วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2563

ตอนเดินจงกรมไม่ได้บริกรรมหรือพากย์ตาม รู้สึกถึงความเคลื่อนไหวไปตรงๆ เดี๋ยวนี้เหมือนว่าเวลาเดินจงกรม มันรู้อยู่แต่ข้างใน รู้แต่การเคลื่อนไหวกายใจ เหมือนตัดความสนใจข้างนอกออกไป อย่างนี้เพ่งรึเปล่าว รู้สึกเหมือนเป็นไปในแนวทางของสมถะ

ดังตฤณ     :  ปัจจุบันเวลาพูดถึงสมถะ พูดกันในมุมมองที่ไม่ดี พูดกันในมุมมองที่เป็นอคตินะครับ

คำว่า “สมถะ” ไม่ใช่สมาธินะครับ “สมถะ” โดยความหมายที่แท้จริงที่พระพุทธเจ้าตรัสนะครับ เวลาที่พระอริยบุคคลขั้นโสดาบัน ท่านเพิ่งบรรลุโสดาปัตติผลไปเนี่ย ไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า ที่ข้าพระองค์บรรลุไปเนี่ยถูกต้องรึเปล่า พระพุทธเจ้าให้การรับรองว่าถูกต้อง เธอบรรลุโสดาปัตติผลจริง ท่านก็ถามต่อว่า แล้วข้าพระองค์ควรจะทำอย่างไรต่อ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ควรทำทั้งสมถะและวิปัสสนาให้มากขึ้นเรื่อยๆ

พระโสดาบันเนี่ย เวลาทำสมถะก็จะป็นสมถะแบบสงบ แบบพร้อมรู้ตามจริง ซึ่งนั่นน่ะก็หมายความว่า ขึ้นบันไดขั้นแรก แล้วก็ขึ้นบันไดขั้นที่สองตามลำดับอย่างง่ายดายนะครับ อันนี้ก็เป็นเรื่องของอริยเจ้า

ทีนี้มาพูดถึงปุถุชน ต้องทำความเข้าใจตั้งมุมมองดีๆนะครับว่า สมถะไม่ใช่สิ่งน่าเกลียดน่ากลัวน่ารังเกลียดนะครับ

“สมถะ” คือ สิ่งที่ต้องทำอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนอริยบุคคลนะครับ ท่านก็สอนอย่างนี้นะว่า เธอควรเจริญทั้งส่วนของสมถะและวิปัสสนาให้มากขึ้นเรื่อยๆ

ส่วนของสมถะคืออะไร? คืออะไรก็ตาม การปฏิบัติใดๆก็ตาม แม้กระทั่งว่าจะถือศีลห้าให้สะอาดบริสุทธิ์ ไม่ล่วงแม้ด้วยใจ หรือว่าจะกินให้น้อย แล้วก็เจริญสติให้มากอะไรแบบนี้ เนี่ยมันเกื้อกูลกันหมด เป็นสมถะเป็นส่วนหนึ่งของสมถะหมดนะครับ

หรือเมื่อเราจะวางจิตไว้กับส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายหรือจิตใจ เพื่อที่จะจดจ่อแล้วก็ให้มันมีน้ำหนักของสติเพิ่มขึ้น มีน้ำหนักของสมาธิเพิ่มขึ้นเนี่ย นั่นล้วนแล้วแต่เป็นทิศทางของสมถะทั้งสิ้น

“สมถะ” ผลของสมถะเอาง่ายๆคือ ความสงบแบบพร้อมรู้ตามจริง ถ้าไม่มีความสงบแบบพร้อมรู้ตามจริง คุณไม่มีทางเจริญวิปัสสนา ไม่มีทางเจริญสติได้ก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไปได้

โอเค อาจจะเกิดสติแบบอ่อนๆ แต่ไม่มีทางที่จะเป็นสติในแบบที่จะเอาถึงมรรคถึงผล เพราะว่าที่จะเอาถึงมรรคถึงผลได้เนี่ย กำลังของจิตต้องมีขนาดที่รวมกระแสเป็นฌานได้ ณ เวลาที่เรากำลังรู้ส่วนใดส่วนหนึ่งของกายใจโดยความเป็นของไม่เที่ยง หรือว่าของไม่ใช่ตัวเดิม ไม่ใช่ตัวตนนะครับ

ถ้าพิจารณาไปแล้ว จิตไม่รวมลงสงบ อันนี้มันก็จะเป็นการเจริญสติในแบบคิดๆ แต่ถ้าหากว่า พิจารณาส่วนใดส่วนหนึ่ง แม้กระทั่งลมหายใจ แล้วเกิดความสงบพร้อมรู้ขึ้นมา ตรงนี้แหละที่มันเริ่มเป็นวิปัสสนาขึ้นมาได้ เพราะอะไร เพราะว่าจิตที่มีความตั้งมั่น แล้วก็แบบพร้อมรู้ แบบไม่คิด แบบไม่ฟุ้งซ่านเนี่ย มันพร้อมที่จะเห็นตามจริงว่า สภาวะไหนเกิดขึ้นเมื่อไหร่ สภาวะไหนดับลงไปที่ลมหายใจใด คือไม่ใช่ว่า บอกว่า รู้ รู้ รู้ แต่รู้อะไรก็ไม่ทราบ คือคำว่า รู้ รู้ รู้เนี่ย มันมีทั้งแบบแอดว๊านซ์(Advance)แล้วก็แบบเบสิค(Basic)นะครับ

ถ้ายังฟุ้งซ่านอยู่ แล้วไปพยายาม รู้ รู้ รู้  มันรู้แต่ว่าตัวเองเนี่ย คิด คิด คิด ที่แท้มันมีอาการคิดซ้อนเข้าไปในความฟุ้งซ่าน คิดว่าตัวเองรู้ คิดว่าตัวเองกำลังตั้งสติอยู่ คิดว่าตัวเองกำลังตั้งท่านั้นท่านี้ แต่จริงๆไม่รู้อะไรเลย ไม่ได้รู้โดยความเป็นสภาวะ

ทีนี้ถ้าจะทำให้อิริยาบทนี้ปรากฏโดยความเป็นสภาวะขึ้นมาได้ก็อย่างเช่น เมื่อกี้นี้ตอนที่ดูคลิปคลื่นปัญญาไปเนี่ยนะครับ ที่บางคนบอกว่า เออมันมีความรู้ชัดเข้ามา ไอ้ความรู้ชัดนั้น ถ้าหากว่าสงบต่อไปได้อีกพักนึง มันกลายเป็นการเห็นว่าลมหายใจนี้เกิดขึ้นเมื่อไหร่ ลมหายใจนี้ออกไปเมื่อไหร่

หรือภาวะอันเป็นสุขที่มันมากับลมหายใจนี้ มันสุขมากหรือสุขน้อย แล้วสุขมากหรือสุขน้อยนั้นน่ะ มันแปรไปตามสภาพของลมหายใจหรือเปล่านะครับ จนกระทั่งมันเกิดความสงบลงไปเนี่ย ก็จะเริ่มแยกได้ว่า เออตอนนี้ลมหายใจนี้มันมีความฟุ้งซ่านขึ้นมา มีความฟุ้งซ่านขึ้นมาจากภาวะเดิมที่ไม่ได้ฟุ้งอยู่ จากภาวะเดิมที่สงบอยู่มันกลายเป็นฟุ้งขึ้นมา เหมือนกับเราไปเป่าฝุ่นบนพื้นเรียบ ตอนแรกๆเนี่ยอากาศว่างอยู่ดีๆ แล้วฝุ่นมันฟุ้งขึ้นมา เราก็เห็นถนัดชัด มันมีการขัดกันอย่างชัดเจน ระหว่างฝุ่นกับอากาศว่างอย่างนี้นะครับ

ถ้าหากว่า เราสามารถที่จะเห็น พร้อมที่จะเห็นฝุ่นมันฟุ้งขึ้นมาในจิตได้ นั่นแหละตัวนี้แหละเรียกว่า สมถะเรามีกำลังดีนะครับ

การเดินจงกรมเนี่ย โดยส่วนตัวผมนะครับ อันนี้พูดโดยส่วนตัวก็แล้วกัน เพราะว่าผมไม่สามารถทำให้ทุกท่านเห็นด้วยนะครับ คือเราควรเริ่มจากการรู้สิ่งที่มันปรากฏอยู่จริงๆ

อย่างร่างกายเคลื่อนไหวเนี่ย บางทีนะครับเราจินตนาการขึ้นมา หรือว่ามันเห็นแต่อาการเคลื่อนไหวที่มันปรากฏอยู่จริงๆเนี่ย เราไม่สามารถแยกได้เลย

แต่ถ้าหากว่า เป็นเท้ากระทบเนี่ย เป็นใครก็สามารถที่จะตอบได้ถูกหมดว่า กำลังเป็นกระทบขวา หรือกระทบซ้าย กระทบที่มันเกิดขึ้นนั้นเนี่ย รวมกันแล้วในรอบนึงเนี่ย มันเป็นจังหวะช้า หรือว่าเร็ว อันนี้มันชัดเจนนะครับ

ถ้าเราเริ่มต้นจากการรู้เท้ากระทบ มันจะเกิดการพัฒนาต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถ้าหากว่า เรารู้สิ่งอื่นโดยที่เป็นการอาศัยจินตนาการขึ้นมา จะเป็นรู้ท่าเดินก็ดี หรือว่ารู้เข้ามาที่สภาวะจิตก็ดีเนี่ย ไม่มีอะไรเป็นประกันเลยนะครับว่า เราจะรู้แบบเลื่อนไปเลื่อนมาแค่ไหน มันไม่มีจุดสังเกตนะครับ

อย่างบางทีเนี่ย คุณรู้สึกอยู่ที่ต้นแขน แต่ก็นึกว่ากำลังรู้สึกทั้งตัว หรือกำลังรู้สึกอยู่ที่ไอ้ตัวเนี้ยแป๊บนึงไม่กี่ลมหายใจ ต่อมาไปนึกถึงหัวถึงหู อันนี้ก็ไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ มันจะไม่เท่าทันนะครับ

แต่ถ้าหากว่า บอกตัวเองให้เริ่มรู้จากเท้ากระทบก่อน อันนี้มันชัดเจนนะครับว่าคุณกำลังมีเท้าอยู่ในใจรึเปล่า ถ้ามีเท้าอยู่ในใจ นั่นแสดงว่า อย่างน้อยมีศูนย์กลางให้สติมันตั้ง แล้วก็แต่ละรอบเนี่ย ผัสสะกระทบนั้นช้าหรือเร็ว มันจะสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจน เห็นข้อแตกต่างได้อย่างชัดเจน อันนี้ก็บอกไปนะครับไม่จำเป็นต้องเชื่อ อันนี้ตอบตามที่จากประสบการณ์ผมนะครับ

---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

ผู้ถอดคำ               แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์            ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๒ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม              ตอนเดินจงกรม หนูไม่ได้บริกรรมหรือพากย์ตาม รู้สึกถึงการเคลื่อนไหว
                        ไปตรงๆ เดี๋ยวนี้มันเหมือนว่าเวลาเดินจงกรม มันรู้อยู่แต่ข้างใน
                        รู้แต่การเคลื่อนไหวกายใจ เหมือนมันตัดความสนใจข้างนอกออกไป
                        อย่างนี้คือเพ่งไปรึเปล่า รู้สึกว่าแบบนี้มันเหมือนเป็นไปในแนวทางของสมถะ?
ระยะเวลาคลิป    ๘.๒๑ นาที
รับชมทางยูทูป      https://www.youtube.com/watch?v=hnmnQuX0mno&list=PLmDLNhxScsWM2JH_ApsRMRZgq-5thN6D3&index=3

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น