั่นในพุทธศาสนาและญาณหยั่งรู้ของพ่อหมออุปการะ ถ้าหากเรื่องกรรมวิบากไม่จริง ชีวิตของเรานับแต่นี้จะเป็นไปเพื่องานวิจัยที่สูญเปล่า แต่ถ้าพุทธศาสนาและพ่อหมอพูดถูก ก็แปลว่าคุ้มที่เราจะอุทิศทั้งชีวิตที่เหลือให้กับเรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว!”
“รหัสซับซ้อนขนาดนั้น เธอจะตั้งต้นโยงเข้ากับเรื่องของกรรมวิบากได้ยังไง?”
“ก็ต้องค่อยๆ หาความสัมพันธ์ไป เช่นหากถอดรหัสพันธุกรรมของคนสวยคนหล่อออกมาเปรียบเทียบหาส่วนที่เหมือนกันได้ชัดๆ เราก็รู้ล่ะว่าส่วนนั้นๆ เป็นร่องรอยที่เกิดจากการทำทานด้วยศรัทธา หรือรักษาศีลได้สะอาดหมดจด”
“ทิศทางการค้นคว้าที่ไม่มีคนนำทางมาก่อนนี่ ท่าทางจะยากเอาเรื่องเหมือนนะ”
“ไม่มีคนนำไว้ก่อนก็มีข้อดีเหมือนกัน เราจะได้ไม่ติดอยู่กับกรอบความเชื่อแบบไหนๆ ด้วยไง อย่างเช่นเราอาจตั้งโจทย์ขึ้นมาเล่นๆ ว่าถ้าโหราศาสตร์เป็นเรื่องจริง ก็น่าจะมีความสัมพันธ์ระหว่างตำแหน่งดาวกับรหัสพันธุกรรม ถ้าพบความเกี่ยวโยงที่แน่นอนระหว่างการเรียงตัวของดวงดาวกับการเรียงตัวของดีเอ็นเอ หลายสิ่งหลายอย่างก็จะรวบรัดสั้นเข้า เช่นเอาข้อมูลเด็ดๆ จากตำราโหราศาสตร์มาประยุกต์ในทางใดทางหนึ่ง โดยไม่ต้องเสียเวลาค้นคว้าเอาเอง”
๒๘๒
ณชะเลยิ้มกว้าง นัยน์ตามีประกายความหวังแจ่มจรัส
“งานของเธอจะต้องอยู่ในบันทึกหน้าใหม่ของประวัติศาสตร์แน่ๆ เลยฤกษ์จ๋า”
พอเห็นความคาดหวังอันเรืองรองในแฟนสาว สีหน้าของเขากลับสลดลง
“เราคำนวณดู ขั้นตอนการค้นคว้าวิจัย ทั้งในส่วนความพยายามถอดรหัส เปรียบเทียบรหัส พิสูจน์ความสัมพันธ์กับกรรมวิบาก ตลอดจนกระทั่งการเก็บสถิติทดสอบความแม่นยำในการพยากรณ์ อาจต้องใช้เวลาเกินอายุขัยของมนุษย์คนหนึ่งไปมากนะทราย แถมเงินพันล้านของเราที่นึกว่ามากแล้ว ก็อาจน้อยเกินไปเสียอีก...”
อ่านต่อตอนที่ ๓๒ >> 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น