วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2559

กรรมพยากรณ์ ตอนเลือกเกิดใหม่ (ตอนที่ ๓๒ ความเป็นไปได้)

<ย้อนกลับอ่านตอนที่ ๓๑

ตอนที่ ๓๒ ความเป็นไปได้

อเวราเข้าห้องเจ้านายใหญ่ผู้ทรงบุคลิกงามสง่า ได้ยินเขากำลังคุยโทรศัพท์เสียงเครียดอยู่พอดี
“ก็คุณพูดเหมือนหมาเห่านี่หว่า จะให้ผมทนฟังทุกวันได้ยังไง? แล้วนี่คนกำลังทำงานทำการยังไม่เว้น ทุเรศจริงๆ !”
เพียงได้ยินเท่านั้นก็รู้ทันทีว่าคู่สนทนาไม่ใช่ใครอื่น ภรรยาของเขานั่นเอง นี่เผอิญโผล่เข้ามาได้ยิน ‘ข้อสนทนาส่วนตัว’ อันน่าจะเป็นความลับของนายโดยไม่ตั้งใจ หล่อนสนิทกับเจ้านายจนลืมเคาะประตูเป็นบางครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาเพิ่งเป็นฝ่ายโทร.ใช้หล่อนหยิบแฟ้มเอกสารเข้ามาให้หยกๆ ใครจะไปนึกว่าแค่ไม่กี่นาทีให้หลัง บรรยากาศห้องนายจะเขม็งตึงขนาดนี้
พอเห็นหล่อน ท่านผู้บังคับบัญชาก็เงียบเสียงลงชั่วครู่ ทำหน้ายุ่งมองไปทางอื่น อเวราจึงรู้หน้าที่ รีบวางแฟ้มเอกสารแล้วปลีกตัวออกจากห้องไปโดยด่วน
คำพูดชนิด ‘หลุดปากในที่ทำงาน’ อย่างไม่เคยเป็นมาก่อนของนายเป็นความสะเทือนใจเอาเรื่อง เพราะแม้เพียงไม่กี่คำที่เอ่ยออกมาด้วยโทสะ ก็ลบภาพชีวิตสมบูรณ์แบบของเขาได้ทั้งหมด อุตส่าห์หลงนึกเสียตั้งนานว่านายมีครอบครัวแสนสุข และถือเป็นแบบอย่างว่าจะลอกเลียนเสียหน่อย เฮ้อ!
นายครองตัวสะอาด เป็นคนไม่เจ้าชู้มาได้จนอายุเหยียบ ๕๐ แม้หล่อนอยู่กับเขาสองต่อสองก็ไม่เคยมีลิ้นสองแฉกแลบออกมาสักครั้งเดียว เรียกว่าเป็นพ่อพระที่หาได้ยากมากในโลกความเป็นจริงปัจจุบัน และอเวราก็เคยเห็นภรรยาของนายหลายหน เป็นผู้หญิงที่ยังประเปรียวแม้เลยวัย ๔๐ ไปมากแล้ว ทั้งยิ้มง่าย ทั้งบุคลิกและท่วงทีสง่างามไม่แพ้สามี น่าจะใจเย็น คิดอ่านเป็นเหตุเป็นผลเสมอ
ไฉนพลิกกลับตาลปัตรไปได้?
บ่ายนี้ ชั่วเวลาเพียงแค่ไม่กี่วินาที ต้นแบบชีวิตครอบครัวในอุดมคติพลันพังครืน เพิ่งตระหนักว่าบางครอบครัวก็มีฉากนอกที่หลอกตาคนอื่นได้สนิทแนบเนียนนัก
กลับมานั่งที่โต๊ะ นัยน์ตาทอดเหม่อไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย รู้สึกคล้ายถูกต้มตุ๋นและเพิ่งตาสว่างสดๆ ร้อนๆ แม้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตถึงขนาดเสียขวัญ แต่หล่อนก็ตระหนก ตกใจ และรู้สึกผิดหวังอย่างแรง
๒๘๓
ความลับเผยออกมาแล้ว ครอบครัวของนายก็เหมือนกับทุกบ้านที่มีปากเสียง มีปัญหาระหองระแหงกัน จะถี่ห่างขนาดไหนก็ต้องเป็นทุกข์แน่ๆ การร่วมบ้านกับบุคคลที่ทำตัวเสมือนศัตรูคงเหมือนฝันร้ายติดๆ กันทุกคืน หล่อนเห็นนายตกอยู่ภายใต้สถานการณ์กดดันมาหลายหน แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่ระเบิดอารมณ์เป็นคำด่าทอเหมือนอย่างเมื่อครู่เลย
ยังไม่ทันสร่างจากอาการมึนซึม ก็ได้ยินเสียงร้องไห้กระซิกจากโต๊ะด้านข้าง โอ้! ไม่นะ โลกนัดกันแสดงละครฉากเศร้าให้หล่อนดูหรืออย่างไร ร้อยวันพันปีพิมพ์พรรณีไม่เคยร้องไห้ ก็ดันมาร้องเอาเดี๋ยวนี้!
แค่เพียงยินเสียงนิดเดียวก็เดาได้ทันทีว่าเป็นเรื่องอะไร เพราะพิมพ์พรรณีปรับทุกข์ให้ฟังมาหลายวันเกี่ยวกับแฟนหนุ่มที่ทำท่าจะไปด้วยกันไม่รอด
“อ้อย... เป็นอะไร?”
อเวราเลื่อนเก้าอี้ติดล้อไปนั่งใกล้ ถามนำไปอย่างนั้นเอง
“พี่ตู้เขาทิ้งอ้อยแล้วล่ะ...”
“รู้ได้ยังไง?”
“โทร.ไปหลายทีไม่รับ แล้วก็เพิ่งบอกมาทางเมล์เดี๋ยวนี้ ว่าเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเถอะ... เค้กลองอ่านดูสิ”
ความจริงอเวราคร้านที่จะอ่าน แต่ก็ช่วยอ่านอย่างรู้ว่าจะทำให้ฝ่ายนั้นอบอุ่นใจขึ้น และมีผู้แสดงความเห็นใจได้อย่างเข้าถึงมากขึ้น
“อือม์... เขาก็ทิ้งแต่คำดีๆ ไว้นี่นะ ตอนเค้กโดนครั้งสุดท้าย... เขาทิ้งคำบาดใจที่ทำให้ต้องจำไปนาน”
พิมพ์พรรณีเหลียวมองเพื่อนสาวทั้งน้ำตา แม้กำลังเศร้าก็อดสอดรู้สอดเห็นเรื่องของคนอื่นไม่ได้
“คำบาดใจยังไง?”
อเวรานิ่งไปนิดหนึ่งเพื่อสำรวจใจตนเอง ถึงจะเพิ่งสนิทเพราะนั่งใกล้กันไม่นาน ความรู้สึกก็บอกว่ายินดีคุยเปิดอกกับอีกฝ่ายได้
“ก็ทำนอง... เขาเจอคนใหม่ที่เหมาะกว่า เลยไม่อยากให้ทั้งเขาและเค้กเสียเวลาเปล่า... คือมันประกอบกับที่เค้กรู้ด้วยน่ะนะ ว่าผู้หญิงคนใหม่ของเขารวยมาก ชนิดที่บินไปเที่ยวสวิสกันได้ทุกเดือนเชียวล่ะ”
“เลวจริงๆ !”
“ไม่ได้เลวอะไรมากหรอก อย่างน้อยก็พูดความจริง แล้วก็ไม่ได้หลอกเอาเค้กไว้เป็นกิ๊กสำรองใช้ ทุกคนอยากได้แฟนรวยกันทั้งนั้นแหละ เพราะมันสบายเร็วไง... ของอ้อยนี่ดีออก เหตุผลที่เลิกเพราะครอบครัวเข้ากันไม่ได้ ซึ่งสถานการณ์ก็ทำให้อ้อยเตรียมใจมาได้นานพักหนึ่งแล้ว ใช่ว่าจู่ๆ เขาสะบัดก้นหนีแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยเสียที่ไหน”
พิมพ์พรรณีกรีดน้ำตาทิ้งด้วยปลายนิ้ว ก็จริงอย่างอเวราว่า ปริมาณน้ำตาคงช่วยวัดระดับความรักกันได้ น้ำตาของหล่อนแค่เอ่อขังขอบแล้วหยดหน่อยๆ ไม่ถึงกับไหลพรากออกมาอาบแก้มจนแฉะ สัมพันธภาพระหว่างหล่อนกับพี่ตู้ทุลักทุเลเก้ๆ กังๆ มาตั้งแต่ต้น โดยเฉพาะเกี่ยวกับญาติพี่น้อง พ่อแม่ปู่ย่าตายาย เหมือนเปิดโอกาสให้ฝึกทำใจวางเฉยนานๆ ก่อนได้เวลาขาดกันจริง
สำหรับฝ่ายหล่อน ตั้งข้อรังเกียจพี่ตู้ด้วยเหตุผลที่บ้ามาก คือพี่ตู้เป็นผู้ชายไทย ถ้าไม่ใช่ชายจีนแปลว่าขี้เกียจ ทั้งที่จริงพี่ตู้ก็ขยันตามปกติ แม้ไม่ทำงานตัวเป็นเกลียว ก็ใช่จะแปลว่าสร้างเนื้อสร้างตัวใน ๕ ปีหรือ ๑๐ ปีไม่สำเร็จเสียที่ไหน
ส่วนฝ่ายเขานั้น ตั้งข้อรังเกียจหล่อนด้วยเรื่องบ้ายิ่งกว่า คือหล่อนนามสกุลเดียวกับรองหัวหน้าพรรคการเมืองที่ทั้งบ้านเกลียด ทีแรกหล่อนเห็นว่าน่าขำ และพยายามบอกว่าหล่อนเป็นเพียงญาติหางแถว แถมตอนเลือกตั้งหล่อนก็ไม่ได้เอา
๒๘๔
พรรคของญาติทุกครั้ง ขึ้นอยู่กับตัวผู้สมัครเป็นสำคัญ แต่ยิ่งเข้าหาผู้ใหญ่นานขึ้นก็ชักขำไม่ออก สายตารังเกียจเดียดฉันท์ที่ยิงตรงมาที่หล่อนทำให้เกิดความอึดอัดจนอยากกรี๊ดดังๆ หลายหน
จุดแตกหักอย่างแท้จริงคงเป็นวันที่หล่อนเผลอตัว เถียงแทนญาติกลางโต๊ะทานข้าว ด้วยเพราะรู้ดีว่าญาติไม่ได้ทำเรื่องที่ใครๆ กำลังกล่าวหากันทั้งเมือง บ้านของพี่ตู้ถึงกับวางช้อนส้อม ลุกขึ้นทิ้งโต๊ะหนีเกือบหมด นับแต่นั้นหล่อนก็ไม่เคยได้เข้าบ้านพี่ตู้อีกเลย
คิดไปคิดมา จุกอกเข้าก็ส่งเสียงระบายดื้อๆ
“โฮ้ย! เป็นหมาดีกว่า! จับคู่กันจะได้ไม่ต้องเรื่องมาก”
อเวราได้ยินเพื่อนบ่นเช่นนั้นก็ใจหล่นวูบ รีบเตือนด้วยความเป็นห่วงทันที
“อย่าคิดอย่างนั้นเลยอ้อย”
พิมพ์พรรณีเห็นสีหน้าสีตาจริงจังของเพื่อนแล้วหัวเราะขบขัน แทบลืมความเศร้าโศกเป็นปลิดทิ้ง
“ทำไม กลัวอ้อยจะไปเป็นหมาจริงๆ เหรอ?”
“เธออย่าโพล่งอย่างนี้อีกก็แล้วกัน ถ้าพูดจนติดนิสัย ตอนตายจิตเธออาจสร้างภพอย่างนั้นขึ้นมาได้”
อเวราเอ่ยตามที่รู้มา แต่พิมพ์พรรณียังคงเห็นเป็นเรื่องตลก
“บ่นอยากเป็นอะไรก็เป็นกันง่ายๆ เงี้ยเหรอ? งั้นอ้อยบ่นอยากเป็นนางฟ้าก็ได้เป็นนางฟ้าน่ะซี?”
“ขึ้นสูงน่ะไม่ง่ายหรอก สัจธรรมมีอยู่ทั่วไป ถ้าอยากขึ้นสูงต้องออกแรงตะเกียกตะกายทวนกระแสกัน แต่ถ้าต่ำกว่าฐานที่ยืนอยู่ แค่เอาตัวไหลไปตามกระดานลื่นก็พอ เหมือนก่อนตายจิตประหวัดไปถึงความเป็นหมานิดเดียวก็เสร็จแล้ว”
พิมพ์พรรณีรับฟังเรื่อยๆ ไม่ถึงกับเห็นว่าเหลวไหลถ้าต้องคุยเรื่องภพภูมิในที่ทำงานยุค ๒๐๐๐ แต่ก็ไม่ได้เห็นคำพูดของเพื่อนน่าเชื่อถือหรือควรนำพาเป็นอารมณ์จริงจังเช่นกัน
“ฉันไปดูหมอมาล่ะ...” คนเพิ่งอกหักตัดสินใจเปลี่ยนเรื่อง น้ำตาเหือดแห้งลงสิ้น “เขาบอกว่ากว่าฉันจะเจอเนื้อคู่ก็ตั้ง ๒๙ แน่ะ สองรายเลยนะเธอ ดูตรงกันเปี๊ยบเลย”
“มีเหตุผลอะไรที่ต้องเป็น ๒๙?”
“ดวงดาวไง มันทำมุมเหมาะให้มีคู่ตอนนั้นมั้ง”
อเวรายักไหล่
“เหตุผลของดวงดาวอาจมีจริง แต่จะรู้ได้ไงว่าหมอดูรู้จริง?”
“แหม! จะทำตัวเป็นผู้ต่อต้านหมอดูหรือไง เธอน่ะไปดูมาบ้างหรือเปล่า?”
“ก็ดู”
ฝ่ายถูกรุกสารภาพง่ายๆ
“เห็นไหม! ตัวเองก็ดู สรุปคือดูทั้งๆ ที่สงสัยว่าหมอดูรู้จริงหรือไม่จริง”
“คนเราพอเหมือนถูกปิดหูปิดตาไม่ให้เห็นอะไร ก็อยากแกะผ้าผูกตาออก หรืออย่างน้อยที่สุดก็ฟังใครกระซิบข้างหูเสียหน่อยว่าตรงหน้าคืออะไร เบื้องไกลเป็นยังไง สวยงามหรือเลวร้ายแค่ไหน ถึงจะไม่แน่ใจว่าคนพูดแกะผ้าผูกตาของตัวเองออกได้แล้วหรือยังก็เถอะ เค้กแค่ตั้งประเด็นขึ้นมา คือ... ถ้าเหตุผลของทุกสิ่งขึ้นอยู่กับดวงดาวอย่างเดียว ชีวิตคนก็แค่เครื่องเล่นของดวงดาวน่ะซี มันน่าจะมีความหมายมากกว่านั้นนี่หน่า”
๒๘๕
พิมพ์พรรณียักไหล่บ้าง
“เค้กหมายถึงกรรมเก่าในอดีตชาติใช่ไหมที่ทำให้เราเป็นๆ กันอยู่อย่างนี้? ยังไงไม่รู้สินะ ไม่เคยมีใครทำให้อ้อยรู้สึกว่าเหตุการณ์ทั้งหลายมันผูกโยงกับอดีตชาติได้เสียด้วย แต่มีคนทำให้รู้สึกว่าทั้งหลายทั้งปวงมันผูกโยงกับดวงดาวจริง อ้อยก็ต้องเชื่อทางนี้ก่อนล่ะ”
“เท่าที่เค้กได้ยิน คือดวงดาวมีอิทธิพลจริง แต่คนเราจะตกอยู่ใต้อิทธิพลของดาวดวงไหน ราศีอะไร ก็ขึ้นอยู่กับกรรมเก่าส่งมา”
“แล้วเธอล่ะ ไปทำกรรมเก่าอะไรมานักหนา? ชาตินี้ก็ออกดี๊ดี ไหง...” พิมพ์พรรณียั้งปากไว้ เพราะแค่พูดเท่านั้นก็เห็นอเวราหน้าเสียอย่างคนโดนจี้ใจดำ จึงรีบเบนประเด็นอย่างแนบเนียน “อย่างเค้กนี่โหงวเฮ้งออกจะเหมือนคุณหนูคอยนั่งนับเงินแทนป๊ะป๋า ไหงต้องมาเป็นมนุษย์เงินเดือนก็ไม่รู้”
อเวรายิ้มเจื่อน เพราะตระหนักว่าเพื่อนเลี่ยงคำเดิมที่ตั้งใจพูดแต่แรก
“อ้อยจะบอกว่าถ้ากรรมวิบากมีจริง เค้กก็ออกดี๊ดี แต่ทำไมถูกทิ้งใช่ไหมล่ะ?... พูดไปเถอะ เค้กรับได้ ไม่ใช่เรื่องเจ็บปวดสักเท่าไหร่แล้ว ปลงตกแล้ว”
“ปลงว่า... เคยไปทิ้งเขามาก่อน?”
“ก็คงงั้น เพราะชาตินี้โดนจนชิน จนชา ด้วยวิธีเดิมๆ ตลอด มันคงไม่ใช่เรื่องฟลุก และถ้าธรรมชาติมีเหตุผล ไม่คอยแกล้งใครเล่นตามอำเภอใจ เค้กก็เชื่อว่าเค้กต้องทำคนอื่นไว้ก่อนเกิดมาในชาตินี้จริงๆ เพราะชาตินี้เค้กไม่เคยตั้งใจหลอกให้ใครมีความหวังลมๆ แล้งๆ สักคน...”
หญิงสาวพูดด้วยเสียงเรียบสนิท เรียบเสียจนคนฟังไม่รู้สึกเป็นเรื่องน่าสงสาร แต่ขณะเดียวกันก็ได้แรงบันดาลใจที่จะสงบสติอารมณ์ตาม
“ถ้าเธอเคยหลอกชาวบ้านไว้ในชาติก่อน ทำไมไม่ติดนิสัยเจ้าชู้ชอบหลอกมาบ้างล่ะ?”
นั่นคือสิ่งที่อเวราตอบไม่ได้
“อาจจะ... เข็ดแล้วอธิษฐาน กลับตัวกลับใจใหม่ในช่วงท้ายมั้ง ไม่รู้ซี ก็ได้แต่เดาส่งประสานักเดาคุยกันนั่นแหละ”
“ในเมื่อไม่รู้จริง และไม่มีทางรู้ได้ อย่างนี้จะมีประโยชน์อะไรถ้าโทษอดีตกาลปางบรรพ์แต่ครั้งไหน?”
“ก็... ประโยชน์ตรงที่จะได้ตั้งใจ ไม่หลอกคนอื่นให้รอเก้ออีกไง ชาตินี้ใช้ๆ กรรมให้หมดไป ชาติหน้าไม่ต้องเป็นทุกข์อีก”
อเวราตอบเท่าที่สติปัญญาของคนไม่รู้จริงคนหนึ่งจะเอื้อ และนั่นก็ทำให้พิมพ์พรรณีเบ้ปาก
“ไม่ยุติธรรมเลยนะถ้ามีใครบอกว่าควรทำอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ก็ไม่เห็นจะพิสูจน์ได้ว่าควรหรือไม่ควรเพราะอะไร อยากทำอย่างใจเสียหน่อยเลยไม่กล้า กลัวบาปกลัวกรรมกันไปหมด”
“อีกหน่อยอาจมีคนคิดเครื่องฉายภาพวิบากกรรมได้มั้ง แบบเอาไฟฉายส่องทะลุเข้าไปถึงวิญญาณพวกเรา เห็นเงาเป็นรูปร่างวิกลวิการกันทั่วหน้า”
สองสาวหัวเราะพร้อมกัน แต่พยายามให้เบาเสียงด้วยความเกรงเจ้านายในห้อง
อเวราและพิมพ์พรรณีเป็นเลขาฯประเภทที่พูดอังกฤษกับลูกค้าต่างประเทศได้ มีปฏิภาณคิดแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเล็กๆ น้อยๆ แทนนายได้ แล้วก็จัดการงานเอกสารทางคอมพิวเตอร์หลายๆ ชนิดได้ กับทั้งนั่งอยู่หน้าห้องเป็นด่านหน้าให้
๒๘๖
นายกันตามลำพังสองคน จึงค่อนข้างมีความเป็นส่วนตัวพอควร ทำให้สนิทกันเร็ว และอเวราก็เพิ่มความสนิทด้วยการนินทานาย
“เมื่อกี้ที่เอาแฟ้มเข้าไปให้นาย ฉันเพิ่งเห็นนายทะเลาะกับเมียด้วยล่ะ”
“อ๊าย! อย่างนายทะเลาะกับเมียด้วยเหรอ เห็นควงกันงานไหนก็จี๋จ๋ากันตลอด”
“พวกเราคงไม่รู้อะไรอีกเยอะ ฟังแค่ไม่กี่คำรู้เลยว่านายทนแรงกดดันที่บ้านมานาน ที่พูดนี่ไม่ได้ตั้งใจนินทานายลับหลังหรอก เพียงแต่เห็นว่าเป็นเรื่องน่าเล่าสู่กันฟัง เลยเอามาเผื่อแผ่ให้คนกำลังตกทุกข์ได้ยากอย่างเธอรู้สึกดีขึ้น”
พิมพ์พรรณีหัวเราะคิกคัก
“จ้ะ เรื่องน่าเล่าสู่กันฟังมากที่สุดก็คือเรื่องชาวบ้านนั่นเอง”
อเวราหัวเราะเขินๆ
“เค้กว่าเมื่อกี้เค้กเพิ่งเห็นสัจธรรมมาอย่างหนึ่ง”
“สัจธรรมอะไร?”
“ความสุขเป็นแค่ภาพลวงตา ความทุกข์เท่านั้นเป็นของจริง”
รอยยิ้มของพิมพ์พรรณีเลือนลง
“เคยคิดทำนองนี้เหมือนกันแหละ อย่างพี่ตู้นี่มาพร้อมกับความสุข เพื่อในที่สุดจะได้พาอ้อยไปหาความทุกข์หนักแท้ๆ เลย”
“นั่นแหละ ถึงถ้าเธอแต่งงานกับพี่ตู้โดยไม่มีเรื่องครอบครัวเข้ามาเอี่ยว ก็ไม่มีอะไรประกันว่าจะเป็นแบบนายของเราวันนี้หรือเปล่า ในวัยเดียวกับพวกเรา เจ้านายเราอาจโดนหมอดูทักก็ได้ว่าเนื้อคู่คือเมียคนปัจจุบันนี่เอง... เรื่องจริงไม่ได้จบตอนแต่งงานเหมือนนิยาย หลังแต่งยังมีอะไรให้ดูอีกเยอะ”
“เนอะ... รู้งี้บวชชีดีกว่า” พึมพำเสร็จก็ทอดตามองผนังห้อง เท้าคางรำพึง “ไม่รู้ทำบุญอะไรกับผัวเก่าในชาติก่อน ชาตินี้ถึงเจอกันช้านัก กว่าจะพบกันอายุก็ปาเข้าไปตั้ง ๒๙ แน่ะ”
“หมอดูบอกหรือเปล่าว่าแก่กว่าหรืออ่อนกว่า”
“ต้องแก่กว่าซีจ๊ะ เนื้อคู่นะเธอ”
“กฎหมายประเทศไหน เนื้อคู่กันผู้ชายต้องอายุมากกว่า... ว่าแต่แก่กว่าเธอกี่ปี?”
พิมพ์พรรณีอึกอัก
“หมอดูคนหนึ่งบอก ๓ ปี แต่อีกคนบอก ๕ ปี ก็คงอยู่ระหว่างนี้แหละ ดวงดาวคงไม่ได้บอกพิกัดอายุได้เป๊ะๆ มั้ง แต่ ๓ ปีกับ ๕ ปีก็ถือว่าใกล้เคียงกันแล้วนี่”
“๓ ปีกับ ๕ ปีน่ะ ต่างกันเป็นคนละเรื่องเลยนะ เพราะเท่ากับเนื้อคู่ของเธอเกิดในฤกษ์ต่างกันลิบลับ แล้วหมอดูเขาว่าเป็นคนไทยหรือเปล่า?”
“อุ๊ย! ซักละเอียดจริง หมอดูไม่ได้บอกว่าไทยหรือเทศ แต่ไม่บอกก็คงแปลว่าเป็นไทยนั่นเอง”
อเวราพยักหน้า
“ปีนี้เธออายุ ๒๕ เพราะฉะนั้นปัจจุบันเขาของเธอก็ต้อง ๒๘ หรือ ๓๐ และอาศัยอยู่ในราชอาณาจักรไทย ไม่ใช่คนป่าเผ่ามะลุกกุ๊กกุ๋ยที่ไหน”
๒๘๗
พิมพ์พรรณีหัวเราะขำ ระหว่างนั้นอเวราก็หยิบกระดาษแผ่นเล็กบนโต๊ะเพื่อนสาวขึ้นมาจากกล่องใส่ และนำปากกามาวาดประเทศไทยคล้ายรูปขวานคร่าวๆ
“พี่สาวของเค้กเพิ่งพูดให้ฟังเมื่อวันก่อน” หล่อนนึกถึงรสรินผู้เป็นที่พึ่งทางใจมาระยะหนึ่ง “เค้กว่าน่าสนใจ กรมแรงงานบอกว่าผู้ชายไทยในวันนี้มี ๓๐ กว่าล้าน ถ้าคัดให้เหลือเฉพาะวัยแรงงานคือช่วงอายุสิบห้าถึงหกสิบจะตกประมาณ ๒๐ กว่าล้าน คัดแบบมั่วๆ ให้เหลือเฉพาะที่อยู่ในวัยใกล้เคียงกับเรา ตั้งแต่ยี่สิบกลางๆ ถึงสามสิบ อาจเหลือสัก ๒ ล้าน...”
พิมพ์พรรณีทำตาโต
“หู... มีให้เลือกตั้งสองล้าน!”
“ปัญหาอยู่ตรงนี้แหละ ในสองล้านนั้นต้องกรองอีก อาจจะด้วยระดับการศึกษา ระดับฐานะ ระดับสติปัญญา ตลอดจนรูปร่างหน้าตา รสนิยม โลกทัศน์ ศาสนา วิธีใช้ชีวิต และอื่นๆ สมมุติว่าคนที่คู่ควร หรืออย่างน้อยเข้ากับเธอได้มีอยู่หนึ่งในร้อย ก็แปลว่าประเทศไทยตอนนี้มีประมาณสองหมื่นที่เข้าข่าย”
“อือม์...”
พิมพ์พรรณียิ้มแบบลืมความเศร้า ยกมือลูบคางอย่างสนใจ อเวราจึงสาธยายต่อ
“ในความเป็นจริง ผู้ชายสองหมื่นคนในประเทศนี้ มีกิ๊ก หรือมีแฟน หรือมีเมียไปเกินครึ่งแน่ๆ เพราะฉะนั้นกรองให้เหลือชายโสดซัก... ตีว่าเหลือ ๕ พันก็แล้วกัน นี่คือกรณีที่เธอไม่คิดจะฉกใครมาจากหญิงอื่นนะ”
“กรองไปกรองมาชักน้อยแฮะ... นี่เองสมัยนี้ถึงเจอฉกกันบ่อย”
“ถ้าวันนี้เนื้อคู่ของเธอมีชีวิตอยู่ในที่ใดที่หนึ่งใต้ฟ้าเมืองไทย โอกาสที่เขาอยู่แถวกรุงเทพฯจะสูงเป็นพิเศษ เพราะเธออยู่ที่นี่” อเวราพูดพลางเอาปากกาทำจุดหลายๆ จุด ณ ตำแหน่งที่ตั้งเมืองหลวง “เพราะฉะนั้นจาก ๕ พันต้องกรองอีก น่าจะเหลือหลักร้อย...”
“เฮ้อ!” พิมพ์พรรณีร้องดังๆ “มิน่าล่ะ ตูถึงได้หาผัวยากนัก ผู้ชายในกรุงเทพฯมีตั้งไม่รู้กี่ล้าน แต่ต้องควานหากันเป็นหลักร้อย เหมือนงมเข็มในสระดีๆ นี่เอง แล้วหลักร้อยก็ใช่จะน้อยเมื่อไหร่ ปีหนึ่งผู้หญิงมีสิทธิ์เลือกคบผู้ชายสักกี่คน ต่อให้เสน่ห์จัดเหมือนนางแบบดังๆ อย่างมากสุดก็แค่สิบมั้ง”
“แต่คนเราก็จับคู่กันจนได้ และหลายคู่ก็ดูเหมาะสมกันมากด้วย” อเวราสรุป “นั่นแปลว่าจะต้องไม่ใช่การสุ่มเลือกส่งเดช เบื้องหลังการค้นพบคู่แท้ต้องมีเหตุปัจจัยสนับสนุน หากขาดแรงดึงดูดหรือสายสัมพันธ์พิเศษ เราจะไม่มีวันพบเนื้อคู่ด้วยวิถีทางของความบังเอิญเลย”
“น่าทรมานใจจังวุ้ย รู้ว่ามี แต่ไม่รู้ว่าอยู่ไหน วันนี้อยู่ร่วมโลกกันแท้ๆ แต่ไม่มีสิทธิ์ได้เจอ ถามหมอดูก็ไม่ยอมบอก...”
“ไม่ยอมบอกเพราะบอกไม่ได้น่ะซี ดาวบอกให้พูดแค่ไหนก็พูดได้แค่นั้น ดาวจะบอกอะไรมากกว่าเวลาเหมาะที่จะเจอ อย่างอื่นอุบเงียบ เก่งจริงบอกบ้านเลขที่ได้ดิ้”
“เขาว่าดาวบอกได้มากกว่าเวลานะ รายละเอียดอื่นๆ ก็มี เช่นสูงต่ำดำขาวแค่ไหน ทำงานอะไร”
“ที่ ‘เขาว่า’ ก็คือว่าตามตำราอยู่ดี ตำราแต่ละเล่มก็ไม่เหมือนกัน สู้คิดอย่างนี้ไม่ได้ ตัวเลือกมีน้อย น่าจะศึกษาให้รู้จริงว่าเหตุปัจจัยอะไร ดึงดูดให้เรากับเนื้อคู่โคจรมาพบกัน”
“กรรมเก่า!”
พิมพ์พรรณีพูดด้วยเสียงประชด แต่อเวราพยายามอธิบายด้วยน้ำเสียงเจ้าหลักการ
๒๘๘
“หลังๆ เค้กถูกสอนให้มองว่าเราอยู่ในโลกของเงื่อนไข คือสมมุติว่ากรรมเก่าเป็นเงื่อนไขหนึ่ง กรรมใหม่ก็อาจถูกพิจารณาว่าเป็นอีกเงื่อนไขหนึ่งได้ เพราะกรรมก็คือกรรม สุดแท้แต่ว่ากรรมเก่าหรือกรรมใหม่จะมีพลังแรงกว่ากัน”
“วาว! ชักทึ่งแฮะ หน้าตาแบบนี้พูดธรรมะเป็นด้วย”
“หน้าตาไม่ได้บอกหรอกว่าเป็นคนแบบไหน โบราณว่าคบคนอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น พี่สาวเค้กพูดอย่างนี้ เค้กแค่พูดตาม... ดวงชะตาเกี่ยวกับเรื่องคู่ของเค้กอาจจะแย่กว่าอ้อยหลายเท่าด้วยซ้ำ นั่นหมายความว่าถ้าธรรมะทำให้เค้กดีขึ้นได้ ก็ต้องช่วยอ้อยได้เหมือนกัน”
เพื่อนสาวมองงงๆ
“หมายความว่าทำกรรมอะไรใหม่ๆ ช่วยได้เหรอ?”
“ทำนองนั้น... ถ้าเชื่อเรื่องกรรมเก่า ก็น่าจะคิดเสียว่าผู้ชายทั่วกรุงเทพฯประมาณร้อยที่เข้าข่ายเป็นเนื้อคู่ของเรา อาจเคยอยู่กิน หรือเคยมีความสัมพันธ์กับเราในทางดีมาก่อน พวกเขาคือความเป็นไปได้ แต่อะไรเป็นแรงผลักดันในปัจจุบันให้ไปพบพวกเขา? ก็กรรมใหม่ของเรานี่เอง เราสร้างแรงดึงดูดให้ไปพบคนดีๆ ที่คู่ควรกับเราได้เสมอ ขอเพียงรู้ว่าจะเริ่มต้นยังไง”
ขณะพูดด้วยเจตนาให้สติแก่เพื่อนสาว อเวราก็รู้สึกว่าอะไรบางอย่างในใจตนค่อยๆ ละลายและหลุดล่อนออกไปเรื่อยๆ ด้วย
“เริ่มยังไงล่ะ?”
“เริ่มจากการเปลี่ยนแปลงตัวตนเก่าๆ ไง ตราบใดยังเป็นตัวเก่า ก็น่าสันนิษฐานว่าอาจเจออะไรแบบเก่าๆ อยู่ร่ำไป”
“เข้าเค้า... ลองยกตัวอย่างซิว่าเปลี่ยนแปลงตรงไหนได้เจอคู่แท้เร็วที่สุด”
“อย่าเรียกว่า ‘คู่แท้’ เลย เรียกว่า ‘คู่เหมาะ’ หรือคนที่ดี ‘คู่ควร’ กับเราดีกว่า หลักการที่พี่สาวของเค้กบอกไว้ ถ้าจะเข้าใจง่ายๆ คือ... เรายกระดับตัวเองสูงขึ้นแค่ไหน โอกาสจะไปเจอคนในระดับนั้นก็มีสูงขึ้น”
พิมพ์พรรณีทำหน้าสงสัย
“จะยกระดับจากตรงไหนก่อนดีล่ะ อ้อยก็ว่าทุกวันนี้อ้อยดีที่สุดเท่าที่จะเป็นได้แล้วนะ ให้รวยกว่านี้ในปีสองปีนี่หมดสิทธิ์แน่เลย”
“ยกระดับฐานะยากนัก ก็ยกระดับจิตใจเป็นไง... ตราบใดที่ใจยังผูกพันกับคนเก่าแปลว่าเธอยังยินดีทุกข์กับทางโคจรของชีวิตแบบเดิม ต่อเมื่อเลิกข้องแวะกับพี่ตู้ของเธอ ไม่ผูกพันแม้เพียงด้วยใจคิดแค้นพี่ตู้หรือครอบครัวเขา นั่นถึงจะสะท้อนการเปลี่ยนบางสิ่งในตัวตนของอ้อย ที่หลุดพ้นออกมาจากอดีตเสียได้”
“อ๋อ... เข้าใจล่ะ จะให้อ้อยยกโทษ ไม่ติดใจกับครอบครัวพี่ตู้อีก?”
“ใช่! ทั้งทางผูกพันด้านดีและด้านร้าย ให้ถือว่าเหมือนฝันไป ไม่ต้องไยดีให้เสียเวลาเดินทางไปข้างหน้าเปล่าๆ ”
“เท่านั้นก็ทำให้เกิดแรงดึงดูด พาไปเจอคนใหม่ทันที?”
“ตามหลักการ ไม่ใช่ว่าเธอ ‘พยายาม’ เปลี่ยนแปลงแล้วทุกอย่างจะแปลกไปในทันที เธอต้องเปลี่ยนให้มากพอ ถึงจะเรียกว่าเป็นการยกระดับจริง คู่ควรกับการพบคนใหม่ที่ดีกว่าจริงๆ ”
“ซึ่งก็อาจกินเวลาอีก ๔ ปี... เวรกรรม! ตรงตามหมอดูทำนายเป๊ะ”
“การเปลี่ยนแปลงที่มากพออาจเกิดขึ้นได้ในชั่วข้ามคืน ถ้าเก่งพอ...”
๒๘๙
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น อเวราใช้น้ำหนักกายเลื่อนเก้าอี้กลับมาที่โต๊ะและหยิบอุปกรณ์สื่อสารของตนขึ้นมากดปุ่ม เอ่ยทักเฉยเมยไม่ส่อว่าดีใจหรือเสียใจ
“ว่าไง?”
“พี่เค้ก คืนนี้ผมไปนอนที่ห้องนะ”
“อึ๊อือ... คืนนี้พี่กะนอนบ้าน”
หมายถึงบ้านพ่อแม่ ซึ่งหล่อนเริ่มตระหนักแล้วว่ามีความเป็น ‘บ้าน’ ที่อบอุ่นอย่างแท้จริง
“ว้า! ทำไมล่ะ? เมื่อคืนก็ทีหนึ่งแล้วนี่”
“ก็พอใจคืนนี้อีกที”
หญิงสาวตอบราบเรียบไร้อารมณ์
“นี่พี่เค้กโกรธอะไรผมเหรอ?”
“พี่ต้องทำงานแล้ว ขอโทษนะ”
กดปุ่มวางสายอย่างง่ายดายจนแปลกใจตัวเองครามครัน หล่อนพูดกับพฤหัสแบบตัดเยื่อไม่เหลือใยเป็นครั้งแรก และไม่มีการพร่ำละเมอเพ้อพกแม้แต่นิดเดียวด้วย
“คนสวยนี่น่าอิจฉาจัง...” พิมพ์พรรณีเห็นท่าแล้วเดาว่านั่นเป็นลีลาตัดสัมพันธ์กับหนุ่มซึ่งเพื่อนสาวไม่ใส่ใจไยดี “หนุ่มรุมตอมเป็นโขยง หน้าที่มีแค่ตอบรับหรือปฏิเสธ”
อเวราตะแคงหน้ายักคิ้วให้เพื่อนสาวนิดๆ
“อย่าปักใจเชื่อในภาพแรกที่เธอเห็นให้มากนัก”
พูดเสร็จก็หันหน้าเข้าหาจอคอมพิวเตอร์อย่างรู้หน้าที่ ซึ่งก็ดึงให้เพื่อนร่วมงานสาวเบะปากยิ้มและปฏิบัติตามบ้าง
อ่านต่อตอนที่ ๓๓ >> 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น