วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2563

มองเห็นองค์พระแล้วจิตมักคิดไม่ดี


ดังตฤณ : เรื่องนี้คนไม่เข้าใจก็จะไม่เข้าใจนะ แต่ถ้าใครเคยมีประสบการณ์นี้ก็อาจเข้าใจได้ คืออย่าไปว่ากันว่า เอ๊ย นี่ประสาทหรือเปล่า หรือว่าย้ำคิดย้ำทำหรือเปล่าอะไรแบบนี้ นี่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับหลายคน แล้วต้องการความเห็นใจนะ คือถ้าใครไม่ประสบก็อาจไม่ต้องสนใจนะครับ แต่ถ้าใครเคยมีประสบการณ์แบบนี้ มีคำแนะนำดีๆ นะครับ

ตอนที่เราเห็นองค์พระแล้วคิดไม่ดี ให้บอกตัวเองว่า นี่แหละคือหลักฐานของความคิดสกปรก ที่เรารับมาโดยไม่รู้ตัว หรือนี่คือหลักฐาน ของการที่เราเองนี่เคยคิดไม่ดีขึ้นมาจริงๆ แต่ไม่ใช่กับองค์พระนะ กับใครก็ตามที่บางทีเป็นของสูง อย่างเช่น พ่อแม่ ครูบาอาจารย์ หรือว่า อย่างที่ผมเคยยกตัวอย่างบ่อยๆ ก็ประเภทสมมติว่าเป็นเด็กๆ โดยเฉพาะเด็กผู้ชาย ชอบล้อชื่อพ่อชื่อแม่กัน เห็นว่าเป็นของสนุก เห็นว่าเป็นเรื่องแสดงความสนิทสนม สนิทชิดเชื้อ จริงๆ คือการเอาของสูงมาเล่น

ใครก็ตามที่ทำตัวดี ถือว่าเป็นของสูงได้หมด ถ้าเราเคยเอาของสูงมาเล่น ก็ถือว่า คือเชื้อให้มีอาการแบบนี้แหละนะ คิวในการเผล็ดผลของบาปกรรมนี่บางทีมันมาแบบไม่ให้เรารู้ แล้วก็เชื่อมโยงไม่ถูก ว่าเราเคยไปคิดอะไรไม่ดีกับใครมานะ เราเคยไปเล่นของสูงที่ไหนมา แต่นี่แหละ ที่เป็นหลักฐานทางใจของเรา จะมีอะไรแบบนี้

ซึ่งสมัยพุทธกาล จริงๆ ก็มีแต่เจดีย์นะ คือเท่าที่เขาพูดกันๆ มานี่ ไม่ค่อยจะมีรูปบูชา เพราะถ้าเป็นรูปบูชาของพระพุทธเจ้านี่จำเป็นจะต้องทำให้เหมือนพระองค์เป๊ะ ไม่อย่างนั้นถือว่าไม่นับถือพระองค์ แล้วคนยุคนั้น เวลานึกถึงพระพุทธเจ้า ก็จะนึกถึงคุณงามความดีของท่าน คุณวิเศษของท่าน หรือพอเห็นเจดีย์ ก็จะนึกถึงว่านี้คือแก่น คือหลักพระธรรมคำสอนอะไรแบบนี้เพราะฉะนั้นก็เลยอาจไม่ค่อยมีปัญหากันเท่าไหร่

แต่พอมาถึงยุคเรานี่ บางทีปฏิมากร ปั้นสวยบ้าง ไม่สวยบ้าง หรือบางทีมีลักษณะอะไร ที่กระตุ้นให้คิดไม่ดีก็ยังมีเลยนะ มีนะ อย่างจิตรกรรมฝาผนังอะไรนี่ บางทีเอาเรื่องเพศ เรื่องอะไรเข้าไปใส่ไว้ แล้วคนก็ไม่กล้าวิจารณ์ เพราะเห็นเป็นคนโบร่ำโบราณทำกันมา นึกว่าคงจะทำกันอย่างนี้แหละ

จริงๆ แล้วนี่ มีความสัมพันธ์กันไปหมด ถ้าหากว่าเรา จิตของเรารับแต่ของสูงมาอย่างเดียว มีแต่ความเป็นกุศลอย่างเดียว ก็จะไม่มีปัญหา แต่ทีนี้ปัญหาก็คือว่า เรามีทั้งภาคดี และภาคร้าย เรามีทั้งความเชื่อมโยงกับสิ่งสูง แล้วก็สิ่งต่ำ อยู่ในจิตนี่แหละ

ผมจะยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างครูบาอาจารย์ พอมีครูผู้หญิง ยุคก่อนไม่ค่อยจะมีนะ ครูสอนเป็นผู้หญิงนี่ แต่ปัจจุบัน ชายหญิงเท่าเทียมกัน พอมีครูผู้หญิงก็มีปัญหาตามมาคือเจอนักเรียนชายประเภทที่ ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ครูเป็นของสูง แต่ไปคิดสัปดน หรือคิดไม่ดี ซึ่งเจอกันมาทั้งนั้น เด็กนักเรียนชายนี่ นี่คือตัวอย่างที่เห็นง่ายที่สุด

ของสูง กับ ของต่ำ บางทีแยกที่จิตของเรานี่เองว่า เป็นกุศล หรือว่าเป็นอกุศล ตัวพระพุทธรูปเองจริงๆแล้ว เป็นแค่รูปลักษณะ ยังไม่ได้สะท้อน หรือว่าสามารถบอกเราได้แบบเป็นค่าสัมบูรณ์ว่า นี่คือตัวแทนพระพุทธเจ้า แต่พอจิตของเราตัดสินว่า นั่นเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้าปุ๊บ จิตไม่ดี จิตที่คอยแอบคิดอะไรลบๆ ร้ายๆ ก็อาจปรากฎตัวขึ้นได้ ยิ่งถ้าหากว่ามีกรรม ไปเล่นของสูงไว้ ไปด่าคนที่ไม่ควรด่าไว้ เวลามันให้ผลก็อาจออกมาแบบเห็นรูปเคารพ หรือว่าพระพุทธรูปปุ๊บ คิดไม่ดีขึ้นมาทันที

ทีนี้ถ้าเรามีความเข้าใจทั้งหมดว่า อะไรๆ ขึ้นกับว่าใจของเรา จะรวบรวมดี รวบรวมร้ายมาผสมกันเข้าไว้ ทีนี้เวลาเราจะคัดกรอง เราก็ต้องคัดกรองด้วยสติ สติที่เห็นว่าทั้งดีและทั้งร้ายนี่ ไม่ใช่ตัวเราทั้งคู่ ขึ้นกับว่า มีเหตุปัจจัยอะไรมากระตุ้นให้ดี หรือร้าย

อย่างกรณีนี้ก็คือว่า พอถูกกระตุ้นด้วยภาพพระพุทธรูป จิตเรานี่ควรจะคิดดีใช่ไหม แต่ปรากฎว่ามันคิดร้ายขึ้นมา นี่ก็สะท้อนให้เห็นว่า เรามีบาปอะไรบางอย่างแอบแฝงอยู่ ซ่อนอยู่ แล้วก็พร้อมที่จะเล่นงานเรา เมื่อเจอของสูง สิ่งอันควรเป็นภาพเคารพ สิ่งอันควรเป็นที่บูชา

เพราะฉะนั้น ตอนที่เราพิจารณา เราก็พิจารณาว่า ทั้งบาป ทั้งบุญ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผสมรวมอยู่ในใจเรา แล้วใจของเราตอนนี้ เราต้องการสิ่งที่เป็นบุญ ไม่ได้ต้องการสิ่งที่เป็นบาป ถ้าหากว่า บาปกำลังครอบงำจิตใจเราได้ นั่นก็คือแสดงว่า เรากำลังทำอะไรบางอย่างพลาดไปแล้ว สิ่งที่เราทำพลาดไปก็คือ การไปทรมานใจนั่นแหละ

จำไว้นะ ถ้าหากว่าเวลาเราเจอภาพพระพุทธรูป แล้วเกิดความคิดไม่ดี แล้วทรมานใจ ความทรมานใจนั่นแหละคือความผิดพลาดของเรา ไม่ใช่ตัวความคิดไม่ดีกับพระพุทธรูปนะ

ตัวความคิดไม่ดี เป็นสิ่งที่เราไม่ได้ต้องการ แล้วก็ไม่เคยอยากจะคิดเลย แต่ความทรมานใจนั่นแหละ ที่เป็นความผิดพลาดของเรา ความทรมานใจเกิดขึ้นจากอะไร เกิดขึ้นจาก การไม่รู้ว่าความคิดไม่ดีนั้น จริงๆ แล้วมันไม่ใช่ตัวเรา มันเป็นสิ่งที่อยู่คนละข้างกับเรา

ถ้าหากว่าเราพิจารณาอยู่ อย่างที่ผมบอกไปนะครับว่า เจอภาพพระพุทธรูปคิดไม่ดีขึ้นมา เรายกมือไหว้เลย แล้วเห็นว่าจิตที่เราต้องการจริงๆ คือกุศลจิต คืออาการไหว้ แล้วเราคิดว่า นี่แหละคือใจจริงของเรา ตัวนี้น่ะ จะทำให้เกิดสติ แล้วทำให้ความทรมานใจหายไป

จำไว้นะ ความทรมานใจคือความผิดพลาดของเรา ถ้าหากว่าเราสามารถมีสติ บอกตัวเองได้ว่าใจจริงของเราอยู่ตรงไหน ความทรมานจะหายไปทันทีนะครับ!
_____________

ถอดความ : เอ้

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน กลัวตกนรก คิดไม่ดีบ่อยมาก
13 มิ.ย. 2563
คำถามเต็ม : เมื่อจิตคิดเห็นองค์พระแล้วอีกจิตหนึ่งมักคิดไม่ดีตามมา เมตตาขอคำตอบด้วยค่ะ

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=_5O7nGEalMw

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น