ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน
พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนวันเสาร์สามทุ่ม
สำหรับคืนนี้
หัวข้อที่หลายคนไม่สบายใจนะ เพราะว่า ลิ้นกับฟัน ก็เป็นธรรมดานะครับ
บางทีกระทบกระทั่ง แล้วก็หลายๆ คน เผลอ คือเล่นหนัก เพราะว่าทนมานาน
หรือว่าเก็บกดอัดอั้นหลายปี อะไรก็แล้วแต่ บางทีก็สวนกลับแรงๆ หรือว่าคิดแบบว่า
แย่มากๆ รกมากๆ หรือว่าเปรี้ยงปร้าง ด่าแบบสาดเสียเทเสีย หรือว่า นึกว่ากำลังด่าศัตรูอยู่ที่ทำงาน
หรือว่าที่เกลียดชังอะไรกันแบบนั้น ลืมว่าเป็นพ่อแม่ ก็เลยเป็นที่มานะ
ส่วนใหญ่ก็เอาคำถามมาจากที่ค้างๆ ไว้
บางทีอาจตอบไม่ทันในครั้งก่อนๆ นะครับ หรือไม่ก็หลายคนถามมาในช่วงเดียวกัน
สำหรับคืนนี้ก็ ... จริงๆ
เราคุยกันมาหลายครั้ง แต่ว่าท่านใหม่ๆ ที่เข้ามาก็ยังมีปัญหาแบบเดิมๆ นั่นแหละ
ปัญหาของมนุษย์น่ะมีไม่กี่ข้อหรอก เหมือนๆ กันนั่นแหละ
ตั้งแต่ในอดีตมาจนถึงปัจจุบัน และจะเป็นต่อไปในอนาคตนะ
ก่อนอื่น เพื่อที่จะได้เข้าใจว่า ตัวคำถามที่บอกว่า
มันบาปหนักแค่ไหน หรือว่าจะต้องได้รับผลอย่างไร เพราะคนนี่นะ คือ
นรกในใจนี่มันเหมือนกับบีบหัวใจ บีบหน้าอกเราอยู่ ให้อึดอัด
ให้เกิดความรู้สึกทรมานใจ ให้เกิดความรู้สึกหวั่นใจ ว่านี่ถ้าเราเป็นอะไรไปตอนนี้
จะเกิดอะไรขึ้น จะตายดี ตายร้าย หรือว่าจะไปเกิดใหม่เป็นแบบไหนนะ
เพราะว่าหลายคนไม่เคยด่าพ่อด่าแม่มาก่อน
แต่ว่ามันหลุดออกไป เพราะว่าอารมณ์ชั่ววูบ หรือด้วยความคับแค้น ด้วยความอัดอั้น
ด้วยความเก็บกดจนทนไม่ไหวนี่นะ บางที วันดีคืนดีก็พลาดได้
แล้วคนที่เริ่มพลาดใหม่ๆ นี่นะ
ตอนยังไม่คุ้น จะรู้สึกเหมือนกับว่า ภาพในใจของตัวเองนี่เปลี่ยนไปนะ
จากสภาพหน้าตาดีๆ หล่อๆ สวยๆ หรือว่าหน้าตาธรรมดาแบบมนุษย์มนา
กลายเป็นอะไรอีกแบบหนึ่งคล้ายๆ ปิศาจ หรือว่าตัวอะไรที่ทรมานอยู่ แล้วก็รู้เอง
เห็นเองอยู่ข้างใน
ทีนี้เรามาทำความเข้าใจกันตั้งแต่จุดเริ่มต้นเลย
แรกสุดเลยนะว่าทำไมตรงนี้นี่ ถึงให้ความรู้สึกที่แย่นักแย่หนา
อันดับแรกเลยเราเห็นด้วยตาเปล่าว่า พ่อแม่นี่เป็นรากของชีวิต
เราทำอย่างไรกับรากของชีวิต ชีวิตก็เป็นแบบนั้น หมั่นรดน้ำพรวนดิน ให้ปุ๋ย
ชีวิตก็เจริญงอกงาม ออกมาจากความรู้สึกข้างในก่อน
ยังไม่ต้องไปเอาฐานะความมั่นคงอะไรข้างนอก
คืออย่างบางคนนี่ก็ชอบถามนะบอกว่า
นี่ก็พยายามเลี้ยงดูพ่อแม่ดีที่สุดแล้วนะ แต่ทำไมเงินฝืดเหลือเกิน
แล้วก็มีเรื่องมีราว หนักอกหนักหัวใจ แต่ขอให้มองเข้ามาในใจก่อนว่า ถ้าเราบำรุงเลี้ยงดูพ่อแม่อย่างดี
ทำให้พวกท่านมีความสุข อย่างน้อยที่สุดเราเกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นมา เพราะอะไร ถามตัวเองลงไปในส่วนลึกของหัวใจเลยก็คือ
เราได้บำรุงรากของชีวิต ไม่ทำให้มันเสียหาย
ไม่ทำให้เกิดปมอะไรที่เป็นเชื้อโรคเชื้อราขึ้นมา ก็เลยสบายใจว่าเราได้ทำสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
ทีนี้ถ้าตรงกันข้าม เราประทุษร้าย คือคำว่าประทุษร้ายพ่อแม่นี่
ก็เหมือนกับ ขุดรากของชีวิตตัวเอง หรือทำลายรากของตัวเองออกมาจากจิต จิตที่เป็นโคตรเหง้าความรู้สึกของจิตที่มีพ่อมีแม่นี่
จะรู้ตัวเองว่า นี่เรากำลังทำความเสื่อมเสียให้ตัวเองแล้ว
ทีนี้คนนี่มีสองประเภทใหญ่ๆ
ประเภทหนึ่งคือ มาชดใช้กรรม ชดใช้บาปกรรมกับพ่อแม่คู่นี้
ที่ได้มาเกิดเป็นลูกพ่อลูกแม่คู่นี้ ก็เพราะว่ามีบาปบางอย่าง
เกี่ยวกับเรื่องของการประทุษร้ายกัน ฝังอยู่ในกำเนิด ฉะนั้นสำหรับหลายๆ คน
คือมีการประทุษร้ายพ่อแม่เป็นประจำอยู่แล้วตั้งแต่อ้อน ตั้งแต่ออก
จนเกิดความรู้สึกเคยชิน
อย่างบางท่านนี่ผมเคยเห็นกับตานะ คือเลี้ยงลูกแบบเพื่อนจริงๆ
ให้ลูกเรียกกูเรียกมึงอะไรแบบนี้นะ คือไม่ได้เหมือนกับทำร้ายกันนะ แต่ว่าใช้ กู
ใช้ มึง ลูกพูดกับพ่อแม่เป็นกูเป็นมึงอย่างนี้นะ หรือ แกกับฉัน อะไรแบบนี้
คือเลี้ยงลูกมาแบบนั้น แล้วก็บางบ้านนี่ เปิดโอกาสให้ลูกได้ทะเลาะ
ได้ด่าขึ้นกูขึ้นมึง หรือว่าใช้คำหยาบๆ คายๆ โดยไม่ว่าอะไร
ตรงนี้นี่ดูได้เลยว่า ความรู้สึกของคนที่โตมากับสภาพแบบนั้น
บรรยากาศแบบนั้น ก็จะไม่รู้สึกอะไร ไม่ได้รู้สึกผิด ไม่ได้รู้สึกว่าต้องสำนึก
ไม่ได้รู้สึกว่าพ่อแม่เป็นของสูง ไม่ได้มีความจำได้ว่าพ่อแม่เป็นรากของชีวิต
อย่างบางบ้าน บางครอบครัวถึงขั้นที่เห็นเป็นเรื่องธรรมดาปกติก็มี
ที่ลูกจะทำไม่ดีกับพ่อแม่ คิดเงินพ่อแม่ หรือว่า ทำธุรกิจ ทำนาบนหลังพ่อแม่ก็มี อะไรแบบนี้น่ะนะ
คือแบบทำสืบๆ กันมา แล้วก็ไม่ได้รู้สึกเป็นสิ่งผิดปกติสำหรับครอบครัวแบบนั้นไป
อย่างนี้มีอยู่จริงๆ ในโลก
ถ้าตรงนี้นี่ก็เหมือนกับว่า เราสามารถมองได้นะว่า
คนที่เขามีปกติประทุษร้ายพ่อแม่อยู่ เขาขุดรากตัวเองอยู่เป็นปกติ มันจะมีความรู้สึกว่าด้านชา
แล้วก็มีความรู้สึกว่า ถ้าทำกับพ่อแม่ได้นี่นะ มันทำกับทุกคนในโลกได้หมด
เท่ากันกับที่ทำกับพ่อแม่ หรือว่ายิ่งกว่าที่ทำกับพ่อแม่
นี่ก็เป็นเส้นทางของคนที่ ‘ขุด’
ตนอยู่แล้ว เราถามว่าบาปแค่ไหน ดูจากคนพวกนี้ได้ คือ สามารถทำชั่วได้ทุกประการ
ทำกับพ่อแม่ชั่วๆ ได้นี่นะ ทำชั่วได้ทุกประการ มันไม่รู้จะไปเกรงใจใครแล้ว
ไม่รู้จะไปรู้สึกเห็นอกเห็นใจใครได้แล้ว
เพราะกระทั่งพ่อแม่ยังไม่สามารถที่จะให้ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอยากดูแล อยากตอบแทน
อยากจะพูดดีๆ คิดดีๆ กับคนอื่นๆ ในโลกก็หมดสิทธิ์
เพราะฉะนั้น เราดูจากตาเปล่าแล้วเห็นว่า
เมื่ออยู่ในเส้นทางของการขุดตน ขุดรากตัวเอง ก็เท่ากับอยู่บนเส้นทางทำลายตัวเอง
อยู่บนเส้นทางลงเหว อยู่บนเส้นทางที่มันไม่มีความเจริญ
คำว่าความเจริญนี่
เรามองที่จิตวิญญาณเป็นหลักนะ อย่าไปมองเรื่องฐานะ
ความมั่งคั่งร่ำรวยอะเป็นอันดับแรก เพราะอันนั้นกรรมมันซับซ้อน คือจะอัตคัดขัดสนอะไรนี่มีกรรมอีกหลายอย่างเหลือเกินที่คอยบีบคั้นอยู่
อย่างเช่น เคยไปปล้นเขาเยอะๆ เคยไปฉ้อโกงใช้อำนาจหน้าที่การงาน
หรืออำนาจในการปกครองแผ่นดิน ในการรีดนาทาเร้นคน เกิดใหม่ต่อให้เลี้ยงพ่อแม่ดีอย่างไร
ก็อัตคัดขัดสน หรือว่าหากินลำบากอยู่ดี นี้เป็นเรื่องความซับซ้อนของกรรม
แต่ว่าเอาเฉพาะตรงที่จิตวิญญาณนี่ ถ้าใครก็ตามที่ใช้ชีวิตแบบขุดตน ขุดรากตัวเอง
มันมีความไม่สบายใจแน่ๆ แล้ว
แต่ถ้าหากว่า เพิ่งจะเริ่มทำ
ไม่ได้ทำเป็นประจำ ไม่ได้อยู่บนเส้นทางของการขุดตนนี่ มันจะรู้สึกผิด จะรู้สึกแย่
จะรู้สึกเป็นทุกข์ เกิดความทรมานใจ เกิดความรู้สึกว่าเรากำลังเปลี่ยนร่าง
หรือเปลี่ยนสภาพ หรือเปลี่ยนเส้นทางกรรม นี่จะเป็นสิ่งที่บอกตัวเองอยู่ในส่วนลึก
จะรู้สึกแย่หนัก จะออกแนวสำนึกผิดน่ะ คือสุดปลายทางจะรู้สึกผิดมากๆ
ตอนที่คุณทำไม่ดีกับพ่อแม่ หรือว่าด่าทอพ่อแม่
แล้วรู้สึกผิดมากๆ นี่นะ ยังสบายใจได้อยู่ คือจะบอกตัวเองได้ว่า อันนี้ยังไม่สาย
เพราะอะไร เพราะว่าจิตใจมันส่งสัญญาณบอกตัวเอง เตือนตัวเอง สะกิดตัวเองแรงๆ หรือว่าหยิกตัวเองแรงๆ
ให้เกิดความรู้สึกเจ็บอยู่ข้างในว่า นี่อันตรายแล้ว อันนี้ไม่ได้นะ ต้องเอาหนามมาทิ่มกัน
ให้เกิดความรู้สึก ‘จ๊าก’
ขึ้นมาข้างในสักนิดหนึ่ง ถึงจะรู้ตัวว่า นี่ทำเรื่องสำคัญไปแล้ว
เป็นเหมือนกับรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปแล้วก็จะได้กลับตัว
แก้ตัว กลับไปขอโทษด้วยวิธีเอาพวงมาลัย เอาดอกไม้ไปไหว้ กราบเท้าหรืออะไรก็ตาม บางคนบอก
อุ้ย ทำแบบนั้นไม่ได้หรอก เดี๋ยวยิ่งได้ใจ พ่อแม่บางคนนี่ คือลูกกราบเท้านี่
เอาเท้าหนีก็มีอะไรแบบนี้ หรือไปทำยิ่งกว่านั้น ทำหนักกว่านั้น
ก็ดูไปว่าเราจะมีวิธีขอโทษแบบไหน
หรือว่าขอขมาอย่างไร ให้ใจของเรารู้สึกว่าตัวเองกลับเข้าที่
หรือว่ากลับเข้าเส้นทางกรรม ที่เป็นฝั่งขาว ฝั่งสว่าง ฝั่งบุญ ตรงนี้นี่ พูดง่ายๆ
ก็ ดูที่ใจ ว่าทำอย่างไร ประพฤติปฏิบัติกับท่านต่ออย่างไร
แล้วเกิดความรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้ อันนั้นแหละ ก็คือการเหมือนกับ ล้างๆ ไป
คนน่ะ อย่างไรก็ต้องพลาด ชีวิตหนึ่งอยู่กันหลายสิบปี
ไม่มีหรอกที่จะทำอะไรถูกต้องอยู่ตลอดเวลาไม่พลาดเลย ไม่ทำบาปเลย เป็นไปไม่ได้นะ
สรุปคือ เราดูคำว่า บาปแค่ไหน ว่าน้ำหนักจิตที่คิดประทุษร้ายนี่
ออกแนวที่ว่าใช้คำที่เลือกว่า ด่าแบบว่าหลุดปาก หรือเผลอสติหลุด
แบบนี้เรียกว่าสถานเบา คิดประทุษร้ายแบบเบาๆ เรียกว่าเป็นการเผลอตัว
ถ้าเสียใจแล้วขอขมาลาโทษทันที
ก็เหมือนกับอาจกลับกลายเป็นยิ่งดีเสียอีกนะ เพราะจะได้มีความรู้สึกว่า มีแรงขับดัน
คนเรานี่ถ้ามีความรู้สึกผิด สำนึกผิด จะมีแรงขับดันให้ทำดียิ่งกว่าเดิมนะ
เป็นสองเท่า สามเท่า เพื่อจะไม่ต้องกลับไปรู้สึกผิดแบบนั้นอีก
แต่ถ้าโกรธแรง
เลือกคำด่าที่เกิดมาไม่เคยใช้กับพ่อแม่มาก่อน แล้วรู้สึกแย่มากๆ กับตัวเอง
อันนี้ก็ ต้องเหมือนกับรู้ตัว คือยอมรับตามจริง แต่เออ ทำบาปไปแล้ว
เป็นบาปที่อาจได้รับผลในทำนองที่ จะถูกคนมาด่าเสียๆ หายๆ
ด่าสาดให้เกิดความรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจอย่างหนัก ถูกสังคมรุมประนาม อะไรแบบนั้น
ซึ่งก็โอเค ได้รู้ตัวว่าทำต้นเหตุแห่งความลำบากใจ หรือทุกข์ใจขนาดหนักไปแล้วนะ
ซึ่งโอเคแก้ไขไม่ได้ในแง่ที่ว่า เราไป delete
คำพูดไม่ได้ ไปลบ ไปบอกว่า เอ๊ย ไม่เคยพูดนี่ ไม่ได้ แต่เราตั้งใจให้เห็นเหมือนกับ
คำด่าตรงนั้นนี่เป็นก้อนเกลือสักก้อนหนึ่ง เราคิดว่า ถ้าใส่คำดีๆ เติมเข้าไป
จากนี้นี่จะมีแต่คำดีๆ หวานหู รื่นหูพ่อแม่ตลอดชีวิต
มันก็จะเหมือนกับน้ำที่เพิ่มปริมาณมากขึ้นเรื่อยๆ
น้ำแก้ว ยังเค็มอยู่ ... น้ำโอ่งนี่
แทบจะไม่ได้รสเค็มแล้ว ... แต่ถ้าน้ำเป็นสระ น้ำเป็นบ่อเลย
ถึงแม้เกลือจะยังอยู่ในน้ำ ก็ไม่ให้รสเค็มแน่นอน
แต่ถ้าหากว่าประทุษร้ายถึงขั้นสาปแช่ง บางทีมันมีปัจจัยอื่นเข้ามา
เช่น ความยืดเยื้อยาวนานของจิตที่คิดประทุษร้ายตรงนั้น
ถ้าหากว่ามีอาการเก็บกดน้อยใจ แบบว่าตัดพ้อพ่อแม่อยู่ในใจ อยู่เรื่อยๆ อะไรแบบนี้
แค่นี้ก็มีผลแล้ว
คืออย่างบางคนน้อยใจ แล้วก็เหมือนกับแอบคิดไม่ดีกับพ่อแม่อยู่ตลอด
ตั้งแต่เด็กจนโต โตขึ้นบางทีเป็นโรคประหลาด เป็นโรคลึกลับที่ทางแพทย์รักษาไม่ได้
อย่างบางคนเป็น ... อันนี้ยกตัวอย่าง ไม่ได้หมายความว่าคนเป็นโรคนี้จะต้องทำกรรมแบบนี้
อันนี้ยกตัวอย่างเฉยๆ อย่าง SLE
ที่เป็นโรคทำร้ายตัวเอง
คือมันขุดรากตัวเองออกมาจากข้างใน มีปมของจิตบางอย่างที่มันพันอยู่
ซึ่งพิสูจน์ได้นะ คนพวกนี้ถ้าหากว่ารู้จักธรรมะ แล้วก็มาทำสมาธิ
คิดอะไรที่เป็นกุศล จิตกุศลเกิดขึ้นอยู่ตลอด ก็ไปตกแต่งให้ร่างกายอยู่ในสภาพมีความสว่าง
มีความเป็นกุศล ก็หายจากโรคนี้ได้ หลายคนก็เป็นแบบนั้น
หรือบางคนอาจจะ พูดง่ายๆ ว่า คิดทำร้ายพ่อแม่อยู่ตลอด
เสร็จแล้ว คือจะมีความทุกข์ชนิดหนึ่ง ซึ่งคนอื่นมองไม่เห็นนะ ไปมองว่า เอ๊ะ
ก็ยังใช้ชีวิตเป็นปกติสุขอยู่ บางคนร่ำรวยด้วยซ้ำ (ทั้งที่)
เลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่ไม่ดีเลย ด่าพ่อด่าแม่เหมือนหมูเหมือนหมา อะไรแบบนี้
แล้วทำไมไม่เห็นได้รับผลอะไรสักที
แต่จริงๆ นี่ ข้างในนี่นะ
มันทำบุญไม่ขึ้น คือเวลาที่จะคิดประพฤติธรรม หรือว่าตั้งใจรักษาศีล
หรือตั้งใจที่จะปฏิบัติธรรม เจริญสติภาวนา จะเหมือนกับเข็ญครกขึ้นภูเขา
จะไม่เข้าใจธรรมะ จะมีความรู้สึกว่า ต่อให้อยากปฏิบัติธรรม อยากให้ทำสมาธิแค่ไหน
ก็ตั้งมั่นไม่ได้ มีความรู้สึกว่าตัวเองไม่ดีพอ
ไม่มีกำลังของบุญมาช่วยให้ทำอะไรดีๆ ได้ประสบความสำเร็จในแบบที่รู้สึกดีกับตัวเอง
บอกแล้วว่าพ่อแม่เป็นรากของชีวิต
เป็นรากของความรู้สึกทั้งหมดเลยทีเดียว ถ้าหากว่าเราปฏิบัติกับพ่อแม่ไม่ดี ไปทำบุญอย่างอื่น
ก็รู้สึกว่า ไม่ได้เป็นคนใจบุญเต็มร้อย ไม่ได้เป็นคนที่สามารถจะเอาดีทางเส้นทางสีขาว
เพราะว่า ก้นบึ้งของจิตใจมันดำมืดอยู่ จะเอาจิตใจที่ดำมืดมาเดินบนทางสว่าง
มันรู้สึกเปื้อน รู้สึกว่าเส้นทางสว่างนี่ไม่สะอาดเต็มร้อย
แล้วอย่างถ้าทำไปตลอดชีวิต
โดยที่ไม่มีวันที่แบบกลับ หลังหัน ยูเทิร์น (u-turn)
หรือว่ากลับตัวกลับใจเลยนี่นะ จะมีความรู้สึกไม่มั่นใจว่าตัวเองจะได้เกิดใหม่ดีหรือร้าย
ไม่มีทางมั่นใจได้เลย ไม่ว่าจะทำบุญไปอย่างอื่นแค่ไหน ยกตัวอย่าง พระเจ้าอชาตศัตรู
ฆ่าพระบิดาของพระองค์ท่านเอง เสร็จแล้วสำนึกผิดมากเลย คือแบบวิ่งไปที่ห้องขัง
ไม่ทันแล้ว พระบิดาสิ้นพระชนม์ไปแล้ว จากนั้นทำบุญถึงขั้นที่เป็นอุปถัมภก ของพระพุทธศาสนา
ขนะที่พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ ยังไม่รอดจากนรกเลย คือต้องไปรับกรรมในนรกก่อน
เพราะว่า กรรมในการฆ่าพ่อฆ่าแม่นี่
เป็น อนันตริยกรรม มันขุดรากแบบขุดขึ้นมาเลย ขุดขึ้นมาทั้งยวง
ไม่สามารถที่จะไปต่อติด กลับไปปลูกใหม่ให้เจริญงอกงามได้อีกแล้ว จะทำบุญมาแค่ไหน
ต้องขึ้นมาจากนรกก่อน ต้องพ้นโทษก่อน
นี้ก็เหมือนกัน คือคล้ายๆ กัน
คนที่ประทุษร้ายพ่อแม่อยู่ตลอดเวลา ทั้งชีวิตไม่เลิก ก็จะให้ความรู้สึกคล้ายๆ
แบบนั้น ถึงแม้ว่ายังไม่ได้ทำอนันตริยกรรม แต่ความรู้สึกว่า จะกลับเจริญงอกงามขึ้นได้เหมือนพืชที่มีราก
หยั่งรากได้ รดน้ำพรวนดินอย่างดี มันเป็นไปไม่ได้
ทีนี้บางคนก็บอก อย่างนี้ไม่ยุติธรรมเลยนะ
เพราะใจตัวเองที่คิดประทุษร้ายพ่อแม่ ส่วนหลักเลยก็เพราะถูกเลี้ยงมาไม่ดี
ถูกเอารัดเอาเปรียบมาตลอด ถูกกระทำย่ำยีมาตลอดด้วยซ้ำ
เพราะพ่อแม่บางทีมีอย่างนั้นจริงๆ นะครับ อย่างที่เราก็ได้ข่าวกันมา
ก็บอกว่า แบบนี้ไม่ยุติธรรมสิ
โต้ตอบอะไรไม่ได้ คือตกอยู่ในฐานะผู้ถูกกระทำอย่างเดียว แล้วห้ามคิดไม่ดี
ห้ามพูดไม่ดี มันเป็นไปได้อย่างไร อันนี้ก็ต้อง ถ้าหากว่าเราพบพระพุทธศาสนาแล้ว
ก็มีโอกาสที่จะทำความเข้าใจใหม่ เปลี่ยนมุมมองใหม่นะ
ที่บอกว่าไม่ยุติธรรมนี่ จริงๆ แล้ว
วิบากให้ความยุติธรรมกับเราแล้วต่างหาก
ธรรมชาติของวิบากบอกว่า จะเอาอย่างนี้แหละ คือเราเคยทำอะไรมา
บางอย่างอาจทำกับลูกมา อาจไปกดดันลูกมา อาจไปทำร้ายลูก หรือว่าอาจเป็นแบบเดียวกับ แม่ปุ๊ก (หมายเหตุ : จากข่าวผู้ต้องสงสัยคดีวางยาลูก เพื่อขอรับเงินบริจาค) หรือว่า
ครึ่งหนึ่งของแม่ปุ๊ก อะไรแบบนั้น แล้วต้องได้รับผล
คือ ธรรมชาติบอกว่า นี่แหละ
เอาอย่างนี้แหละ ยุติธรรมคืออย่างนี้แหละ เคยทำไว้อย่างไรก็ได้รับผลแบบนั้น แต่คนเรามันลืม
แล้วก็บอกนี่ไม่ยุติธรรม ไม่รู้หรอกว่าเคยทำอะไรมา
แต่ต้องมารับผลของตัวตนก่อนที่มันทำไว้ อันนี้แหละ เป็นเรื่องคำถามโลกแตก
ปัญหาโลกแตกนะ
เพราะว่าถ้าเราจะเอาโทษจริงๆ
เหมือนกับพระอรหันต์ท่านเคยพูดไว้ บอกว่า มันไม่มีโทษของใครหรอก มันเป็นโทษของสังสารวัฏ
เขาโหดเหี้ยมแบบนี้แหละ คือนอกจากเขาจะไม่ส่งเสริม และไม่สนใจเลยนะ ใครจะบอกว่า
ไม่เชื่อเรื่องกรรม เรื่องวิบากนี่เขาชอบนะ เพราะจะได้ติดอยู่นาน
แล้วเขาจะไม่พยายามเปิดเผย ไม่พยายามแย้ม ไม่พยายามบอกใบ้อะไรทั้งสิ้น
ไม่มีการเขียนไว้ที่ศิลาจารึกไหนนะว่า บาปกรรมมีจริง เคยทำไว้อย่างไร อะไรต่างๆ
ตรงกันข้าม เขาดีลีท (delete)
ทิ้งหมดเลยนะ ความจำนี่ ทุกคนเสมอภาคกัน ยกเว้นพวกเด็กระลึกชาติส่วนหนึ่ง
หยิบมือหนึ่ง นอกนั้นคนทั้งโลก 99.999% นี่จำไม่ได้หรอกว่าตัวเองเคยทำอะไรมา
เพื่อที่จะให้มาตั้งต้นใหม่ในชาติของความเป็นมนุษย์ ชาติของสถานีเลือกกรรม
ชาติของสถานีเลือกเส้นทาง ที่จะไปต่อ ว่าจะไปต่อแบบไหนทิศทางแบบไหน
ถ้าหากว่าเราน้อยเนื้อต่ำใจ
บอกลืมไปหมดแล้ว เคยทำอะไรมา แล้วจะให้เป็นคนดีเนี่ย ไม่ได้หรอก อันนี้ก็คือการรีเซ็ต
(reset) ในแบบที่เลือกแล้วว่า
จะไปต่อในทางที่มันตกต่ำลง เพราะว่าคิดแบบนี้ จะเป็นต้นทางของอกุศลได้ทุกชนิด
แต่ถ้าหากว่าเราทำไว้ในใจ อาจถูกล้อเลียนว่าโง่ๆ
หน่อย คือคนในโลกมีอีกเยอะที่เขาจะบอกว่าเชื่อเรื่องเวรเรื่องกรรมนี่ โง่แท้ๆ ก็ไม่รู้ใครโง่ใครฉลาดนะ
คือทุกวันนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานที่จะเอามาพิสูจน์แบบ เอามาวางแบให้ดูบนโต๊ะว่า
นี่ไง วิบากเก่า วิบากกรรมมีจริง เคยมีชาติที่แล้ว ยังไม่มีใครทำได้แบบนั้นนี่นะ
มีแต่บอกว่า ตายแล้วฟื้น แล้วก็มายืนยัน ซึ่งก็เป็นเรื่องฟั่นเฝือ
เพราะว่าเอามาเล่ากันไม่ค่อยจะเหมือนกัน หรือว่าไม่ค่อยจะเหมือนกับ make sense
(เข้าท่า) เท่าไหร่ สำหรับบางคนนะ
ทีนี้ก็ได้เห็นว่า
เราอยู่ในห้วงแห่งการเวียนว่ายตายเกิด ที่เขาใส่ความอยุติธรรมมาในรูปของ การไม่ยอมให้จำได้ว่าเราเคยทำอะไรมา
แต่ตัวของวิบากกรรมนี่ ตัวนั้นน่ะ ยุติธรรมเสมอ
การที่เราได้เกิดเป็นลูกของใคร
นั่นคือความยุติธรรมที่สุด แม่นยำ ไม่เคยพลาดแม้แต่ครั้งเดียว สังสารวัฏนะ
มีการเกิดตายอยู่ทุกวัน ตายวันละแสนห้า ถึงสองแสน เกิดวันละสองแสนกว่า เกือบสามแสน
อันนี้ข้อมูลประมาณ 20-30 ปีที่แล้วนะ คือมีการเกิดมากกว่าการตายนิดหนึ่งนะ
อันนี้เฉพาะขอบเขตความเป็นมนุษย์ แต่ยังมีขอบเขตความเป็นสัตว์ สัตว์เดรัจฉาน
สัตว์นรก หรือว่าเปรต หรือว่าเทวดา หรือว่าพรหม
ไม่มีการเกิดไหนๆ เลยที่พลาดเป้า
ไม่มีแม้แต่ครั้งเดียวนะ
เกิดตายกันมาเป็นอนันตชาตินี่ ... ไม่มีต้น หาชาติแรกไม่เจอ สังสารวัฏไม่มีชาติแรกนะ
... ไม่เคยมีแม้แต่ครั้งเดียว จะกี่พันล้าน กี่ล้านๆ ครั้งก็ตามที่เราเกิด
กี่ล้านๆ ชีวิตก็ตาม ไม่มีพลาดเป้าแม้แต่ครั้งเดียว เพราะว่าอะไร เพราะว่า ‘กรรม’
ยิ่งใหญ่ขนาดที่มันคุมให้เกิดมิติ สามมิติ สิบเอ็ดมิติอะไรต่างๆ ของจักรวาล
ได้เป็นรูปเป็นร่างแบบที่เราเห็นอยู่หรือไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ตาม
อันนี้ต้นกำเนิดแท้ๆ เลยก็คือแรงกรรม
ถ้าหากว่าไม่มีแรงกรรมส่งให้ไปเกิด
ก็ไม่มีดวงดาว ไม่มีโลก ไม่มีสวรรค์ ไม่มีนรก ไม่มีเวที ที่จะให้รับผลกรรม
หรือว่าแสดงออกท่าออกทางที่จะทำกรรมกันต่อ
เวทีกรรมนี้ เป็นเวทีที่บริสุทธิ์ยุติธรรมที่สุด
ไม่มีการโกงกิน ไม่มีการที่จะมาตัดสินอะไรด้วยความลำเอียงหรืออคติทั้งสิ้นนะ!
____________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน
ทะเลาะด่าทอพ่อแม่บาปแค่ไหน
6 มิ.ย. 63
ถอดความ : เอ้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น