วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2563

(เกริ่นนำ) เจริญสติขณะมีปากเสียงได้ไหม?


ดังตฤณ :  สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนวันเสาร์สามทุ่ม

สำหรับคืนนี้ เจริญสติขณะมีปากเสียงได้มั้ย จริงๆแล้วตัวคำถามนะครับ มาจากหลายๆคน บอกว่าเจริญสติแล้วรู้สึกไม่ดีเลย แย่จังที่ยังต้องมีปากเสียงกับคนใกล้ตัวอยู่ หรือว่าอดไม่ได้ที่จะของขึ้น แล้วก็เหมือนกับอยากจะได้อุบายวิธีว่า ทำยังไงมันจะมีความรู้ตัว มีกำลังของสติมากพอที่จะไม่ระเบิดอารมณ์ มีปากมีเสียงอย่างที่เคยชินนิสัยมานะครับ

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าเราจุดชนวนติดกับใครไม่ว่าจะที่ทำงาน หรือว่าที่บ้านมันจะเหมือนกับปฏิกิริยาลูกโซ่ ที่มีพัฒนาการไปเรื่อยนะครับ มีความต่อเนื่อง แล้วก็ตัดสายให้ขาดได้ยาก

อันนี้ก็เลยกลายเป็นเหมือนกับหัวข้อ หรือโจทย์สำหรับหลายๆคน ที่ทำยังไงใช้อุบายแบบไหน หรือว่า จะมีคำบริกรรมกำกับยังไงไว้ในใจ ที่จะช่วยให้เราไม่ต้องไปมีปากมีเสียง จนรู้สึกย่ำแย่กับตัวเองอีกนะครับ

ก่อนอื่นที่จะพูดถึงในค่ำคืนนี้นะครับ ก็ต้องบอกว่า มันเหมาะกับคนที่มีปากเสียงบ่อยๆนะ ถ้านานๆทีมีปากเสียง อาจจะฟังแนวทางวิธีสำหรับคืนนี้ในหัวข้อเริ่มต้นนี้เนี่ย แล้วเอาไปปฏิบัติจริงไม่ได้นะครับ

แต่ถ้าใครที่รู้ตัวกลืนไม่เข้าคลายไม่ออกกับอุปนิสัย หรือว่าความเคยชินทางจิต ความเคยชินทางปาก ที่มันไปก่อนใจ สติยังไม่ทันมาเลยปากไปแล้ว แล้วก็พอเปรี้ยงป้างออกไป มันก็เหมือนกับง้างนกแล้วต้องยิง ต้องยิงต่อให้จบ ก็เลยกลายเป็นว่าหลุดออกไปแค่คำเดียวเนี่ย มันไม่ต้องพูดแล้วเรื่องสติ

ทีนี้ในแง่ของการเจริญสติ อย่างที่ผมเคยบอกบ่อยๆนะครับ คือถ้าเราอยากจะวัดความคืบหน้า หรือว่าอยากจะเห็นว่าเรามีสติ มีกระบวนการความคืบหน้าของการเจริญสติจริงๆรึเปล่าเนี่ย อย่าดูตรงเรื่องการนั่งสมาธิ หรือว่าเดินจงกรมอย่างเดียว ให้ดูตรงที่ว่า สภาวะไหนเกิดบ่อยสำหรับเรา เราเอาสภาวะนั้นๆเนี่ย มาใช้รึเปล่าให้เป็นประโยชน์นะครับ

ถ้าสภาวะไหนเกิดขึ้นบ่อยๆ แล้วเราไม่เอามาเจริญสติ ไม่เอามาฝึกสติ เท่ากับสูญเปล่าเลย โอกาสที่คนๆนึงจะได้ปฏิบัติธรรมเจริญสติ แล้วก็รู้จริงๆว่า ตัวเองคืบหน้ารึเปล่าเนี่ย มันมักจะเสียเวลาไปกับการทำตามคนอื่น เช่นคนอื่นบอกว่า เอ้าบริกรรมไป ก็บริกรรมอย่างเดียว แล้วก็เอาความคืบหน้าคืบหลังจากผลของการบริกรรม ถ้าบริกรรมได้ยาวๆ ก็ถือว่าก้าวหน้าคืบหน้า ถ้าบริกรรมได้สั้นหน่อย ก็ถือว่าคืบหลังถอยหลัง

ซึ่งอันนี้เนี่ย มันเป็นแค่ความคืบหน้าคืบหลังของงานสมถะ แต่งานที่เห็นความจริง คือสภาวะในตัวเองที่กำลังแสดงความไม่เที่ยงอยู่เนี่ยไม่ได้เห็นเลย

ทีนี้ถ้าอย่างเวลาเรามีโทสะ แล้วเรามีความเคยชินที่จะเป็นปากเป็นเสียง เป็นฟืนเป็นไฟกับใครขึ้นมาเนี่ย อันนี้นะถ้าเป็นอุปนิสัย เขาเรียกว่าเป็นจริตทางโทสะของเราโกรธง่ายหายช้า หรือว่าโกรธเปรี้ยงป้าง แล้วต้องมีการอาละวาดฟาดงวงฟาดงาทางปากทางเสียง อย่างนี่เนี่ยตรงนี้ต่างหาก

ถ้าเราจับจุดได้ว่า เรามีนิสัยอย่างนี้ เรามีโทสะอย่างนี้แล้วเอามาเจริญสติเนี่ย มันได้เห็นเลยนะว่า ภายในไม่กี่วันถ้าเราตั้งใจจริงๆ เอามาเป็นพ้อยท์ เอามาเป็นจุด เอามาเป็นเครื่องมือในการฝึกสติจริงๆเนี่ย มันเห็นความคืบหน้าคืบหลังได้ชัดเจนเลย

เอาง่ายๆนะ ถามตัวเองขณะที่คือกำลังจะมีปากมีเสียง หรือว่าขณะกำลังมีปากมีเสียงเลยเนี่ย ทบทวนดูนะครับ ย้อนหลังมาก็ได้ ที่ครั้งล่าสุดทบทวนดูว่า คุณรู้อะไรบ้าง ตอนที่หน้ามืดสุดขีดเนี่ย มันไม่มีทางที่จะมีสติเข้าไปแทรกได้ ตอนที่หน้ามืดสุดๆเลย ตอนที่มีโทสะครอบงำจิตจริงๆนะ สติไม่มีช่องไม่มีพื้นที่ยืน แล้วก็ไม่มีโอกาสที่จะแสดงตัวออกมา

แต่ถ้าหากว่า คุณกำลังมีปากมีเสียงอยู่ แล้วรู้สึกว่าเราสามารถรู้อะไรขึ้นมาได้บ้าง ณ ขณะนั้นเนี่ย ลองทบทวนดูนะครั้งล่าสุดเนี่ย คุณจะเห็นเลยว่า สติของคุณมีสิทธิ์เจริญขึ้นในขณะเกิดปากเสียงกับใครได้มั้ย

อันนี้ผมจะให้เช็คลิสต์เป็นข้อๆ เนี่ยเดี๋ยวจดไว้เลยก็ได้นะ แล้วอันนี้เนี่ยคงไม่ใช่ว่า คุณไปนั่งเช็คลิสต์ นั่งตรวจเช็คลิสต์ขณะที่กำลังมีปากมีเสียงกับใคร

แต่มันอาจจะต้องใช้การทบทวนดูว่า คุณผ่านเป็นข้อๆเหล่านี้รึเปล่านะ เนี่ยดูเป็นข้อๆนะครับ (ขึ้นหัวข้อเช็คลิสต์)

******************************************************
                    ๑ คำที่รุนแรงที่สุดในหัว หลุดออกไปทั้งรู้ว่าไม่ดีหรือเปล่า?
                    ๒ รู้สึกถึงโทสะแบบเบลอๆ ครึ่งๆกลางๆ หรือว่ารู้ชัด?
                    ๓ รู้หรือไม่ว่าความขัดเคืองปั่นป่วนจิต ทุเลาลงตอนไหน?
                    ๔ รู้สึกไหมว่าจิตนี้ กับจิตก่อนตอนมีปากเสียง เป็นคนละจิต?
******************************************************

เริ่มต้นขึ้นมา ถ้าเราจะหวังมีสติ เราต้องตรวจดูก่อนเลย อันดับแรกที่สุด การพูดการจาของเรา ถ้าหากว่ามันมีการกลั่นกรองนะครับ อันนี้ถือว่ามีสติแบบโลกๆ

แต่ถ้าคำที่รุนแรงที่สุดในหัว มันเด้งออกไปเหมือนติดสปริง เหมือนโดดออกจากสปริงบอร์ดออกจากปากเราไปทุกที อย่างนี้ถือว่าไม่มีสติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำที่มันร้ายๆ รู้ทั้งรู้นะว่าจะเหมือนกับจิกเป็นแผลในใจเขาตลอดไปเนี่ย โดยที่เราถอนคืนไม่ได้ เราไปเอาอะไรสมานไม่ได้ถ้าหลุดคำพวกนี้ออกไป ทั้งๆที่จริงๆใจเนี่ย ไม่ได้อยากจะหลุดให้มันหลุดออกไป อันนี้เรียกว่าขาดสตินะครับ

แต่ถ้าหากว่า คำอยู่ในหัวแล้ว คือมันธรรมดานิสัย ธรรมดาของจิตใจมนุษย์นะ เวลาที่มันโกรธมากๆเนี่ย มันมักจะมีคำรุนแรงอยู่ในหัว แต่ถ้าหากว่า เราสามารถยับยั้งไม่ให้มันหลุดออกจากปากเราได้ นี่เรียกว่ามีสติขั้นต้นแล้วนะครับ

ประเภทที่บอก อยากเจริญสติแล้วคำร้ายๆมันยังหลุดออกไปได้แบบพรั่งพรู ไม่มีจำกัด ไม่มีการยับยั้งเนี่ยนะ อันนี้เรียกว่าไม่มีสติ ไม่ต้องไปพูดเรื่องการเจริญสติขั้นอื่นๆ หรือว่าจะเอาความคืบหน้าจากการมีปากมีเสียงกันเลยนะครับ ไม่ต้องไปคาดหวัง

ข้อ ๒ คือเวลาที่คุณมีปากมีเสียงกับคน ความรู้สึกร้อน ความรู้สึกระอุ ความรู้สึกเหมือนกับเรากำลังเป็นยักษ์เป็นมารอะไรแบบนี้เนี่ย คุณรู้ตัวขึ้นมาชัดๆว่า เรามีลักษณะมีภาวะอย่างนั้นอยู่ หรือว่าไม่รู้ตัว

หรือรู้ตัวแบบเบลอๆ ครึ่งๆ กลางๆ อันนี้ข้อนี้ก็จะเป็นสิ่งที่ว่า คุณไม่จำเป็นต้องไปพยายามทำให้ได้ดิบได้ดีทันทีนะครับ แต่ให้สำรวจตัวเองแบบยอมรับตามจริงก่อนว่า คุณอยู่ในภาวะที่เบลอๆหรือว่าสามารถรู้ได้ชัด

ถ้ารู้ได้ชัดแปลว่า สติของคุณไม่ได้ขาดไป ไม่ได้ถูกโทสะครอบงำเต็มที่ แต่ถ้ารู้เบลอๆ หรือว่ารู้ขึ้นมาแค่รางๆเนี่ย อันนี้เรียกว่าโดนโทสะครอบงำเข้าไปเกือบมิด หรือว่ามิดหัวเลยก็ได้นะครับ ตรงนี้เป็นส่วนสำคัญนะครับ คือการที่เราสามารถยอมรับตามจริงได้ว่า ตอนมีปากเสียงกับผู้คนเนี่ย เราทุ่มไปสุดตัวโทสะ หรือว่ายังมีอาการที่รับรู้ได้ว่า เรากำลังเกิดโทสะแก่กล้า เรากำลังจะระเบิดอารมณ์ เรากำลังจะพรั่งพรูถ้อยคำที่มันร้ายๆออกไป อันนี้เนี่ยมันบอกได้เลย บอกตัวเองนะว่า คุณมีสติมากพอ มีเชื้อของสติเพียงพอที่จะไปรู้ตัวโทสะ จนถึงขั้นที่เรียกว่าเป็นการเจริญสติได้หรือไม่

ถ้าหากว่ารู้แค่เบลอๆนะครับ นี่สติยังอ่อน แต่ว่าถ้าเริ่มรู้ชัด อันนี้มีสิทธิ์ที่จะเจริญสติได้ในขณะกำลังมีปากเสียงแล้ว

ทีนี้ขอสำคัญอันนี้ที่บอกว่า เจริญสติเนี่ยนะ คนส่วนใหญ่นะแค่รู้เฉยๆว่าตัวเองกำลังมีโทสะ ตัวเองกำลังหน้ามืด ตัวเองกำลังเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ไม่รู้เลยว่าไอ้ความขัดเคือง ไอ้ความปั่นป่วนในจิตในใจเนี่ย มันเหมือนกับทุเลาลงตอนไหน มันเบาบางลงที่จังหวะไหนของการทะเลาะเบาะแว้ง หรือว่าลมหายใจที่เท่าไหร่ที่มันเย็นลง

ลมหายใจตอนโกรธเนี่ย ถ้าสังเกตมันจะร้อนๆ มันจะมีความระอุอยู่ ทีนี้ถ้าโทสะมันเบาบางลงแล้ว ก็จะรู้สึกเหมือนกับเย็นๆลง คือตัวที่เย็นมันคือจิตนั่นแหละ แต่ว่าที่รู้สึกว่าลมหายใจเย็น มันประณีตขึ้นก็คือ มันหายใจได้ยาวขึ้น แล้วมันมีความประณีต นำมาซึ่งความรู้สึกว่า เยือกเย็นลง นะ อันนี้เลยถึงบอกว่า ถ้าหากคุณสามารถทราบได้ มีสติถึงขั้นทราบได้ว่า โทสะมันเบาบางลงไปเมื่อไหร่ มันเริ่มที่จะไม่ระอุที่ตรงไหนนะครับ เนี่ยตัวนี้สติมันเริ่มเข้าขั้นที่เกือบๆจะ .. เรียกว่ามีสติในทางรู้เห็นความไม่เที่ยงได้

การที่เราบอกว่า เรามีสติ จงมีสติขณะที่มีโทสะ จงมีสติในขณะที่มีปากเสียง เสร็จแล้วไม่รู้ว่ารู้อะไรเลย นอกจากโทสะอย่างเดียว บอกตัวเองอย่างเดียวว่า ฉันกำลังมีโทสะ แบบนี้ไม่มีประโยชน์เท่าไหร่นะครับ คือมันก็ไม่ต่างจากคนที่ห้ามอกห้ามใจระงับอารมณ์ในทางโลกๆนั่นแหละ

คนในโลกทั้งหลายเนี่ย เขาก็พยายามที่จะหักห้ามไม่ให้ความโกรธมาทำลายชีวิตของเขา แต่ถ้าพ้อยท์ของนักภาวนามันอยู่ที่ตรงนี้นะ คุณเริ่มเห็นรึเปล่าว่าโทสะหรือว่าความโกรธความปั่นป่วนทางจิตเนี่ยนะครับ มันเริ่มทุเลาเบาบางลงตอนไหน

ถ้าสำรวจเช็ดลิสต์ดูนะครับ แล้วพบว่าทุกครั้งที่มีปากเสียง เราสามารถเห็นได้ว่าโทสะมันเบาบางลงเมื่อไหร่ เนี่ยแหละตัวนี้แหละมันเริ่มชี้แล้วว่า การมีสติของคุณในขณะเกิดปากเสียงกับใครเนี่ย มันนำไปสู่การปฏิบัติธรรมแล้ว

ทีนี้ตัวที่มันจะแปลงสภาพของอกุศลธรรมคือโทสะ ให้กลายเป็นปัญญาได้จริงๆ เป็นพุทธิปัญญาในแบบที่จะเข้าทางมรรคเข้าทางผลกันเนี่ย ดูตรงนี้ข้อสุดท้ายนะ เช็คลิสต์ข้อสุดท้ายก็คือว่า มีความรู้มั้ยว่า จิตนี้กับจิตตอนมีปากเสียงเนี่ย มันเป็นคนละดวงกัน มันเป็นคนละจิตกัน อันนี้สำคัญมาก คือไม่ใช่เราจงใจนะว่า ไปจำแนกแยกแยะเอาว่า ตอนนี้หายโกรธแล้ว เป็นจิตคนละดวงแล้ว ไม่ใช่นะครับ แต่ต้องรู้สึกเข้าไป ณ ขณะนั้นจริงๆว่า ไอ้จิตที่มันเบาบางลง ไม่มีความคุกรุ่น ไม่มีความร้อน ไม่มีอาการเปรี้ยงป้าง ไม่มีเสียงด่าในหัวที่พร้อมจะพรั่งพรูออกไปทางปาก มีแต่ความสงบเย็นลง มีแค่ความรู้สึกว่า สามารถกลับมารวมดวงเป็นแก้วใสใหม่ได้ มันแตกต่างจากเมื่อกี้ ที่มันมีความคุกรุ่นเปรี้ยงป้าง มันมีอาการเหมือนกับควันร้อนระอุเดือดพล่านไปทั่วตัว เลือดทุกหยดในร่างกายแทบจะเดือดพล่านเป็นน้ำต้มเลย เนี่ยแล้วเราสามารถสังเกตความต่างระหว่างจิตที่โทสะมันหายไปแล้ว กับจิตที่มันเมื่อกี้มีความเร่าร้อนอยู่ รุ่มร้อนอยู่เนี่ย ตัวนี้จะไปได้รับคำยืนยันจากพระพุทธเจ้านะว่า เข้าสู่ภาวะของวิปัสสนาแล้ว นั่นก็คือในหมวดจิตตานุปัสสนาของมหาสติปัฏฐานสูตร

พุทธเจ้าท่านตรัสว่า โทสะมีอยู่ในจิตก็รู้ โทสะหายไปจากจิตก็รู้ นี่ตัวนี้เหมือนกัน ถ้าเราสามารถเห็นได้เป็นจิตนะว่า จิตนี้มันหมดแล้วจากโทสะ มันมีลักษณะยังไง มันมีลักษณะสงบลง เย็นลง เป็นคนละดวงกับจิตที่มีความพุ่งพล่านร้อนรนเป็นภูเขาไฟระเบิด

จิต อันนี้สำคัญนะครับ จิตที่มีสติ จิตที่มีความว่างจากโทสะนั้นแหละเป็นผู้เห็นความไม่เที่ยง เป็นผู้รู้ว่าตัวเอง คือตัวจิตเนี่ยนะครับมันเป็นคนละดวงกัน ไม่ใช่บุคคลที่กำลังทะเลาะเบาะแว้งอยู่ แล้วก็ไม่ใช่บุคคลที่กำลังมีจิตที่กำลังปราศจากโทสะอยู่ แต่เป็นตัวของจิตเอง เป็นธรรมชาติของจิตล้วนๆเลยนะครับ ที่เมื่อครู่นี้มันมีสภาพพุ่งพล่านร้อนระอุ กับตอนนี้เป็นจิตดวงที่สงบนิ่ง โปร่งเบาสบายจากอาการร้อน จากอาการเจ็บอกเจ็บใจเหลือเกิน นี่ตัวนี้แหละ ที่มันจะใช้ตัดเชือกเลยนะครับว่า คุณมีสติที่เจริญแล้ว มีพุทธิปัญญาอันเกิดจากการก้าวข้ามโทสะ เป็นการก้าวข้ามโทสะแบบไม่ใช่ไปบีบบังคับให้โทสะจงปลิดทิ้งออกจากจิตใจของเรา

แต่เป็นการเห็นตามจริงว่า ตอนที่โทสะมันค่อยๆทุเลาเบาบางลงเอง อันเกิดจากการที่เราไม่ไปเร่งมัน เกิดจากการที่เราไม่ไปบีบบังคับ ไม่ไปต้านทาน ไม่ไปขับไสให้เกิดโทสะแรงขึ้นไปอีก แต่เกิดจากการที่เราสังเกตเห็นว่า เออตอนที่เราไม่ได้คิดที่จะพูดด่าอย่างที่อยู่ในหัว ไม่ใช้คำรุนแรง แล้วก็มีความสามารถที่จะเห็นได้ว่า เออเมื่อเราเลือกคำดีๆ เมื่อเราพูดในแบบที่มันไม่ใช้สายฟ้าฟาด ไม่เอาขวานในปากไปจามศรีษะเขาเนี่ย มันเกิดความรู้สึกขึ้นมาได้ว่า ไอ้ที่ร้อนๆ ไอ้ที่พุ่งพล่านอยู่มันสงบได้เอง โดยไม่ต้องไปพยายามเกร็งกำลังภายใน

ไม่ใช่ไปพยายามใช้อำนาจจิตที่จะขับไสโทสะ แต่มีเหตปัจจัยที่ถูกต้องในการทำให้โทสะเนี่ย มันทุเลาเบาบางลงตามธรรมชาติโดยไม่มีอาการเก็บกด ไม่มีอาการฝืน

แล้วสังเกตจิตของตัวเอง ณ ขณะที่มันมีความสงบลงแล้ว ต่างกันกับจิตที่มันมีความพุ่งพล่านยังไง นี่ตัวนี้นะครับ ที่มาถึงจุดของพุทธิปัญญา เริ่มต้นจากการมีปากเสียงบ่อยๆ แล้วค่อยๆสังเกตตามเช็คลิสต์นี้ไปเรื่อยๆ ผมรับประกันว่า สามวันเจ็ดวันเห็นผลเลยนะครับ

คือมันจะมีความรู้สึกเหมือนกับว่า ที่ผ่านมาเนี่ย งานหรือธุระของการภาวนา มันกองอยู่ตรงหน้านี่แหละ มันอยูข้างในนี่แหละ แต่เราไม่ค่อยสนใจ หรือว่าจับจุดไม่ถูกว่าจะดูมันยังไง ส่วนใหญ่ที่บอกว่าเจริญสติในขณะมีโทสะเนี่ย ส่วนใหญ่จะบอกว่า เนี่ยรู้ล่ะแต่ไม่เห็นโทสะมันหายไปสักที บอกว่ามีสติแล้ว สักแต่รู้แล้ว ตามรู้ ตามดูแล้ว มันก็ยังเปรี้ยงป้างอยู่อย่างนั้น มันก็ยังจิกอกจิกใจอยู่อย่างนั้น

อันนี้เป็นเพราะว่า เราตั้งสติแบบพื้นๆ แบบเบๆ (เบสิค) ตั้งสติบอกตัวเองว่า นี่กำลังโกรธอยู่นะ เสร็จแล้วเนี่ย มันไม่มีมุมมองที่จะเป็นข้อสังเกตว่า ตรงไหนล่ะที่เราได้ปฏิบัติธรรมแล้ว ตรงไหนล่ะที่เราได้ใช้โทสะเนี่ย เป็นเครื่องฝึกสติแล้วจริงๆนะครับ

เช็คลิสต์ที่ผมให้ดูสี่ข้อนะครับ ก็ลองเอาไปทบทวนดูนะครับว่า ตอนที่เรามีปากเสียงกับใคร เรามีสี่ประการนี้รึเปล่านะครับ

-----------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๒๓ พฤษภาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
ตอน                             (เกริ่นนำ) เจริญสติขณะมีปากเสียงได้ไหม?
ระยะเวลาคลิป           ๒๑.๐๘ นาที
รับชมทางยูทูบ             https://www.youtube.com/watch?v=wpj60d6r_bU&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=17

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น