ดังตฤณ : เอาตัวผมเองเลยก็แล้วกัน อันนี้เล่าให้ฟังก่อน
เราก็ทำงานทั้งทางโลกทางธรรม ทางโลกก็ต้องเลี้ยงตัว แล้วก็ทางธรรมก็ต้องเลี้ยงใจนะครับ
ทำให้จิตใจของเราเนี่ยชุ่มชื่น ทำให้จิตใจของเราเนี่ย อยู่บนเส้นทางของความพ้นทุกข์นะครับ
คือถ้าเรามีชีวิตอยู่แบบนี้นะครับ
เราก็ต้องให้ความสำคัญครึ่งๆ ไม่ใช่ว่าเอียงไปทางใดทางหนึ่งนะเช่นบอกว่า
เราอยู่โลกๆเนี่ยแต่อยากจะปฏิธรรมราวกับเป็นพระเป็นชี อย่างนี้มันก็ไม่ถูกต้องเต็มร้อยเหมือนกันในสภาพอันควรแก่เหมาะสมแก่อัตภาพนะครับ
อย่างผมเองเวลาที่นั่งสมาธิ
ถ้ามันยังไม่สงบจนปราศจากความคิดเนี่ย มันก็มักมีไอเดียอะไรดีๆขึ้นมาอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องของการปฏิบัติภาวนา
ผมก็มักจะมีมือถืออยู่ใกล้ๆ คือก็เบรคออกมาจด อันนี้ก็เล่าให้ฟังตามจริงนะครับ
ไม่ได้จะให้คิดว่าเป็นตัวอย่าง หรือว่าเป็นสิ่งที่น่าทำ หรือไม่น่าทำ
ไม่ได้จะให้คิดอย่างนั้น แต่อันนี้เป็นเหมือนกับสิ่งที่ทำมาเอง
ทำมาแต่มันไม่ใช่บ่อยนะ คือไอเดียที่ผุดขึ้นมาในระหว่างทำสมาธิ
แล้วจิตยังไม่ได้ดิ่ง ยังไม่ได้รวม ยังไม่ได้ไร้ความคิด
บางทีเนี่ยพอมันมีการรวมความคิดขึ้นมา มันดีกว่าตอนที่ไม่ได้อยู่ในสมาธิจริงๆ พอ ณ
ขณะที่จิตมีสมาธิ มันเหมือนฐานของมหากุศล ความคิดหรือไอเดียที่พรั่งพรูออกมา ณ
ขณะนั้นเนี่ย มันมักจะมีความใหญ่ มันมักจะมีความเด่น มีความพิเศษกว่าความคิดปกติตอนที่ลืมตาตื่นอยู่ตอนที่ไม่ได้อยู่ในสมาธินะครับ
แล้วโดยความมุ่งหมายของผมเนี่ย ก็เหมือนกับ .. ก็เนี่ยแหละอย่างที่คุณพูด ก็บางทีกลัวลืม
เพราะถ้าคนทำงานเกี่ยวกับไอเดียจะเข้าใจนะครับ ไอเดียเวลาที่มันผ่านมาเนี่ย
มันไม่ใช่จะอยู่ยั้งค้ำฟ้า บางทีมันเหมือนกับเมฆหมอกที่เป็นสายบางเท่านั้น แต่เรารู้ว่าเนี่ยอันนี้เฉียบขาด
เสร็จแล้วถ้าปล่อยให้มันผ่านไป สลายตัวไปมันก็หายไปเลย
ทีนี้คือที่พูดมาไม่ได้จะสนับสนุน
หรือส่งเสริมให้ทำแบบครึ่งๆกลางๆนะครับ พอมีไอเดียอะไรขึ้นมา จดเลยจนไม่เป็นอันภาวนา
กลายเป็นนิสัยในการภาวนาแบบว่าจับจด จดๆจ้องๆ
อย่างผมเองเนี่ย
ถ้าภาวนาแล้วมันมีความคิดอะไรขึ้นมา ส่วนใหญ่ ๙๙ เปอร์เซ็นต์
จะมองว่านี่คือความคิดที่ผุดขึ้นโดยเราไม่ได้เป็นเจ้าของความคิด
เหมือนกับสายหมอกที่มันผ่านหน้าต่างห้องเข้ามา
แล้วเราเห็นว่าสายหมอกนั้นมันมาจากทิศไหน หน้าต่างบานซ้าย หรือหน้าต่างบานขวา
ดูเฉยๆ ไม่ใช่ไปแกล้งคิดว่า มันมาจากหน้าต่างบานซ้าย แล้วจะไปสมมติให้มันมาจากหน้าต่างบานขวา
เสร็จแล้วพอมันลอยผ่านออกไปทางหน้าต่างอีกบานนึง ก็รับรู้ตามจริงว่า
เออมันผ่านไปแล้ว ไม่ได้แกล้งคิดว่ามันยังอยู่ ในขณะเดียวกัน ถ้ามันยังอยู่ก็ไม่ได้แกล้งคิดว่ามันหายไป
ดูความคิดโดยความเป็นอนัตตา มันมาโดยเราไม่ได้เชิญ มันไปโดยเราไม่ได้ไล่
เนี่ยเห็นอย่างนี้ แล้วก็เห็นอยู่ในท่ามกลางความว่างจากอาการที่อยากทำโน่นทำนี่นะครับ
เห็นแต่ว่ามีลมหายใจดันให้ซี่โครงกระเพื่อมขึ้นมา แล้วซี่โครงก็หุบลงตอนที่ลมหายใจออกไป
แล้วก็มีความว่างจากความรู้สึกว่า กายนี้เป็นเรา ความคิดนี้เป็นเรา ส่วนใหญ่ ๙๙ เปอร์เซ็นต์จะอย่างนี้
ทีนี้เราก็ต้องตั้งเข็มว่า
ในเวลาภาวนาส่วนใหญ่ ๙๙ เปอร์เซ็นต์ ต้องสนใจความเป็นไปทางกายใจ
ส่วนที่ว่าถ้ามีไอเดียที่มัน .. โอ้โหเนี่ยอันนี้ฟ้าประทานเลยนะ ถ้าลืมไปนี่เสร็จเลยนะเสียดายเลย
เสียดายสุดชีวิตเลย อันนั้นค่อยอนุโลมให้ออกมาทำประโยชน์ให้ตัวเอง ส่วนทางโลกมันอาจจะเกี่ยวข้องกับคนอื่น
อาจจะเกี่ยวข้องกับปากท้องของเรา หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับสิ่งที่มันจะเป็นเปลือกห่อหุ้มชีวิตแบบนี้ให้มันดีต่อไปได้
สรุปคือให้ตั้งใจว่าจะดูกายใจเป็นหลัก
ยกเว้นมันมีไอเดียที่ดีจริงๆค่อยออกมาจด แต่ถ้าไอเดียมันมาถี่ขนาดที่สิบนาทีเนี่ย มาสิบครั้ง
หรือมายี่สิบครั้งเนี่ย อันนี้ต้องพิจารณาตัวเองนะครับ
คือต่อไปเนี่ยอาจจะกลั้นไว้เลย กลั้นไว้เลยว่า ทำสมาธิครั้งนี้เป็นสมาธิเพื่อที่จะเหมือนกับให้ไอเดียแบบโลกๆมันพรั่งพรูเข้ามา
เหมือนกับเราเป็นร่างทรงให้ฟ้าประทานผ่านช่องทางสมาธิแบบนี้ แบบโลกๆ
---------------------------------------------
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์ ๒๓
พฤษภาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม ระหว่างเจริญสติ
ถ้ามีไอเดียเรื่องงานผุดขึ้นเอง ควรเจริญสติต่อ
หรือออกจากการเจริญสติดีคะ พอเจริญสติต่อใจก็มีอาการกลัวลืม
พอตัดสินใจออกจากการเจริญสติ ก็รู้สึกเสียดายที่ไม่สามารถ
เจริญสติได้ครบ?
ระยะเวลาคลิป ๘.๐๖ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=gGysOu5znMA&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=7
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น