ตอนที่ ๑๕ จำนน
แผลยาวราวกับถูกกรีดด้วยมีดโกนที่โหนกแก้มนั้น ทำให้นันทกาสงสารลูกชายอย่างบอกไม่ถูก
หล่อนมานั่งทำแผลให้เขา ปากพึมพำเรื่องโน้นเรื่องนี้ฟังไม่ได้ศัพท์ จองฤกษ์ได้แต่ครึ่งนั่งครึ่งนอนนิ่งซึมไม่โต้ตอบหรือแสดงความเห็นใดๆ
“แกเลยต้องมารับเคราะห์เพราะแม่”
ปกติแม่ไม่ใช่คนยอมรับผิดง่ายๆ จะต้องเอาโทษไปฟาดคนอื่นเสมอ แต่ครั้งนี้คงเพราะเห็นเขาได้รับการสมนาคุณอย่างสยดสยองถึงในบ้าน แม่จึงลืมนิสัยเดิมและพร่ำพูดทำนองนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พอนันทกาแปะพลาสเตอร์เสร็จ จองฤกษ์ก็ปิดตาลง บอกแม่เสียงเรียบ
๑๒๗
“ไม่ใช่ความผิดของแม่หรอก มันเป็นกรรมของผมเอง”
ผู้เป็นมารดาขมวดคิ้ว
“แกไปทำอะไรไว้?”
“ผมเคยมีเรื่องกับเขา เอาขวดน้ำปาหัวแล้ววิ่งหนีน่ะ” เด็กหนุ่มเล่าแบบรวบรัดเสร็จก็หัวเราะหึหึ “ถ้าชาติหน้าผมเจอเขาเอาขวดน้ำเขวี้ยงใส่หัวบ้างคงจำไม่ได้ ก็ดีแล้วที่ชดใช้กันจบๆ ไปในชาตินี้”
“นี่แกกล้าไปมีเรื่องกับนักเลงโตได้ยังไง?”
“เอาเถอะแม่ เรื่องของผมจบไปแล้ว” ลืมตาขึ้นมองผู้ให้กำเนิดด้วยแววหรี่โรย “มาว่ากันเรื่องของแม่ดีกว่า แม่ติดหนี้เขาอยู่เท่าไหร่?”
นันทกาสะอึกอึ้ง ค่อยๆ เบนหน้าไปทางอื่น ไม่ตอบคำถามลูก
“แม่บอกผมเถอะ เราไม่ได้อยู่บนเรือคนละลำกันนะ ถ้าเรือจะจมผมก็ต้องพยายามช่วยอุดอยู่ดี”
“สี่ล้าน”
แม้จองฤกษ์เตรียมใจไว้ล่วงหน้า คำตอบแผ่วอ่อนนั้นก็ทำเอาเขาถึงกับสะดุ้งโหยงอุทานลั่น
“อะไรนะ?”
แม่ตั้งต้นสะอึกสะอื้นอีก และนั่นก็ทำให้จองฤกษ์สงบลงในนาทีต่อมา หลังจากครุ่นคิดอย่างหนักอึดใจใหญ่ก็ตัดสินใจเด็ดขาด
“เอาเถอะ” เขาปลอบเสียงเรียบ “ผมช่วยแม่ได้”
นันทกาไม่เคยโดนลูกหลอกให้ดีใจเล่น คำประกาศนั้นจึงคล้ายฟางเส้นสุดท้ายที่น่าดีใจเมื่อเจอ อย่างน้อยก็มีความอุ่นขึ้นมาในอกแตกต่างไปจากเดิม
“ยังไง?”
“แม่พาผมไปสวิสก็แล้วกัน ทุกอย่างที่เหลือผมจัดการเอง!”
“สวัสดีค่ะ”
“ทรายเหรอ นี่ฤกษ์นะ”
“อือ…”
เด็กสาวไม่แน่ใจนักว่าตนรู้สึกอย่างไรกับการได้ยินเสียงเพื่อนหนุ่มทางโทรศัพท์อีกครั้ง
“เราอยากขอบใจทราย”
“เรื่องอะไร?”
“ทรายทำให้เราเห็นโลกต่างไปมาก”
ณชะเลหัวเราะเล็กน้อยเพราะนึกว่าเพื่อนหนุ่มพูดเล่น
“เห็นแล้วใช่ไหมล่ะว่าตอนพระอาทิตย์ขึ้นนี่มันยิ่งกว่าปาฏิหาริย์ไหนๆ ทั้งหมด?”
“ใช่” เขารับด้วยการทอดเสียงเอื่อย “เราเพิ่งเงยหน้ามองฟ้า แล้วก็เพิ่งเห็นด้วยความแปลกใจว่าตอนมืดมีดาวสวยๆ ให้ดูด้วย ถึงแม้ว่ามองจากในเมืองจะหรอมแหรมไปซักหน่อย”
“มัวแต่มองคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็กล่ะสิ เลยไม่ได้รู้เห็นอะไรรอบตัวเหมือนคนอื่นเขา”
๑๒๘
“ก็จริง” ยอมรับอีก เหมือนกลายเป็นคนว่าง่ายที่สุดสำหรับณชะเลไปแล้ว “นอกจากนั้นเรายังเห็นว่าตัวเองโง่ขนาดไหนด้วย”
“อ๋า !ไม่อย่างนั้นหรอกมั้ง ทรายว่าฤกษ์ต้องไอคิวสูงทะลุเพดานธรรมดาไปมากเลยล่ะ ไม่งั้นจะเป็นเซียนแฮกเกอร์ได้ไง”
จองฤกษ์ถอนใจเบาๆ
“น่าลองสำรวจเหมือนกันนะ ว่าคนเอาไอคิวสูงๆ ของตัวเองไปทำอะไรกันมั่ง”
“เมื่อก่อนก็คงหนักไปทางคิดคำพูดสวยๆ ออกมาอธิบายโลก แต่ร้อยปีมานี้หลังจากที่มีไฟฟ้าใช้ ก็คงหนักไปทางสร้างโลกให้เป็นไปตามที่คิด”
เด็กหนุ่มยิ้มให้กับการสรุปของเพื่อนสาว และเสริมว่า
“ตอนนี้เราเห็นไปอีกอย่าง เมื่อก่อนคนเราหนักไปทางคิดแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเอง ร้อยปีมานี้หลังจากมีไฟฟ้าใช้ก็ยังหนักไปทางคิดแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเองกันอยู่ดี”
ณชะเลหัวเราะในลำคอ
“จริงเนาะ”
ตอบรับเสร็จก็ยิ้มดูใจตนเอง ทุกครั้งหลังจากคุยกันสองสามนาทีเช่นนี้ จะรู้สึกถึงแรงดึงดูดระหว่างหล่อนกับเขา แบบที่ทำให้สนิทใจไม่เป็นอื่น ผ่อนคลายและคุยกันตามสบายทุกเรื่อง โดยไม่ต้องเกรงว่าอีกฝ่ายจะเบื่อ อาการเช่นนี้ไม่เคยมีกับเพื่อนผู้ชายอื่นๆ มาก่อน
“เราเพิ่งเห็น” จองฤกษ์เอ่ยปลงๆ “ว่ายิ่งไอคิวสูงก็ยิ่งทำเรื่องโง่ๆ ได้มาก”
เด็กสาวทำหน้าสงกาเล็กๆ
“เจอประสบการณ์อะไรมาเหรอ? วันนี้ดูธรรมะธัมโมผิดปกติแฮะ”
เด็กหนุ่มหัวเราะหึหึ
“เขาว่าคนเราจะจำนนต่อศาสนาก็เมื่อจนตรอก ต้องการที่พึ่งพาจริงไหม?”
“พูดอย่างนั้นก็ไม่ถูกหรอก คนเรางมงายอยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่งเสมอ และบางศาสนาก็มีขึ้นเพื่อให้พ้นจากความงมงายทั้งปวง ด้วยความกล้าที่จะยอมรับความจริงตรงหน้า ไม่อวดดื้อถือดีทั้งรู้ว่าอะไรเป็นอะไร”
“เราเป็นคนดื้อ” จองฤกษ์ยอมรับ “โดยเฉพาะถ้าต้องรู้สึกว่ากำลังเชื่อคนอื่น ไม่ได้เชื่อตัวเอง”
“อือ… นั่นแหละ ถ้ายอดดื้อมาบวกกับยอดฉลาด ก็เป็นได้ทั้งคุณอนันต์และโทษมหันต์ สุดแท้แต่กิเลสจะสั่งให้เลือกดีหรือเลือกร้าย”
เด็กหนุ่มยิ้มสลดอยู่ทางปลายสายด้านหนึ่ง
“ถ้าเราคบกับทรายมาเรื่อยๆ ไม่ขาดสายก็ดีสิเนอะ เราจะได้หันด้านที่เป็นคุณออกมาให้โลกเห็นมากกว่านี้”
ณชะเลฟังแล้วอดไม่ได้ที่จะถามตรงไปตรงมา
“ฤกษ์… เธอกำลังสำนึกผิดอยู่เหรอ?”
“ใช่ !มากเสียด้วย”
“ทรายก็รู้สึกผิดอยู่บ่อยๆ เหมือนกันนะ” เด็กสาวค่อยๆ พูด “แต่บางครั้งก็มีคนอื่นทำให้ตระหนักในภายหลัง ว่าเรารู้สึกผิดเพราะคิดว่ามันผิด โดยที่แท้แล้วอาจจะไม่ใช่ความผิดบาปอะไรเลย ทุกอย่างขึ้นอยู่กับทิศทางของเจตนา”
๑๒๙
จองฤกษ์เบิกตาขึ้นเล็กน้อย
“ยกตัวอย่างหน่อยได้ไหม? ที่ทรายรู้สึกผิด แต่ความจริงไม่ได้ผิด”
ณชะเลเล่าทันที เพราะเป็นเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น
“เมื่อไม่นานนี่เอง ฤกษ์ได้ข่าวไหม? ที่มีคนส่งโทรจันไปหลอกชาวบ้านว่าเป็นโปรแกรมแอนตี้ไวรัส ทรายหลงดาวน์โหลดมาติดตั้ง แถมยังบอกซี้อีกสองคนให้ลงตาม พวกนั้นก็เชื่อทรายกันเพราะเครดิตเกี่ยวกับคอมพ์ของทรายดีกว่าเขาเยอะ เสร็จแล้วกลายเป็นว่าทำงานกันไม่ทัน เพราะโทรจันมันไปปรับระบบให้เซฟไฟล์ไม่ลง ทรายรู้สึกผิดที่ทำให้เพื่อนพลอยเดือดร้อนจนร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร แต่… พอไปปรึกษาคนที่เขามีญาณหยั่งรู้เรื่องกรรมวิบากลึกซึ้ง ก็ช่วยไขให้ทรายคลายใจว่าที่ทำไปนั้นเป็นบุญ เนื่องจากเจตนาดีกับเพื่อน ส่วนบาปเป็นเรื่องของแฮกเกอร์เต็มๆ เพราะเจตนาร้ายกับคนทั้งโลก!”
เด็กสาวไม่ตระหนักว่าการเล่าเพียงรวบรัดเท่านั้นเหมือนเป็นการเอาขวานจามกลางแสกหน้าคนฟัง ถึงกับทำเอาเขาตะลึงงันตัวชา นิ่งทื่อจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว!
“ฤกษ์…” ณชะเลเรียกเมื่อเห็นอีกฝ่ายเงียบนานจนหล่อนนึกว่าหลับ “ยังอยู่หรือเปล่านั่น?”
“อยู่… ฟังอยู่”
“แล้วไป นึกว่าฟังทรายเล่าจนหลับ”
“แล้ว… เอ่อ… คนที่ทรายบอกว่ามีญาณหยั่งรู้เรื่องกรรมวิบาก เขา… เขาแสดงความรู้ยังไงให้ทรายเชื่อ?”
“แค่ไปนั่งตรงหน้าเขาก็บอกหมดเลยว่าทรายเจออะไรมา รวมทั้งแจกแจงได้ด้วยว่าที่ต้องเจอแบบนั้นเพราะเคยทำอะไรไว้ รู้กระทั่งว่าตอน ๗ ขวบทรายเคยกินยาแล้วแพ้อย่างแรง ก็เพราะต้นเหตุทำนองเดียวกัน คือชาติก่อนๆ ไปหลอกสัตว์เลี้ยงซึ่งป่วยหนักให้กินยาพิษ ด้วยเจตนาสงเคราะห์ให้มันพ้นทรมาน ชาตินี้เสวยกรรมครั้งแรกด้วยการกินยาผิดขนาน เศษกรรมยังเหลือเลยต้องมาถูกหลอกให้เอาเชื้อโรคร้ายมาลงคอมพ์อีก แต่เขาก็บอกว่าทรายหมดกรรมแล้ว เพราะอโหสิเด็ดขาดแล้ว”
“คนมีญาณที่ว่านี่คือหมอดูเหรอ?”
“ก็ทำนองนั้น”
“ดูเหมือนทรายเล่าให้ฟังเกี่ยวกับหมอดูคนนี้มาครั้งหนึ่ง ที่เขารับรองว่าทรายส่งเจ้าอุ๊ยโหยไปดีกว่านี้ได้ถ้าให้มันรับกระแสบุญกุศลจากทรายมากๆ คนเดียวกันใช่ไหม?”
“อ๋อ… เคยเล่าแล้วเหรอ อือ… ก็คนเดียวกันนั่นแหละ ใช่ๆ จำได้แล้ว ฤกษ์ยังถามว่าทรายรักอุ๊ยโหยขนาดไปดูหมอให้มันเลยหรือไง ความจริงเจตนาแรกคือจะไปดูเรื่องนี้แหละ จากนั้นถึงโยงมาเรื่องอุ๊ยโหย คือเขาทำให้ทรายเชื่อว่าภพชาติมีจริง ก็เพราะพูดถึงความเป็นมาเป็นไปที่ทรายอยากเลี้ยงหมาน่ารักๆ เขาบอกถูกว่าอยู่ๆ ทรายก็นึกอยากเลี้ยงขึ้นมาเอง ซึ่งก็ตรงกับความจริง แล้วเขาก็บอกว่าที่อยากมีน่ะ เพราะกรรมสัมพันธ์บันดาลใจ เจ้าอุ๊ยโหยรอทรายอยู่แต่แรกแล้ว ไม่ใช่ว่าบังเอิญอยากมี และไม่ใช่บังเอิญไปเจอแล้วเอ็นดูอยากเอามาชุบเลี้ยง”
เด็กหนุ่มพยักหน้าน้อยๆ
“แล้วถ้า… ใครสักคนทำกรรมหนักมากๆ นี่จะแก้ได้ไหม?”
๑๓๐
ณชะเลสังหรณ์ว่าเพื่อนหนุ่มกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ไม่ใคร่ดีนัก หล่อนเกิดความอาทรขึ้นมามากมายจนประหลาดใจตนเอง และขณะเดียวกันก็อยากรู้อยากเห็นปัญหาของเขาเป็นอย่างยิ่ง เพราะเดาได้ไม่ยากนักว่าคงประกอบเวรอะไรสักอย่างเกี่ยวข้องกับคอมพิวเตอร์เป็นแน่
“เธอทำอะไรมาเหรอ?”
จองฤกษ์เงียบอึ้ง ความจริงยามนี้เขาไว้ใจณชะเลมากกว่าใครในโลก ติดขัดก็แต่ว่าหล่อนเองเพิ่งเป็นหนึ่งในเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายของเขาด้วย!
“ไม่เป็นไร ถ้ามันเป็นความลับของฤกษ์” ณชะเลทำเสียงรื่น “แม่ทรายบอกว่าการทำผิดเป็นเรื่องของทุกคน แต่การสำนึกผิดเป็นเรื่องของบางคนที่จะได้ดีกว่าเคย”
คนฟังยิ้มเศร้า เพราะหวั่นใจว่าความสำนึกผิดครั้งนี้อาจไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้นก็ได้
“ทราย… เราทำผิด และทรายก็ทำให้รู้ว่าเราควรสำนึกผิด เพราะฉะนั้นเราก็พร้อมจะคายความลับทั้งหมดที่มีให้ทรายรู้”
น้ำเสียงที่ออกมาจากใจจริงของจองฤกษ์ฟังแล้วน่าปลื้มสำหรับณชะเล
“ขอบใจที่ไว้ใจ” หล่อนเอ่ยช้าๆ “แต่ทรายไม่อยากพิสูจน์ว่าฤกษ์ไว้ใจทรายแค่ไหนด้วยการฟังความลับของฤกษ์หรอกนะ”
เด็กหนุ่มชั่งใจอยู่นาน ในที่สุดก็เลือกที่จะเก็บงำไว้ก่อนเพราะไม่แน่ใจว่าปฏิกิริยาของเพื่อนสาวจะเป็นเช่นใด
“บอกเราได้ไหมว่าหมอดูของทรายอยู่ที่ไหน?”
“แต่ก่อนเขานั่งอยู่ที่ห้าง ตอนนี้พี่สาวทรายบอกว่าเขาย้ายหลักแหล่งไปแล้ว น่าจะรับดูที่บ้านของเขาเองหรือไงนี่แหละ นี่ทรายก็กะชวนพี่สาวไปหาเขาอีกในวันเสาร์หรืออาทิตย์พอดี”
จองฤกษ์ลังเลอยู่เพียงไม่กี่พริบตาก็ขอว่า
“ให้เราติดไปด้วยคนได้ไหม?”
“ได้…” ณชะเลตอบตกลงทันที “เธอสะดวกวันเสาร์หรืออาทิตย์ล่ะ?”
“พรุ่งนี้เรากําลังจะไปทำธุระทางไกลกับแม่ วันศุกร์คงกลับ เพราะงั้นวันเสาร์คงโอเค แต่ให้แน่ใจขอเป็นวันอาทิตย์ดีกว่า ถ้าทรายไม่ติดอะไร เอ่อ… พูดง่ายๆ ทรายเลือกวันตามสบาย เสาร์หรืออาทิตย์เราคงพร้อมทั้งนั้น”
“โห !ลาเรียนห้าวันเลยเหรอ?”
“ใช่ !ธุระด่วนของแม่น่ะ”
“งั้นให้เธอทำธุระสบายๆ แล้วกัน ตกลงเป็นวันอาทิตย์นะ”
“โอเค… ขอบคุณมากนะทราย”
อเวราโทร .ไปยกเลิกนัดกับบวรพจน์ บอกเขาตรงๆ ว่ามีคนรู้จักมาที่บ้านโดยไม่นัดหมายและหล่อนไม่สามารถไล่ไปไหนได้ บวรพจน์ผู้แสนซื่อและแสนดีไม่ต่อว่าหล่อนสักคำ เพียงรับทราบด้วยอาการที่จ๋อยลงเท่านั้น หากเป็นเมื่อก่อนหล่อนคงรู้สึกเฉยๆ แต่เดี๋ยวนี้อเวรานึกสงสารเขามาก และบอกตนเองว่าไม่ควรเผลอนัดเขาดูหนังฟังเพลงอย่างนี้อีก เพราะรู้แน่ว่ารังแต่จะเป็นเหตุให้เขาผิดหวังซ้ำซาก ไม่มีวันที่หล่อนจะเปิดรับบวรพจน์เข้ามาในหัวใจได้ด้วยกรณีใดๆ เลย
๑๓๑
เสียงออดดังขึ้น อเวราลุกขึ้นไปไขประตูเปิดให้พฤหัส ทั้งสองเดินเคียงกันเงียบๆ เข้าบ้าน และพอปิดประตูเด็กหนุ่มก็วาดลวดลายเจ้าชู้ยักษ์ทันที คือเกี่ยวเอวหญิงสาวเข้ามากอดและโน้มใบหน้าลงจะหอมแก้มแสดงเจตจำนงที่มีอยู่ก่อนชัดแจ้ง
ปลายจมูกพลาดแก้มหอมไปแค่ฉิวเฉียด อเวรายันอกเขาและผละออกห่างอย่างละมุนละม่อม
“ต่อย…” หญิงสาวเอ่ยขณะหันหลังให้ “เธอบอกว่าเธอรักพี่ใช่ไหม?”
พฤหัสกะพริบตาปริบๆ แต่ก็ตอบโดยไม่ปล่อยเวลาให้เนิ่นช้านัก
“ให้ผมพูดซ้ำกี่ครั้งก็ได้ คนเราถ้ารู้สึกอะไรจริงๆ แม้แต่ตอนฝันก็ละเมอออกมาแบบนั้นแหละ ไม่เชื่อพี่เดี๋ยวพี่เค้กลองแอบฟังตอนผมหลับดิ้”
อเวราทำเสียงเฉยชา
“ถ้ารักจริงก็แปลว่าไม่จำเป็นต้องทำอะไรเกินเลยสินะ แค่คุยกันเฉยๆ ก็พอ”
เด็กหนุ่มลอบแยกเขี้ยวเอามือโปะหน้าผาก แต่ครู่เดียวก็ทำหน้าปกติรับคำ
“พี่เค้กไปซื้อกระจับแบบใส่กุญแจล็อกได้มาอันหนึ่งสิ ผมจะใส่ให้ดูเป็นการพิสูจน์ใจ”
หญิงสาวหัวเราะเศร้าๆ
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอก ตกลงกันทางวาจาก็ได้” เงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยสืบต่อ “พี่จะไม่อยู่สองต่อสองกับเธอในที่ลับหูลับตาคนอีก”
พฤหัสแค่นหัวเราะ
“เพื่อให้เห็นธาตุแท้ ดูซิว่าผมจะทนได้สักกี่น้ำใช่ไหม? จะดูถูกกันเกินไปแล้ว นึกว่าผมอยากอยู่ใกล้พี่เค้กด้วยความหื่นกามอย่างเดียวหรือ? โอเคเลยพี่เค้ก ไปคุยกันกลางทุ่งนาก็ได้… ไป!”
อเวรากลับหลังหันมองเขาอย่างจะอ่านใจ เมื่อเห็นสีหน้าสีตาจริงจังอย่างคำพูดก็เอ่ยชวน
“วันนี้ไปกินข้าวเที่ยงแถวบางปูกัน พี่อยากดูทะเล”
“งั้นออกตอนนี้เลยดีกว่า” พฤหัสรับคำทันที “พี่เค้กไปแต่งตัวเถอะ เดี๋ยวผมขับรถให้”
หญิงสาวยืนเงียบอยู่ครู่ ก่อนเดินขึ้นบันไดแบบระวังหลัง เกรงเขาจะตามขึ้นมา แต่ก็หาได้เป็นเช่นนั้น พฤหัสเดินแยกไปนั่งรอบนโซฟาโดยไม่มีท่าทีคิดรุกล้ำหรือผิดสัญญาใดๆ ทั้งสิ้น
ขึ้นห้องปิดประตูล็อกแน่นหนา เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเที่ยวง่ายๆ ดูเงาในกระจกหล่อนยังเหมือนวัยรุ่นเช่นเมื่อ ๖-๗ ปีก่อนแทบไม่เปลี่ยนแปลง แม้วันนี้จะเป็นครั้งแรกของการควงคู่กับพฤหัส แต่อเวราก็รู้สึกได้ว่าจะไม่มีการเคอะเขินเมื่อเดินด้วยกันไปไหนต่อไหน
คว้ากุญแจรถกลับลงมาข้างล่างและพยักหน้ากับเด็กหนุ่มรุ่นน้องเป็นสัญญาณชวนให้ออกเดินทาง พฤหัสทิ้งหนังสือพิมพ์ในมือและลุกขึ้นก้าวเท้าเป็นปกติ ยังไม่มีทีท่าจะกล้ำกรายเข้ามาแตะต้องแม้เท่าปลายเล็บอยู่ดี กระทั่งอเวรากลายเป็นฝ่ายชะลอจังหวะย่างก้าวรอเคียงใกล้แทบประชิดเขาเสียเองคล้ายจะลองใจ แต่จนแล้วจนรอดก็ปลอดภัยอยู่นั่นเอง
“ขอกุญแจครับพี่เค้ก ให้ผมบริการ”
เด็กหนุ่มแบมือยื่นมา อเวราสั่นศีรษะ
“พี่ขับเอง”
๑๓๒
“ไม่ไว้ใจเหรอ?”
“ไว้ใจ แต่เธอมีใบขับขี่แล้วรึ?”
“ถ้าไว้ใจก็ไม่ต้องถามหาใบขับขี่สิ”
“ไม่ประมาทไว้ก่อน เกิดอะไรขึ้นจะว่าไงล่ะ”
พฤหัสยักไหล่ ไม่อยากให้หล่อนรู้สึกว่าเขายังเป็นเด็กที่ไร้ความสามารถรับผิดชอบ เลยพูดแก้เกี้ยว
“ใครเป็นคนคิดกฎหมายก็ไม่รู้เนอะ รู้ได้ไงว่าอายุเท่าไหร่ถึงควรขับ ผมน่ะขับดีกว่าคนส่วนใหญ่ที่มั่วๆ กันบนถนนตั้งเยอะ”
“ทำใจเถอะ บุคคลที่ควรได้รับการยกเว้นอย่างเธอคงมีน้อยไป เขาเลยต้องออกกฎมาคุมให้ทั่วๆ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตามอย่างนี้เอง”
เด็กหนุ่มอมยิ้ม เพิ่งนึกออกว่าทำไมจึงไม่อยากห่างอเวราไปเร็วนัก ผู้หญิงบางคนมีหลายสิ่งที่น่าเสพมากไปกว่าเรือนกายอันชวนลองลิ้มชิมรส ต้องใช้เวลาค่อยๆ ละเลียดนานหน่อยจึงได้ชื่อว่าเสวยความเป็นเจ้าหล่อนครบทั้งตัว
รถเล็กๆ มีคุณสมบัติอย่างหนึ่ง พื้นที่จำกัดทำให้เกิดความรู้สึกใกล้ชิดสนิทแนบยามนั่งเคียงกัน และชายหญิงก็เหมือนแม่เหล็กขั้วตรงข้าม ยิ่งเอามาวางใกล้เท่าไหร่ก็ยิ่งดึงดูดแรงขึ้นเท่านั้น ขับออกถนนได้ไม่นานอเวราก็เกิดความคิดขึ้นมาแวบหนึ่งว่าประโยชน์อะไรต้องยอมเหงาแลกกับศักดิ์ศรีที่ไม่มีใครสนใจอีกต่อไปในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ด…
แรงดึงดูดระหว่างหญิงชายเป็นสิ่งน่าพิศวง ยามตกอยู่ภายใต้อำนาจของมัน จะเหมือนเหตุผลหลายร้อยหลายพันข้อที่เคยมีมาถูกกลบกลืนหายสูญไปจนสิ้น เหลือเพียงความน่าคล้อยตามธรรมชาติ เหลือเพียงดำฤษณาเฉพาะหน้า เหลือเพียงความรู้สึกเข้าคู่ที่ไม่ควรยับยั้งชั่งใจลังเลใดๆ สักน้อยหนึ่ง!
กว่าจะถึงบางปูก็ได้เวลาใกล้เที่ยง ทั้งสองมานั่งทานอาหารกลางวันกันในร้านชายทะเลที่มีทิวทัศน์พอดูได้ อย่างน้อยจิตใจก็ถูกปลดปล่อยไปสู่อากาศกว้างกว่าเมื่ออยู่ในมหานครอันรกแน่นไปด้วยตึกรามบ้านช่อง
พฤหัสเป็นฝ่ายชวนคุย ขณะที่อเวรานั่งเงียบและมีสีหน้าครุ่นคิดวิตกกังวลเป็นส่วนใหญ่ แม้เด็กหนุ่มพยายามโอ้โลมปฏิโลมเอาอกเอาใจให้ผ่อนคลายเพียงใด อย่างมากก็หัวเราะเป็นพักๆ แล้วกลับเคร่งขรึมอีก ความจริงหญิงสาวพยายามปล่อยใจไม่ให้คิดมาก แต่พอเผลอก็ฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานาโดยไม่ทันรู้สึกตัว
สัมผัสอันน่าติดใจจากพฤหัสเหมือนเสน่ห์ยาแฝด บรรยากาศใกล้ชิดกับเขาเร้าความรู้สึกอยู่เกือบตลอดเวลา และนั่นก็ทำให้ความคิดหักห้ามและความอยากรักนวลสงวนตัวของหล่อนอ่อนกำลังลงทุกที แม้กินข้าวอิ่มท้อง แต่ก็เหมือนความหิวยังไม่หาย กายใจยังไม่ถูกเติมให้เต็ม นั่นคงเพราะมนุษย์ถูกออกแบบมาให้กระหายในหลายสิ่ง และบัดนี้หล่อนก็ไม่เหลือเหตุผลที่จะปล่อยให้ตนเองหิวโซต่อไปอีกแล้ว
เรียกบริกรจ่ายค่าอาหาร หล่อนเป็นคนออกแม้ว่าเด็กหนุ่มทำทีจะขอเลี้ยง ก็เป็นความรู้สึกไปอีกแบบหนึ่ง ปกตฝ่ายชายเลี้ยงอาหารหล่อนเพื่อเอาหล่อนไปเป็นอาหารของเขา แต่คราวนี้เป็นฝ่ายเลี้ยงอาหารผู้ชายเพื่อเอาเขาไปเป็นอาหารของหล่อนบ้าง ิ
ทั้งสองเดินกลับมาที่รถ พฤหัสแปลกใจเล็กน้อยเมื่อหญิงสาวยื่นกุญแจให้
“พี่เหนื่อย อยากนอนพักสักหน่อย”
เด็กหนุ่มเม้มปากยิ้ม แม้ว่านั่นจะไม่ใช่การให้ท่าที่ชัดเจน แต่เขาหรือจะช้ากับการคว้าโอกาสทอง
“เอนเบาะนอนไม่สบายหรอกพี่เค้ก นอนพักตาในห้องแถวนี้สักแป๊บดีกว่าไหม?”
๑๓๓
อเวราทำตาปรือหน่อยๆ นิ่งเฉยไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ คล้ายใครว่าอย่างไรก็ว่าตามกันในยามใกล้หมดแรง ซึ่งสำหรับพฤหัสแล้วปฏิกิริยาชนิดนั้นช่างน่าพิสมัยเสียนี่กระไร!
ละแวกใกล้เคียงมีที่พักตากอากาศประปราย สภาพอยู่ในระดับพอทน แต่ข้อดีที่เห็นชัดคืออยู่ไกลหูไกลตาคนรู้จักหน่อย โอกาสจะโคจรไปพบใครที่ใกล้ตัวนั้นคงยากมาก
ขณะเดินเข้าห้องพัก เหมือนมีเสียงกระซิบถามตนเองอยู่เหมือนกัน ว่านี่หล่อนกำลังทำอะไร? ใจอ่อนอีกแล้วหรือ? มีอยู่วินาทีหนึ่งที่หญิงสาวอยากถอนเท้ากลับ แต่เหมือนสายเกินการณ์ เพราะพฤหัสรุกเร็วและร้อนแรง หล่อนขัดขืนและเอ่ยห้าม แต่นั่นก็คงเหมือนจริตจะก้านยั่วยุให้อารมณ์ของเด็กหนุ่มคุโชนมากกว่าอย่างอื่น
น่าประหลาด เมื่อครู่หล่อนก็เพิ่งถูกย่างสดด้วยเปลวเพลิงแห่งราคะ ทว่าพอจำนนให้กับมันเข้าจริงๆ ความรู้สึกกลับแปลกเปลี่ยนไปเป็นคนละเรื่อง หล่อนว่าหล่อนรู้สึกตัวชัดขึ้น เห็นทั้งความผิดฝาผิดตัว ความฝืนใจ และความรังเกียจทุกสัมผัสที่เกิด
พอของจริงมาถึง เหตุใดไม่ยักสนุกสุดเหวี่ยงเหมือนตอนจินตนาการเอาอย่างเดียวหนอ?
โลกียวิถีผ่านพ้นไป ความคิดอ่านเริ่มกลับมาเป็นปกติ อเวรานอนตะแคงนิ่ง ดวงตาเหม่อมองไปนอกหน้าต่างอย่างไร้จุดหมาย บอกตัวเองว่ารู้สึกผิดน้อยลง เพราะความรู้สึกผิดถูกแทนที่ด้วยความเคยชินและความจำยอมรับสภาพ
เตรียมใจไว้นิดๆ ว่าอาจต้องคิดมาก อาจต้องเครียด อาจต้องทุกข์โศกเสียใจกับการกระทำของตนเอง แต่ทุกอย่างกลับเป็นตรงกันข้ามไปหมด ยามนี้หล่อนว่าหล่อนอบอุ่นเป็นสุข เปิดใจยอมรับเขามากขึ้น และเริ่มถามตัวเองว่าทำไมเรื่องราวระหว่างเขากับหล่อนจึงเป็นสิ่งต้องห้าม มีเหตุผลอะไรถึงต้องคิดมากด้วย?
หล่อนรู้สึกผิดเพราะตัวเองบอกว่าผิด หรือเพราะรสรินบอกว่าผิด หรือเพราะสังคมบอกว่าผิด? ถ้าคนเราเป็นสุขโดยไม่มีใครเสียหาย มันจะกลายเป็นความผิดไปได้อย่างไร?
ทางข้างหน้าระหว่างหล่อนกับเขาอาจแสนสั้น แต่ทำไมจะต้องยี่หระ? ในเมื่อหล่อนผ่านการร่วมทางทั้งสั้นๆ กับชายอื่นมาแล้วหลายหน ผ่านจุดสิ้นสุดมาจนน่าจะชินชาและไม่หวาดกลัวกับการเผชิญกับมันอีกสักครั้ง คงไม่หนักหนาสาหัสไปกว่าคราวก่อนๆ สักเท่าไหร่กระมัง ในเมื่อคราวนี้เสน่ห์ในเชิงสังวาสของเด็กหนุ่มเท่านั้นที่ผูกมัดจิตใจหล่อนไว้ หาความผูกพันทางใจลึกซึ้งไม่เจอ เพราะเพิ่งพูดคุยกับเขาแทบนับคำได้ ไม่ทันเรียนรู้นิสัยใจคอสักเท่าใด แค่ข้ามวันก็ยอมนอนด้วยง่ายๆ อย่างนี้
ชายหญิงทุกคู่มีช่องว่างระหว่างกันทั้งสิ้น ไม่ว่าใครจับคู่ใคร จะต้องมีเรื่องให้รู้สึกผิดฝาผิดตัวอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่เสมอ คงไม่มีใครเข้าคู่ได้ราวกับตัวต่อที่ออกแบบไว้ให้ประกบกันสนิทมาแต่อ้อนแต่ออกเป็นแน่แท้
ความเข้ากันไม่ได้ระหว่างหล่อนกับพฤหัสปรากฏชัดหน่อยก็แค่ด้วยความต่างระหว่างวัยเท่านั้น…
พฤหัสอาสาขับรถกลับให้ แต่อเวราอดกังวลไม่ได เลยยึดกุญแจกลับคืนมาขอขับเอง ทั้งที่ความจริงก็อยากนั่งสบายๆ บ้าง ถ้าให้แลกกันระหว่างความสบายกายกับสบายใจ หล่อนขอเลือกความสบายใจดีกว่า อีตานี่เพิ่งทำให้รถหล่อนมีประวัติซ่อมมาหยกๆ แผลเก่ายังไม่ทันเอาไปปะ เดี๋ยวจะมีแถมแผลใหม่เป็นอภินันทนาการพิเศษเพิ่มให้อีก
พฤหัสพยายามเย้าแหย่ให้อเวราหัวเราะ หล่อนก็พยายามทำใจให้ระรื่นเหมือนกัน เวลาที่คนเราหัวเราะร่วมกัน ม่านหมอกแห่งความกังวลทั้งหลายก็หายหน
๑๓๔
เด็กหนุ่มเลือกจังหวะหนึ่งที่หญิงสาวเพิ่งเงียบเสียงหัวเราะ เอ่ยว่า
“ผมอยากเป็นความสบายใจของพี่เค้กตลอดไป”
อเวราคอแข็งเล็กน้อย สายตามองตรง เวลานี้หล่อนไม่อยากเสวนาในเรื่องที่จูงให้เกิดจินตนาการเกี่ยวกับอนาคตเท่าใดนัก จึงไม่ค่อยชอบคำว่า ‘ตลอดไป’ ของเขาเลย
“แค่เธอไม่เสพยาพี่ก็โล่งแล้ว”
หล่อนเลี่ยงไปทางนั้น
“อ๋อ !ไม่มีทาง”
“ไม่มีเพื่อนชวนหรือว่าได้รับการอบรมมาดี?”
“เปล่า…” เด็กหนุ่มตอบเอื่อยๆ “แบบว่าผมดูข่าวเห็นพวกค้ายามันชอบเอาถุงยาซุกไว้ในก้น คิดแล้วจะอ้วกถ้าต้องเสพยาจากตูดหนุ่มแปลกหน้า"
หญิงสาวหัวเราะขัน
“พูดซะนึกภาพออกเชียว” แล้วหล่อนก็เปรยด้วยน้ำเสียงเป็นกันเองแบบลดอายุตัวเองลงไปไล่เลี่ยกับเขา “ความจริงเรายังไม่ได้ทำความรู้จักกันเท่าไหร่เลยเนอะ”
“เออ !จริงด้วย!” เขาทำหน้าตกใจ “ผมชอบเผลอนึกว่าเรารู้จักกันมาตั้งแต่ตัวเท่าฝาหอย”
“ตีนเท่าฝาหอย” อเวราช่วยแก้ด้วยเสียงยานคางสดใส “เธอนี่มุขเยอะเหลือเกินนะ น่ายกให้เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการตีสนิท เก่งในเรื่องลวงสาวหน้าใหม่ให้หลงนึกว่าคุ้นเคยกันมานานซะจริงๆ ”
พฤหัสถึงกับสะอึก เหลือบตามาทางด้านขวาด้วยความเกร็งหน่อยๆ เพราะไม่เคยโดนหยิกด้วยสุ้มเสียงสำเนียงเริงร่าแบบนั้นมาก่อน ผู้หญิงคนนี้มีบางสิ่งที่เหมือนเปิดเผยและเข้าใจง่าย แต่ขณะเดียวกันก็คล้ายมีบาดแผลที่เร้นลึกและความคิดอ่านซับซ้อน เขาอยากเรียกว่านั่นคือเสน่ห์ชนิดหนึ่ง หลายๆ คำพูดของหล่อนคล้ายประกาศว่ารู้เท่าทันเขาหมด รวมทั้งพร้อมเสมอสำหรับวันที่เขาหมดเยื่อใย แต่ขณะเดียวกันก็มีวี่แววอ้อยอิ่งอาวรณ์ที่น่าสงสาร เหมือนหล่อนกำลังไล่คว้าเงาของคนรักที่มีอยู่ในตัวเขา แล้วก็เป็นการออกแรงวิ่งไล่เล่นๆ อย่างไร้ความหวังไปอย่างนั้นเอง
ความน่าสงสารเป็นเรื่องแปลก บางครั้งก่อให้เกิดความผูกมัดและสำนึกรับผิดชอบ แม้แต่ชายชาติเจ้าชู้อย่างที่สุดก็อาจมีผู้หญิงหมายเลขหนึ่งขึ้นมาง่ายๆ ด้วยความสงสารนี่เอง และอเวราก็เป็นประสบการณ์ครั้งแรกสำหรับเขา หล่อนน่าสงสารโดยยังไม่ทันต้องให้เห็นน้ำตาสักหยด…
อยากค้นหาให้เจอเหมือนกันว่าทำไมเยื่อใยที่มีให้อเวราจึงเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ บางทีเหมือนอุปาทาน แต่อุปาทานนั้นก็ปรากฏชัดคงเส้นคงวาเสียเหลือเกิน แม้ในอากาศระหว่างเขากับหล่อนก็ให้ความรู้สึกแตกต่างไปจากอากาศเดิมๆ เหมือนเข้าคู่กันแล้วเต็มไปด้วยกลิ่นอายแสนวิเศษซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นกับหญิงอื่นใดเลย
“พี่เค้ก” เขาวางมือบนตักนุ่ม “ผมอาจจะยังไม่รู้จักพี่เค้กดีนัก แต่ผมก็รู้สึกชัดมากนะว่าเราเป็นคนพิเศษของกันและกัน”
หัวใจเบาหวิว อเวราสัมผัสกระแสความจริงใจในคำพูดของพฤหัส และนาทีนั้นหล่อนก็รู้ตัวว่าความวาบหวามเคลิ้มฝันก่อตัวขึ้นอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้ ทั้งที่ระวังแต่แรกแล้วว่าจะไม่ให้มันเกิดขึ้นอย่างเด็ดขาด
ฉับพลันหญิงสาวก็ค่อยๆ ชะลอรถลงคลานจนจอดบนไหล่ทาง พอรถหยุดสนิทก็ยกสองมือขึ้นปิดหน้าและตั้งต้นสะอื้นไห้ด้วยความรันทดกับชะตากรรมอันน่าอดสูของตนเอง หล่อนเปล่าเปลี่ยวเดียวดาย ไม่มีใครเสียจนต้องมาแสวงหา
๑๓๕
ความอบอุ่นเอากับหนุ่มรุ่นน้อง ขนาดคนที่เป็นผู้ใหญ่กว่าเขาร้อยเท่าป้อนคำหวานพร้อมสัญญาแห่งอนาคตร่วมกันมั่นคง ยังแปรเปลี่ยนกลับกลอกราวกับเด็กเบื่อของเล่นชิ้นเก่า แล้วรุ่นพฤหัสน่ะหรือจะมีปัญญารับผิดชอบอนาคตอันเป็นนิรันดร์ให้กับหล่อนได้?
ความอัดอั้นตันใจเกือบระเบิดออกมาเป็นวาจาเชือดเฉือน โธ่เอ๊ยเด็กน้อย !หน้าอย่างเธอน่ะเหมาะจะเอาไว้ตะกุยแข้งฉันแก้คันเท่านั้น!
แต่ฉิวเฉียดเพียงนิดเดียว หญิงสาวก็สะกดอารมณ์เกรี้ยวกราดของตนไว้ได้ หล่อนไม่อยากมีนิสัยถ่ายทอดความเจ็บใจเก่าๆ ของตนไปให้คนอื่น นิสัยพาลชนิดนี้ประพฤติปฏิบัติจนติดแล้วแก้ยาก เหมือนเช่นที่เห็นในเพื่อนหล่อนหลายๆ คน อีกอย่างอเวราทราบดีว่าผู้ชายทุกวัยเกลียดการดูถูก โดยเฉพาะเมื่อโดนผู้หญิงตราหน้าว่าเป็นไก่อ่อนหรือเด็กน้อย การสบประมาทครั้งเดียวเพียงพอจะเป็นแผลลึกที่ทำให้เขาหนีหน้าไปและไม่เหลียวหลังกลับมาอีกเลย
ขบริมฝีปากห้ามใจมิให้เอ่ยคำใดออกมา เพราะในอารมณ์นั้นหล่อนคงไม่สามารถพูดอะไรดีๆ ได้
ครู่หนึ่งพฤหัสก็ดึงสองมือของหล่อนไปกุมอย่างอ่อนโยน
“ผมรู้ว่าพี่เค้กคบผมฆ่าเวลาเท่านั้น และผมเองก็ยอมรับว่าตอนแรกไม่เห็นอะไรอื่นนอกจากความน่ากินสมชื่อของพี่เค้ก แต่… ผมไม่รู้เหมือนกันนะ ตอนนี้ไม่รู้สึกว่าเราจะเป็นได้แค่คนที่บังเอิญเดินสวนกัน ทักทายหัวเราะเล่นหัวกันแป๊บหนึ่งแล้วโบกมือลา”
“งั้นเป็นอะไร?”
น้ำเสียงถามของหญิงสาวขื่นขม
“ผมเป็นเจ้าของพี่เค้ก” พฤหัสนึกถึงคำที่ตรงใจตนเองที่สุดในขณะนั้น “ผมอาจจะยังไม่มีปัญญาเลี้ยงดูพี่เค้ก แต่ก็แน่ใจว่าดูแลพี่เค้กไม่ให้ต้องร้องไห้อยู่คนเดียวได้”
พลังอบอุ่นในคำพูดของเขาดุจมนต์สะกดให้เสียงสะอื้นขาดสายลงอย่างเฉียบพลัน อเวราค่อยๆ ผินหน้ามามองเขาทั้งน้ำตานอง
“ต่อย…” น้ำเสียงหล่อนกลับเป็นปกติอีกครั้ง “พี่ว่าเราทั้งคู่อาจจะกำลังสายตาสั้นอยู่ก็ได้นะ เห็นอะไรแคบจำกัดเท่าที่ราคะมันบีบคั้นให้เห็น แล้วทึกทักว่าเป็นจริงเป็นจังทั้งหมด เธอน่ะเหรอเป็นเจ้าของพี่? นอกจากเรื่องบนเตียงแล้ว อะไรอีกที่ทำให้เธอรู้สึกอย่างนั้นได้?”
“ผมยังไม่มีอะไรที่ดูน่าเชื่อถือ แต่พี่เค้กจะให้ผมลองทำตามความตั้งใจดีๆ ของตัวเองบ้างไหมล่ะ?”
“หมายความว่ายังไง?”
“ให้ผมดูแลพี่เค้ก ในฐานะที่เป็นเจ้าของพี่เค้ก ดูซิว่าผมจะทำได้ไหม”
วูบนั้นอเวรารู้สึกขบขันจนต้องชักมือออกจากการเกาะกุมของเด็กหนุ่ม
“เธอจะเป็นแฟนพี่เหรอ?”
พฤหัสเบนสายตาออกสู่ทุ่งเวิ้งว้างข้างทาง
“ทำเสียงแบบนี้… ถ้าเห็นว่าคบผมไม่สมตัวก็ช่างเถอะ”
อเวราอึกอัก
“พี่ว่า…”
“ผมว่าตอนเราเดินควงกัน คนอื่นนึกว่าเป็นรุ่นเดียวกันหมดแหละ”
๑๓๖
“มันก็จริง แต่…”
“สิ่งที่จริงยิ่งกว่าอะไรคือใจพี่เค้กถอนไปจากผมไม่ได้หรอก ลองเปิดใจให้เหมือนคนรัก ทำตัวให้เหมือนคนรักดูจะเป็นไร ผมฟอร์มได้สนิทน่า… ตกลงไหม?”
เขาถามตัดและหันมาจ้องรอคำตอบ หญิงสาวเงียบไปครู่ใหญ่ ก่อนพยักหน้าเงียบๆ มันเป็นนาทีที่หล่อนมีสิทธิ์เลือก และหล่อนก็เลือกไปแล้วด้วยท่าทีจำนนและจนใจ โดยไม่ตระหนักเลยว่านาทีนั้นสำคัญกับชีวิตขนาดไหน
อ่านต่อตอนที่ ๑๖ >>
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น