ดังตฤณ : ทุกข์เรื่องหนี้สินมีมากเหลือเกิน
แล้วปัจจุบันมีเยอะนะ เสร็จแล้วจะหาทางออกด้วยการทำสมาธิ หรือว่าเจริญสตินะครับ
ถ้าพูดในแง่ของต้นเหตุความทุกข์ในที่นี้
มันไม่ใช่ทุกข์ทางใจ มันเป็นทุกข์ที่เป็นรูปธรรมจริงๆ
ที่มาเบียดเบียนในเรื่องของการใช้ชีวิต การมีชีวิตอยู่ ยิ่งคนมีหนี้มากเท่าไหร่
ยิ่งต้องมีความรู้สึกว่าอาการทางใจ มันกระเสือกกระสน คือเลียนแบบอาการทางกายน่ะ
อาการทางกายที่ต้องเกร็ง ต้องแข่ง ต้องดิ้น ต้องเอาให้ทันเวลา
หรือว่าเอาให้หมดให้ได้อะไรแบบนี้
อาการทางกายแบบนั้นก็มาเป็นภาพทางใจนั่นแหละ
ใจ มีอาการเหมือนกับกระเสือกกระสน มีอาการดิ้นรน มีอาการแข่งกับเส้นตาย
มีอาการที่อยากจะให้มันหมดๆ ให้มันพ้นๆ ไปเสียที นี่คือรูปแบบความทุกข์ทีเกิดขึ้น
ที่เห็นได้ชัดนะ
ทีนี้เราจะทำสมาธิแบบไหน
สมาธิไม่ได้ช่วย สมาธินี่เป็นแค่การนอนหลับไปชั่วระยะหนึ่งนะ แต่สิ่งที่เราควรจะทำก็คือ
การเจริญสติ คือ มีสติ เห็นนะครับว่า ความทุกข์หน้าตาเป็นอย่างไร
เกิดขึ้นที่ลมหายใจไหน
ถ้าหากว่าลมหายใจนี้เป็นลมหายใจแห่งความรู้สึกดิ้นรนอยู่ข้างในว่า โอย เมื่อไหร่หนี้จะหมด มองไปข้างหน้าเวิ้งว้าง อนาคตนี่ดำมืดไปหมด มองไม่เห็นอะไรนอกจากหนี้สินท่วมหัว แบบนี้เรียกว่าเป็นลมหายใจที่มาพร้อมกับความทุกข์
ถ้าหากว่าลมหายใจนี้เป็นลมหายใจแห่งความรู้สึกดิ้นรนอยู่ข้างในว่า โอย เมื่อไหร่หนี้จะหมด มองไปข้างหน้าเวิ้งว้าง อนาคตนี่ดำมืดไปหมด มองไม่เห็นอะไรนอกจากหนี้สินท่วมหัว แบบนี้เรียกว่าเป็นลมหายใจที่มาพร้อมกับความทุกข์
คุณไม่ต้องไปนิยามก็ได้ว่าเป็นความทุกข์จากหนี้สิน
เอาเป็นว่ามันมีความทุกข์ มันมีความมืดมน มันมีความมืดดำ
มีความมืดในแบบที่เป็นอกุศล เป็นความมืดในแบบที่ทำให้ใจหดหู่
เป็นความหดหู่ในแบบที่ใจไม่เกิดความรู้สึกกล้าหาญที่จะมีความสุขกับใครเขา คือบางคนนี่
พอใจหดหู่มากๆ ไม่กล้าคิดถึงความสุข ไม่กล้าคิดถึงชีวิตดีๆ ตัวนี้ เป็นอาการของใจ
ไม่ใช่ความจริงของชีวิต
ความจริงของชีวิตนี่
เรามีลมหายใจที่เป็นสุขบ้างก็ได้ แล้วก็ที่จะมีลมหายใจอย่างเป็นสุขบ้าง
ก็เกิดจากการสังเกตธรรมดาๆ นี่แหละว่า ณ ลมหายใจนี้
เรากำลังเป็นทุกข์เรื่องหนี้สินเหลือเกิน อกมันจะระเบิดให้ได้
มันเหมือนกับคนจะจมน้ำตายอยู่เดี๋ยวนี้แล้ว
ด้วยลมหายใจนี้ที่เรายอมรับความจริงว่ากำลังเป็นทุกข์อย่างที่สุด
จิตใจกำลังดำมืดอย่างที่สุด ให้สังเกตต่อไปว่า ลมหายใจต่อมา
ซึ่งเป็นลมหายใจที่ยังใช้หนี้ไม่หมดเหมือนกัน มันหายใจยาวได้ไหม ถ้าหายใจยาวได้
ผมให้ดูอีกครั้งหนึ่งนะ แอนิเมชัน ลองคิดตามไป คือแค่ดูไปนะ แล้วเรารู้สึกว่า
เวลาที่จะหายใจเข้า มันหายใจแบบที่ท้องพองออกมาก่อน
พอพองเหมือนลูกโป่งที่มีความยืดหยุ่นสูง ไม่มีความเกร็งที่ท้อง
ไม่มีความเกร็งที่อก แค่สังเกตได้อย่างนี้ คุณก็รู้แล้วว่า ความทุกข์ อันเกิดจากหนี้สินที่ยังใช้ไม่หมดนี่
จริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องเกาะติดอยู่กับทุกลมหายใจก็ได้
ลมหายใจนี้ถ้าหากว่าหายใจยาวได้
ก็มีความสุข ก็มีความปลอดโปร่ง ก็มีความสบายใจ อิ่มเอม ราวกับว่าไม่มีหนี้สินอยู่เลย
ไม่มีอะไรติดค้างอยู่ในใจเลย
นี่
ตัวนี้ ถ้าเราไม่ได้คิดจะเอาสมาธิ แต่เราคิดจะเอาสติ
สังเกตความจริงถึงเหตุปัจจัยของความทุกข์ เหตุปัจจัยของความสุข
เราจะพบว่าถ้าหายใจสั้น หายใจอย่างไม่รู้ หายใจแบบท้องเครียดๆ เกร็งๆ
ความทุกข์ทั้งโลกมันพร้อมจะโจมตีเรา กระหน่ำซ้ำเติมเรา ไม่มีที่สิ้นสุด
ไม่มีเวลาพัก
แต่ถ้าเมื่อไหร่เราสังเกตว่า
ลมหายใจที่มันมีความทุกข์นั้น เป็นลมหายใจสั้นๆ ถ้าหากว่าเราหายใจยาวขึ้น
ความทุกข์ที่เกาะกุมจิตใจ แล้วก็ร่างกาย ก็สลายตัวไปชั่วคราว ชั่วขณะที่ลมหายใจยาว
ชั่วขณะที่เรามีสติ
รู้ว่าด้วยอาการหายใจยาวอย่างถูกต้องแบบนี้เป็นเหตุให้เกิดความสุข
เป็นเหตุให้เกิดความสบาย สติแบบนั้นแหละ จะเป็นสติที่อยู่ตัว
แล้วก็ทำให้เราเป็นหนี้ โดยใจไม่เป็นทุกข์นะ
เป็นหนี้ในแบบที่
รับผิดชอบด้วยนะ ไม่ใช่บอกว่า มาฝึกหายใจกับคุณดังตฤณแล้วไม่ต้องใช้หนี้
ไม่ใช่แบบนั้นนะ เรายังใช้หนี้อยู่ เรายังพยายามแบบโลกๆ เต็มที่
ว่าใช้หนี้จะกี่ปีก็ตาม เราก็ออกแรงไป เค้นสมองไป ว่าทำอย่างไรให้ไวขึ้นกว่านี้
แต่เราจะเค้นสมองอย่างไรไหว ถ้าใจมันหดหู่เหลือเกิน ห่อเหี่ยวเหลือเกิน
ตรงกันข้าม
ถ้าหากว่าเราหายใจเป็น เรามีความสุขกับการหายใจได้
โดยไม่ต้องถึงวันหนี้หมดเสียก่อน ความสุขแบบนั้น ความสุขทางใจก็จะมาปรุงแต่งให้ร่างกายมีความผ่อนคลาย
สบายอารมณ์ แล้วสมองก็พร้อมจะแล่น พร้อมจะคิดออกว่าทำอย่างไรให้หนี้หมดเร็วกว่านี้
คิดแบบคนมีกำลังใจ คิดแบบคนมีทุนเป็นความสุข
ไม่ใช่คิดแบบคนที่อยู่ในนรกทางใจไปเรื่อยๆ นะ!
______________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน ฝึกสติแบบไหนไม่ขี้ลืม?
วันที่
20 มิถุนายน 2020
คำถามเต็ม : ทุกข์เรื่องหนี้สินมากหาทางออกไม่ได้
การทำสมาธิแบบไหนจะพอช่วยได้ แล้วควรทำยังไงครับ
ถอดความ
: เอ้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น