วันศุกร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

วิปัสสนานุบาล EP3 10 พย.: คุณดังตฤณโค้ชการเดินจงกรม

(ผู้ร่วมไลฟ์ เจริญสติด้วยการเดินจงกรม)

ดังตฤณ : เวลากลับตัว กลับทีละครึ่งรอบนะ


กลับครึ่งหนึ่งก่อน


แล้วค่อยอีกครึ่งหนึ่ง อย่างนี้ เท้าถึงจะอยู่ในใจเรา


ไม่อย่างนั้นถ้ากลับครึ่งเดียว แล้วอีกทีหนึ่งเราเดินเลย

ก็จะมีจังหวะที่ ในหัวเราขาดเท้ากระทบไป แล้วจะเคว้ง

ซึ่งในระยะยาวหลายๆ รอบเข้า

จะเป็นส่วนที่ทำให้เกิดความไม่ต่อเนื่องของกระทบ

 

การเดินจงกรม จุดมุ่งหมายของเราคือ ทำให้เกิดวิตักกะด้วยเท้ากระทบ

ถ้าหากว่า วิตักกะ มีความสะดุด มีความไม่พอดี มีความไม่ราบรื่น

ก็เหมือนกับ นึกถึงตอนที่เราไม่สามารถรู้สึกถึงลมหายใจ ได้อย่างต่อเนื่อง

 

พอเราเดินถูก อย่างรอบล่าสุดนี้ จะมีความรู้สึกเหมือนกับว่า

ร่างกายแค่เคลื่อนไหวให้ดู.. รอบล่าสุด ที่เราเดินเข้ามานี่รู้สึกว่ากายมีรูปเดิน  

มีลักษณะเป็นในการก้าวเท้าไปฉับๆ  

พูดง่ายๆว่าจิตเริ่มมีวิตักกะ เห็นกาย สักแต่เป็นหุ่น

 

ให้ลองบรรยายให้เพื่อนๆฟังแป๊บหนึ่ง เมื่อกี้รู้สึกอย่างไร เอารอบสุดท้ายเลย

 

ผู้ร่วมไลฟ์ : คือไม่ได้รู้สึกถึงขนาดรอบสุดท้ายค่ะ แต่เอาที่หนูรู้สึกรวมๆ นะคะ

 

คือเหมือนพอเดินแล้ว จะรู้สึกเท้ากระทบ แล้วก็รู้ลมไปด้วย

อันนี้ที่รู้สึก แต่แยกไม่ออกระหว่างรอบก่อน กับรอบสุดท้ายที่พี่ตุลย์บอกค่ะ

 

ดังตฤณ : คืออย่างนี้ รอบสุดท้ายนี่

ความคิดแบบที่รู้สึกว่าเป็นตัวเรา จะเริ่มเบาบางลง

เริ่มกลายเป็นเหมือนกับกายชัดขึ้น และเบา

คือมีความเบาตั้งต้นออกมาจากข้างใน

แล้วกาย เริ่มถูกรู้ คือเริ่มมีวิตักกะจริงๆในรอบสุดท้าย

 

เหมือนกับปกติ เวลาเราเดิน จะเดินไปด้วยความฟุ้งซ่านใช่ไหม

แล้วก็เดินไปด้วยความรู้สึกว่ามีตัวตน มีตัวเราเป็นผู้เดิน

 

แต่อย่างรอบสุดท้ายนี่ เริ่มเหมือนกับว่า

ความฟุ้งซ่านหรือว่าลักษณะของความรู้สึกในตัวตน เริ่มเปลี่ยนไป

ใจเริ่มว่าง ว่างจากความรู้สึกในตัวตน แล้วก็มีแต่กายเดิน

คล้ายๆ เรารู้สึกว่า หุ่นเดินให้ดู

 

เดี๋ยวเอาความรู้สึกที่เรารู้สึกตามจริงเลยนะ นึกออกไหมว่าพี่พูดถึงภาวะอย่างไร

 

ผู้ร่วมไลฟ์ : รู้สึกว่า ช่วงหลังๆ ความคิดจะบางลง

แล้วก็ตอนที่จังหวะการกลับตัวทีละครึ่งรอบ มีผลจริงๆ

เพราะว่าเราจะกลับแบบครึ่ง แล้วพออีกนิดหนึ่งจะก้าวเลย

 

แต่พอเวลากลับทีละครึ่งๆ จริงๆ

จะรู้สึกว่า เท้าอยู่ในใจแบบชัดเจน จะไม่สะดุดค่ะ

 

แต่เมื่อก่อนพอไม่มีข้อเปรียบเทียบ จะไม่รู้ว่าต่างกันค่ะ

แต่อย่างรอบหลังๆ อาจเป็นรอบสุดท้ายอย่างที่พี่ตุลย์บอก

จะเหมือนกับเริ่มว่างๆ เรื่องความคิดในหัวค่ะ

 

ดังตฤณ : เพราะฉะนั้น บอกกับทุกคน การเดินจงกรมนะ

สิ่งที่เป็นพอยต์ของการเดินจงกรม ที่อยากให้จับจุดให้ถูกนะครับ

ก็คือว่า เดินกลับไปกลับมาหลายๆ รอบ

จนกระทั่งถึงสักรอบหนึ่ง ที่รู้สึกถึงเท้ากระทบชัดเจน 

แล้วก็รู้สึกว่า ข้างบน .. ความคิด ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนไป เริ่มปฏิรูปไป

เริ่มมีความรู้สึก .. อย่างที่บอก ความคิดเบาบางลง

 

พอความคิดเบาบางลงเกิดอะไรขึ้น

จะเกิดความรู้สึกว่า ที่ (เท้า) กระทบ แปะๆๆ ไปนี่

ส่งถึงความรู้สึกทั้งตัวเลยที่กำลังเดิน

เดินตามจังหวะปกติ สปีดปกตินี่แหละ แต่ว่าความรู้สึกต่างไป

เหมือนกับหุ่นเดินให้ดู ไม่ใช่ตัวเราเป็นผู้เดิน

 

ตอนที่เรียกเรา (ผู้ร่วมไลฟ์) มา (พูดคุย) เพราะว่าเริ่มที่จะเป็นสมาธิ

เริ่มที่ว่าเรา .. เท้ากระทบไป แล้วเข้าที่เข้าทางขึ้นมา

 

แต่ถ้าหากว่าในอาการเข้าที่เข้าทางนี้ มีวิตักกะ

เท้ากระทบแปะๆๆ ไปแล้วใจเบาบางลงนี่

ความรู้สึกนึกคิด หรือว่าความฟุ้งซ่านเบาบางลง

ใจเริ่มไม่รู้สึกว่า มีตัวตนเป็นผู้เดิน

พอยต์ก็คือว่า เดินต่ออีกเรื่อยๆ เป็นสิบ ยี่สิบนาที

เป็นครึ่งชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง ภาวะของจิตจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

 

ความว่าง จะว่างมากขึ้น จะเว้นวรรคความรู้สึกในตัวตนมากขึ้น

ความฟุ้งซ่านจะเบาบางลงแบบนี้อีก

หรือบางทีก็กลับมาฟุ้งซ่านได้หนักเท่าเก่า หรืออาจหนักกว่าเก่าอีก

เพราะว่าบางทีเราอาจอยากหยุดเดิน แล้วก็อยากไปทำอย่างอื่น

ก็มีความทุรนทุรายขึ้นมาในจิต

 

แต่เหมือนนักวิ่งมาราธอน ถ้าเราวิ่งมาราธอนเป็น

เลยจุดหนึ่งไป ทุกอย่างจะเหมือนกลับเป็นอัตโนมัติ

ร่างกายเคลื่อนไหวไปอัตโนมัติ ความรู้สึกทางใจจะไม่มีความฝืน

จะไม่มีการต่อสู้กับตัวเองว่า จะหยุดหรือจะไปต่อ

จะเดินของมันไปเองเรื่อยๆ

ด้วยความรู้สึกพอใจอยู่ข้างใน ที่จิตเป็นสมาธิกับการเดิน

 

ฉะนั้น ตรงนี้ สำหรับทุกคนที่คิดจะเดินจงกรม

คุณกำลังทำสติ ตั้งสติแบบเคลื่อนไหว

 

ตอนนั่งสมาธิหลับตา คือมีสติแบบหยุดนิ่ง ตั้งนิ่งอยู่กับที่

ซึ่งจะง่าย จะมีลมหายใจเท่านั้น ให้ดู ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่นให้ข้องแวะ

 

แต่การเดินจงกรม เป็นการที่เราต้องเปิดตา

แล้วการจับจุดที่จะให้เกิดวิตักกะ จะยากกว่า

 

ทีนี้ ถ้าเราจับจุดได้ว่า

เริ่มต้นขึ้นมารอบแรกๆ ไม่เอาอะไรอย่างอื่น

ไม่พิจารณา ไม่อะไรทั้งสิ้น เอาแค่รู้ว่าเท้ากระทบแปะๆๆ อยู่

ถ้าเอาให้ได้แค่นั้น ในที่สุด จะเกิดวิตักกะ

คือจิตของเราจะไปรู้สึกอยู่กับเท้ากระทบ ไม่ดิ้นรนที่จะไปรับรู้สิ่งอื่น

ทำนองเดียวกันกับที่เราใช้มือไกด์ แล้วรู้สึกถึงลมหายใจได้อย่างเดียว

 

ทีนี้ วิจาระเกิดตอนไหน

วิจาระเกิดตอนที่ .. ขอให้คิดถึงการใช้มือไกด์

ตอนแรก เรารู้สึกถึงลมหายใจชัด

ตอนที่เหมือนกับฝ่ามือกับลมหายใจ มีความเชื่อมโยง

มีความสัมพันธ์กัน ราวกับมีแม่เหล็กดึงดูดกันและกัน

ตอนนั้น ที่วิตักกะ เกิด

 

ใจอาจยังวอกแวกได้ ใจอาจยังฟุ้งซ่านคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้

แต่พอเกิดวิจาระ จะเหมือนจิตมีอยู่ดวงเดียว เรียบๆ ง่ายๆ เลย

มีความรู้สึกเรียบง่าย ไม่มีอะไรซับซ้อน

มีแต่จิตดวงเดียว ตั้งอยู่ แล้วก็รับรู้ลมหายใจ ไม่วอกแวกไปไหน

ตัวนี้ เรียกว่า วิจาระ

 

ส่วนการเดินจงกรม วิจาระเกิดขึ้นเมื่อไหร่?

เกิดขึ้นตอนที่เราเดิน แปะๆๆ ไป

 

อย่างเมื่อกี้ที่คุณบอกว่า ทำความรู้สึกว่า

ความคิดในหัวเริ่มเบาบางลง รอบท้ายๆ

แล้วก็รู้สึกถึงเท้ากระทบอย่างเดียว อันนั้นเรียกว่า วิตักกะ

 

ตอนที่เราจะรู้สึกถึง วิจาระ คือ ตอนที่จิตเริ่มปฏิรูปเป็นสมาธิจริงๆ

เหลืออยู่ดวงเดียว ใจเด่นอยู่ดวงเดียว

ข้างบนจะรู้สึกว่าง ส่วนข้างล่าง จะรู้สึกแปะๆๆ ชัด

 

เมื่อข้างบนว่าง ข้างล่างชัด แล้วเกิดความพอใจ

เกิดความรู้สึกว่า .. เออ เดินอย่างนี้ไปเรื่อยๆ

เหมือนกับหุ่น เดินให้ดูเป็นอัตโนมัติ

แล้วใจไม่ไปไหน อยู่ตรงนั้นของมันเอง มีความรู้สึกถึงใจดวงเดียว

ที่รู้สึกถึงเท้ากระทบ แล้วก็ท่าเดินที่ก้าวไป ไม่ไปไหน

 

ตรงนั้น จะเริ่มเพลินกับการเดิน แล้วใจจะไม่วอกแวกไปไหน

จะไม่อยากออกไปไหน

 

ทีนี้ เมื่อกี้เรียกเข้ามา ก็คือจะชี้ให้ดูว่า วิตักกะ เริ่มเกิดแล้ว

ส่วน วิจาระ อาจต้องกินเวลาไปมากกว่านี้ แต่ละคนไม่เหมือนกัน

ขึ้นอยู่กับว่า จิตของเราจะจับจุดถูก

แล้วก็อยู่กับตรงนั้น โฟกัสกับตรงนั้น ได้นานแค่ไหน

 

อย่างของคุณเมื่อกี้ พอเริ่มรู้สึกว่า ความนึกคิดในหัวเบาบางลง

ใจอาจยังวอกแวกได้ อาจยังไปทางอื่นได้ อาจไปสนใจอะไรอย่างอื่นได้

นั่นคือ ความแส่ส่ายของจิต ซึ่งเป็นธรรมชาติเดิม

 

แต่เมื่อไหร่ที่เราเดิน แล้วรู้เท้า แปะๆ ไป

แล้วเกิดความรู้สึกรู้ขึ้นมาทั้งตัว ขึ้นมาเอง

อย่างเมื่อกี้ จะรู้เท้ากระทบชัด แล้วก็ความคิดเริ่มเบาบาง

แต่ยังไม่ถึงขนาดที่เรารู้ทั้งตัวขึ้นมาเอง

ยังแยกไม่ออกว่า จิตอยู่ส่วนจิต แล้วก็เท้ากระทบอยู่ส่วนเท้ากระทบ

 

แต่เมื่อไหร่ที่เราเดินไป เดินๆๆ ไป แปะๆๆ ไป แล้วเหมือนกับว่า

ใจทั้งดวง เป็นผู้ดูภาวะทางกายเคลื่อนไป เหมือนกับแยกมาเป็นผู้ดู

แล้วใจเต็มๆ ทั้งดวง ไม่วอกแวกไปไหนเลย

อยู่กับอาการเดินแปะๆ ไป เห็นทั้งตัวเอง นั่นแหละ เริ่มเกิดวิจาระ

 

ตอนที่วิจาระเกิด แล้วมีความรู้สึกเพลิน

รู้สึกว่า ใจตั้งอยู่กับตรงนั้น แล้วเดินไปเรื่อยๆ ได้ ในที่สุดแล้วจะเกิดปีติ

 

ปีติ คือเกิดขึ้นเมื่อไหร่?

เกิดขึ้นตอนที่ภาวะทางกาย ไม่มีความกระสับกระส่าย

ไม่มีลักษณะของอาการ ที่จะวอกแวกไปทางอื่น

จะมีความสงบระงับ อย่างที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า

เป็นความสงบระงับทางกาย กายไม่กวัดแกว่ง

ตัวนี้ ปีติจะเริ่มเกิด

 

ปีติเกิดแล้ว มีอะไรเกิดขึ้น?

คือภาวะทางกาย จะเหมือนกับหลายๆ คนบอกว่า

จะเบา เหมือนไม่มีน้ำหนัก เบาเหมือนกับเดินอยู่บนอากาศ เดินอยู่บนเมฆ

 

ที่พูดให้ฟังนี่ ไม่ใช่ให้ตั้งใจให้เกิดภาวะนั้นขึ้น

เพราะจะไม่เกิด ถ้าหากว่าเรามุ่งจะเอาภาวะกายเบานะ

แต่จะเกิดเอง ถ้าหากว่าตัววิตักกะ กับ วิจาระ ดำเนินต่อเนื่องไป

แบบที่ไม่มีอะไรมาสะดุด

 

อย่างที่พี่ให้กลับตัวก็เพราะอย่างนี้นะ

คือจะไม่มีช่วงที่เคว้ง งง ในขณะกลับตัว

แล้วก็การเดิน แปะๆๆ ไป ที่คนทั่วไปนึกว่าเดินแบบนี้เพื่ออะไร

กลับไปกลับมา น่าเบื่อจะตาย แต่จิตน่ะ จะไม่เบื่อ

 

จิตของผู้เดินเป็น จะรู้ว่าเหลือจิตเด่นดวงอยู่หนึ่งเดียว

แล้วก็มีปีติเอ่อขึ้นมา ทำให้กายอยู่ในสภาพที่

ไม่มีความเหน็ดเหนื่อยเลย ไม่มีความเมื่อยล้าเลย

เดินเป็นชั่วโมงๆ เหมือนกับเดินบนเมฆที่มีความสุข มีปีติ

แล้วก็ไม่ใช่เป็นมนุษย์เดิน

เหมือนกับจิต เฝ้าดูอาการเดินของอะไรอย่างหนึ่ง ที่ไม่มีตัวตน

 

อันนี้พูดครอบคลุม เพื่อที่จะเหมือนกับเป็น introduction

ให้กับหลายๆ คนที่รู้สึกว่า ตัวเองยังเดินจงกรมไม่เป็น

ไม่รู้จะเริ่มต้นตั้งหลักอย่างไร

 

เดี๋ยวคุณเดินเป็นตุ๊กตา แล้วพี่จะบรรยายให้ทุกคนฟัง

ว่าที่เราเดินจงกรม เดินกันไปอย่างไร

 

(ผู้ร่วมไลฟ์ เจริญสติด้วยการเดินจงกรม)

 

เริ่มต้นขึ้นมา ท่าที่ดีที่สุดที่ผมพบ .. ผมเดินมาหลายวิธี หลายท่า ..

 

เดินเอามือไพล่หลัง แล้วเชิดหน้า คอตั้งหลังตรง จะดีที่สุด

แล้วเท่าที่เห็นมา ถ้าใครจะเอาท่าอื่นอะไรอย่างไร ไม่ว่ากันนะ

คือลักษณะนี้ ผมพบว่าทำให้เรารู้สึกถึงกายได้ถนัดที่สุด

 

ถ้าก้มหน้า หรือเอามือกุมข้างหน้า

ส่วนใหญ่.. ไม่ใช่ทุกคนนะ ที่ผมเห็นมา

ก็คือว่าใจจะมองพื้น แล้วก็จ้องแต่พื้น

 

คือตา พอจ้องพื้น แล้วไม่รับรู้อะไรเลยเกี่ยวกับร่างกาย

ในที่สุดก็เหมือนกับเดินคิดมาก เดินด้วยอาการครุ่นคิด

คิดๆ ไปแบบที่ไม่ได้อะไรเข้ามาในกายใจเลย มีแต่ความคิดครอบงำ

 

ทีนี้ พอเราเริ่มเดินเอามือไพล่หลัง แล้วก็เชิดหน้า คอตั้งหลังตรง

จะเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกถึงเท้ากระทบ

ได้มากกว่าที่เราจะเดินก้มหน้า หรือกุมมือ อยู่ข้างหน้า

 

นี่เป็นการสังเกต ที่เอาเป็นว่า สังเกตมา นับจริงๆ สามสิบปีที่ผ่านมา

น่าจะหลายพันคน เยอะจนกระทั่งมีสถิติอยู่ในใจ

 

ปกติเราเดินไปตามรูปแบบที่สอนๆ กัน จะไม่ค่อยมีการเก็บสถิตินะ

ว่าเดินแล้วได้อะไร เกิดผลอย่างไรขึ้นมา

แต่ผม .. เนื่องจากดูมาหลายแบบมากๆ

ดูทั้งจากตัวเอง แล้วก็จากของคนอื่น ได้ข้อสรุปอย่างหนึ่งว่า

ถ้าเราเดินเอามือไพล่หลัง เชิดหน้า คอตั้งหลังตรง

แล้วรู้เท้ากระทบอย่างเดียวก่อน เพื่อให้เป็นสมถะ

มีกำลังสมถะเสียหน่อย ให้จิตเกิดวิตักกะ

 

หรือให้ดีเลย ถ้าเดินไปถูกต้อง มี วิตักกะ อย่างถูกต้อง

เกิด วิจาระ ขึ้นมา จิตเด่นดวงเป็นหนึ่งเดียวขึ้นมา

เป็นสมาธิในการเดินจงกรมขึ้นมา ก็จะเห็นอะไรมากมาย

 

ซึ่งหลายๆ คน ถึงแม้จะไม่ได้เดินท่านี้ แต่ถ้าเดินนานพอ

บางทีก็ฟลุ้คๆ เกิดสมาธิขึ้นมาได้เหมือนกัน

เพียงแต่ว่าจะไม่เกิดขึ้นแบบแน่นอน ต้องอาศัยความฟลุ้ค

 

แต่ถ้าเดินแบบนี้ เอาที่เรารู้เท้ากระทบอย่างเดียว

จนจิตเกิด วิตักกะ มาปรุงแต่ง ให้รู้สึกถึงเท้ากระทบอย่างเดียวก่อน

เอาให้ได้อย่างนี้ก่อน ความแน่นอนจะสูงขึ้น

 

ยิ่งเดินมาก เราจะยิ่งจับจุดถูก

ขึ้นต้นมา เอาเท้ากระทบอย่างเดียว ที่เราเดินสปีดปกติอย่างนี้

 

อย่างตอนนี้.. จิตของคุณเริ่มมีวิตักกะ คือรู้สึกถึงเท้ากระทบ

แล้วเกิดอะไรขึ้น?

 

จิตพอเริ่มเป็นสมาธิ ความฟุ้งซ่านก็จะเบาบางลง

เหมือนตอนเรานั่งสมาธิ ใช้มือไกด์ แล้วรู้สึกว่า

พอเห็นลมหายใจได้นิ่มนวล ลากยาวต่อเนื่อง รู้ชัด

ความฟุ้งซ่านก็จะเบาบางลง โดยที่ไม่ต้องเรียกร้อง

ไม่ต้องไปพยายามกดจิตให้สงบ ไม่จำเป็นต้องไปรีดจิตให้เรียบ

มันเรียบของมันเอง มันสงบของมันเอง ถ้ามีวิตักกะเกิดขึ้นอย่างถูกต้อง

 

อันนี้พอวิตักกะเกิด มีเท้ากระทบอยู่ในใจ เด่นชัด

แล้วมีความต่อเนื่องมากพอ ตอนนี้ใจเริ่มเบา

 

พอใจเบา จะเกิดอะไรขึ้น?

ไม่เกิดการปรุงแต่งแบบเดิมๆ

 

ปกติเราฟุ้งซ่าน เราคิดมาก เราคิดโน่นคิดนี่เพื่อตัวตน

นี่ตัวนี้แหละ ที่จุดชนวนความฟุ้งซ่านขึ้นมา

จุดชนวนความรู้สึกเป็นอารมณ์หลากหลาย อยากโน่นอยากนี่ขึ้นมา

 

ต่อเมื่อจิตมีวิตักกะ คือรู้เท้ากระทบ ปรุงแต่งนานพอ

จะเกิดสมาธิ พอเกิดสมาธิ ความฟุ้งซ่านเบาบางลง

ทีนี้ต่อจากตรงนั้นนี่แหละ พอจิตเริ่มเป็นสมาธิ แล้วเราเห็นอะไร

 

สิ่งที่จะเห็นเป็นธรรมดา ต่อให้ไม่มีสัมมาทิฏฐิเป็นมุมมองตั้งต้น

ต่อให้เรายังไม่เข้าใจพุทธศาสนาเลย

แต่ถ้ารู้เท้ากระทบอย่างนี้ จนกระทั่งจิตเกิดสมาธิ

จะรู้สึกเหมือนกับว่า หุ่นอะไรอย่างหนึ่ง กำลังเดินให้ดู

ไม่ได้มีเราเป็นผู้เดิน ไม่ได้มีบุคคลในท่าเดินนี้

มีแต่ท่าเดิน แต่ไม่มีตัวเราเดิน

 

พอยต์ของการที่เราเดินจงกรมได้ เริ่มจับจุดได้ถูกทิศถูกทาง

เป็นไปเพื่อที่จะให้รู้สึกว่า ความรู้สึกในกายนี้ ปรากฏเป็นของกลวงว่าง

 

ความกลวงว่างมาจากอะไร

มาจากจิตที่ไม่ฟุ้งซ่าน มาจากจิตที่รู้สึกว่างๆ

มาจากจิตที่รู้สึกว่าไม่กระสับกระส่าย อยากโน่น อยากนี่

 

อันนี้ จะไปถึงจุดนี้ พอถึงจุดนี้ว่า

ใจว่างๆ มีแต่หุ่นเดินให้ดู แล้วอย่างไรต่อ?

 

ตรงนี้ ก็ขึ้นอยู่กับการทำความเข้าใจให้ถูก

การจับจุดสังเกตให้ถูกว่าจิตของเรา ที่ว่างๆ ไม่ว่างจริง

พอเดินๆ ไป เกิดความรู้สึกขึ้นมาว่า เดี๋ยวก็กลับมากระสับกระส่ายใหม่

เดี๋ยวกลับมารู้สึกเหมือนฟุ้งๆ ยุ่งๆ ใหม่

บางทีฟุ้งมาก บางทีฟุ้งน้อย

ตรงนี้จะเริ่มเป็นการเดินจงกรม แล้วรู้จิตแล้ว

 

บางรอบ เรารู้สึกราวกับว่า ตัวนี่เบา กายเบา เพราะเกิดปีติ

แทบจับไม่ได้เลยว่าเท้ากระทบเมื่อไหร่

จะจับได้แต่ความรู้สึกว่าใจนี่ว่างๆ เหมือนไม่มีอะไร

 

เสร็จแล้วบางรอบ ใจเหมือนกับจะมาปรุงแต่งใหม่

มีความคิดแบบละเอียดๆ คิดโน่นคิดนี่

หรือบางทีผุดภาพความทรงจำอะไรขึ้นมาในหัว มันผุดของมันเอง

เราไปทำอะไรไม่ได้เลย กับภาวะทางใจที่

บางรอบ ก็ฟุ้งมาก บางทีก็ฟุ้งน้อย หรือเหมือนไม่ฟุ้งเลย ว่าง เงียบ นิ่ง

 

การสังเกต การเฝ้าสังเกตเป็นรอบๆ ว่าจิตของเราแตกต่างไปเรื่อยๆ นั่นเอง

จะเริ่มทำให้เกิดความฉลาดแบบพุทธ เกิดความฉลาดทางพุทธขึ้นมา

 

ตอนแรกที่ผมพูด เห็นไหม.. คือมีสมถะ ตั้งต้นขึ้นมาก่อน

รู้เท้ากระทบอย่างเดียว ไม่เอาอะไรอย่างอื่นทั้งสิ้น

พอรู้เท้ากระทบแล้ว จะรู้ทั้งตัวขึ้นมาเอง

จิต พอมีวิตักกะ จะเริ่มเป็นสมาธิ ความฟุ้งซ่านเริ่มเบาบางลง

 

แล้วถ้าหากว่ารอบไหน จังหวะใด เกิดวิจาระ คือจิตเด่นดวงขึ้นมา

รู้สึกว่ามีความเรียบง่ายอยู่ดวงเดียวปรากฏอยู่

แล้วรู้ชัดถึงเท้ากระทบ แปะๆๆ ไป

แล้วตัวทั้งตัวปรากฏเป็นร่างเดิน ไม่มีคนเดิน.. จิตจะเริ่มว่าง เริ่มเบา

 

สมถะ มาถึงตรงนี้

 

แต่วิปัสสนา คือการที่เรามีสติ

เห็นว่าแต่ละรอบ จะว่างไม่เท่ากัน

บางรอบนี่ว่างมาก ว่าง แล้วกว้างด้วย

แต่บางรอบ จะเย็นๆ เฉื่อยๆ

บางรอบ มีความคิดปะปนเข้ามา

บางรอบกลับมาฟุ้งซ่าน เท่าตัวตนแบบเดิมๆ เลย

 

เห็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ นี่แหละ ที่จะเริ่มมีสติ แล้วมีปัญญา

รู้สึกว่าจิตไม่เที่ยง รู้สึกว่าจิตเป็นอะไรอย่างหนึ่ง

ที่ เดี๋ยวว่าง เดี๋ยวฟุ้ง เดี๋ยวกว้าง เดี๋ยวแคบ

 

เห็นอย่างนี้ ในที่สุดแล้ว จะกลายเป็นความรู้สึกแบบพุทธขึ้นมาว่า

นี่ไม่มีคนเดิน มีแต่ร่างที่ก้าวไป

แล้วก็มีแต่จิต ซึ่งเป็นภาวะรู้ เป็นธรรมชาติรู้

แยกเป็นต่างหาก จากภาวะทางกาย

 

รู้อะไร รู้ว่าแต่ละรอบ ภาวะทางใจ การปรุงแต่งทางใจ ไม่เหมือนเดิม

ต่อให้เกิดปีติล้นหลาม แล้วก็มีความว่าง มีความเบา

มีความใสไปได้ครึ่งชั่วโมงต่อเนื่องเลย

ในที่สุดพอพ้นครึ่งชั่วโมง ความว่าง ความเบา ความใสนั้น

ก็แปรเปลี่ยน กลายเป็นขุ่น กลายเป็นมัว

 

พูดง่ายๆ สมาธิเสื่อมลง วิตักกะ กับวิจาระ นี่เสื่อมสภาพลง

กลายเป็นจิตฟุ้งๆ ยุ่งๆ ได้ ไม่แตกต่างจากคนอื่น ไม่ได้มีอะไรพิเศษ

 

เราไม่เคยทำให้ตัวเองสูงส่งขึ้นได้

มีแต่จิต ที่พัฒนาขึ้น เป็นกุศล เป็นมหากุศล แล้วก็กลับเสื่อมลง

 

ตัวนี้นะ พอได้ข้อสรุปอันเป็นปัญญาแบบพุทธว่า

เราเดินไป ไม่มีใครได้อะไร มีแต่ปัญญาแบบพุทธเกิดขึ้น

อุปาทาน ที่มีการร่วมมือกันระหว่างกาย ระหว่างใจ จะสะดุดชะงักลง

ที่หมุนวนไปเป็นวัฏฏะ ว่า มีเรา มีเรา มีเรา จะสะดุด หยุดชะงักลง

กลายเป็นเห็นว่า กายอยู่ส่วนกาย เท้ากระทบอยู่ส่วนเท้ากระทบ

แล้วก็ใจที่รู้อยู่ ก็อยู่ส่วนใจที่รู้อยู่ เป็นต่างหากจากกัน

ต่างคนต่างอยู่ แค่มามีส่วนสัมพันธ์กัน

 

ถ้าหากว่ารู้ไม่ทัน ก็ปรุงแต่งใจให้เกิดความรู้สึกว่า นี่ตัวเรา

นี่.. อย่างตอนนี้ที่เดินๆ ไป จะมีแต่ร่างเบาๆ ที่ปรากฏอยู่ว่า

เป็นก้าวเดิน แปะๆๆ ไป ตามจังหวะของมัน

แต่ใจ เริ่มยึดมั่นถือมั่นน้อยลงว่า เป็นบุคคลที่เดิน

.

เอ้า ลองมาเล่าให้ฟังหน่อย ตามที่พูดไป

พี่ไม่ได้พูดแบบ sync กันทั้งหมดนะ แต่อยากให้ลองเล่าให้ฟังว่า

จากประสบการณ์อย่างเมื่อกี้ ฟังไปด้วย เดินไปด้วย

เกิดความรู้สึกอย่างไรขึ้นมาบ้าง

 

อย่างตอนนี้จะเหมือนกับ มีสองฝั่งนะ

ฝั่งหนึ่งมีความเบา เหมือนไม่มีตัวตน แต่อีกฝั่งก็เป็นตัวเราตัวเดิม

 

ทีนี้ถ้าเราเอาประสบการณ์มาประมวลทั้งหมดเลย เมื่อกี้

เท่าที่จำได้ เท่าที่นึกได้ มีความรู้สึกอย่างไรบ้าง

 

ผู้ร่วมไลฟ์ : ช่วงหลังๆ ตอนที่พี่ตุลย์บอกว่า ตัวจะเบาๆ ใจเบาๆ ว่างๆ

ช่วงหลังๆ ถึงจะรู้สึกว่าตัวเบาขึ้น แล้วก็รู้กาย รู้เท้ากระทบ แปะๆ

แล้วก็เหมือนมีจิตดูอยู่ อย่างที่พี่ตุลย์บอกเลยค่ะ แต่จะเป็นช่วงหลังๆ

 

แล้วที่รู้สึกเบา แล้วเหมือนกับเดินๆ ไป รู้เท้า

แล้วก็เหมือนกับมีตัวเดินอยู่ เหมือนกับเรามองอยู่ว่า

มีตัวเดินอยู่ แล้วก็มีเท้ากระทบค่ะ ที่ช่วงหลังๆ ที่รู้สึก

แล้วเรื่องความคิดจะบาง มีบ้างแต่บาง แล้วใจจะเบาขึ้นค่ะ

 

ดังตฤณ : กำลังจะพูดว่า มีอยู่บางจังหวะที่เรารู้สึกเหมือนกับ

เดินไป ไม่ได้รู้สึกถึงเท้ากระทบชัด แต่ว่ายังมีก้าวเดินอยู่

เรารู้สึกถึงการเดิน แต่ว่าเหมือนกับลอยไป เหมือนกับกายนี้เบา

เบากว่าปกติ .. เบากว่าที่เราจะรู้สึกว่า ตรงนี้เป็นวัตถุที่มีน้ำหนัก

มีมวลที่ถูกแรงดึงดูดโลกกระทำ เหมือนเบาไป

 

ตรงนี้ ก็คือเกิดขึ้นจากการที่ กล้ามเนื้อผ่อนคลายทั่วตัว

แล้วก็จิตเริ่มตั้งเป็นสมาธิขึ้นมา มีวิตักกะ

แล้วก็เกือบๆ จะมีวิจาระ ที่เกิดขึ้นมานะ

 

ตัววิจาระนี่จำไว้ เวลาที่เกิดขึ้น เอาง่ายๆ เลย คือ

เราจะรู้สึกเหมือนกับว่า จิตเหลืออยู่หนึ่งเดียว เหลืออยู่ซีกเดียว

 

ปกติ คนนะ เวลาฟุ้งซ่าน

จะมีความรู้สึกเหมือนจิตแตกเป็นเสี่ยงๆ แยกเป็นหลายซีก

แต่พอเริ่มมี วิตักกะ จิตจะเหลืออยู่ซีกเดียว

หนึ่งเดียว ง่ายๆ เรียบง่าย ไม่มีอะไรอย่างอื่นเจือปน

ตรงนั้น ถ้าเรารู้สึกไปนานพอ ก็คือเกิดสมาธินั่นเอง

 

พอเกิดสมาธิแล้วเป็นอย่างไร .. กายจะเบา เหมือนกับไม่มีอะไรเลย

เหมือนไม่มีน้ำหนัก ไม่มีมวล ที่ก้าวไป

มีสักแต่ว่าเป็นกิริยาก้าวไป ไม่มีผู้ก้าวไป ไม่มีผู้ที่กำลังเดินอยู่นะ

 

ตัวบุคคลจะละลายหายไป เหลือจิตที่มีอยู่เสี่ยงเดียว

มีอยู่ซีกเดียว มีอยู่ดวงเดียว ปรากฏเด่นอยู่

 

ทีนี้ พอเราเริ่มเป็นสมาธิถึงจุดนั้น เราจะพบว่า

พอสังเกตต่อไป จะเดินไป ครึ่งชั่วโมงก็ตาม หนึ่งชั่วโมงก็ตาม

หรือต่อให้น้อยแค่สิบห้านาที แต่เราจะเห็นชัดว่า

จิตที่เด่นดวงอยู่อย่างนั้น เดินไปเรียบๆ ง่ายๆ อยู่อย่างนั้น

 มีความไม่เหมือนเดิม แปรเปลี่ยนไปเรื่อยๆ

จะมีความรู้สึกว่า บุคคลเดินนี่หายไป มีแต่จิตเดิน มีแต่จิตที่มีอาการเดินไป

 

คือร่างกาย ถ้าถูกสั่งให้เลิกเดิน จะไม่มีสิทธิขัดขืนเลย

เพราะจิตยังมีอาการเดินอยู่ กายถึงยังเคลื่อนที่ไปได้

ตรงนี้จะเริ่มเข้าใจธรรมชาติภายในมากขึ้นแล้วว่า

จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว

 

ตราบเท่าที่จิตยังมีอาการเดิน

ตราบนั้น กายก็ยังก้าวไป

 

แต่ถ้าจิตสั่งให้ บอก .. หยุด

อย่างเมื่อกี้ที่เรียกมา บอกว่ามาคุยกันหน่อย

ภาวะที่กายเดินเป็นอัตโนมัติ ก็หายไป

กลายมาเป็นตัวตนของคุณ มีความรู้สึกแบบคุณ

กลับมานั่งคุยกันใหม่

 

ซึ่งตรงนี้ คนเดินจงกรมไปเป็นชั่วโมงๆ ทุกวันได้

จะเห็นภาวะที่ปฏิรูปไป ที่เปลี่ยนไป ที่แปรไป เห็นได้แบบนี้เลย

 

ตอนที่เดินจงกรมอยู่ในทางจงกรม แล้วแน่วอยู่ในสมาธิ

จะเหมือนกับจิตมีอาการเดิน เดินไป

เดินไปเดินกลับ เดินไปเดินกลับ ไม่มีบุคคลเป็นผู้เดิน

 

แต่เมื่อไหร่ที่จิตมีความปรุงแต่งให้หยุดเดิน หรือว่าให้ไปทำอย่างอื่น

ก็จะเริ่มมีบุคคลขึ้นมา จะเริ่มมีมโนภาพตัวตนขึ้นมา

 

อย่างตอนที่ พี่บอกว่า เอ้า มานั่งคุยกัน .. ก็จะมีมโนภาพที่แปรไป

เหมือนกับมีใครคนหนึ่ง กลับเข้ามาสวมในร่าง

 

เดิม ตอนเดินจงกรมอยู่บางรอบ จะเหมือนกับว่า ข้างในกลวงๆ

แล้วไม่มีตัวอะไรเป็นผู้เดินอยู่ ไม่มีบุคคลเป็นผู้เดิน

แต่พอผมบอกว่า เอ้า มานั่งคุยกันตรงนี้ .. ตัวคุณจะคล้ายๆ กับว่า

วิญญาณของคุณกลับเข้ามาสวมร่างเดิม

 

ตรงนี้ อยากให้คุณเล่าให้ฟังตบท้ายนิดหนึ่ง

 

ผู้ร่วมไลฟ์ : อย่างที่พี่ตุลย์บอกค่ะ

พอเราเดินไปเรื่อยๆ จะไม่รู้สึกถึงน้ำหนักตัว

ยังรู้สึกนะคะ แต่เบาขึ้น .. เพราะปกติที่เดินเองมาก่อนจะไม่ได้มาถึงจุดนี้

แต่วันนี้ที่เดินให้เพื่อนๆ ดู จะรู้สึกเหมือนเบาๆ

ไม่รู้สึกเป็นวัตถุแล้วค่ะ ช่วงหลังๆ นะคะ

 

แล้วก็ช่วงแรกๆ

ตอนแรก กำลังจะบอกว่า พอเอามือไพล่หลังแล้วจะเมื่อยค่ะ ช่วงแรก

แต่พอไปถึงจุดที่กายเบาๆ จะลืมความรู้สึกว่าเมื่อยไปเลยค่ะ

จะไม่รู้สึกแล้ว เหมือนกับว่าจิตเดินอยู่อย่างที่พี่ตุลย์พูดค่ะ

 

ดังตฤณ : มีคำถามอะไรไหม

 

ผู้ร่วมไลฟ์ : แล้วอย่างเรื่องลมหายใจ ไม่ต้องไปพะวงใช่ไหมคะ

จะรู้ขึ้นมาเองใช่ไหมคะ ถ้าเรารู้ทั้งตัว จะรู้ลมขึ้นมาด้วยของมันเองใช่ไหมคะ

 

ดังตฤณ : สำหรับการเดินจงกรมนะ จับจุดให้ถูก

จะไม่เหมือนการนั่งสมาธิ แต่เป็นการเคลื่อนไหว

 

การหลับตาทำสมาธิ เป็นการตัดความรับรู้

มาเหลือลมหายใจกับมือไกด์อย่างเดียว ไม่ต้องไปชิงพื้นที่กับสายตา

 

แล้วถ้าเราอยู่ในที่สงบของเราได้ ก็ไม่ต้องไปเอาหู แกว่งไปหาเสียง

หรือว่าเปิดให้เสียงมากระทบ

 

นี่คือ ข้อได้เปรียบที่ดีของการนั่งสมาธิ

ซึ่งถ้ามองว่าตรงที่เราปิดอายตนะต่างๆ มารู้ลมหายใจ

มารู้มือไกด์ได้อย่างเดียว เป็นเหตุใกล้เหนี่ยวนำให้เกิดสมาธิได้ง่าย

แต่ขณะเดียวกัน ก็จะทำให้หลงเพลินได้ง่ายเช่นกัน

 

หลงอยู่ในอาการที่ สงบดี ไม่มีอะไรต้องมาต่อสู้

ไม่มีอะไรต้องมาตีรันฟันแทงกัน กับความฟุ้งซ่าน

หรือว่าสิ่งภายนอกที่จะมากระทบแยกพื้นที่ นี่คือข้อดีของการนั่งนิ่ง

 

ข้อเสียของการนั่งนิ่งก็คือว่า พอเราลุกเดินปุ๊บ .. สติหายเลย

กลายเป็นบุคคล กลายเป็นตัวตน

กลายเป็นความฟุ้งซ่าน ที่ถาโถมเข้ามาไม่มีที่สิ้นสุด

 

แต่ถ้าเราเดินจงกรมเป็น จะเป็นการต่อยอด

จากสติในท่านิ่ง กลายเป็นสติในความเคลื่อนไหว

ซึ่งถ้าเราเดินได้ถูกต้อง ทุกอย่างจะมาเอง

 

ตรงที่ก่อนที่ทุกอย่างจะมาเอง ตรงนั้น

เราต้องทำความเข้าใจก่อนว่า จิตของเราต้องมีวิตักกะ ที่ดี

แล้วจิตจะมีวิตักกะที่ดีได้ ก็คือเราสนใจอะไรอย่างเดียว

อย่าไปให้มีการชิงกันเอง ขัดแข้งขัดขากันเอง

 

คือถ้าเรารู้เท้ากระทบไปด้วย แล้วรู้ลมหายใจไปด้วย

ไม่รู้วิตักกะ ไม่รู้จะเอาตรงไหนมาเป็นที่ตั้ง

 

แต่ถ้าเรารู้เท้ากระทบไปอย่างเดียว

แล้วเกิดความรับรู้ ที่เท้ากระทบอย่างเดียว

อย่างนั้น จะชัวร์ได้ว่า วิตักกะ เกิดขึ้นแน่ๆ โดยมีมาตรวัดชัดเจน

 

ถ้าเท้ากระทบอยู่ในใจ นั่นคือมีวิตักกะ

แต่ถ้าเท้ากระทบหายไปจากใจ นั่นคือฟุ้งซ่าน

วอกแวกไปทางอื่น เสียโฟกัสไปทางอื่น

 

ทีนี้ วิตักกะ มีทั้ง วิตักกะแบบอ่อนๆ กับ วิตักกะ ที่แข็งแรงแล้ว

 

วิตักกะที่อ่อนแอ ก็คือเรารู้เท้ากระทบแปะๆๆ ไป

เสร็จแล้วมีอะไรมากระทบ เราวอกแวกไปทันที อันนี้คือวิตักกะที่อ่อนแอ

 

แต่วิตักกะที่เข้มแข็ง วิตักกะที่แข็งแรงแล้ว

จะรู้สึกถึงเท้ากระทบ ด้วยความมีทิศทางไปในทางที่

จะปรุงแต่งจิตให้เกิดความเป็นหนึ่ง มีความนิ่ง เป็นหนึ่งขึ้นมา

จากที่จิตสามารถแตกแยกได้เป็นหลายซีก จะเหลือซีกเดียว เหลือดวงเดียว

 

ตอนที่จิตลงเป็นดวงเดียว นั่นแหละ วิจาระเริ่มเกิดขึ้น

 

วิจาระเกิดขึ้นแล้วอย่างไร

รายละเอียดที่ร่างกายเท่าที่มี ปรากฏหมดเลย ว่า

แม้กระทั่งอาการเหลียว แม้กระทั่งอาการที่เรากลับตัว ที่หมุนตัว

สมองในส่วนที่รับรู้ทิศทาง รับรู้ที่ตั้งของกาย จะทำงานแบบเต็มที่

จะรู้หมดเลยว่า ร่างกายไปถึงไหน หมุนไปอย่างไร เดินตรงไปอย่างไร

 

จะรู้ชัด ละเอียดว่า นี่กายส่วนของกาย

ส่วนของรูปธรรมนี่ ปรากฏอยู่ในท่าเดินแบบนี้

แล้วในท่าเดินแบบนี้ มีลมหายใจ ปรากฏเข้า ปรากฏออกอย่างไร

จะรู้ครบหมดเลย รู้เอง

นี่เป็นสิ่งที่จะได้จากวิตักกะ และวิจาระ ที่

มีความเข้มแข็ง มีความแข็งแรงแล้ว

 

สรุปก็คือ ขึ้นต้นมาขอให้ได้วิตักกะดีๆ เถอะ

มีเท้ากระทบอยู่ในใจดีๆ เถอะ

ในที่สุด พอจิตรวมลง มีวิจาระ เกิดขึ้น

ใจไม่ไปไหน มีแต่ความรู้สึกถึงเท้ากระทบ

แล้วก็จิตที่ฟุ้งซ่านบ้าง สงบบ้าง รายละเอียดทั้งหมดจะมาเอง

 

ผู้ร่วมไลฟ์ : อย่างนั่งสมาธิ กับเดินจงกรม ก็คือให้ทำอย่างนี้ต่อไปได้เรื่อยๆ เหมือนที่ทำมาปกติใช่ไหมคะ

 

ดังตฤณ : อย่างวันนี้ เท่าที่เราเข้าใจตามที่พี่พูดนี่ เท่าที่เราทำได้

เมื่อไปทำซ้ำ แล้วเกิดผลแบบนี้

 

วิตักกะ เกิดขึ้น เร็วขึ้นๆ โดยไม่เร่ง

โดยไม่ไปคาดหวัง โดยไม่ไปพยายามปรุงแต่งให้มีอะไรขึ้นมาดังใจนี่

รู้เท่าที่จะรู้ได้ไปเรื่อยๆ นี่ ในที่สุดจะเกิดความก้าวหน้าตามที่บอก

 

วันนี้ที่เริ่มต้นขึ้นมา คุณเดินจงกรมก็ดีเลย

เพราะถือโอกาส เรามาเจาะรายละเอียดกัน เกี่ยวกับเรื่องการเดินจงกรมนะ

เพราะว่าที่ผ่านมา เราเอาแต่ท่ามือไกด์นะครับ

 

แต่จริงๆ แล้ว อย่างเวลาที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสในสามัญญผลสูตร

คือพูดง่ายๆ ว่า การปฏิบัติเป็นสามัญ

การปฏิบัติเป็นปกติของผู้ปฏิบัติ ในพุทธศาสนา ทำอย่างไรกัน

 

ถ้าหากเรามีเวลา ถ้าหากว่าเรามีสถานที่ ก็คือนั่งและเดินโดยมาก

 

นั่ง ก็คือนั่งสมาธิ เดิน ก็คือเดินจงกรมกลับไปกลับมา

พระองค์ตรัสอย่างนี้ ในการปฏิบัติเป็นปกติ

ในการปฏิบัติเป็นสามัญของแบบพุทธ

 

จะหมายความว่า นั่งอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอ มาได้แค่ครึ่งเดียว

แต่ถ้าทั้งนั่ง ทั้งเดิน สลับไปสลับมา อย่างนี้

ในที่สุด จิตจะลงแน่ๆ ถ้าถูกทิศถูกทาง

 

จิตจะลงอย่างไร? ลงมารวมเป็นสมาธิ

รับรู้ว่า กายนี้ใจนี้ ไม่มีอะไรเลย ที่เที่ยง

ไม่มีอะไรเลยที่เราควรถือเอาว่าเป็นสมบัติของเรา

 

จะรู้สึกออกมาจากข้างในอย่างลึกซึ้งมาก

ออกมาจากจิตที่เต็มๆ ดวง

การเป็นสมาธิ .. จิต นี่ การเป็นสมาธิ ประโยชน์ของมันคือ

เวลาที่เรารู้ จะรู้สึก รู้ออกมาจากจิตเต็มๆ ดวงว่า

กายนี้ใจนี้ ไม่มีอะไรเลย ไม่เคยมีใครอยู่ในนี้เลย

 

เวลาที่รู้ จะรู้ออกมาชัดๆ เวลาที่เรามีจิตเป็นปกติ คิดๆ

เวลาพูด เวลาคุยกันอยู่ จะมีตัวเรา มีโมหะครอบ

มีความรู้สึกในเรา เหมือนปกติ

 

ต่อเมื่อเรามีความชิน มีความชำนาญ

มีความเป็นวสี ที่จะเข้าออกสมาธิได้รวดเร็ว

คือไม่ใช่ด้วยความคาดหวัง แต่ด้วยความชำนาญ

ด้วยความที่ปฏิบัติซ้ำๆ จนชิน จนแข็งแรง

 

ตรงนี้ พอเราเปลี่ยนโหมดปุ๊บ จิตจะกลายไปเป็นอีกแบบหนึ่งเลย

จากมีตัวตนแน่ๆ กลายเป็นรู้สึกว่า ไม่มีตัวเราอยู่แน่ๆ

 

ตัวนี้ที่เป็นเครื่องวัดว่าเรากำลังอยู่ในทิศทางที่ใช่

แล้วก็กำลังปฏิบัติได้ผลเจริญขึ้นเรื่อยๆ อนุโมทนานะ

_________________

วิปัสสนานุบาล EP3 : คุณดังตฤณโค้ชการเดินจงกรม

วันที่ ๑๐ พ.ย. ๒๕๖๔

ถอดคำ/เรียบเรียง : เอ้

รับชมคลิป: https://www.youtube.com/watch?v=42Pyq6O7CQU

 

วันพุธที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564

Q16 นอนรู้สึกตัวตลอดคืน แต่ตื่นมาไม่เพลีย ใช่เกิดวิตก วิจารแล้วหรือไม่

ดังตฤณ : จิตที่รวมลงเป็นสมาธิ มีสติประกอบอยู่นี่นะ เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่งที่คงสภาพอย่างนั้นของมันเองอยู่ได้โดยจริงๆ แล้ว เราไม่ต้องไปมีวิตก และวิจาร ในแบบที่ฝึกสมาธิก็ได้

 

คือวิตักกะ และ วิจาระ เกิดขึ้นในระหว่างวันเป็นปกติอยู่แล้วนะ เพียงแต่จะสั้น ตามหลักทฤษฎี ตามหลักวิชาการ ตามหลักปริยัติก็คือว่า วิตักกะ วิจาระ เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา

 

ยกตัวอย่างเช่น เรามองอะไรสักอย่างแล้วเห็นภาพชัด ก็เรียกว่า วิจาระเกิดแล้ว เพราะภาพชัด ไม่ได้ไปรับรู้อะไรอย่างอื่นเลย ณ ขณะที่คงสภาพรู้ชัดตรงนั้น เป็นวิตักกะ วิจาระแล้ว ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นสมาธิในแบบที่เราคุยกัน ไม่จำเป็นต้องมีคุณภาพแบบที่จะเห็นอาการพลิกตัวอะไรแบบนี้ตลอด

 

บางทีที่เห็นแบบนี้เพราะว่า จิตใสๆ มีคุณภาพพร้อมรู้

 

ให้เข้าใจอย่างนี้แล้วกันว่า วิตักกะ วิจาระที่เราคุยกันมาทั้งหมดในการทำสมาธิ เพื่อที่จะสื่อง่ายๆ ว่า จิตของเรามีโฟกัสอยู่กับลมหายใจไหม

 

ถ้ามีโฟกัส ด้วยความตรึกนึก ด้วยความว่าใจไม่วอกแวกไปไหน ไม่ปล่อยให้ตัวเองฟุ้งซ่านไปไหน แล้วก็มีลักษณะแนบแน่นเป็นหนึ่ง ใจเหมือนมีดวงเดียว อย่างนั้น ที่เราพูดกันในแง่ของวิตักกะ และวิจาระในการทำสมาธิ

 

อย่าเอาไปรวมกับระหว่างวัน หรือภาวะพิเศษอะไรที่เกิดขึ้นมานะครับ เดี๋ยวจะสับสนแล้วงงกันเปล่าๆ

___________________

หลายปีก่อน เคยฝึกดูลมหายใจตลอด แล้วเวลานอนพลิกตัวกี่รอบก็จะรู้สึกตัวตลอดทั้งคืน แต่ตื่นเข้าไม่เพลีย แบบนี้คือเกิดวิตกวิจารแล้วหรือเปล่าคะ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ช่วง ถามตอบ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=ujxevkI_yI8

 

Q15 งีบหลับกลางวัน เห็นตัวเองกรน เห็นจริงใช่ไหม และควรทำอย่างไร

ดังตฤณ : ถ้าเกิดขึ้น อะไรก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นเป็นประสบการณ์ทางจิต บอกตัวเองว่า จริงทั้งหมดนั่นแหละ คือเห็นอย่างนั้นจริงๆ

 

ทีนี้ ภาวะแบบนี้ เป็นภาวะครึ่งสมาธิ ครึ่งหลับ ซึ่งเราไปพัฒนาต่อค่อนข้างยาก ถ้าจะเจาะจงเอาความตั้งใจในขณะที่เกิดขึ้น

 

แต่เราฝึกไปเรื่อยๆนั่นแหละ ทั้งตอนที่เราตื่นอยุ่ ลืมตาตื่นอยู่ในชีวิตประจำวัน แล้วก็ในขณะที่เรานั่งสมาธิเดินจงกรม กำลังของสติ กำลังของสมาธิ จะไปแสดงผลเองในภาวะแบบนี้ว่า สามารถมา .. ถ้าเป็นไปอย่างถูกต้อง เวลาเกิดสมาธิขณะหลับ จิตจะแผ่ แผ่เป็นเมตตา แผ่ความสุขออกไป แล้วก็มีสติรู้ตัว รู้แบบครึ่งๆ กลางๆ เหมือนกับจะไม่รู้ก็ไม่ใช่ จะรู้ชัดก็ไม่เชิง แต่ว่าเป็นความรู้ที่สบาย และจิตแผ่ออกไป อย่างนั้น

 

แต่ถ้าหากมีอาการจงใจอยู่ก่อนล่วงหน้าว่า ฉันอยากจะไปพัฒนา จะไปปรับปรุงสภาพแบบนี้ นั่นอาจเกิดภาวะบีบคั้นขึ้นมา ซึ่งทำให้แทนที่จะดี กลายเป็นไม่ดี กลายเป็นหลับไม่สนิท

 

เอาเป็นแค่สังเกตก็แล้วกันว่า ถ้าจิตของเราในระหว่างวันเป็นเมตตา มีความสุข มีความสบายพร้อมที่จะแผ่ให้ทุกคน

 

คำว่าแผ่นี่ก็คือ พูดดี คิดดีกับเขา แล้วก็มีความรู้สึกดีๆ ให้เขา อย่างนี้ จะมามีส่วนเสริม มีส่วนประกอบในขณะที่เกิดภาวะแบบนี้ จิตจะดีขึ้นเรื่อยๆ

 

ถ้าจิตดีนะ จะอยู่ในสภาพแผ่กว้าง ขยาย ไม่กระจุก ไม่คับแคบ ไม่อึดอัด สังเกตอยู่แค่นี้นะ

___________________

เมื่อกลางวันแอบงีบหลับแต่ใจคิดอยากปฏิบัติไปด้วยตอนนอน ได้เปิดเสียงสติขณะปฏิบัติในท่านอนจนเผลอหลับไป มีบางช่วงขณะนอนรู้สึกเห็นเหมือนตัวเองตื่น(จิตตื่น)แต่กายยังหลับในท่านอน บางจังหวะเหนื่อยได้ยินเสียงตัวเองกรนเบาๆแต่ยังหลับอยู่ อันนี้คือเห็นจิงๆช่ายมั้ยค่ะเกิดขึ้นได้ใช่ไหมคะ ควรแก้หรือต้องทำอย่างไรต่อคะถ้าเกิดอีกค่ะ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ช่วง ถามตอบ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=lwahI6OEQco

 

 

Q14 ถ้าปฏิบัติธรรมดีจะมีมารหรือเจ้ากรรมมาฉุดจริงไหม และควรทำอย่างไร

ดังตฤณ : นี่ก็เป็นเรื่องที่ผมพูดบ่อยๆ นะ อย่างถ้าคนตั้งใจจะถือศีล บอกว่าจะตั้งใจจริงๆ แล้ว คือจะเอาชนะตัวเองให้ได้ ไม่เอาบาปไม่เอากรรม ก็จะมีอะไรไม่รู้คอยมาประดังเข้ามา ให้พิสูจน์ใจว่าจะรักษาศีลได้จริงหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อที่เราบอกว่าตั้งใจเด็ดขาดว่าจะไม่ทำผิดอีกแล้วนี่ ยิ่งตั้งใจแรงเท่าไหร่ ยิ่งมาเร็วขึ้นเท่านั้น

 

ทีนี้ ถ้ามองในแง่ดีก็คือว่าจะได้ทำแบบทดสอบ จะได้ทำข้อสอบว่าผ่านหรือไม่ผ่าน แล้วก็ถ้ามองในแง่ร้ายก็คือว่ามาบั่นทอนกำลังใจกันหรือเปล่า อยากจะรักษาศีล แต่มีสิ่งที่มาบีบคั้นให้ต้องผิดศีล แล้วก็ไม่ผิดก็ไม่ได้เสียด้วย เพราะจำเป็นอย่างนั้น จำเป็นอย่างนี้ .. นี่ในระดับของศีล

 

ทีนี้ในระดับของการภาวนา จะยิ่งกว่านั้น เพราะว่าการภาวนา การเจริญสติ เราอยู่ในระดับของการที่จะหลุดพ้น จากสิ่งที่หนียากที่สุด คือหลุมดำแห่งสังสารวัฏ

 

หลุมดำที่คอยดึงดูดให้คงค้างอยู่กับสังสารวัฏ นี่ไม่ใช่แค่ระดับนิดเดียว ไม่ใช่ระดับขั้นเดียว แต่เป็นระดับล้างโคตร ล้างโคตรเหง้า ขุดโคตรเหง้าของตัวเองออกจากสังสารวัฏ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ระดับของศีล แต่เป็นระดับของการที่จะเอาตัวออกจากวังวนทุกข์

 

ซึ่งวังวนทุกข์นี่เป็นเกมที่เล่นยากที่สุด ไม่มีอะไรเกิน

 

การที่เรามองว่าสังสารวัฏ คือเริ่มต้นจากแรงดึงดูด เหมือนกับทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์บอกว่าก่อนเกิด big bang มี gravity มีแรงโน้มถ่วง มีแรงดึงดูด ไม่รู้แรงดึงดูดอะไรแต่คำนวณออกมาแล้ว ดูจากผลตอนที่เกิด big bang ใหม่ๆ มีพลังตรงนี้จริงๆ ที่ออกมาชัดที่สุด คำนวณได้เป็นคณิตศาสตร์ แต่ว่าโดยรวมก็คือสังสารวัฏ หรือ จักรวาลทั้งจักรวาล เริ่มต้นจากแรงดึงดูด

 

เรากำลังจะหนีออกจากแรงดึงดูดที่ดูดเราติดมาไม่รู้กี่ชาติ พระพุทธเจ้าท่านนับเป็นอนันตชาติ ถ้าอยากรู้ว่าอนันต์เป็นอย่างไร ลองนับเม็ดทรายบนชายหาดดู ทั้งหาด หรือนับดวงดาวในหนึ่งแกแล็คซี่ ไม่พอนะ เอาแสนล้านแกแล็คซี่ ทั้งจักรวาล ตอนนี้สำรวจได้เป็นสองล้านกว่าแกแล็คซี่ .. สองล้านล้านนะ นั่นแหละ จำนวนภพชาติที่เราเคยเกิดมาก็ประมาณนั้น

 

ทีนี้เราติดอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรมาเป็นอนันตชาติ ก็คือแรงดึงดูดนี่

 

เรากำลังจะหนีออกจากความเป็นอย่างนี้ หนีออกจากภพชาติที่เกิดมานับไม่ถ้วนอย่างนี้ จักรวาลจะพยายามยื้อเราด้วยกลอุบายต่างๆ นานา พิสดาร ซึ่งเราตามไม่ค่อยได้ จับไม่ค่อยได้ ไล่ไม่ค่อยทันหรอก

 

จะมาในรูปแบบที่จำเป็น จำเป็นต้องไปให้ความสนใจ .. ทั้งนั้นแหละ

 

ทีนี้ ประเด็นคือถ้าเราไม่มองว่า นี่เป็นเครื่องรบกวน นี่เป็นแรงดึงดูด จะมาพาให้เราจมปลักอยู่ที่เดิม แต่มองเข้ามาที่ใจของเราว่ามีความหวั่นไหว มีความรู้สึกโซซัดโซเซ หรือมีอาการกระเพื่อมได้มากหรือน้อยเพียงใดในแต่ละครั้งที่ถูกกระทบ

 

เราฝึกดูอย่างนั้นไปเลย ดูง่ายๆ เวลาที่เกิดอะไรขึ้นมา ดูที่ใจว่าใจของเรามีอาการหลงไปติด กระเพื่อมมาก กระเพื่อมน้อย กังวลมาก กังวลน้อย มีความชอบมาก มีความชังมาก มีความชอบน้อย มีความชังน้อย

 

อาการเหล่านี้ของใจ ที่เราดูไป ฝึกดูแล้วมีมาให้ดูเรื่อยๆ ถ้ามีเรื่องกระทบจริงๆ ส่วนใหญ่จะเข้ามาในรูปของความคิดรบกวนจิตใจ เข้ามาเป็นระลอกๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

พอทำใจได้แล้ว เดี๋ยวก็กลับมาอีก ดูไปเรื่อยๆ ยิ่งฝึกดูบ่อย จะยิ่งมีสติที่แข็งแรงมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องไปนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมอย่างเดียว เราฝึกระหว่างวันก็ได้ ฝึกโดยการที่เราเอาตัวอย่างมาจากในสมาธิ ที่เราคุยกันว่า เวลาความคิดทยอยระลอกเข้ามา จิตมีอาการยึด หรือมีอาการรู้ว่ากายก็ส่วนหนึ่ง ลมหายใจส่วนหนึ่ง สุขก็ส่วนหนึ่ง ความคิดก็ส่วนหนึ่ง

 

เวลาอยู่ในชีวิตประจำวัน เราก็ดูว่า เรารู้ไหมว่ากายก็ส่วนหนึ่ง ลมหายใจสั้นๆ น่าอึดอัดก็ส่วนหนึ่ง ความรู้สึกกระสับกระส่ายก็ส่วนหนึ่ง แล้วความคิดที่เข้ามาเป็นระลอกรบกวน กระแทกแรงบ้าง กระแทกเบาบ้าง ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง เรารู้อย่างนั้นได้ไหม

 

ถ้าหากรู้ได้นั่นแสดงว่า เรารู้ทั้งภาวะที่ดีๆ ที่มีความสุข และภาวะที่แย่ๆ ไม่มีความสุขเลย มีแต่ความทุกข์

 

ถ้าคนที่รู้ได้ทั้งสองฝั่งนั่นแหละคือคนที่จะหลุดออกจากแรงดึงดูดของสังสารวัฏได้ง่าย

 

แต่ถ้าคนที่รู้ได้เฉพาะตอนที่กำลังดีๆ มีความสุขอยู่นะ อันนี้ยังยาก เพราะแสดงว่าติดสุข แต่ถ้าหากว่ารู้แม้กระทั่งฝั่งความทุกข์ได้ นี่แสดงว่าไม่ติดทุกข์ ไม่ติดทั้งสุข ไม่ติดทั้งทุกข์นั่นแหละ จะลอยบุญลอยบาปได้ในที่สุด

 

ลอยทั้งสุข ลอยทั้งทุกข์ทิ้งทะเลได้ กลับสู่ความว่างได้

___________________

จริงไหมที่เค้าบอกว่าพอเราปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้น จะมีเรื่องแปลกๆในเรื่องของมารหรือเจ้ากรรมมาฉุดดึง ให้ขาดการฝึกต่อเนื่อง เช่นอยากปฏิบัติให้มากกว่านี้ กลับทำได้น้อยลง ไม่ว่าจะผลจากงานหรือปัจจัยอื่นๆมาแทรก ทำให้บางครั้งขาดการต่อเนื่อง มีผลไหมคะ แล้วควรวางใจอย่างไร ให้ไม่ไขว้เขว?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ช่วง ถามตอบ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=GfAt-ilBPds

 

Q13 เมื่อครบองค์ปฐมฌาน แล้วจะไป ๒ ๓ อย่างไร

ดังตฤณ : ถ้าครบองค์ปฐมฌานจริง

มีวิตักกะที่นิ่มนวล คือรู้ลมหายใจช้า ชัดได้

 

ปฐมฌานแบบของพุทธ ไม่ใช่ปฐมฌานแบบที่ไปทำอะไรอย่างอื่นนะ แต่เป็นปฐมฌานที่พระพุทธเจ้ามุ่งหมายจำเพาะถึงลมหายใจแบบอานาปานสตินะ

 

คือรู้สึกถึงลมหายใจช้า ชัด แล้วก็จิตเป็นหนึ่งเดียวกับลมหายใจ ไม่ไปไหน แนบแน่นอยู่กับลมหายใจ รู้ลมหายใจอย่างเดียว เป็นวิจาระ

 

แล้วมีปีติ มีความเยือกเย็น มีปีติอันเกิดแต่วิเวก ใจไม่ดิ้นรนกระสับกระส่าย มีความสุขแบบเยือกเย็น แล้วที่สำคัญคือ มีจิตที่เป็นหนึ่ง รู้อย่างเดียว รู้ลมหายใจอย่างเดียว รู้เครื่องประกอบด้วยว่ากายโป่งออกมา แฟบลงไป รู้ชัดว่ากายนี้ แยกเป็นต่างหากจากลมหายใจ รู้ชัดว่าแยกเป็นต่างหากจากปีติ รู้ชัดว่ามีความสบายกาย สบายใจ เป็นส่วนๆ ออกจากกัน

 

แล้วจิตมีความใหญ่ มีความใหญ่มหึมา ขยายกว้างออกไปแบบไม่มีขอบเขต ไม่มีอะไรห่อหุ้ม ส่องสว่าง เหมือนกับเวลาหยุด

 

แม้กระทั่งเสียง ต่อให้มีเสียงฟ้าผ่ามาก็ไม่ได้ยิน เพราะจิตอยู่ในวิถีที่แนบเป็นอารมณ์เดียว เป็นหนึ่ง ไม่เคลื่อนไปสู่การรับรู้อย่างอื่นเลย แล้วก็ไม่มีความคิด

 

ถ้าได้ปฐมฌานจากอานาปานสตินี้แล้วจริงๆ เวลาที่จะเคลื่อนเข้าไปสู่ ทุติยฌาน จะมีสภาพของปีติเด่นขึ้นมาเป็นพิเศษ

 

คืออันนี้เราไปทำอะไรไม่ได้นะ ไปเร่งไม่ได้ แต่ว่าปีติจะเด่นขึ้นมาเป็นพิเศษ เหมือนกับที่พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบ คล้ายๆ กับเป็นน้ำที่อยู่ในขอบเขตหนึ่ง ไม่มีการไหลเข้า ไม่มีการไหลออก แล้วก็มีอาการผุดโพลงขึ้นมาเหมือนน้ำพุที่ผุด เกิดความรู้สึกปีติใหญ่หลวง แต่เป็นปีติที่มีสติประกอบอยู่ มีสติที่จะไม่ทำให้อาการนั้นเกินความเยือกเย็น ไม่มีอาการขนลุกขนชัน หัวพองเป็นกระบุงอะไรแบบนั้น

 

มีแต่ความรู้สึกปีติซ่านไปด้วยความรู้สึกวิเวก แล้วตัวปีติที่มีกำลังมากขึ้น จนกระทั่งเกิน อยู่ของมันโดยตัวของมันเองได้ ที่พระพุทธเจ้าเปรียบเทียบเหมือนกับน้ำขังไว้โดยไม่มีการไหลเข้าไหลออก ตรงนั้น ตัววิตักกะ กับวิจาระ จะหายไป

 

คือพูดง่ายๆ ว่า ความรู้สึกเกี่ยวกับลมหายใจจะเบาบางมาก แทบไม่เหลือเลย หรือไม่เหลือเลยนะ

 

แต่สติยังไม่ไปไหน ยังมีความตื่นอยู่เต็มตัว พอเรามีปีติมากพอถึงจุดนั้น จะรู้สึกว่าสามารถละอาการตรึกนึกถึงลมหายใจได้ เหมือนกับสามารถเลี้ยงตัวได้ อยู่บนที่สูง แล้วกว้างขวาง ไม่มีประมาณ

 

ตรงนั้น จะเกิดเป็นทุติยฌานขึ้นมานะครับ

 

แล้วพอถึงจุดหนึ่งที่จิตมีความแนบไปกับความสุขในแบบที่กว้างขวาง กว้างมากๆ ปีติก็หายไป อันนั้นแหละที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า อริยบุคคลสรรเสริญ คือเข้าถึงตติยฌาน

 

พอมีความสุขแบบมีสติ เป็นความสุขอย่างใหญ่ มีสติแล้วก็ไม่หลงไปว่า ปีติเป็นของดี หรือว่าสภาพทางกาย ทางใจที่ปรากฏอยู่นี้ เป็นของน่าเอา ก็จะอยู่กับความสุขที่ .. คือบางทีแล้วแต่การปรุงแต่งของจิตนะ ถ้าหากว่าเรามีความรู้สึกเป็นสุขมาก สุขแบบวิเวก แบบไม่มีที่สิ้นสุด ก็อยู่ได้นาน แต่ถ้าหากว่าความสุขของเราที่มีสตินั้น เหมือนกับยังโน้มเอียงมาทางติดปีติ ก็อาจกลับมาสู่ภาวะอะไรหยาบๆ สู่ภาวะที่หยาบลง เคลื่อนจากตติยฌาน มาอยู่กับปีติในทุติยฌาน

 

ภาวะพวกนี้จะค่อยๆ เลื่อนขั้นขึ้นไปเอง แต่โดยสรุปง่ายๆ ก็คือว่าถ้าถึงปฐมฌานจริง แล้วมีปีติ มีสุข มีเอกัคคตาของจิต พร้อมจริงๆ ตัวปีติ จะเด่นขึ้นมาก่อน ถ้ามีกำลังสะสมกำลังมากขึ้นไปเรื่อยๆ ตัวปีติจะเด่นขึ้นมา จนเกิน จนรู้สึกว่าสามารถเลี้ยงตัวเองอยู่ได้ แล้วก็วิตักกะ กับวิจาระหายไปนะ

___________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ช่วง ถามตอบ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=bK9Wtjd29rc

 

Q12 เห็นแสงสว่าง รู้สึกลมอัตโนมัติ รู้สึกร่างกายขยับโดยไม่ตั้งใจ คืออะไร

ดังตฤณ : นั่นคือรวมลงเป็นอุปจารสมาธินะ มีความคงตัว .. นี่คือดูจากที่เล่านะ มีความคงตัวนะครับ แม้กระทั่งเหมือนกับออกจากสมาธิแล้ว ร่างกายก็ถูกฝึกได้เอง เหมือนสภาพทางกาย ขยับเองอะไรแบบนั้น เป็นอัตโนมัติ

 

ทีนี้ ภาวะที่นานๆ เกิดที หรือเกิดขึ้นแบบฟลุ้คๆ จะเอามาใช้ประโยชน์ในทางวิปัสสนาไม่ได้

 

ในทางวิปัสสนา เราเอาความแน่นอนทางสมถะนะ ว่าทำอย่างไร เข้าช่องทางไหนแล้วเกิดความรู้สึกว่า มีสมาธิแบบนี้ขึ้นมาได้เรื่อยๆ ถ้าหายังไม่เจอ ขอแนะนำให้ลองดู .. ใช้มือไกด์ หาเจอแล้วไม่เป็นไรก็แล้วแต่ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้มือไกด์ก็ได้นะ

 

จะลองเข้าไปในห้องวิปัสสนานุบาลก็ได้นะครับ แล้วแต่ความพอใจของบุคคลนะ ตรงนี้ไม่ว่ากัน ไม่ต้องมาถามนะว่าพระพุทธเจ้าให้ใช้มือไกด์หรือเปล่าอะไรแบบนี้ ไม่มีประโยชน์นะ ถ้าจะไม่รับฟังว่าที่มาที่ไปเป็นอย่างไร หรือว่าเหตุผลเป็นอย่างไร

 

อานาปานสติของพระพุทธเจ้านี่ ทำได้โดยไม่ต้องใช้มือไกด์ แต่จะยากสำหรับคนทั่วไป

 

การใช้มือไกด์ก็เพื่อที่จะให้ง่ายขึ้นสำหรับคนจำนวนมาก ถ้าทำได้แล้ว ก็จะเลิกใช้มือก็ได้ แต่ถ้ายังรู้สึกว่า นานๆ ทำได้ทีหนึ่ง ไม่ใช่ทำได้แน่นอน ก็ลองมาใช้วิธีนี้ดู เผื่อจะได้ขึ้นมานะ

___________________

เคยนั่งสมาธิ แล้วลมหายใจหายไป สักพักก้เหมือนวูบหายไป พอรุ้สึกตัวก้เกิดแสงสว่างไปทั่ว แล้วก้รุ้สึกถึงลมหายใจเข้าออกเองอัตโนมัติ หลังจากนั้นก้นรุ้สึกว่าตัวเองนั่งอยุ่ชัดมากๆ หลักขากนั้นความรุ้สึกถึงร่างกาย มันขยายออกไป ต่อจากนั่นก้เลิกนั่ง ลุกขึ้นมา มันรุ้สึกถึงการยกขา การขยับร่างกายเอง การเดิน มันชัดมากๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ ไม่ทราบว่ามันคืออะไรครับ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ช่วง ถามตอบ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=wOwSKx6KOlI

 

Q11 ทำอย่างไรไม่ให้ฟุ้งซ่านไปตามเรื่องแย่ที่เกิดขึ้น

ดังตฤณ : อย่ามีความคาดหวังว่า ทำแล้วจะจบเลย จะดีเลยภายในสองสามวัน

 

ให้ตั้งมุมมองไว้ว่า ของแบบนี้ต้องใช้เวลากันเป็นเดือนๆ เป็นปีๆ ถ้าเราบอกว่ายังเหลือเวลาอีกเป็นเดือนๆ กว่าจะดีขึ้น อย่างน้อยก็จะไม่คาดหวังว่าจะดีขึ้นในวันพรุ่งนี้ หรือดีแล้วดีเลย

 

ในขณะเดียวกัน ถ้าเราบอกว่าโอ้โห อีกตั้งเป็นเดือน อีกตั้งเป็นปีกว่าจะดีขึ้น แล้วเกิดความท้อแท้ขึ้นมา ระหว่างนั้น เราก็หัดดูว่า .. คือแทนที่จะไปจมอยู่กับอาการท้อแท้ หัดดูว่าบางวันก็เจริญขึ้น บางวันก็เสื่อมลง เราไปจัดการกับความเจริญขึ้น และความเสื่อมลงด้วยการจะเอาอย่างใจไม่ได้

 

เราไปบังคับควบคุมไม่ได้ เพราะชีวิตใหญ่เกินความคาดหวังของมนุษย์

 

ความคาดหวังของมนุษย์เป็นสิ่งเล็กกระจ้อยร่อย แต่ความจริง ภาวะที่เกิดขึ้นอันนั้น เป็นของใหญ่ เป็นของที่เอาชนะได้ยาก

 

แล้วถ้ายิ่งเราไปพยายามจะเอาชนะให้ได้เดี๋ยวนี้ จะยิ่งเป็นไปเพื่อความสูญเปล่า แต่ถ้าหากว่าเราตั้งมุมมอง แทนการตั้งความคาดหวัง เราตั้งมุมมองไว้ว่า ทำไปเรื่อยๆ มันก็อย่างนี้แหละ เดี๋ยวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวก็แย่ลงกลับมาแย่ลง แล้วเดี๋ยวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ อีก จะกลายเป็นมุมมองใหม่

 

ลองเข้าห้องวิปัสสนานุบาลดูนะ ไม่แน่ใจว่าเข้าไปแล้วหรือยัง ไปเห็นหลายๆ คนนะครับที่ทำๆ กัน เขาก็มีทั้งทำได้ดี บางทีก็ทำไม่ได้ แต่ประเด็นคือทำไปเรื่อยๆ

 

พอทำไปด้วยกัน แล้วอยู่ไปด้วยกันอย่างนี้ จะมีทิศทางที่ชัดเจนว่าเราจะเอาอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเห็นคนที่เขาไปถึงจุดหนึ่งที่ไม่ต้องมาอยากได้อนาคตล่วงหน้ามาเร็วๆ อะไรแบบนี้ เขามีความสุข มีความสบายกับปัจจุบันอยู่แล้ว

 

เมื่อเห็นตัวอย่างแบบนั้นมากๆ เข้า แล้วก็ซึมซับมามากๆ เข้า ในที่สุดเราก็กลายเป็นคนหนึ่งที่พอใจอยู่กับปัจจุบันได้ ไม่คาดหวังในอนาคตมากนะครับ

___________________

เคยเป็นโรคซึมเศร้าใช้ยา แต่ตอนนี้หมอให้หยุดยาแล้ว ปรกติจะชอบวิตกกังวล ฟุ้งซ่าน และก็หัดทำสมาธิกับคลิปคุณดังตฤน ก็เหมือนจะดีขึ้นค่ะ มีสมาธิมากขึ้น แต่ถ้าช่วงหนึ่งที่เรารู้สึกแย่ หรือป่วย ก็จะฟุ้งซ่านเสียเวลาเป็นวันสองวัน พอเริ่มทำตามคลิปเจริญสติก็ดีขึ้นอีก อยากสอบถามว่า จะทำยังไงดีคะที่เกิดอะไรขึ้นแย่ๆ แล้วไม่ให้เราฟุ้งซ่าน?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ช่วง ถามตอบ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=JrLpJ7WZ8Gw

 

Q10 วิตก ต่างกับ วิจารอย่างไร

ดังตฤณ : วิตักกะ หรือ วิตก อาการของใจจะเล็งอยู่ว่าลมหายใจกำลังเข้า หรือ ออก จะมีอาการนึกอยู่ จะมีอาการตรึกนึกอยู่นิดๆ ว่า เอ๊ะ ตอนนี้เข้าอยู่นะ นี่ออกอยู่นะ

 

หรืออาการทางกายเวลาเคลื่อนไหวไป ขยับไป จะต้องมีการเลือกอยู่ว่าเราจะขยับให้ดี ขยับให้ช้าพอดี อย่างนี้ คืออาการนึกอยู่

 

แต่วิจาระ จะเกิดขึ้นหลังจากที่จิตแปรสภาพ หรือปฏิรูปจากอาการที่แส่ส่ายได้ ตอนที่จิตแส่ส่ายได้ จะรู้สึกว่าจิตแยกเป็นเสี่ยงๆ พอไปทางซ้ายที ก็รู้สึกว่า แยกไปทางเสี่ยงนี้ .. เสี่ยงซ้าย

 

พอแยกไปทางขวา ก็รู้สึกว่าไปทางนี้ .. เสี่ยงขวา

 

แยกเป็นเสี่ยงๆ บางทีไปข้างบน บางทีกระจายอะไรแบบนี้ อย่างนั้น คืออุปมาอุปไมยว่า จิตแตกเป็นเสี่ยงๆ คนปกติทั่วไปจะอย่างนั้น

 

แต่ทีนี้ พอเกิดวิจาระอันเกิดจากการที่เรามารู้สึกถึงลมหายใจช้า ชัดอย่างดีไปต่อเนื่องนี้ จิตจะไม่ไปไหน จะไม่แยกไป จะมารวมลงอยู่ที่เดียว รู้สึกเหมือนกับมีภาวะอีกภาวะหนึ่ง ที่ไม่เอาแล้ว ความแส่ส่าย มีแต่ความพอใจ มีแต่ความรู้สึกว่าอิ่มใจที่จะตั้งอยู่ดวงเดียว

 

แล้วอาการที่จิตเหลืออยู่ดวงเดียวนั้น ก็สามารถรู้แนบเข้าไปแจ่มชัดกับลมหายใจว่า ลมหายใจนี้ กำลังปรากฏเด่น แล้วจิตเป็นผู้รู้ จิตจะตั้งเด่นในฐานะของผู้รู้ลมหายใจเดียว ไม่วอกแวกไปทางอื่น ไม่คิดอะไรอย่างอื่น

 

นี่คือคีย์ของวิตักกะ และวิจาระ

 

วิตักกะ ทำหน้าที่นึก .. นึกอย่างดี นึกอย่างนุ่มนวล ส่วนใหญ่ เวลาเราศึกษากันในเชิงวิชาการ วิตักกะคืออะไร คือการตรึกนึกถึงอะไรอย่างหนึ่ง แต่ไม่ได้มีการแบ่งแยกว่า วิตักกะ นี้ การตรึกนึกถึงอะไรอย่างหนึ่งนี่ มีความหยาบ หรือว่าประณีต มีความแข็งกระด้าง หรือมีความนิ่มนวล อ่อนโยน อ่อนควร

 

ต่อเมื่อเราฝึกที่จะหายใจช้า แล้วก็รู้ชัดได้ ตรงนี้ เริ่มเห็นว่าวิตักกะ มีหลายแบบ

 

แบบหยาบๆ ก็มี ประณีตก็มี แบบที่กระด้างก็มี แบบที่นิ่มนวลก็มี

 

แล้วตอนที่จะเกิดวิจาระ คือขั้นต่อมาที่จิตเหลืออยู่ดวงเดียว ซึ่งประสบการณ์ตรงนั้น จริงๆ คุณก็เคยรู้มาแล้ว ตอนที่โล่งว่าง รู้สึกถึงลมหายใจอย่างเดียว ตอนที่คุณโล่งว่าง ตอนฟังเสียงสติอย่างนี้ เคยมีมาแล้ว ที่รู้สึกได้

 

แค่เราเข้าใจเท่านั้นแหละว่า พอถึงตรงจุดที่มีวิจาระ ถ้าวิจาระนั้นเกิดขึ้นเองอย่างต่อเนื่องเป็นอัตโนมัติ มีความคงเส้นคงวา เราสามารถน้อมมาใช้ในงานวิปัสสนาได้

 

คือเห็นว่ากายก็ส่วนหนึ่ง ลมหายใจส่วนหนึ่ง สุขก็ส่วนหนึ่ง โล่งว่างส่วนหนึ่ง .. สุขแบบโล่งว่างก็ส่วนหนึ่ง แล้วความคิดที่อาจจรเข้ามาก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง

 

ตรงนี้แหละที่เราเคยคุยกันไปนะ

 

วิจาระ มีความหมายต่อเมื่อเราเข้าใจว่า เราจะเอาจิตที่เป็นหนึ่งแล้ว มาใช้แยกรูปแยกนาม เห็นกายใจเป็นขันธ์ห้าได้อย่างไรนะครับ

___________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ช่วง ถามตอบ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=QcJtwMtUazA

 

Q09 เมื่อโล่งผ่อนคลาย ปรับเป็นท่าที่ 2 ได้เลยใช่ไหม และจะเปลี่ยนท่าที่ 3 เมื่อไหร่

ดังตฤณ : ของคุณนี่ ท่าที่สอง อาจยังไปไม่ถึงจุดที่มีความชุ่มชื่นมาก

แต่น่าจะไปถึงจุดหนึ่ง ที่เวลาที่เรายก ชูมือขึ้นสุด .. ชูสุดเลย

แล้วก็เหมือนกับเชิดหน้าขึ้นนิดหนึ่ง คุณจะรู้สึกถึงความนิ่ง

ที่เกิดจากสมดุลระหว่างร่างกาย กับภาวะทางใจได้

 

ถ้าถึงตรงนั้น ให้เลือกเอา ความรู้สึกอยากจะให้ทำท่าที่สอง

จนกว่าจะเกิดความชุ่มชื่นมากกว่านี้นะ ชุ่มชื่นจริงๆ

แบบที่เรารู้สึกว่า ดีจังเลย มีความสุขจังเลย

แล้วก็ให้ตัวความชุ่มชื่นนั้น เลี้ยงให้สติมีอายุยืนขึ้น

 

จากนั้น ค่อยดู .. จะมีจังหวะหนึ่งที่ชุ่มชื่นด้วย

แล้วก็มีความนิ่ง ตอนที่ไปรวบมือ ไปประกบกันตรงยอด

พอมีความนิ่ง มีความชุ่มชื่นด้วย แล้วก็ลงมาดู

ว่าความนิ่ง ความชุ่มชื่นนั้น ตั้งอยู่ได้เอง

โดยที่ไม่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวประกอบไหม

 

แล้วที่ตั้งอยู่ได้เองนั้น มีความรู้สึกรับรู้ถึงลมหายใจ

ได้ตามสปีดที่เคยทำได้โดยการใช้ท่าช่วยหรือเปล่า

 

สรุปง่ายๆ นะ ไปถึงจุดที่มีความรู้สึกชุ่มชื่น

อย่าเพิ่งไปคิดถึงท่าที่สามนะ

ไปถึงจุดที่ว่า .. ดีจังเลย มีความสุขจังเลย

เสร็จแล้ว ค่อยเอามือลงมาวาง

แล้วก็ดูว่าเรายังมีความสุข แบบนั้นคงเส้นคงวา

ต่อเนื่องได้โดยไม่ต้องใช้ท่าช่วยหรือเปล่า

 

เอาอย่างนี้ ผมให้เป็นเวลาก็ได้ ..

ท่าที่หนึ่ง ของคุณนะ ขอสามนาที

ท่าที่สองต่อไปสักประมาณสิบนาที

จากนั้น ในนาทีที่เก้า ที่สิบ

น่าจะรู้สึกถึงความชุ่มชื่นได้ชัดเจน อย่างต่อเนื่องเป็นไปเอง

 

ถ้ามีความชุ่มชื่นแบบวูบๆวาบๆ ไม่นับนะ ในระหว่างก่อนสิบนาทีนั้น

ถ้าจะมีความชุ่มชื่น จะมีความเบิกบานอะไรขึ้นมาแบบเล็กๆ น้อยๆ

อย่างนั้น ยังไม่นับ

 

แต่ต้องมีความชุ่มชื่นในแบบที่รู้สึกหลั่งไหลต่อเนื่อง

เหมือนไขก๊อกออกมา เปิดก๊อกได้ รู้สึกว่าออกมาแบบเป็นไปเองได้

ตรงนั้นค่อยไปต่อท่าที่สาม คิดว่าคงเข้าใจนะครับ

___________________

พอลองทำตามตอนอาจารย์สอน เรื่องปรับท่าให้ผู้ร่วมปฏิบัติใน live ท่าที่ ๑ แล้ว ... รู้สึกโล่ง ผ่อนคลายสบายใจขึ้น ขนลุกนิดๆ  ให้ปรับไปท่าที่ ๒ ต่อได้เลยใช่ไหมคะ? และจังหวะไหนจึงจะปรับเป็นท่าที่ ๓ ได้คะ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ช่วง ถามตอบ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=8Uv_2ESOYxE

Q08 รู้สึกหัวและตัวโยกโคลง ติดอะไรไหม

ดังตฤณ : ผมไม่อยากให้ไปพะวงกับอาการปลีกย่อย รายละเอียดอะไรที่เล็กๆ น้อยๆ หยุมหยิมนะ

 

ถ้าสมมติโยกโคลงแล้วรบกวนจิตใจ รบกวนสมาธิ อย่างนั้นเราค่อยให้ความสำคัญกับมัน

 

แต่ถ้าหากโยกโคลงแล้วเรายังรู้สึกถึงอาการเคลื่อนไหว ความสัมพันธ์ของลมกับมืออยู่ได้ แล้วเกิดสมาธิ มีวิตักกะ มีวิจาระ

 

มีวิตักกะขึ้นมาได้อย่างเดียวพอก่อน มีวิตักกะได้ .. แค่นั้น เราพอใจได้แล้ว ทำความพอใจอยู่กับตรงนั้นแล้ว

 

จะโยกโคลงเล็กๆ น้อยๆ หรือจะมีรายละเอียดปลีกย่อยอะไรตามมา ถือว่าเป็นส่วนเกินให้รับรู้ ให้สังเกต

 

ทีนี้สังเกตว่าอะไร สังเกตว่าโยกโคลงอยู่เรื่อยๆ ไม่เลิกหรือเปล่า ถ้าเราไม่ไปสนใจ แค่รับรู้อยู่เฉยๆ ด้วยอาการรับรู้อยู่เฉยๆ นี่ อาการโยกโคลงนั้น จะยุติลงได้เองที่ลมหายใจใดลมหายใจหนึ่งหรือเปล่า ตัวนี้เป็นสิ่งที่เราต้องทำไว้ในใจ

 

แล้วของคุณนี่ พอรู้สึกถึงลมหายใจได้ มีวิตักกะได้ ถ้าหากว่าอาการโยกโคลงไม่หาย ทำไปเรื่อยๆ แล้วไม่หายเลย ให้ใช้วิธีแบบนี้ว่า ท่าที่หนึ่ง เรารู้ความสัมพันธ์ระหว่างฝ่ามือกับลมหายใจแล้ว สักสองสามครั้ง

 

ถ้ารู้ได้ชัด เกิดวิตักกะแล้ว เปลี่ยนเป็นท่าที่สองเลย ท่าที่สองนี่ เท่าที่เห็นมา ตั้งแต่ดูมา คือไม่ได้รับประกันนะว่าจะเป็นอย่างนี้ แต่ท่าที่สองเท่าที่เห็นมา ยังไม่เคยมีใครที่มาบ่นเรื่องอาการโยกโคลง

 

ท่าที่หนึ่งอาจเกิดได้เพราะว่าความเคยชินเดิม หรือว่ามือไม่บาลานซ์อะไรแบบนี้ แต่ถ้าที่สองจะมีความบาลานซ์กันอยู่ทั้งฝ่ามือ ทั้งการวาดแขน และการทรงตัวนะ

 

ส่วนใหญ่จะไม่มีปัญหาเรื่องนี้

 

สรุปก็คืออยากให้ดูโดยความเป็นของไม่เที่ยงก่อนนะครับ ถ้าดูไม่ได้ เห็นว่ายังเกิดขึ้นต่อเนื่อง ก็ทำท่าแรกเพื่อให้เกิดวิตักกะ แค่แป๊บๆ นาทีเดียวพอ แล้วต่อด้วยท่าที่สองเลยนะครับ

___________________

หลังจากครั้งแรกที่คุณตุลย์แนะนำเรื่องท่าทางที่ถูกต้อง หงายมือ หลังตรง ยกคางขึ้นเล็กน้อย มือไม่เกร็ง และฝึกการหายใจด้วยท้อง จึงทำให้การหายใจได้ลึกขึ้นค่ะ

วันนี้นั่งท่าที่ ๑ รู้สึกในวินาทีแรก เห็นแต่มือยกขึ้น แต่พอสักระยะจึงจะรู้สึกถึงลมหายใจ โดยมีมือดึงลม เข้าออก ในขณะรู้ถึงลม ทำไมรู้สึกว่า หัวตัวโยกโคลง เบาๆ แบบนี้ยังติดอะไรหรือไม่คะ?

 

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ช่วง ถามตอบ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=96DD3msIvjo

 

Q07 เปลี่ยนจากท่าที่ 2 ไปท่าที่ 3 เมื่อใด

ดังตฤณ : ของคุณนะ จะมีจุดที่เรารู้สึกว่าชุ่มชื่น แล้วใจไม่ไปไหน ตอนที่ใจไม่ไปไหน แล้วก็รู้สึกว่าไม่ต้องใช้ท่าที่สอง ก็ยังมีความชุ่มชื่นอยู่เท่าเดิม มีความนิ่งอยู่เท่าเดิมนี่ ตอนนั้นแหละ เหมาะที่จะเอาลงมาท่าที่สามนะครับ

 

คงเข้าใจนะ ถ้าไม่เข้าใจให้ถามเพิ่มมาอีกได้นะ

___________________

จากที่ได้ฝึกในท่าที่ ๑ แล้วเกิดความรู้สึกเห็นลมหายใจได้ชัดเจน ผมก็จะเริ่มไปทำท่าที่ ๒ แต่มีคำถามว่าจะเปลี่ยนจากท่า ๒ ไปท่าที่ ๓ ควรเปลี่ยนไปทำตอนไหนครับ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ช่วง ถามตอบ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=Rk9kZ9Qmkck

 

Q06 สมาธิระหว่างวันคือ การรู้ลมหายใจเข้าออกหรือเปล่า

ดังตฤณ : การรู้ลมหายใจเข้าออก เป็นเหมือนกับ concept กว้างๆ

แต่ที่จะตัดสินว่าเรารู้แบบที่จะเป็นสมาธิได้ไหม คือว่า

ถามตัวเอง มีวิตักกะได้ต่อเนื่องไหม มีวิจาระได้ต่อเนื่องไหม

 

เห็นไหม พอเรามาทำความเข้าใจว่า

วิตักกะแปลว่าอะไร วิจาระแปลว่าอะไร

รู้จักศัพท์แค่สองคำนี้

จะมีทิศมีทางในการทำสมาธิที่ใช่ ขึ้นมาได้แบบง่ายๆ เลยนะ

 

เวลาเรามาคุยกันในไลฟ์ หรือว่าในห้องวิปัสสนานุบาล

ก็จะเห็นว่าการที่จิตจะเป็นสมาธิขึ้นมา มีความตั้งมั่นขึ้นมา

ต้องมีองค์ประกอบสำคัญคือ

วิตักกะ รู้อย่างต่อเนื่อง รู้อย่างชัดๆ

จิตมีอาการเล็ง มีอาการโฟกัสถึงลมหายใจอันเป็นที่สบาย

ไม่ใช่ลมหายใจน่าอึดอัด

ไม่ใช่ลมหายใจอันเป็นที่ลำบาก หรือมีความกระด้าง

 

แล้วก็มีวิจาระ คือจิตเป็นดวงเดียว

รู้สึกถึงลมหายใจหนึ่งเดียว ไม่รู้สึกถึงอะไรอย่างอื่น

ซึ่งคำว่าวิจาระคำเดียวนี้ คนจะไม่เข้าใจ ถ้าไม่ไปถึงตรงนั้น

แต่ถ้าไปถึงตรงนั้น จะอ๋อทันที จะเข้าใจทันที

อย่างที่ทำมาด้วยกัน จะเห็นได้นะครับ

 

ทีนี้ระหว่างวัน จะเป็นสมาธิจากการหายใจขึ้นมาได้อย่างไร?

 

ก็คือเรารู้ว่าการหายใจของเราเป็นที่สบายอยู่ ณ ขณะหนึ่ง

ถ้ารู้ได้มากกว่าสามครั้งขึ้นไป อันนั้นเริ่มเกิดวิตักกะแล้ว

แล้วตัวอย่างของการรู้ที่ถูกต้อง เราฝึกไว้แล้ว ตอนที่ใช้มือไกด์ว่า

สปีดประมาณนี้ ถ้าเร็วกว่านี้ จะเป็นวิตักกะแบบแข็งๆ แล้ว

แต่ถ้าช้า และชัดประมาณนี้ คือวิตักกะเริ่มมีความนิ่มนวล

 

เสร็จแล้วตอนที่เริ่มมีวิจาระ ก็คือตอนที่เราเคลื่อนไหวไปไหน

จะมีความรู้สึกว่าจิตไม่แส่ส่าย ไม่ไปคิดเรื่องอื่น

มีแต่ความรู้สึกเรียบๆ ง่ายๆ หนึ่งเดียว รู้อยู่อย่างเดียว

 

รู้อะไรก็ไม่รู้ล่ะ จะเป็นลมหายใจ หรือเป็นอิริยาบถเคลื่อนไหวก็ตาม

ไม่ได้เจาะจงว่าจะต้องเป็นอย่างใดอย่างหนึ่ง

 

แต่ถ้าหากว่าเวลาที่จิตรู้อะไรก็ตาม

เกี่ยวกับภาวะทางกาย เกี่ยวกับภาวะทางใจ แล้วไม่ไปทางอื่นเลย

นั่นแหละ เรียกว่าจิตกำลังมีวิจาระอยู่

แม้ในขณะที่ลืมตาตื่นอยู่ระหว่างวันก็ตาม

 

ตรงนี้ที่เป็นจุดตัดสิน

ไม่ใช่แค่ว่ารู้ลมหายใจเข้าออกแล้วเป็นสมาธิ อย่างนั้นยังไม่นับ

เพราะรู้ลมหายใจเข้าออก บางทีเพียงแค่ครั้งเดียว แล้วลืมๆ ไป

จิตแส่ส่ายไปทางอื่น ไม่ได้มีวิตักกะจริง

ไม่ได้มีความสนใจอยู่กับลมหายใจจริง

แล้วก็ไม่มีวิจาระ คือไม่มีความเป็นหนึ่งเดียวกับตัวลมหายใจ

หรือว่าตัวภาวะทางกายทางใจ

 

อันนี้คือความหมายของสมาธินะครับ ที่ต้องเข้าใจดีๆ

เราสามารถวัดได้ทั้งในขณะที่นั่งสมาธิ ขณะที่เดินจงกรม

แล้วก็ขณะที่อยู่ในชีวิตประจำวันนะ

 

ต่อให้เวลาทำงาน เราจะสังเกตจิตของตัวเองแตกต่างไปจากเดิม

จากเดิมที่มีความรู้สึกว่า เรามีสมาธิในการทำงานดี

จริงๆ แล้วอาจคิดอะไรวุ่นวายก็ได้

แต่เมื่อได้ตัวอย่างจากการทำสมาธิ ด้วยเห็นแล้วว่า

วิตักกะ หน้าตาเป็นอย่างไร วิจาระดีๆ หน้าตาเป็นอย่างไร

 

เวลาทำงาน เราจะตัดสินตัวเองใหม่เลยนะ ว่า

ในขณะนี้เราขี่ช้างจับตั๊กแตนอยู่หรือเปล่า

 

ถ้าขี่ช้างจับตั๊กแตนอยู่ด้วยการที่เพ่งมากเกินไป คิดมากเกินไป หนักเกินไป

ก็จะรู้สึกหนักๆ แน่นๆ จะรู้สึกว่าเกร็งเนื้อเกร็งตัว

รู้สึกว่าความคิดสูบพลังงาน สมองสูบพลังงานไปจากร่างกายฮวบฮาบๆ

 

พอทำงานเสร็จก็เพลีย .. นี่ไม่ได้เป็นสมาธิดีๆ

 

แต่ถ้าหากว่าเราทำงาน

แม้เป็นการทำงานหนัก เป็นการทำงานที่ยุ่งยาก มีขั้นตอนซับซ้อน

แต่จิตของเราเดินไปเรื่อยๆ เดินไปเป็นเส้นตรง สู่เป้าหมาย

มีลำดับ หนึ่ง สอง สาม ชัดเจน คิดพอดี ไม่ได้คิดหนักเกินไป

มีวิตักกะ อย่างชัดเจนคือ เราได้ความหมายจากสมาธิ

แล้ววิตักกะที่แท้จริง ที่ถูก คือวิตักกะ อันเป็นที่สบาย

สบายกาย สบายใจ ไม่เกร็ง

 

แล้วก็มีวิจาระ คือใจไม่วอกแวกไปไหน อยู่กับงานนั้นจริงๆ

จะขีดเขียน จะพิมพ์ หรือจะพิจารณาด้วยความคิด

เป็นความคิดแบบที่ไม่ก่อให้เกิดการสูบพลังเกิน

ไม่มีอาการแบบขี่ช้างจับตั๊กแตน

แต่เป็นเหมือนกับการจับนกพอดี ไม่ให้นกบินหนี แล้วก็ไม่ให้นกตาย

ในขณะเดียวกัน เรารู้สึกว่ามีความอ่อนโยน

อยู่ในฝ่ามือที่จับนกนั้น ไม่เป็นอันตรายกับนก

 

ตัวนี้ เห็นไหม เราสามารถเรียนรู้ได้

เมื่อเกิดวิตักกะ เมื่อเกิดวิจาระดีๆ ในสมาธิ

เราสามารถเอาไปประยุกต์กับการทำงานได้นะครับ

___________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ช่วง ถามตอบ

วันที่ 13 พฤศจิกายน 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=HfcXiSRyWFM