วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำสมาธิอย่างไรให้รวย?



ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คืนวันเสาร์สามทุ่มนะครับ ก็มาพบกันเป็นประจำ ถ้าไม่มีอะไรติดขัด

สำหรับคืนนี้ เป็นหัวข้อที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะอยากรู้นะครับ เพราะว่าช่วงนี้ ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ แล้วก็ความบีบคั้นทางการเงิน มีหนี้สิน มีอะไรที่ทำให้อยากรู้จริงๆ ว่ามีวิธีลัดๆ แบบไหนไหม ที่จะทำให้รวยขึ้น หรือว่าหนี้สินหมดไป
ประมาณว่าถ้าให้ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ เพื่อที่จะให้เกิดเหตุการณ์พิเศษ แบบหนี้สินมลายไปเป็นธาตุอากาศได้ทันทีนี่ ยอมทุกอย่าง

ก็ขอเท้าความนิดหนึ่งว่า มีคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องของการสร้างมโนภาพ ซึ่งอาจได้มาจากคอร์สต่างๆ นะครับที่บอกว่า ถ้านึกภาพอะไรให้ชัดแล้ว จะดึงดูดความจริงเข้ามาหาชีวิตเรา ซึ่งก็เป็นที่ถกเถียงกัน หรือว่าเป็นข้อสงสัย บางคนก็บอกทำได้ บางคนก็บอกทำไม่ได้ หรือว่าบางคนยักแย่ยักยัน อยากทำ อยากลองดู แต่อยากรู้ก่อนว่า ชัวร์ไหม หรือว่ามั่วนิ่ม อยากรู้ว่าที่เขาอ้างกันเป็นล้านๆ คนว่าทำสำเร็จมาแล้ว เป็นสูตรสำเร็จความจริง หรือว่าเป็นสูตรสำเร็จทางการชักจูงให้หลงเชื่อนะ

สิ่งที่เนื้อหาที่จะพูดในค่ำคืนนี้ ไม่ใช่เพื่อจะขัดแย้ง หรือเอาไปเปรียบเทียบกับสูตรสำเร็จของใคร แต่อยากให้แยกให้ออกนะครับว่า ระหว่างสมาธิเพื่อรวย กับสมาธิเพื่อเจริญสติ ต่างกันอย่างไร
ถ้าปลดล็อค หรือว่าคลายข้อสงสัยตรงจุดนี้ได้ ถือว่าได้ธงของผมในคืนนี้นะ ไม่รับประกันนะว่าสิ่งที่พูดไป เกี่ยวกับการทำสมาธิให้เกิดความร่ำรวยนี่ จะไปประสบผลสำเร็จ หรือว่า ใครทำได้ ใครทำไม่ได้อะไรนะ อันนี้ไม่ใช่จุดประสงค์ของสิ่งที่จะพูดในคืนนี้นะ เกริ่นไว้ก่อนเลย ให้ชัดๆ นะ

อย่างไรก็ตาม เราจะมาเหมือนกับตีแผ่สมาธิสองแบบ สองมิติ ให้กระจ่างนะครับ คือไม่ใช่มาพูดแบบอมพะนำว่า ทำสมาธิแบบไหน อย่างไร แล้วจะได้ผลเป็นความร่ำรวย หรือหนี้สินจะหายไป

ยกตัวอย่างเช่น หลายๆคนชอบพูดว่า ทำวิปัสสนาสิ แล้วหนี้สินจะหายไป ฉันทำได้มาแล้ว ซึ่งคนฟัง ฟังแล้วก็คือ ถ้าไม่มีความรู้ทางพุทธศาสนา ก็บอก อ๋อ วิปัสสนา คือสิ่งวิเศษที่ทำแล้วจะช่วยให้ชีวิตของเราเจริญรุ่งเรือง หรือหนี้สินหายไปอย่างนั้นใช่ไหม
มันอยู่ในใจคนอย่างนี้จริงๆ แล้วอยู่กันเป็นล้านๆ คนในประเทศไทยนะ คิดกันอย่างนี้ เพราะพุทธศาสนาอยู่คู่ไทยมานาน แล้วก็อะไรที่เป็นสิ่งสูง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มักจะถูกนำมาเป็นเหมือนกับโลโก้ หรือว่าเป็นแบรนด์สำหรับหลายๆ คน ที่คิดว่าเป็นแบรนด์ในการสร้างความร่ำรวย

ทีนี้เรามองแบบตอบโจทย์นิดหนึ่ง ความเข้าใจของคนทั่วไป คือว่า ถ้าจินตนาการเห็นภาพชัดแล้ว ของจริงมันจะปรากฏตามภาพ นี่ ตรงนี้ก่อนนะ เอาจุดนี้ เป็นวิปัสสนาหรือเปล่า เป็นการเจริญสติหรือเปล่า ... มันไม่ใช่นะ

ถ้า (ทำ) วิปัสสนา ถ้าการเจริญสติ เราเห็นภาพก็จริง เห็นเป็นนิมิตก็จริง แต่เป็นการเห็นนิมิต เพื่อที่จะให้รู้ว่ากายนี้ ใจนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงสักอย่าง
ส่วนการเห็นภาพในแบบที่บอกว่า เข้าคอร์ส จะแนวสะกดจิต หรือจะแนวทางดั้งเดิม ทางตะวันตกก็ตาม ให้นึกภาพอะไรก็ตาม อันนั้นเป็นภาพอีกแบบหนึ่ง ที่จินตนาการขึ้นมา พูดง่ายๆ ว่า จินตนาการสร้างความร่ำรวยนี่ ออกแนวภาพยังไม่มีอยู่จริง แต่เราสร้างขึ้นมาในใจ

ในขณะที่การทำวิปัสสนา หรือเจริญสติ สิ่งที่มันมีอยู่จริงนี่ ปรากฏอยู่แล้ว แล้วเราแค่ปรับจิต จูนจิตเข้าไปเห็นเท่านั้นเอง

อันนี้เพื่อให้เห็นภาพอย่างกระจ่างนะ ผมให้ดูอย่างนี้เลย คืออย่างที่เวลาเราสร้างภาพ นึกภาพว่าเราจะมีเงิน เราจะเล่นหุ้นได้ เราจะมีชื่อเสียง ได้รับเกียรติยศ หรือมีรถที่ขับออกจากบ้านหรูอย่างไรนะ มีแฟนสวยแค่ไหน นี่เรียกว่าเป็นการสร้างสิ่งที่มันไม่มีอยู่จริง แต่ว่าเราไปพยายามทำให้มันมีขึ้นมาจริงๆ ยิ่งภาพในใจชัดขึ้นมากเท่าไหร่ ซ้ำไปซ้ำมา ทบทวนไป ทบทวนมา

สำหรับการสร้างมโนภาพในแบบที่ เขาสอนให้เราจินตนาการกันขึ้นมา แล้วก็จะทำให้เกิดความจริงตามหลังมานี่นะ มันเป็นภาพที่ยังไม่ต้องมี แต่เราไปพยายามทำให้มันมีขึ้นมาในใจเราก่อน เสร็จแล้ว จึงพยายามทำให้มันมีขึ้นมาในโลกความจริงตามหลัง  ซึ่งจะสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละคนนะ

อย่างบางคน นึกภาพแล้ว แล้วก็พยายามที่จะทำตามคำสอนแบบดั้งเดิมนะ คือว่าพอเห็นภาพชัด ก็รอดูว่าชีวิตจะพาไปเจอหนทางอะไรที่นำไปสู่ภาพเหล่านั้นบ้าง

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราอยากได้เงินเยอะๆ ตามคำสอนเขาบอกว่า ก็ให้ดูว่าตื่นเช้าขึ้นมาจนถึงเย็น มีอะไรในระหว่างวันที่เป็นนิมิตหมายบอกว่า เราสามารถอยู่ในเส้นทางของการสร้างความร่ำรวยขึ้นมาได้จริง
ยกตัวอย่างนะ บอก เห็นมีประกาศโฆษณาให้ไปร่วมลงทุน หรือว่าไปร่วมทำกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน แล้วเราเข้าไปลองหมดเลย ไม่สนใจว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ สนใจแค่ว่า เราไปดูซิ ว่านี่คือทางที่มันใช่ ที่จะพาเราไปสู่ความร่ำรวยจริงหรือเปล่า ถ้าหากว่าใช่ก็ดิ่งเข้าไปเลย ทำเต็มที่ แต่ถ้ารู้ตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าไม่ใช่ เราก็ถอนตัวออกมาก็แค่นั้น เราก็หาทางอื่น

นี่คือพอยต์ (point) ของการสร้างภาพแบบที่เขาสอนกันในแบบฉบับดั้งเดิมนะ คือสร้างภาพให้ร่ำรวยนี่ โอเค มันเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดไฟ ใจนี่ถ้าเห็นภาพอะไรชัด แล้วพยายามทำให้ภาพนั้นมันเกิดขึ้นจริง จะมีหนทาง จะมีลำดับ จะมีขั้นตอน พูดง่ายๆ ว่า ใจนี่ขออย่างเดียว มีเป้าหมายที่ให้ตั้งขึ้นมาให้วิ่งเข้าพุ่งชน ในที่สุดแล้วชีวิตจะพาเราไปสู่เป้าหมายนั้น โดยอาศัยความเพียรพยายามของเรานะ นี่คือต้นฉบับของจริงที่เขาว่ากัน

ทีนี้ ถ้าเรามาพูดถึงนิมิต หรือสิ่งที่เราจะเห็นในการทำสมาธิ เพื่อเจริญสติ หรือทำวิปัสสนา ต่างกันอย่างไร มันเอาเข้ามาในตัว ซึ่งมีของจริงอยู่แล้ว อย่างเช่นลมหายใจ เราเห็นลมหายใจไปเพื่ออะไร เพื่อให้เกิดความช้ดเจนกระจ่าง ที่จิตเลย ณ ขณะที่เห็นเลยว่า มันมีการเข้า มันมีการออก มันแสดงความไม่เที่ยง ไม่เหมือนเดิม ไม่เท่าเดิมอยู่ แล้วแต่ละลมหายใจนั้น มันค่อยๆ พาเราเขยิบคืบคลานเข้ามา เห็นความจริงในส่วนอื่นๆ ของกายของใจ

อย่างเช่น เรากำลังนั่งคอตั้งหลังตรงอยู่ เราก็ไม่ได้เห็นแค่ลมหายใจอย่างเดียว เราเห็นว่าลมหายใจนี้ ผ่านเข้าผ่านออกในอิริยาบถนั่งนี้ แล้วอิริยาบถนั่งนี้ยิ่งปรากฏชัดขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งมีความกระจ่างใจ ว่าเราไม่ได้สร้าง ไม่ได้ทำ ไม่ได้ออกแบบอะไรขึ้นมาเลย เราไม่ได้เป็นคนกำหนดด้วยซ้ำว่า มันควรจะมีอายุขัยเท่าไหร่ อยู่ไปกี่สิบปี กี่ร้อยปี เราไม่ได้เป็นคนออกแบบสร้าง ในสมองนี่ สามารถคิดได้ แต่ก็มีความคิด ผุดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป  
ยิ่งเห็นสายลมหายใจกระจ่างแจ้งชัดเจน แจ่มใสมากขึ้นเท่าไหร่ ตามที่พระพุทธเจ้าสอนในอานาปานสตินี่ ก็ยิ่งเห็นความจริงที่แสดงความไม่เที่ยงอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงนี้ กระจ่างใจมากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งมีภาพของจิตที่คม มีความตั้งมั่น มีคุณภาพชัดเจน ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะรวมลงสู่ความเป็นสมาธิอีกแบบหนึ่ง เป็นสมาธิในแบบที่ จะรู้แจ้งว่าทั้งกายทั้งใจนี้ ไม่มีอะไรเลยที่เป็นเรา เป็นเขา ที่เป็นบุคคล ที่เป็นตัวตน มีแต่สภาพความไม่เที่ยงทางรูปบ้าง ทางนามบ้าง กำลังปรากฏฟ้องตัวเองอยู่ทนโท่ แต่เรามองไม่เห็น เพราะว่าไม่ได้ดู แล้วก็ไม่ได้มีจิตที่มีความสามารถจะเห็นได้นานพอ เห็นได้นานพอที่จิตจะรวมลงเป็นสมาธิ

พอจิตรวมลงเป็นสมาธิเป็นปกติได้ จะมีแต่ความจริงปรากฏอยู่ง่ายๆ กับจิตแค่ดวงเดียวดวงนั้นแหละ ว่าอะไรๆ มันไม่เคยเป็นเราเลย มันกำลังปรากฏผ่านมา แล้วผ่านไป แม้กระทั่งความคิดในวูบนี้ที่ผมกำลังพูด และคุณกำลังฟัง ก็คือความคิดปรุงแต่งจิตชนิดหนึ่ง เพียงแต่เป็นความปรุงแต่งชนิดที่ ให้เกิดความรู้สึกถอนออกมาจากอาการยึดมั่นถือมั่น

ในขณะที่ถ้าเราสร้างภาพเพื่อความร่ำรวย เพื่อชีวิตที่สุขีสุโข แบบโลกีย์ มันเป็นภาพที่เห็นไหม จริงๆ แล้วยังไม่ต้องมีขึ้นมาจริงๆ ก็ได้ แต่เราสร้างขึ้นมาให้มีจริงในใจ  เสร็จแล้วพยายามไขว่คว้ามาให้ได้ ตามที่เห็นในภาพ นี่คือจุดต่างที่สำคัญที่สุดนะ

ทีนี้เรามาพูดถึงพอยต์ว่า คือภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาพในทางโลก ที่เราสร้างขึ้นมา เพื่อให้เกิดความสามารถจะเป็นคนรวยกับเขาคนหนึ่ง หรือ จะเป็นภาพทางวิปัสสนา ของจริงภายในกายใจก็ตาม จะมีจุดที่เหมือนกันอยู่จุดหนึ่งนะ คือว่า ถ้าภาพในใจไม่ชัด จิตจะไม่มีการแล่นเข้าไป ดิ่งเข้าไป ทำให้เกิดความเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

ถ้าภาพไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นจริงเป็นจัง ในทางโลก เราก็จะไม่มีความขวนขวายเพียรพยายามมากพอ จะไม่มีการวางแผน จะมีแต่ความรู้สึกฝันๆ คือคุณนึกออกไหม เวลาที่เราฝันเฟื่อง สร้างวิมานในอากาศลอยๆ นี่ จะรู้อยู่ลึกๆ ในใจที่มันกลวงว่า ภาพที่เราเห็น ที่เราสร้างขึ้นมานี่ มันไม่จริง มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เป็นอะไรที่เกินตัว เป็นอะไรที่รู้ๆ อยู่ว่า นี่คือภาพที่สร้างด้วยความอยากเฉยๆ ใจนี่กลวงเลยนะ ไม่มีฐานไม่มีอะไรรองรับ

แต่ถ้าภาพนั้น เป็นภาพที่ใกล้เคียงกับความจริง คือเห็นๆ อยู่เลยว่า เราสามารถที่จะเอื้อมไปคว้าได้ เอาง่ายๆ ก่อนวันนี้ ถ้าอยากได้เงินเพิ่ม (ก็) ทำงานเพิ่ม ภาพงานเพิ่มที่เราสามารถที่จะทำได้จริงๆนี่ งานนั้นนี่ จะปรากฏเป็นอะไรที่ เรารู้สึกว่าเอื้อมนิดเดียว มันมาเลย มันถึงตัวเลย ขอแค่พยายามขึ้นอีกนิดเดียว อันนี้ไม่ใช่ความฝันแล้ว ไม่ใช่วิมานลอยแล้ว ภาพนั้นจะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นจริงเป็นจัง แล้วก็เงินที่เพิ่มขึ้นมา extra money นี่ มันมาแน่ อันนี้ที่เรียกว่าไม่ใช่ฝันลอยลม

ทีนี้ ที่เขาพยายามสอนกันตามคอร์สต่างๆ มันเขยิบขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง คือไม่ใช่แค่ทำแบบ extra ทำในสิ่งที่ทำอยู่แล้วเพิ่มเติมเข้าไป ... แต่เป็นการทำสิ่งใหม่เลย แต่เป็นสิ่งใหม่ที่เป็นไปได้จริง ว่าเราจะสามารถทำมัน ลงมือทำมัน
ทำไมเราถึงรู้ว่าเป็นไปได้ที่เราจะลงมือทำ เพราะว่า เราเข้าไปศึกษา เราเข้าไปเห็นขั้นตอน 1 2 3 อย่างชัดเจน แล้วคนเรานะ ยิ่งมีความรู้ยิ่งลงมือทำอะไรมากขึ้นเท่าไหร่ ภาพในหัวจะยิ่งกระจ่าง จะยิ่งแตกแขนงออกเป็นความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ลงรายละเอียดลึกเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสามารถตัดสินได้ด้วยความรู้สึกของตัวเองว่า นี่ใช่ทางที่จะร่ำรวยหรือเปล่า

พอยต์อยู่ที่ตรงนี้ ถ้าเราอยากได้จริงๆ แล้วเราไปตรงทาง ในที่สุด เราจะพบตัวเองอยู่ในระหว่างทางแห่งความสามารถที่จะปลดหนี้ หรือความสามารถที่จะมีเรือยอร์ช  ท่องเที่ยวทั่วโลกทางทะเลได้อย่างเป็นอิสระอะไรแบบนั้น ความเต็มใจตรงนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นจากการนั่งสร้างวิมานลอยในหัวนะ แต่เกิดขึ้นจากการดิ่ง เอาตัวนี่ทุ่มเข้าไป ศึกษาสิ่งที่จะทำตามลำดับอย่างใจเย็นพอ

คนสมัยนี้นี่ ใจเย็นไม่พอจะฟังเรื่องสร้างทางกันเป็นปีๆ เขาว่ากันเป็นหลักวัน หลักเดือน อันนี้แหละที่ทำให้ภาพของวิมานลอย มันเข้ามากลบทับภาพของความจริงที่มันเป็นไปได้นะ

ทีนี้อย่างพอพูดในแง่ความเป็นพุทธ คือความเป็นพุทธนี่นะ ไม่ขายฝัน แต่ว่าชี้ให้เห็นความจริงประการหนึ่ง คือคนในโลกนี่ไม่สามารถรวยกันได้ทุกคน ถ้าทำตามสูตรสำเร็จล้านคน แล้วรวยกันทั้งล้านคน จะเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม โลกนี้จะไม่มีที่ยืนให้คนรวย มันจะมีแต่ที่ระดับเดียวกันให้คนที่พยายามจะรวยได้ยืน หรือได้เดิน

ข้อเท็จจริงที่ทางพุทธศาสนาชี้นี่ ไม่ใช่เพื่อบั่นทอนกำลังใจนะ แต่เพื่อแสดงความจริงว่า คนไม่ได้มีเพดานเท่ากัน แต่ละคนมีเพดานจำกัดของบุญของบาป ของแต่ละคน
อันนี้คือ ถ้าไปพูดในพวกคอร์สสร้างความร่ำรวยนี่ โดนโห่เลยนะ โดนโห่ฮาเลย คือผมน่ะเข้าใจ เพราะว่าตอนสมัยต้นๆ ยังไม่รู้จักพุทธศาสนา ผมก็โห่ฮาเหมือนกันเรื่องบุญเรื่องบาป ไม่เคยเชื่อเลยนะ มันไม่รู้น่ะ มนุษย์น่ะ มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มันไม่รู้น่ะ แล้วอยู่ๆ จะมาบังคับให้เชื่อมันเชื่อไม่ได้หรอก แต่อันนี้ที่พูด เพื่อที่จะเป็นองค์ประกอบข้อเท็จจริงให้พิจารณาไปด้วยว่า คนเรามีประกันได้อย่างหนึ่งคือ ถ้าสร้างภาพในใจได้ชัด แล้วก็พยายามจริงจัง กับภาพความร่ำรวยที่เราสร้างขึ้นมานี่นะ ในที่สุดมันจะรวยขึ้น แต่ไม่แน่ว่ามันจะไปรวยถึงเพดานที่เราวาดขึ้นมา สร้างจินตนาการของชีวิตอีกแบบ อีกระดับหนึ่งขึ้นมาหรือเปล่า

เพราะว่า ผมเคยเห็นคนๆ หนึ่ง คือ เดี๋ยววันนี้ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียด เพราะไม่แน่ใจกำลังฟังอยู่หรือเปล่านะ แต่จริงๆ ไม่ใช่คนพุทธนะ ฉะนั้นไม่น่าเป็นไปได้ที่กำลังฟังอยู่ คือคนๆ นี้เป็นคนเก่งมากๆ มากคนหนึ่ง ที่ผมเคยเจอในชีวิตเลย เก่งแบบที่เรียกว่าเขาพยายามทำอะไรนี่ ทำได้ดีหมดทุกอย่าง แต่เขาเป็นคนขับรถ เป็นคนขับรถที่พยายามในทุกทาง ที่จะดิ้นรนไปเป็นกุ๊ก ไปเป็นพ่อครัว ไปที่ซาอุฯ เพื่อเก็บเงิน ทำอะไรอีกมากมายมหาศาลเลย เขาลองมาหมดแล้ว แต่สุดท้ายย้อนกลับมาเป็นคนขับ คือเริ่มต้นจากการเป็นคนขับ แล้วก็ย้อนกลับมาเป็นคนขับ เมื่ออายุมากแล้ว

อันนี้ทำให้ผมเห็นอย่างหนึ่ง ชะตาของคนแต่ละคน มีเพดานจำกัดอยู่จริงๆ ถึงแม้จะพยายามที่สุดแล้ว แล้วก็เป็นคนมีความรู้ความสามารถขนาดไหนก็ตาม มันจะมีเหมือนกับโดนกลั่นแกล้งน่ะ แล้วผมก็ดูๆ นะ คือลักษณะที่เขาทำแต่ละอย่าง มันเหนื่อยหนัก เพื่อให้คนอื่น คนที่รวยกว่า หรือคนที่เหนือกว่า ได้สบายทั้งนั้นเลย

คือกรรมแบบนี้ ถ้าว่ากันตามทางพุทธอย่างยกตัวอย่าง อาจเคยใช้พ่อใช้แม่ เหมือนกับเป็นคนใช้ ซึ่งถ้าสมมติว่าทำอยู่ทั้งชาตินี่ เกิดใหม่อย่างไร ก็ต้องเกิดใต้ฤกษ์ของคนใช้ คือไปเป็นลูกจ้างคนอื่นเขาท่าเดียว พยายามจะดิ้นรนเป็นนายตัวเองแค่ไหน ต่อให้เก่ง ต่อให้มีความเพียรพยายามอย่างไร ก็เกินเพดานจำกัดของตัวเองไม่ได้ นี่ผมแค่ยกตัวอย่างให้ฟังนะ

คือคนเรา มีความหวังได้ แต่ความจริงในชีวิตจะคลี่คลาย แสดงตัวออกมาอย่างไร นั่นอีกเรื่องหนึ่งด้วยนะ ไม่ใช่บั่นทอนกำลังใจ คือไม่อยากพูดเป็นสูตรสำเร็จว่าถ้าคุณพยายาม คุณต้องได้

คือในทางพุทธนี่ เราพูดแบบให้ครอบคลุมความจริงแบบสากลเลยว่า ทุกคนมีเพดานจำกัด อยู่ที่วิบากกรรมของตัวเอง คือในชาตินี้ ถ้าเราทำบุญเพิ่ม มีบุญที่จะเอาชนะของเก่า หรือเพดานจำกัดเก่าได้จริงๆนี่ อันนั้นก็โอเค ถ้าใครเจอทาง
แต่คนส่วนใหญ่จะได้แค่ทำบุญแบบตามๆ กัน แล้วก็ไม่มีความคิดริเริ่ม หรือว่าไม่ได้ทำต่อเนื่องมากพอ ที่จะเอาชนะเพดานจำกัดเก่าได้

ถ้าไม่มีบุญมาประกอบ ต่อให้พยายามแค่ไหน บางทีเราก็จะพบแต่ความฝืดเคือง หรือพบความล้มเหลว ซึ่งนั่นก็ทำให้ย้อนกลับไปสาปแช่งพวกโค้ช พวกคนสอนว่า ไหนบอกว่าพยายามแล้วต้องสำเร็จ ... ไม่ใช่นะ
คือในความเป็นจริง โค้ชอาจพูดถูกของเขาในแง่ที่ เขาทำสำเร็จมาแล้ว แล้วก็สามารถทำให้คนอื่น ประสบความสำเร็จตามได้เป็นจำนวนมาก แต่พวกนั้น เขาพยายามอยู่บนเส้นทางที่มีบุญเก่าคอยหนุนหลังด้วย ซึ่งพอพูดเรื่องบุญเก่าไปปุ๊บ มันฟังแล้วก็บั่นทอนกำลังใจมากเลยนะ เพราะไม่รู้ว่าเรามีบุญเก่ามาแค่ไหน

เพราะฉะนั้นนี่ ถ้าให้คำแนะนำแบบพุทธที่ดีที่สุดนะ อย่าหวังแค่บุญเก่า แต่ให้เพิ่มบุญใหม่เข้าไปด้วย เติมบุญใหม่เข้าไปเยอะๆ คือจะเพียรพยายามเพิ่มความร่ำรวยด้วยวิธีทางแบบโลกๆ อย่างไรก็แล้วแต่ พยายามไปเต็มที่ สุดตัว

แต่ในขณะเดียวกัน ไม่ลืมวิธีการทางธรรมด้วย คือ รู้จักช่วยคนอื่น สงเคราะห์คนอื่น คือช่วยด้วยใจอนุเคราะห์ ไม่ใช่ทำบุญทำทานหวังว่า นี่จะมาสนับสนุนให้เราได้รวยเร็วขึ้นกว่าเดิม หรือว่ามีเส้นทางลัดตัดทอนขั้นตอนยุ่งยากต่างๆ ให้เหลือแค่ว่า ทำบุญปุ๊บ พรุ่งนี้ได้ถูกหวยปั๊บอะไรแบบนี้ มันไม่ใช่ความเข้าใจในเรื่องของบุญแบบพุทธ เป็นความเข้าใจเรื่องของบุญแบบเทวดาบันดาล ซึ่งโอเค บางคนไปเจอแล้วบอกว่า ยืนยันว่าไปขอเจ้า ขอศาลที่ไหนแล้วได้จริงๆ นั่นก็ไม่เถียงหรอก ก็มีคนได้แน่ๆ แหละ มีคนลองแล้วต้องได้ ไม่อย่างนั้นไม่มาบอกต่อกันมากมาย แต่ไม่ใช่ทุกคน

คือในแบบของเรานี่ เส้นทางของเรา อาจไม่ได้มาจากการพนัน อาจไม่ได้มาจากการขอเจ้า ขอศาล อาจไมได้มาจากแม้กระทั่งการเพียรพยายาม แต่ละคนมีเส้นทางที่จะแหวกข้อจำกัดหรืออุปสรรคของชีวิตออกไป หรือมีวิธีทำลายหนี้ ที่แตกต่างกัน

แต่จุดร่วมจุดหนึ่งที่ต้องเหมือนกันคือ การทำไว้ในใจว่าเราเหมาะกับเส้นทางแบบไหน ตรงนี้ที่สำคัญนะ คือไม่ใช่สร้างภาพอย่างเดียว แต่รู้จักดูด้วยว่าเส้นทางที่เราเดินไปนั้น เป็นเส้นทางที่ผิดหรือเปล่า เป็นเส้นทางบาป เส้นทางของการหลอกลวงผู้คนหรือเปล่า ตอนนี้โลกไปถึงจุดที่ไม่สนแล้วว่าจะใช้วิธีไหน สนอย่างเดียว ขอให้มีภาพตัวเองเป็นที่จดจำอยู่ในใจคน แล้วก็ขอให้ภาพนั้นในใจคนมาสร้างความร่ำรวยให้ตัวเอง ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการไหนๆ ความอายหมดไปแล้ว

ทีนี้ถ้าเรามองนะ อย่างคนที่สร้างภาพขึ้นมาด้วยการหลอกลวง ด้วยวิธีหลอกลวงคือ หลอกตัวเองก่อนแล้วไปหลอกคนอื่นต่อ มันไม่จีรัง คนในโลกมนุษย์นี่นะ เกลียดที่สุดคือการหลอกลวง คือถ้าหลอกลวงแบบเนียนไปได้ตลอดชีวิตจนตาย ไม่เป็นไรนะ แต่ถ้าหลอกแล้วถูกจับได้ขึ้นมา อันนี้เป็นเรื่อง
คือผมอยากจะพูดให้ครอบคลุมตรงนี้เลยเพราะว่าปัจจุบัน เวลามีการสอนเรื่องการสร้างภาพในใจขึ้นมา มันมีแต่ภาพของความร่ำรวย แล้วก็ไม่สนใจวิธีการ อย่างพอคนนี่นะ สร้างภาพความร่ำรวยขึ้นมามากๆ เข้า ถึงจุดหนึ่งมันสร้างภาพในแบบหลอกตัวเองโดยอัตโนมัติ หลอกตัวเองว่าจะต้องอย่างนั้น จะต้องอย่างนี้ เสร็จแล้วก็ไปหลอกคนอื่นต่อว่า ฉันเป็นอย่างนั้น ฉันเป็นอย่างนี้ คือมันคล้ายๆ ว่าเข้าใจผิดน่ะ

สูตรเริ่มต้นที่ผมเคยอ่านตั้งแต่เมื่อ 20 -30 ปีก่อน เขาบอกว่าสร้างภาพขึ้นมาเพื่อจูงใจให้ตัวเองค้นหาวิธีที่เหมาะสมเพื่อไปให้ถึงภาพนั้น โดยไม่หยุด โดยไม่เลิกล้มกลางคัน แต่ปัจจุบัน กลายเป็นสร้างภาพขึ้นมาเพื่อที่จะหลอกตัวเอง แล้วก็หลอกคนอื่น ตรงนี้สำคัญนะ แล้วก็เป็นจุดต่าง ระหว่างความรวยแบบโลกๆ กับความร่ำรวยในแบบที่ถูกต้อง ที่พุทธศาสนาสอนนะ ที่เป็นสัมมาอาชีวะนี่

ทีนี้คืออย่างบางทีเราก็อาจถามว่า แล้วทำสมาธิหรือว่าเจริญสติแบบพุทธ มีส่วนช่วย มีส่วนส่งเสริมไหม
ผลพลอยได้ของการทำสมาธิ เพื่อการเจริญสติแบบพุทธนะครับ คือการที่เรามีจิตใจปลอดโปร่ง มีความสบายใจ พูดง่ายๆ หัวแล่น พร้อมจะหัวแล่น คนเราพอพร้อมจะหัวแล่นนะ จะไม่ย่อท้อกับอุปสรรค จะไม่มัวมาเสียดมเสียดาย ไม่มาเสียใจกับสิ่งที่สูญเสียไปแล้ว แต่จะมีพื้นที่ว่างในใจมากพอ ที่จะมองเห็นภาพตรงหน้าอย่างกระจ่าง ว่าอะไรเป็นอะไร

บอกนี่มีหนี้สินใช่ไหม ถ้าใช้วิธีที่เรารับเงินเดือนแล้วก็ค่อยๆ ผ่อนไป มันจะหมดในเวลากี่ปี เท่านั้นเท่านี้ อันนี้เห็นชัดแล้ว เสร็จแล้วเปลี่ยนมุมมองใหม่ คือบอกว่า ถ้าคิดอย่างมนุษย์เงินเดือน ก็ได้ใช้หนี้ไปเท่านี้ปี ก็เกิดความรู้สึกท้อแท้ ก็รู้สึกเหนื่อยรู้สึกแบบนี้เหมือนเดิม
แต่ถ้าเปลี่ยนมุมมองว่า เราไม่ได้ทำงานแบบนี้ เราทำงานเสริม หรือยิ่งไปกว่านั้นเราค่อยๆสร้างคอนเนคชั่น (connection) จนกระทั่งมีวิธีคิดในการทำงานแบบใหม่เลย แล้วก็ได้เงินตอบแทนจากงานใหม่นั้น น่าจะสูงขึ้นกว่าของเก่าแค่ไหน ก็เกิดการคำนวณใหม่ เอ้าถ้าสมมติว่าได้เพิ่มขึ้น ได้รายได้เพิ่มขึ้นสองเท่า อันนี้รู้ตามจริง เห็นภาพชัดๆ เลยว่า มันจะหมดหนี้เร็วขึ้นเป็นสองเท่า ใช้เวลาครึ่งหนึ่งในการทำให้หนี้หมดไป
แต่ถ้ามีวิธีการอื่นอีกที่เป็นไปได้ เอาแบบเป็นไปได้จริง แล้วเราสามารถเริ่มทำ นับก้าวแรกได้กับสิ่งนั้นนี่นะ บอกว่าไม่ใช่แค่สองเท่า มันอาจได้เพิ่มขึ้นเป็นสิบๆ เท่า อย่างนี้คือภาพในใจชัดเจนเช่นกันว่า เราจะหมดหนี้ได้เร็วขึ้นเป็นสิบๆ เท่า

อันนี้คือตัวอย่างนะ ว่าถ้าหัวแล่น ถ้าไม่มาจมอยู่กับอาการสงสารตัวเอง หรือว่าอาการที่ทดท้อ รู้สึกชีวิตอ่อนแอ อะไรต่างๆ มันจะเห็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นี้คือประโยชน์ของสมาธิแบบรู้ตามจริง แบบการเจริญสติ ที่เอามาประยุกต์กับการทำงานแบบโลกๆ นะ

เพราะฉะนั้นสรุปง่ายๆ ว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ เป็นหนึ่งในคนที่อยากจะฐานะดีขึ้น แล้วก็อยากจะภาวนาไปด้วย ไม่อยากให้ชีวิตนี้สูญเปล่าไปอีกชาติหนึ่ง กับการทำงานแบบโลกๆ แล้วก็ตายไป อยากจะภาวนาไปด้วย ถึงไหนไม่ถึงไหน ได้หรือไม่ได้ช่างมันก่อน แต่อย่างน้อยขอให้ได้สะสมไป มีสติเพิ่มขึ้นทุกวัน ...

ต้องตั้งโจทย์ใหม่นะครับว่า ทำสมาธิอย่างไรให้หัวแล่น คือ ไม่ใช่ตั้งโจทย์ว่า ทำสมาธิอย่างไรให้รวย แบบนั้นมันเป็นการออกอ่าว มันมองไม่เห็นฝั่ง คือบางคนนี่พอออกอ่าวไป ก็ฟลุ้คไปเจอเกาะจริงๆ ไปเจอฝั่งจริงๆ แต่คนส่วนใหญ่ถ้าออกอ่าวแล้ว มันไม่เจอเกาะนะ ไม่เจอฝั่งนะ เจอแต่ทะเลเวิ้งว้าง

ทีนี้ถ้าเรามีเป้า มีทิศทางชัดเจน มีเข็มทิศที่ถูกต้องนะ เราจะทำสมาธิแบบพุทธเพื่อให้หัวแล่น เพื่อให้ใจโล่ง แล้วก็สามารถรับมือกับความโหดร้ายของหนี้สินได้ โดยไม่ต้องไปใช้หนทางวิธีอะไรที่มันลัดๆ ที่มันผิดๆ นะ

คือจำไว้เลย ทางพุทธนะ คุณจะสร้างภาพอย่างไรก็ได้ ขออย่างเดียวอย่าหลอกคน!

____________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำสมาธิอย่างไรให้รวย?
วันที่ 27 มิถุนายน 2563

ถอดความ : เอ้
รับชมคลิปhttps://www.youtube.com/watch?v=evL-DjbzD9k

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563

มีคนบอกว่าอย่าไปคิดว่าจะหลุดพ้น พระพุทธเจ้าท่านสร้างบารมีมาแล้วกี่กัป กี่อสงไขย รู้สึกงงเพราะเห็นเป็นคนทำบุญช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนาอยู่เหมือนกัน หรือเราจะใฝ่สูงเกินไปคะ?


ดังตฤณ :  อันนี้ก็เป็นนานาจิตตังนะครับ พูดกันเยอะมากบอกว่า สมัยนี้มรรคผลไม่มีแล้ว ใครไปคิด ใครไปหวังมันใฝ่สูงเกินไป เกินเอื้อมอะไรแบบนั้น เอาเป็นว่าอย่างนี้แล้วกัน เพราะพระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ให้พยายามคิดถึงนิพพาน คิดถึงการบรรลุมรรคผลอยู่ทุกวันทุกเวลาในขณะที่เจริญสติปฏิบัติธรรม ตรงข้ามนะครับท่านให้รู้อยู่แค่ปัจจุบันตรงนั้น

ถ้าคุณสามารถรู้อยู่กับปัจจุบันได้ ถ้าสามารถเห็นเปรียบเทียบได้ว่า เออตอนหายใจยาวมันเป็นสุขอย่างไร แล้วหายใจสั้นลง มันเป็นทุกข์ได้แค่ไหน

ถ้าเปรียบเทียบได้อย่างนี้ ก็ขอให้เชื่อเถิดว่า คุณมีอุปกรณ์ในการทำให้จิตเห็นความไม่เที่ยงของสภาวะทางกายใจ

แล้วใครก็ตามที่เห็นความไม่เที่ยงของสภาวะทางกายใจได้เรื่อยๆ จนกระทั่งรู้สึกขึ้นมาเป็นจริงเป็นจังว่า กายนี้ใจนี้ มันเป็นแค่สภาวะชั่วคราว เกิดขึ้นตามเหตุปัจจัยชั่วขณะ แล้วมันก็หายไปเป็นขณะๆ อย่างนี้นะครับมีสิทธิ์หลุดพ้นแล้วล่ะชัวร์ๆ

ไม่ว่าจะเกิดชาติไหนภพไหน ถ้าหากว่ามีความสามารถจะรู้ถึงความไม่เที่ยงของสภาวะทางกายใจได้นะครับ มันไม่ใช่การหวังสูงเกินเอื้อมนะครับ ตรงกันข้ามเป็นการหวังได้หวังดีมีสิทธิ์เต็มที่ที่จะได้หลุดพ้นกัน เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านเป็นผู้ยืนยันเอง

พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เลยนะครับว่า ใครก็ตามที่สามารถเห็นกายใจนี้ โดยความเป็นธาตุ ๔ ขันธ์ ๕ อายตนะ ๖ ชาตินี้ไม่มีวันตายก่อนได้โสดา ท่านตรัสไว้อย่างนี้ ลองไปดูในพระไตรปิฎกนะครับ มีการตรัสยืนยันไว้

ส่วนคนยุคเราใครจะว่าเป็นอื่นอย่างไรนะครับ ก็อย่าไปเชื่อว่าจะไปรู้ดีกว่าพระพุทธเจ้านะครับ

--------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                     แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         มีคนบอกว่าอย่าไปคิดว่าจะหลุดพ้น พระพุทธเจ้าท่านสร้างบารมี
                              มาแล้วกี่กัป กี่อสงไขย รู้สึกงง เพราะเห็นเป็นคนทำบุญช่วยสืบทอด
                              พระพุทธศาสนาอยู่เหมือนกัน หรือเราจะใฝ่สูงเกินไปคะ?
ระยะเวลาคลิป           ๒.๑๕ นาที
รับชมทางยูทูบ                https://www.youtube.com/watch?v=oiJjVsfO0sY&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=27


** IG **

ถ้าสมาธิล้ำมากๆ วันๆจิตก็จะดึงให้คอยหลับตาเข้าสมาธิตลอด มีอาการหมุนโยกตลอดทั้งตอนทำสมาธิ และใช้ชีวิตปกติ พลังงานที่โยกโคลงจะหมุนแรงมาก เป็นเพราะนั่งสมาธิมากเกินไป ไหมคะ?


ดังตฤณ :  อันนี้ขอบอกนะครับ ถ้ายังมีอาการหมุน อาการโคลงเนี่ย ยังไม่เป็นสมาธิจริงนะครับ สมาธิที่เริ่มเข้ากระบวนการของความสงบพร้อมรู้ กายจะสงบระงับไม่กวัดแกว่ง อันนี้สำนวนของพระพุทธเจ้านะครับ

แล้วก็จิตเนี่ยมีความเหมือนกับปราศจากความฟุ้งซ่าน ปราศจากความเหม่อลอยหดหู่ ซึมเซา หรือว่าจะไปตรึกนึกถึงเรื่องกามคุณ ๕ หรือว่าพยาบาทอะไร จะไม่มีนะครับ

มันจะมีความปลอดโปร่ง แล้วก็ไม่มีความลังเลสงสัยด้วย แต่ถ้ายังหมุนยังโยกโคลงเนี่ย สะท้อนนว่าจิตของคุณยังไม่ได้จับอยู่กับโฟกัสของตัวอารมณ์ที่กำลังจับอยู่ จะเป็นคำบริกรรมก็ตาม หรือว่าจะเป็นลมหายใจก็ตามนะครับ

ถ้าหากว่าโฟกัสได้ถูกส่วน มีความสมดุลแล้ว กายจะนิ่ง ใจจะนิ่ง สงบระงับ แล้วก็รู้สึกถึงความไม่ไหวติงอย่างเป็นสุข มีความรู้สึกสบาย ใจเปิดกว้าง มีความสว่าง แต่บางคนเนี่ย เบาสว่างแต่โยก ก็สะท้อนให้เห็นว่า มันไปจับอยู่กับความสุข มันไปเคลิ้มอยู่กับอาการสบาย หรือว่าไปจดจ่ออยู่กับคำบริกรรมที่ทำให้ไม่รู้เนื้อรู้ตัว

ถ้าหากว่าเริ่มต้นขึ้นมา คุณสามารถจับได้ถูก จับทางถูกว่า เออเนี่ยกายนี้นั่งอยู่ คอตั้งหลังตรงแล้วก็มีความรู้สึกว่า ทั้งเนื้อทั้งตัวผ่อนคลายไม่มีอาการเกร็งที่ส่วนใดส่วนหนึ่งไล่ขึ้นมาจากเท้า จากมือจนถึงใบหน้า ถ้าไม่มีส่วนใดส่วนหนึ่งที่มันแสดงความเกร็งอยู่แล้วคุณรู้สึกถึงท่านั่งคอตั้งหลังตรงได้ ตรงนั้นน่ะมันจะเป็นจุดเริ่มต้นของฐานสตินะครับ

ทีนี้ถ้ามันเริ่มโยกโคลงไป ก็มีสติรู้ว่ามันโยกโคลง ถ้ารู้ถูกนะครับ มันจะค่อยๆโคลงน้อยลง น้อยลง จนกระทั่งนิ่ง แล้วก็อยู่ในท่านั่งตามสบาย แบบที่จิตมันได้ส่วนกันกับร่างกายที่เบา จิตเบาใจเบาเสมอกันเหมือนแก้วใสได้ แล้วนิ่งด้วย อันแหละที่มันจะเริ่มเป็นสมาธิ

ขอให้ทดลองดูนะครับ ไปที่ www.เสียงสติ.com แล้วก็ลองดูคลิปตามลำดับนะครับ แล้วลองดูว่ามันจะต่างไปมั้ยจากที่เคยเป็นอยู่

------------------------------------------

ผู้ถอดคำ                     แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ถ้าสมาธิล้ำมากๆ วันๆจิตก็จะดึงให้คอยหลับตาเข้าสมาธิตลอด 
                              มีอาการหมุนโยกตลอดทั้งตอนทำสมาธิ และใช้ชีวิตปกติ 
                              พลังงานที่โยกโคลงจะหมุนแรงมาก เป็นเพราะนั่งสมาธิมากเกินไป
                              ไหมคะ?
ระยะเวลาคลิป           ๒.๕๖ นาที
รับชมทางยูทูบ                https://www.youtube.com/watch?v=OqP8KstyPac&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=29

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2563

คลื่นสมาธิ Vs. คลื่นปัญญา แบบไหนช่วยให้พัฒนาก้าวหน้าดีกว่า

ดังตฤณ : คนละอย่างกันนะ คือจริงๆ แล้ว ผมพยายามย้ำว่า แอนิเมชัน หรือคลื่นปัญญา เป็นแค่ไกด์ไลน์นะ จริงๆ ดูทุกวันได้นี่ ก็ดีเหมือนกันในช่วงเริ่มต้น เพราะว่าจะทำให้เราไม่หลงเข้ารกเข้าพงทางความฟุ้งซ่าน

คลื่นปัญญานี่ จุดเริ่มต้นมาจากการที่ ผมทราบความจริงโลกภายในของนักเจริญสตินี่นะ จุดเริ่มต้นไม่ว่าจะทำอะไรมาได้แค่ไหนแล้วนี่ ถ้าหากว่าเรากำลังฟุ้งซ่านอยู่ แล้วนั่งหลับตาขึ้นมา จะหลงเข้ารกเข้าพงความฟุ้งซ่านทันที เป็นป่าของความฟุ้งซ่านที่ไม่มีใครหนีออกมาได้ พูดง่ายๆ พอหลับตาไปแล้ว ลืมว่าจะต้องภาวนาอย่างไร 

แต่ถ้าหากว่าได้แอนิเมชันเป็นตัวไกด์ว่า เออ ยังไม่ต้องหลับตานะ ดูก่อน ว่าให้ทำอย่างไร เช่น ให้หายใจให้ถูกต้อง แล้วถ้าหากว่าเราหายใจได้อย่างถูกต้องตามลำดับ มันเกิดความรู้สึกว่า มีสติเข้ามาในกาย รู้เข้ามาทางใจ ว่ากำลังมีภาวะเป็นอย่างไรอยู่ อันนี้ก็จะทำให้เราไม่หลงเข้ารกเข้าพงทางความฟุ้งซ่านทุกวัน ทุกวันเราจะเข้าที่เข้าทางถูกต้องได้ อันนี้คือประโยชน์ของคลื่นปัญญา

นี้คือ ไม่ใช่ว่า เราจะต้องดูตลอดเวลา คือถ้าหากว่ามันจำได้ มันขึ้นใจ เราก็สามารถที่จะทำไปโดยไม่ต้องดูก็ได้ แต่ตัวคลื่นสมาธินี่ ไม่ได้ให้ปัญญานะ อย่างอันนี้ผมก็เน้นย้ำมาตั้งแต่แรกเลย มันเป็นการจูนคลื่นสมองนะ ในย่านที่มันช้า ที่วิ่งช้า ให้เด่นกว่าคลื่นย่านอื่นๆ

พูดง่ายๆ ตามภาษาชาวบ้าน คิดแบบนี้ก็ได้ว่าคลื่นสมองจะช้าลง จากที่หมุนจี๋อยู่เป็นความฟุ้งซ่านแบบคนปกติธรรมดาทั่วไปแบบที่หาเช้ากินค่ำนี่ พอช้าลง ก็พร้อมจะเป็นสมาธิ พอพร้อมเป็นสมาธิ ก็พร้อมที่จะเจริญสติเห็นอะไรตามจริงโดยไม่มีความฟุ้งซ่าน หรือมีความอยากอะไรไปล่วงหน้านะครับ นี่คือประโยชน์ของคลื่นสมาธิ

ทีนี้ ตัวที่จะทำให้เราเกิดปัญญาได้จริงๆ นี่ คือการสังเกต แล้วขึ้นใจว่าเริ่มต้นขึ้นมา ที่จะเจริญสตินี่ เราต้องทำอย่างไรก่อนเป็นอันดับแรก อันนี้ผมถึงให้ความสำคัญ เหมือนที่พระพุทธเจ้าท่านให้ความสำคัญกับอานาปานสติ ผมโชว์แอนิเมชันแบบนี้ ครั้งแล้วครั้งเล่านี่นะ ก็ด้วยเหตุผลเดียวคือ อยากให้หายใจกันเป็น เพราะถ้าหายใจกันเป็น มีความขึ้นใจแล้ว เราไม่ต้องอาศัยการดูคลิปคลื่นปัญญาก็ได้

คลิปต่างๆ นี่จริงๆแล้วจะต่อยอดให้แอดวานซ์ขึ้นเรื่อยๆ นะ มันมีความเข้าใจโลกภายในแบบถูกทิศถูกทางของมหาสติปัฏฐานสูตรนะครับ คือแทนที่เราจะต้องไปอ่าน แล้วก็ทำความเข้าใจ ตีความมหาสติปัฏฐานสูตรด้วยตัวเอง ซึ่งผมเคยเขียนหนังสือมานะ ทั้งเล่มเลย แต่ก็พบความจริงว่า ถ้านึกภาพไม่ออก หรือต้องตีความ หรือต้องอาศัยความเชื่อ โน่น นี่นั่นอะไรเข้ามา มันทำตามยาก

แต่ถ้าหากว่าเอาแอนิเมชัน มาเป็นตัวไกด์ไลน์แบบนี้ ไม่ต้องตีความ มันทำตามได้เลย แล้วก็เห็นได้ด้วยตัวเองนะครับว่า มันมีประสบการณ์ภายในที่แตกต่างไปอย่างไร

สรุปนะ ว่าตัวคลื่นสมาธิ กับคลื่นปัญญานี่ พอยต์มันต่างกัน จุดประสงค์คนละเรื่องกันเลยนะ แต่ว่ามีความสืบเนื่องกันอยู่คือ ถ้าหากว่าคุณมีสมาธิได้ คลื่นสมองของคุณช้าลง โอกาสที่จะรู้เห็นภาวะทางกาย และทางใจตามจริง ก็สูงขึ้น


พอใครมีสมาธิดีๆ มาดูแอนิเมชัน ทีเดียวมันเก็ตเลยว่า อ๋อ อย่างนี้เอง ก็นี่คือพอยต์ที่แตกต่างกันนะครับ!
______________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ฝึกสติแบบไหนไม่ขี้ลืม?
วันที่ 20 มิถุนายน 2020

คำถามเต็ม : คลื่นปัญญา vs คลื่นสมาธิ คือทุกวันนี้ ฟังคลื่นพร้อมนอนทุกคืน ไม่ก็ปัดความฟุ้งซ่าน แต่คลื่นปัญญาจะดูเมื่อร่างกายพร้อมมากกว่าค่ะ เพราะพอเพลียจะเผลอหลับ เพราะต้องจ้องหน้าจอ เลยสงสัยว่าการที่เราฟังคลื่นสมาธิมากกว่าคลื่นปัญญา จะทำให้การพัฒนาก้าวหน้าไม่ดีเท่าการฝึกคลื่นปัญญาทุกวันใช่ไหมคะ

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=6RxRc1jp4YY

ถอดความ : เอ้

ภาวนาแล้วชอบขบฟัน ทำให้รู้สึกอึดอัด เป็นเพราะสาเหตุอะไร

ดังตฤณ : อันนี้ก็เป็นอีกหลักฐานหนึ่งนะว่าการภาวนานี่ ถูกหรือผิดนี่สำคัญ บอกว่าภาวนาแล้วชอบขบฟัน ทำให้รู้สึกอึดอัดเป็นเพราะสาเหตุอะไร

เพราะว่าเราตั้งใจไว้ผิด มีทิศทางของการภาวนาที่ผิดตั้งแต่เริ่มเลย 

ภาวนานี่ ถ้าจะเจริญสติแบบพุทธนะครับ คือ ให้รู้ตามเป็นจริงที่มันกำลังเกิดอะไรขึ้นให้รู้ แต่นี่ส่วนใหญ่ยังไม่มีอะไรให้รู้ หรือยังไม่พร้อมที่จะรู้อะไร ก็จะไปเร่งให้มันเกิดขึ้น หรือไปพยายามให้มันเป็นไปตามสเปคแบบที่เขาบอกๆ กันว่ามันต้องอย่างนั้น มันต้องอย่างนี้ เสร็จแล้วจิตแทนที่จะเปิด แทนที่มันจะสบาย มันก็เกิดภาวะหดตัว

จิตนะ พอมันหดตัว ก็จะลากสภาวะทางกายให้เครียด ให้เกร็ง ให้ตึงไปด้วย แล้วภาวะเครียด ภาวะเกร็งเหล่านั้นนี่ ก็สะท้อนออกมาด้วยการขบฟัน

ทีนี้เอาใหม่ ลองเหมือนกับเราเริ่มภาวนาจากจุดนี้ ตรงนี้แหละ ถ้ารู้ตัวว่ากัดฟัน ไม่ต้องไปภาวนาอย่างที่กำลังพยายามตั้งใจ ไม่ว่าจะดูลม ไม่ว่าจะไปบริกรรมพุทโธหรืออะไรก็ตาม

เปลี่ยนมาดูอาการขบฟัน หรือกัดฟันนั่นแหละ ให้ยอมรับตามจริงไปว่ากำลังกัดฟันอยู่ ร่างกายกำลังมีอาการเกร็งอยู่ จากนั้นสำรวจว่าในอาการขบฟันนั้น มีส่วนอื่นส่วนไหนของร่างกาย ที่มีความเกร็งอยู่บ้าง สำรวจไปก่อนเลย ฝ่าเท้า ถ้านั่งอยู่ วางฝ่าเท้าราบกับพื้นนี่ ดูสิว่ามันจิกพื้น หรือว่ามันวางราบกับพื้นสบายๆ

ถ้าจิกพื้นอยู่ เอ้า นี่ดูรู้เลยว่า เราควรจะวางให้ราบกับพื้นสบายๆ ต่างหาก บอกตัวเองอย่างนี้ เสร็จแล้วไล่ขึ้นมาดูฝ่ามือ ฝ่ามือนี่กำอยู่ เกร็งอยู่ หรือว่าผ่อนคลายสบายอยู่

ถ้าหากว่ามันผ่อนคลายสบายอยู่ แสดงว่าโอเค เริ่มโอเค แล้วสำรวจขึ้นมาใบหน้า หน้าผากตึงๆ ไหม หรือขมับบีบๆ ไหม ถ้าบีบๆ อยู่ ก็เหมือนยืดหน้าขึ้นไปหาท้องฟ้า ดูว่าจริงๆแล้ว เราไม่ต้องขมวด เราไม่ต้องเคร่งก็ได้

นี่ ไล่มาสำรวจ ฝ่าเท้า ฝ่ามือ แล้วก็ใบหน้านะ ในขณะที่กำลังขบฟันนี่

ถ้าหากว่า ฝ่าเท้า ฝ่ามือ และใบหน้าของเรามันผ่อนคลายออกได้ ฟันก็จะหายขบ จะเลิกกัดเช่นกันนะครับ


อันนี้ ลองสังเกตดูนะ นี่คือความสำคัญระหว่างร่างกาย กับภาวะของใจนะ!

______________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ฝึกสติแบบไหนไม่ขี้ลืม?
วันที่ 20 มิถุนายน 2020
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=hu_46cCRqXs
ถอดความ : เอ้

ฝึกตัวเองให้ลืมเรื่องเศร้า เลยกลายเป็นคนขี้ลืม

ดังตฤณ : ก็เป็นไปได้จริงนะ คือจิตของเรามีอำนาจ พอเราเจอเรื่องอะไรที่ทุกข์แรงๆ ใจมันแบบว่า อยากจะผลักความทุกข์นั้นออกไปมากๆ จะใช้วิธีเหมือนกับว่า กดความจำไว้

อย่างเคยรู้จากตัวเลยนะ คือเหมือนกับว่าเขามีอายุแล้ว เสร็จแล้วนี่มีความทุกข์จากลูก ลูกมีสี่ห้าคน มีอยู่คนหนึ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์มาก ทุกข์แรงมาก ทุกข์แบบว่าเหมือนกับจะเอาค้อนมาทุบหัวใจ หรือว่าเอาคีมมาบีบหัวใจ ทุกข์ขนาดนั้นเลย

ทุกข์มาเป็นสิบๆ ปี หลายสิบปี ทุกข์แบบเหมือนกับรู้สึกว่ากำลังจะดับดิ้น กำลังจะเป็นจะตาย ผ่านความทุกข์แบบนั้นมาหลายครั้ง จนถึงจุดหนึ่ง ทะเลาะกันครั้งสุดท้ายกับลูกคนนี้ วันต่อมา ลืม คือลืมแบบลืมจริงๆนะ ว่าเคยมีลูกคนนี้

ลูกคนอื่นจำได้หมด เหตุการณ์อย่างอื่นจำได้หมด นี่ก็คือการทำงานของสมองแบบหนึ่งที่พยายามจะหนีภาวะที่เจ็บปวดรุนแรง แล้วก็ทนไม่ได้ ซึ่งทางจิตวิทยา ก็ทราบมานานแล้วว่ามีโรคความจำเสื่อมชนิดนี้จริงๆ อย่างเช่น เวลาที่เห็นบุคคลอันเป็นที่รักประสบอุบัติเหตุต่อหน้าต่อตา บางคนกลายเป็นความจำเสื่อมไปเลย คือไม่ใช่จำไม่ได้เฉพาะบุคคลอันเป็นที่รักที่ตายไป แต่ลืมหมดเลยว่าตัวเองเป็นใคร อย่างนี้มี

อันนี้เป็นวิธีที่เราหลบความทุกข์สาหัสที่เกิดขึ้น แล้วถ้าอธิบายแบบในเชิงวิทยาศาสตร์ เขาบอกว่า สมองมันกลัวพัง ก็เลยสับสวิตช์ ไปสู่ฟังก์ชั่นอื่น หรือว่าหาฟังก์ชันอื่นมากลบทับฟังก์ชันเดิมที่ยังสามารถรับรู้อะไรแบบเดิมๆ ได้ กลบทับไปเลย จะได้ไม่ต้องเสียหาย สมองจะได้ไม่ต้องเป็นอันตราย

อันนี้เป็นคำอธิบายแบบนักวิทยาศาสตร์ แต่จริงๆ ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ไม่ใช่สมองเก่ง ฉลาดเองขนาดนั้น แต่เป็นกลไกการทำงานของจิตมาก่อน

จิตนี่ ถ้าหากว่ามีกำลังมากๆ มีกำลังอันเกิดจากความอัดอั้นของก้อนทุกข์ ก้อนร้อนหนักๆ มันสามารถที่จะโปรแกรมตัวเองให้ตัดอะไรบางอย่างทิ้งออกจากใจ ภาพอะไรบางอย่าง ซึ่งอันนี้สมองก็จะรับลูก สวิตช์การทำงานซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะทำได้ แต่ต้องเกิดภาวะที่เข้าล็อคตรงนั้นจริงๆ สมองเปลี่ยนฟังก์ชันได้เลยนะ จากเดิมที่รับรู้อะไรได้เป็นปกติ สวิตช์อีกฟังก์ชันหนึ่ง พื้นที่นั้นถูกปิดไปเลย อันนี้ก็เป็นเรื่องธรรมชาติ ความสัมพันธ์ของจิตกับกาย!

______________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ฝึกสติแบบไหนไม่ขี้ลืม?
วันที่ 20 มิถุนายน 2020

คำถามเต็ม : แต่ก่อนไม่ได้เป็นคนขี้ลืม แต่พอเจอเรื่องที่กระเทือนจิตใจ เลยบอกใจตัวเองใหม่ว่า ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร จะพยายามลืมๆๆ ให้หมดทุกเรื่อง แล้วเริ่มต้นใหม่ หลังจากคิดแบบนี้ เลยกลายเป็นขี้ลืม นึกอะไรไม่ค่อยออก คิดแบบนี้ผิดไหมคะ? แล้วจะทำอย่างไรจะเปลี่ยนให้ไม่ลืมได้?

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=gtLa974n0x0

ถอดความ : เอ้


เจริญสติ กำหนดดูเวทนาทางกาย แต่กลับเห็นความคิดฟุ้งซ่าน


ดังตฤณ : เวลาที่เราดูแอนิเมชันนี่นะ เราดูเป็นไกด์ไลน์ ไม่ใช่หวังว่าจะเกิดอะไรขึ้นถูกต้อง หรือผิดพลาด ถ้าหากว่าเราจำได้นะครับว่า การที่เรามีท่านั่ง คอตั้งหลังตรง เป็นจุดเริ่มต้น แล้วเห็นว่าอาการหายใจ หายใจยาวแล้วมีความสุขอย่างนี้นะ นี่คือจุดเริ่มต้น คือไกด์ไลน์ที่จะทำให้เราเข้ามามีสติอยู่กับกายกับใจแน่แล้ว คือไม่ใช่ว่าเริ่มเจริญสติ หรือเริ่มทำสมาธิด้วยการส่งออกไปข้างนอก หรือว่าตั้งความหวังอะไรออกไปเหนือจากภาวะทางกายใจ

นี่คือจุดเริ่มต้นนะ ต้องแม่นนะ ถ้าหากไม่แม่นตรงนี้เราจะไปต่อไม่ถูก เวลาที่เกิดภาวะสับสนอะไรขึ้นมา

พอเราเริ่มต้นขึ้นมา นั่งคอตั้งหลังตรง หายใจยาวถูก แล้วรู้ว่า เพราะหายใจยาว ถึงมีความรู้สึกเป็นสุข มีความรู้สึกผ่อนคลายสบาย จากนั้น เวลาที่มีความฟุ้งซ่าน หรือว่าอารมณ์อะไรที่มันแทรกซ้อนเข้ามานอกเหนือไปจากความสุขจากการหายใจ ตรงนั้นให้เห็นเป็นความไม่เที่ยง คือยอมรับตามจริง ไม่ใช่ไปพะวงว่า เอ๊ะ นี่มันสับไปสับมา จะดูอย่างไรถูก

การที่เราเริ่ม เอ๊ะ ขึ้นมาว่า มันเหมือนกับมีภาวะแทรกซ้อน มีสภาวะอะไรที่กระโดดไปกระโดดมา เป็นจุดเริ่มต้นของวิจิกิจฉา ที่พาให้เราออกนอกขอบเขตของการเจริญสติ รู้กายใจ วิธีที่ถูกต้องที่จะจัดการกับวิจิกิจฉาคือ ให้มองว่า ณ ขณะนั้นสิ่งที่เราต้องสนใจจริงๆ คือตัว วิจิกิจฉานั่นแหละ ตัวความสงสัย ตัวความลังเล ตัวความพะวง

ดูว่าความพะวง มีอาการอย่างไร ก่อนอื่นเลย มันเป็นทุกข์ใช่ไหม เพราะว่ามีความรู้สึกอึดอัดขึ้นมา มีอาการวกๆ วนๆ ขึ้นมา มันมีอาการไม่อยู่นิ่ง มีความรู้สึกกระสับกระส่ายขึ้นมา นี่ตัวนี้ เป็นการเห็นทุกขเวทนาอ่อนๆ เมื่อเกิดความรู้สึกสงสัย

เสร็จแล้วให้ดูด้วยว่า ลักษณะของ “ใจ” บางที มันมีความรู้สึกเอะใจขึ้นมา สงสัยอะไรขึ้นมา จะมีลักษณะของการกระเจิดกระเจิง จับไม่ติด ลักษณะความกระเจิดกระเจิงเป็นอย่างไร มันเหมือนกับเราไม่สามารถที่จะไปต่อถูกนะ ลืมไปหมดแล้วว่าภาวะเป็นอย่างไร ทั้งๆ ที่บางทีกำลังดูแอนิเมชั่นอยู่ แต่เสร็จแล้วใจมาพะวง แล้วไม่รู้ตัวว่าพะวง เกิดความกังวล เกิดความสงสัย

วิธีคือ ตัดอย่างอื่นออกให้หมด หลับตาก็ได้ ไม่ต้องดูแอนิเมชั่นต่อก็ได้แล้วกำหนดว่า ณ ลมหายใจนี้ เรากำลังเกิดความพะวงสงสัยอยู่ มีความพะวงสงสัยเมื่อไหร่ มันจะเกิดความวกวนขึ้นเมื่อนั้น

ถ้าลมหายใจนี้มีความวกวนอยู่ในอารมณ์แบบนี้ ดูต่อไปว่า ลมหายใจหน้า จะยังคงวกวนต่อไปไหม แล้วหายใจนี่ไม่ใช่หายใจสั้นๆ หายใจแบบไม่รู้เรื่องรู้ราวนะ ต้องหายใจในแบบที่เรามีทุนเป็นความสุขความสบายเนื้อตัวพอสมควรด้วย

ถ้าหากว่ามีความรู้ขึ้นมาว่าในลมหายใจต่อมา ความวกวน ความสงสัยมันทุเลาเบาบางลง อันนี้ถือว่าเห็นความไม่เที่ยงของความสงสัยแล้ว เห็นความไม่เที่ยงของอารมณ์กระโดดไปกระโดดมาแล้ว ขอให้จำไว้นะ ดูจากคำถามอย่างเดียว คือจากที่เห็นมาเป็นสิบๆ ปี คือบอกได้อย่างหนึ่งว่า คุณกำลังอยู่ในอารมณ์ พะวง ติดข้อง สงสัย

เสร็จแล้วนี่ มันไปลากจูงเอาอารมณ์แบบที่มันกระโดดไปกระโดดมาที่คุณว่านี่ มาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว นึกออกไป เวลาที่คนเราสงสัย คนเราไปต่อไม่ได้ มีความพะวง อารมณ์มันจะสั้น คือพอพยายามกลับมาอยู่กับลมหายใจ มันจะอยู่ได้แค่สั้นๆ แล้วหลุดออกไปสงสัย หรือเป็นทุกข์กับอารมณ์ใหม่ๆ ได้อีก

แต่ถ้าเราบอกตัวเองเลยว่า ณ ขณะนั้น มันเกิดภาวะสงสัยขึ้นมาอย่างเด่นชัด ให้จับสังเกตไปว่าภาวะความสงสัย ภาวะความสับสนตรงนั้น มันอยู่ได้กี่ลมหายใจ

คราวนี้นี่จะมีที่หมาย จิตจะมีเป้า ที่ชัดเจนให้จับ ให้ดู ว่ามันเที่ยงหรือไม่เที่ยง ภาวะนั้นๆ

______________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ฝึกสติแบบไหนไม่ขี้ลืม?
วันที่ 20 มิถุนายน 2020

คำถามเต็ม : นั่งเจริญสติกำหนดว่า จะดูเวทนาทางกายตามคลื่นปัญญา  นั่งไปสักแป๊บเวทนาที่กำหนดดูไว้ มักจะหายไป เห็นชัดแต่ความคิดที่ฟุ้งเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา เร็วๆบ้าง เอื่อยๆ บ้าง บางทีก็เห็นตัวก็โยกเยก (หน้าท้องที่พองยุบ ลมที่เข้าออกยังพอรู้สึกได้) แม้จะดูไปเรื่อยๆ แต่รู้สึกจับจุดไม่ถูก งงๆ กับการนั่งเจริญสติ แบบนี้ควรพิจารณาต่อยังไงดีคะ?

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=1rTzkuMr7LQ

ถอดความ : เอ้


ทุกข์เรื่องหนี้สิน หาทางออกไม่ได้ ทำสมาธิแบบไหนดี


ดังตฤณ : ทุกข์เรื่องหนี้สินมีมากเหลือเกิน แล้วปัจจุบันมีเยอะนะ เสร็จแล้วจะหาทางออกด้วยการทำสมาธิ หรือว่าเจริญสตินะครับ

ถ้าพูดในแง่ของต้นเหตุความทุกข์ในที่นี้ มันไม่ใช่ทุกข์ทางใจ มันเป็นทุกข์ที่เป็นรูปธรรมจริงๆ ที่มาเบียดเบียนในเรื่องของการใช้ชีวิต การมีชีวิตอยู่ ยิ่งคนมีหนี้มากเท่าไหร่ ยิ่งต้องมีความรู้สึกว่าอาการทางใจ มันกระเสือกกระสน คือเลียนแบบอาการทางกายน่ะ อาการทางกายที่ต้องเกร็ง ต้องแข่ง ต้องดิ้น ต้องเอาให้ทันเวลา หรือว่าเอาให้หมดให้ได้อะไรแบบนี้

อาการทางกายแบบนั้นก็มาเป็นภาพทางใจนั่นแหละ ใจ มีอาการเหมือนกับกระเสือกกระสน มีอาการดิ้นรน มีอาการแข่งกับเส้นตาย มีอาการที่อยากจะให้มันหมดๆ ให้มันพ้นๆ ไปเสียที นี่คือรูปแบบความทุกข์ทีเกิดขึ้น ที่เห็นได้ชัดนะ

ทีนี้เราจะทำสมาธิแบบไหน สมาธิไม่ได้ช่วย สมาธินี่เป็นแค่การนอนหลับไปชั่วระยะหนึ่งนะ แต่สิ่งที่เราควรจะทำก็คือ การเจริญสติ คือ มีสติ เห็นนะครับว่า ความทุกข์หน้าตาเป็นอย่างไร เกิดขึ้นที่ลมหายใจไหน 

ถ้าหากว่าลมหายใจนี้เป็นลมหายใจแห่งความรู้สึกดิ้นรนอยู่ข้างในว่า โอย เมื่อไหร่หนี้จะหมด มองไปข้างหน้าเวิ้งว้าง อนาคตนี่ดำมืดไปหมด มองไม่เห็นอะไรนอกจากหนี้สินท่วมหัว แบบนี้เรียกว่าเป็นลมหายใจที่มาพร้อมกับความทุกข์

คุณไม่ต้องไปนิยามก็ได้ว่าเป็นความทุกข์จากหนี้สิน เอาเป็นว่ามันมีความทุกข์ มันมีความมืดมน มันมีความมืดดำ มีความมืดในแบบที่เป็นอกุศล เป็นความมืดในแบบที่ทำให้ใจหดหู่ เป็นความหดหู่ในแบบที่ใจไม่เกิดความรู้สึกกล้าหาญที่จะมีความสุขกับใครเขา คือบางคนนี่ พอใจหดหู่มากๆ ไม่กล้าคิดถึงความสุข ไม่กล้าคิดถึงชีวิตดีๆ ตัวนี้ เป็นอาการของใจ ไม่ใช่ความจริงของชีวิต

ความจริงของชีวิตนี่ เรามีลมหายใจที่เป็นสุขบ้างก็ได้ แล้วก็ที่จะมีลมหายใจอย่างเป็นสุขบ้าง ก็เกิดจากการสังเกตธรรมดาๆ นี่แหละว่า ณ ลมหายใจนี้ เรากำลังเป็นทุกข์เรื่องหนี้สินเหลือเกิน อกมันจะระเบิดให้ได้ มันเหมือนกับคนจะจมน้ำตายอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว

ด้วยลมหายใจนี้ที่เรายอมรับความจริงว่ากำลังเป็นทุกข์อย่างที่สุด จิตใจกำลังดำมืดอย่างที่สุด ให้สังเกตต่อไปว่า ลมหายใจต่อมา ซึ่งเป็นลมหายใจที่ยังใช้หนี้ไม่หมดเหมือนกัน มันหายใจยาวได้ไหม ถ้าหายใจยาวได้ ผมให้ดูอีกครั้งหนึ่งนะ แอนิเมชัน ลองคิดตามไป คือแค่ดูไปนะ แล้วเรารู้สึกว่า เวลาที่จะหายใจเข้า มันหายใจแบบที่ท้องพองออกมาก่อน พอพองเหมือนลูกโป่งที่มีความยืดหยุ่นสูง ไม่มีความเกร็งที่ท้อง ไม่มีความเกร็งที่อก แค่สังเกตได้อย่างนี้ คุณก็รู้แล้วว่า ความทุกข์ อันเกิดจากหนี้สินที่ยังใช้ไม่หมดนี่ จริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องเกาะติดอยู่กับทุกลมหายใจก็ได้

ลมหายใจนี้ถ้าหากว่าหายใจยาวได้ ก็มีความสุข ก็มีความปลอดโปร่ง ก็มีความสบายใจ อิ่มเอม ราวกับว่าไม่มีหนี้สินอยู่เลย ไม่มีอะไรติดค้างอยู่ในใจเลย
นี่ ตัวนี้ ถ้าเราไม่ได้คิดจะเอาสมาธิ แต่เราคิดจะเอาสติ สังเกตความจริงถึงเหตุปัจจัยของความทุกข์ เหตุปัจจัยของความสุข เราจะพบว่าถ้าหายใจสั้น หายใจอย่างไม่รู้ หายใจแบบท้องเครียดๆ เกร็งๆ ความทุกข์ทั้งโลกมันพร้อมจะโจมตีเรา กระหน่ำซ้ำเติมเรา ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีเวลาพัก

แต่ถ้าเมื่อไหร่เราสังเกตว่า ลมหายใจที่มันมีความทุกข์นั้น เป็นลมหายใจสั้นๆ ถ้าหากว่าเราหายใจยาวขึ้น ความทุกข์ที่เกาะกุมจิตใจ แล้วก็ร่างกาย ก็สลายตัวไปชั่วคราว ชั่วขณะที่ลมหายใจยาว ชั่วขณะที่เรามีสติ รู้ว่าด้วยอาการหายใจยาวอย่างถูกต้องแบบนี้เป็นเหตุให้เกิดความสุข เป็นเหตุให้เกิดความสบาย สติแบบนั้นแหละ จะเป็นสติที่อยู่ตัว แล้วก็ทำให้เราเป็นหนี้ โดยใจไม่เป็นทุกข์นะ

เป็นหนี้ในแบบที่ รับผิดชอบด้วยนะ ไม่ใช่บอกว่า มาฝึกหายใจกับคุณดังตฤณแล้วไม่ต้องใช้หนี้ ไม่ใช่แบบนั้นนะ เรายังใช้หนี้อยู่ เรายังพยายามแบบโลกๆ เต็มที่ ว่าใช้หนี้จะกี่ปีก็ตาม เราก็ออกแรงไป เค้นสมองไป ว่าทำอย่างไรให้ไวขึ้นกว่านี้ แต่เราจะเค้นสมองอย่างไรไหว ถ้าใจมันหดหู่เหลือเกิน ห่อเหี่ยวเหลือเกิน

ตรงกันข้าม ถ้าหากว่าเราหายใจเป็น เรามีความสุขกับการหายใจได้ โดยไม่ต้องถึงวันหนี้หมดเสียก่อน ความสุขแบบนั้น ความสุขทางใจก็จะมาปรุงแต่งให้ร่างกายมีความผ่อนคลาย สบายอารมณ์ แล้วสมองก็พร้อมจะแล่น พร้อมจะคิดออกว่าทำอย่างไรให้หนี้หมดเร็วกว่านี้ คิดแบบคนมีกำลังใจ คิดแบบคนมีทุนเป็นความสุข ไม่ใช่คิดแบบคนที่อยู่ในนรกทางใจไปเรื่อยๆ นะ!

______________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ฝึกสติแบบไหนไม่ขี้ลืม?
วันที่ 20 มิถุนายน 2020

คำถามเต็ม : ทุกข์เรื่องหนี้สินมากหาทางออกไม่ได้ การทำสมาธิแบบไหนจะพอช่วยได้ แล้วควรทำยังไงครับ

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=YkBmdtWmRRo

ถอดความ : เอ้


ร้องไห้ข้างศพพ่อที่เพิ่งเสียชีวิต พ่อจะไปอบายภูมิไหม แล้วควรทำบุญอย่างไร

ดังตฤณ : ถามกันเยอะมากเลยนะ ว่าจะส่งคนตายอย่างไรนะครับ เอาแบบรวบรัดก็คือว่า ถ้าคนตายไปแล้วนี่ เอาแน่เอานอนไม่ได้นะ เพราะว่ากรรมที่นำไปเกิดใหม่ของแต่ละคนไม่เหมือนกันนะครับ

ถ้านำไปเกิดในที่ที่ไม่สามารถรับรู้ถึงการอุทิศส่วนบุญ ส่วนกุศลของเราไปได้ ยกตัวอย่างเช่น ไปเกิดเป็น สมมติ ยกตัวอย่างดีที่สุด สมมติท่านเป็นพระอรหันต์ อันนี้ก็อุทิศส่วนกุศลอะไรไป ไม่มีประโยชน์นะ คือได้ประโยชน์เฉพาะเรา แต่ว่าไม่มีตัวท่าน ไม่มีการเกิดใหม่ในภพใหม่มารับบุญรับกุศลอะไรได้อีกแล้ว

หรือถ้าหากว่าไปอยู่ในท้องสัตว์เดรัจฉาน หรือไปอยู่ในภพของสัตว์นรก พวกนี้ก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมีอายตนะในแบบที่มารับรู้การอุทิศส่วนกุศลจิตแบบธรรมดาได้

แต่ที่จะเป็นไปได้ก็พวก เปรต แล้วก็เทวดา เปรตที่มีความจำได้ว่าเป็นญาติกับใคร แล้วก็จะปรากฏตัวที่ไหนถึงจะเจอญาติเก่า แล้วก็รับส่วนบุญส่วนกุศล พวกนี้ก็มีสิทธิ์

กับพวกเทวดา พวกนี้ก็ไม่ได้อยากได้ส่วนบุญส่วนกุศลนะ แต่จะปลื้ม เวลาที่เห็นญาติเก่าๆ ทำบุญอุทิศส่วนกุศลมาให้ตัวเอง จะรู้สึกดี คือไม่ได้ได้บุญเพิ่มหรอก ไม่ได้มีความเปลี่ยนแปลงอะไรทางจิต เพราะจิตดีกว่าอยู่แล้ว เป็นทิพย์อยู่แล้ว แต่จะรู้สึกดี เหมือนกับเราอยู่ใกล้กับใคร แค่หยิบน้ำให้ ไม่ได้ทำให้ชีวิตดีขึ้น แต่รู้สึกดีขึ้น ที่ญาติหรือว่าคนใกล้ตัวให้ความเอาใจใส่ ยังมีความผูกพันทางใจกัน อะไรแบบนี้

สรุปแล้วคือ เรื่องแล้วไปแล้ว แล้วท่านไปแล้วนี่ เอาเป็นว่า เราพยายามที่จะทำบุญอุทิศส่วนกุศลด้วยความรู้สึกดีๆ ให้ท่านตามธรรมเนียมที่ชาวพุทธไทยเราได้ปฏิบัติกับผู้ล่วงลับไปแล้ว เป็นการแสดงออกถึงความผูกพัน ที่ยังคงอยู่นะครับ 

แล้วก็ตัวเราเองก็จะได้รู้สึกว่า ทำหน้าที่ลูก แม้วาระสุดท้ายผ่านไปแล้ว เราก็ยังอยากจะเป็นลูกที่ดีอยู่ ผลบุญ ผลกุศลที่ได้แน่ๆ ก็คือ เราเองนะครับที่มีความผูกพันในเชิงบวก ในเชิงที่เป็นกุศล มหากุศลกับผู้ล่วงลับไปแล้วนะ

ส่วนท่านจะได้หรือไม่ได้ ขึ้นกับว่าท่านไปเกิดที่ไหนนะครับ!
______________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ฝึกสติแบบไหนไม่ขี้ลืม?
วันที่ 20 มิถุนายน 2020

คำถามเต็ม : ถ้าเราไปไม่ทันตอนคุณพ่อเสียชีวิต แต่ไม่ถึง 10นาที แล้วเราร้องเรียกพ่ออยู่ข้างท่าน และจะร้องไห้ มีโอกาสไหมว่าพ่อจะไปอบายภูมิจากการกระทำของเรา? และจะทำบุญอะไรให้ท่านได้รับดีที่สุดคะ

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=_blGEiRMCtY

ถอดความ : เอ้