ดังตฤณ : นี่ก็เป็นเรื่องที่ผมพูดบ่อยๆ นะ อย่างถ้าคนตั้งใจจะถือศีล บอกว่าจะตั้งใจจริงๆ แล้ว คือจะเอาชนะตัวเองให้ได้ ไม่เอาบาปไม่เอากรรม ก็จะมีอะไรไม่รู้คอยมาประดังเข้ามา ให้พิสูจน์ใจว่าจะรักษาศีลได้จริงหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อที่เราบอกว่าตั้งใจเด็ดขาดว่าจะไม่ทำผิดอีกแล้วนี่ ยิ่งตั้งใจแรงเท่าไหร่ ยิ่งมาเร็วขึ้นเท่านั้น
ทีนี้ ถ้ามองในแง่ดีก็คือว่าจะได้ทำแบบทดสอบ
จะได้ทำข้อสอบว่าผ่านหรือไม่ผ่าน
แล้วก็ถ้ามองในแง่ร้ายก็คือว่ามาบั่นทอนกำลังใจกันหรือเปล่า อยากจะรักษาศีล
แต่มีสิ่งที่มาบีบคั้นให้ต้องผิดศีล แล้วก็ไม่ผิดก็ไม่ได้เสียด้วย
เพราะจำเป็นอย่างนั้น จำเป็นอย่างนี้ .. นี่ในระดับของศีล
ทีนี้ในระดับของการภาวนา จะยิ่งกว่านั้น
เพราะว่าการภาวนา การเจริญสติ เราอยู่ในระดับของการที่จะหลุดพ้น
จากสิ่งที่หนียากที่สุด คือหลุมดำแห่งสังสารวัฏ
หลุมดำที่คอยดึงดูดให้คงค้างอยู่กับสังสารวัฏ
นี่ไม่ใช่แค่ระดับนิดเดียว ไม่ใช่ระดับขั้นเดียว แต่เป็นระดับล้างโคตร
ล้างโคตรเหง้า ขุดโคตรเหง้าของตัวเองออกจากสังสารวัฏ เพราะฉะนั้นไม่ใช่ระดับของศีล
แต่เป็นระดับของการที่จะเอาตัวออกจากวังวนทุกข์
ซึ่งวังวนทุกข์นี่เป็นเกมที่เล่นยากที่สุด
ไม่มีอะไรเกิน
การที่เรามองว่าสังสารวัฏ
คือเริ่มต้นจากแรงดึงดูด เหมือนกับทุกวันนี้ นักวิทยาศาสตร์บอกว่าก่อนเกิด
big bang มี gravity มีแรงโน้มถ่วง
มีแรงดึงดูด ไม่รู้แรงดึงดูดอะไรแต่คำนวณออกมาแล้ว ดูจากผลตอนที่เกิด big
bang ใหม่ๆ มีพลังตรงนี้จริงๆ ที่ออกมาชัดที่สุด
คำนวณได้เป็นคณิตศาสตร์ แต่ว่าโดยรวมก็คือสังสารวัฏ หรือ จักรวาลทั้งจักรวาล
เริ่มต้นจากแรงดึงดูด
เรากำลังจะหนีออกจากแรงดึงดูดที่ดูดเราติดมาไม่รู้กี่ชาติ
พระพุทธเจ้าท่านนับเป็นอนันตชาติ ถ้าอยากรู้ว่าอนันต์เป็นอย่างไร
ลองนับเม็ดทรายบนชายหาดดู ทั้งหาด หรือนับดวงดาวในหนึ่งแกแล็คซี่ ไม่พอนะ
เอาแสนล้านแกแล็คซี่ ทั้งจักรวาล ตอนนี้สำรวจได้เป็นสองล้านกว่าแกแล็คซี่ ..
สองล้านล้านนะ นั่นแหละ จำนวนภพชาติที่เราเคยเกิดมาก็ประมาณนั้น
ทีนี้เราติดอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรมาเป็นอนันตชาติ
ก็คือแรงดึงดูดนี่
เรากำลังจะหนีออกจากความเป็นอย่างนี้
หนีออกจากภพชาติที่เกิดมานับไม่ถ้วนอย่างนี้
จักรวาลจะพยายามยื้อเราด้วยกลอุบายต่างๆ นานา พิสดาร ซึ่งเราตามไม่ค่อยได้
จับไม่ค่อยได้ ไล่ไม่ค่อยทันหรอก
จะมาในรูปแบบที่จำเป็น จำเป็นต้องไปให้ความสนใจ
.. ทั้งนั้นแหละ
ทีนี้ ประเด็นคือถ้าเราไม่มองว่า
นี่เป็นเครื่องรบกวน นี่เป็นแรงดึงดูด จะมาพาให้เราจมปลักอยู่ที่เดิม
แต่มองเข้ามาที่ใจของเราว่ามีความหวั่นไหว มีความรู้สึกโซซัดโซเซ
หรือมีอาการกระเพื่อมได้มากหรือน้อยเพียงใดในแต่ละครั้งที่ถูกกระทบ
เราฝึกดูอย่างนั้นไปเลย ดูง่ายๆ
เวลาที่เกิดอะไรขึ้นมา ดูที่ใจว่าใจของเรามีอาการหลงไปติด กระเพื่อมมาก
กระเพื่อมน้อย กังวลมาก กังวลน้อย มีความชอบมาก มีความชังมาก มีความชอบน้อย
มีความชังน้อย
อาการเหล่านี้ของใจ ที่เราดูไป
ฝึกดูแล้วมีมาให้ดูเรื่อยๆ ถ้ามีเรื่องกระทบจริงๆ
ส่วนใหญ่จะเข้ามาในรูปของความคิดรบกวนจิตใจ เข้ามาเป็นระลอกๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พอทำใจได้แล้ว เดี๋ยวก็กลับมาอีก ดูไปเรื่อยๆ
ยิ่งฝึกดูบ่อย จะยิ่งมีสติที่แข็งแรงมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องไปนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมอย่างเดียว
เราฝึกระหว่างวันก็ได้ ฝึกโดยการที่เราเอาตัวอย่างมาจากในสมาธิ ที่เราคุยกันว่า
เวลาความคิดทยอยระลอกเข้ามา จิตมีอาการยึด หรือมีอาการรู้ว่ากายก็ส่วนหนึ่ง
ลมหายใจส่วนหนึ่ง สุขก็ส่วนหนึ่ง ความคิดก็ส่วนหนึ่ง
เวลาอยู่ในชีวิตประจำวัน เราก็ดูว่า
เรารู้ไหมว่ากายก็ส่วนหนึ่ง ลมหายใจสั้นๆ น่าอึดอัดก็ส่วนหนึ่ง
ความรู้สึกกระสับกระส่ายก็ส่วนหนึ่ง แล้วความคิดที่เข้ามาเป็นระลอกรบกวน
กระแทกแรงบ้าง กระแทกเบาบ้าง ก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง เรารู้อย่างนั้นได้ไหม
ถ้าหากรู้ได้นั่นแสดงว่า เรารู้ทั้งภาวะที่ดีๆ
ที่มีความสุข และภาวะที่แย่ๆ ไม่มีความสุขเลย มีแต่ความทุกข์
ถ้าคนที่รู้ได้ทั้งสองฝั่งนั่นแหละคือคนที่จะหลุดออกจากแรงดึงดูดของสังสารวัฏได้ง่าย
แต่ถ้าคนที่รู้ได้เฉพาะตอนที่กำลังดีๆ
มีความสุขอยู่นะ อันนี้ยังยาก เพราะแสดงว่าติดสุข แต่ถ้าหากว่ารู้แม้กระทั่งฝั่งความทุกข์ได้
นี่แสดงว่าไม่ติดทุกข์ ไม่ติดทั้งสุข ไม่ติดทั้งทุกข์นั่นแหละ
จะลอยบุญลอยบาปได้ในที่สุด
ลอยทั้งสุข ลอยทั้งทุกข์ทิ้งทะเลได้
กลับสู่ความว่างได้
จริงไหมที่เค้าบอกว่าพอเราปฏิบัติธรรมได้ดีขึ้น
จะมีเรื่องแปลกๆในเรื่องของมารหรือเจ้ากรรมมาฉุดดึง ให้ขาดการฝึกต่อเนื่อง
เช่นอยากปฏิบัติให้มากกว่านี้ กลับทำได้น้อยลง
ไม่ว่าจะผลจากงานหรือปัจจัยอื่นๆมาแทรก ทำให้บางครั้งขาดการต่อเนื่อง มีผลไหมคะ
แล้วควรวางใจอย่างไร ให้ไม่ไขว้เขว?
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ช่วง ถามตอบ
วันที่
13 พฤศจิกายน 2564
ถอดคำ
: เอ้
รับชมคลิป
: https://www.youtube.com/watch?v=GfAt-ilBPds
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น