วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำสมาธิอย่างไรให้รวย?



ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คืนวันเสาร์สามทุ่มนะครับ ก็มาพบกันเป็นประจำ ถ้าไม่มีอะไรติดขัด

สำหรับคืนนี้ เป็นหัวข้อที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะอยากรู้นะครับ เพราะว่าช่วงนี้ ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ แล้วก็ความบีบคั้นทางการเงิน มีหนี้สิน มีอะไรที่ทำให้อยากรู้จริงๆ ว่ามีวิธีลัดๆ แบบไหนไหม ที่จะทำให้รวยขึ้น หรือว่าหนี้สินหมดไป
ประมาณว่าถ้าให้ต้องทำอะไรเป็นพิเศษ เพื่อที่จะให้เกิดเหตุการณ์พิเศษ แบบหนี้สินมลายไปเป็นธาตุอากาศได้ทันทีนี่ ยอมทุกอย่าง

ก็ขอเท้าความนิดหนึ่งว่า มีคำถามที่เกี่ยวกับเรื่องของการสร้างมโนภาพ ซึ่งอาจได้มาจากคอร์สต่างๆ นะครับที่บอกว่า ถ้านึกภาพอะไรให้ชัดแล้ว จะดึงดูดความจริงเข้ามาหาชีวิตเรา ซึ่งก็เป็นที่ถกเถียงกัน หรือว่าเป็นข้อสงสัย บางคนก็บอกทำได้ บางคนก็บอกทำไม่ได้ หรือว่าบางคนยักแย่ยักยัน อยากทำ อยากลองดู แต่อยากรู้ก่อนว่า ชัวร์ไหม หรือว่ามั่วนิ่ม อยากรู้ว่าที่เขาอ้างกันเป็นล้านๆ คนว่าทำสำเร็จมาแล้ว เป็นสูตรสำเร็จความจริง หรือว่าเป็นสูตรสำเร็จทางการชักจูงให้หลงเชื่อนะ

สิ่งที่เนื้อหาที่จะพูดในค่ำคืนนี้ ไม่ใช่เพื่อจะขัดแย้ง หรือเอาไปเปรียบเทียบกับสูตรสำเร็จของใคร แต่อยากให้แยกให้ออกนะครับว่า ระหว่างสมาธิเพื่อรวย กับสมาธิเพื่อเจริญสติ ต่างกันอย่างไร
ถ้าปลดล็อค หรือว่าคลายข้อสงสัยตรงจุดนี้ได้ ถือว่าได้ธงของผมในคืนนี้นะ ไม่รับประกันนะว่าสิ่งที่พูดไป เกี่ยวกับการทำสมาธิให้เกิดความร่ำรวยนี่ จะไปประสบผลสำเร็จ หรือว่า ใครทำได้ ใครทำไม่ได้อะไรนะ อันนี้ไม่ใช่จุดประสงค์ของสิ่งที่จะพูดในคืนนี้นะ เกริ่นไว้ก่อนเลย ให้ชัดๆ นะ

อย่างไรก็ตาม เราจะมาเหมือนกับตีแผ่สมาธิสองแบบ สองมิติ ให้กระจ่างนะครับ คือไม่ใช่มาพูดแบบอมพะนำว่า ทำสมาธิแบบไหน อย่างไร แล้วจะได้ผลเป็นความร่ำรวย หรือหนี้สินจะหายไป

ยกตัวอย่างเช่น หลายๆคนชอบพูดว่า ทำวิปัสสนาสิ แล้วหนี้สินจะหายไป ฉันทำได้มาแล้ว ซึ่งคนฟัง ฟังแล้วก็คือ ถ้าไม่มีความรู้ทางพุทธศาสนา ก็บอก อ๋อ วิปัสสนา คือสิ่งวิเศษที่ทำแล้วจะช่วยให้ชีวิตของเราเจริญรุ่งเรือง หรือหนี้สินหายไปอย่างนั้นใช่ไหม
มันอยู่ในใจคนอย่างนี้จริงๆ แล้วอยู่กันเป็นล้านๆ คนในประเทศไทยนะ คิดกันอย่างนี้ เพราะพุทธศาสนาอยู่คู่ไทยมานาน แล้วก็อะไรที่เป็นสิ่งสูง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็มักจะถูกนำมาเป็นเหมือนกับโลโก้ หรือว่าเป็นแบรนด์สำหรับหลายๆ คน ที่คิดว่าเป็นแบรนด์ในการสร้างความร่ำรวย

ทีนี้เรามองแบบตอบโจทย์นิดหนึ่ง ความเข้าใจของคนทั่วไป คือว่า ถ้าจินตนาการเห็นภาพชัดแล้ว ของจริงมันจะปรากฏตามภาพ นี่ ตรงนี้ก่อนนะ เอาจุดนี้ เป็นวิปัสสนาหรือเปล่า เป็นการเจริญสติหรือเปล่า ... มันไม่ใช่นะ

ถ้า (ทำ) วิปัสสนา ถ้าการเจริญสติ เราเห็นภาพก็จริง เห็นเป็นนิมิตก็จริง แต่เป็นการเห็นนิมิต เพื่อที่จะให้รู้ว่ากายนี้ ใจนี้ ไม่มีอะไรเที่ยงสักอย่าง
ส่วนการเห็นภาพในแบบที่บอกว่า เข้าคอร์ส จะแนวสะกดจิต หรือจะแนวทางดั้งเดิม ทางตะวันตกก็ตาม ให้นึกภาพอะไรก็ตาม อันนั้นเป็นภาพอีกแบบหนึ่ง ที่จินตนาการขึ้นมา พูดง่ายๆ ว่า จินตนาการสร้างความร่ำรวยนี่ ออกแนวภาพยังไม่มีอยู่จริง แต่เราสร้างขึ้นมาในใจ

ในขณะที่การทำวิปัสสนา หรือเจริญสติ สิ่งที่มันมีอยู่จริงนี่ ปรากฏอยู่แล้ว แล้วเราแค่ปรับจิต จูนจิตเข้าไปเห็นเท่านั้นเอง

อันนี้เพื่อให้เห็นภาพอย่างกระจ่างนะ ผมให้ดูอย่างนี้เลย คืออย่างที่เวลาเราสร้างภาพ นึกภาพว่าเราจะมีเงิน เราจะเล่นหุ้นได้ เราจะมีชื่อเสียง ได้รับเกียรติยศ หรือมีรถที่ขับออกจากบ้านหรูอย่างไรนะ มีแฟนสวยแค่ไหน นี่เรียกว่าเป็นการสร้างสิ่งที่มันไม่มีอยู่จริง แต่ว่าเราไปพยายามทำให้มันมีขึ้นมาจริงๆ ยิ่งภาพในใจชัดขึ้นมากเท่าไหร่ ซ้ำไปซ้ำมา ทบทวนไป ทบทวนมา

สำหรับการสร้างมโนภาพในแบบที่ เขาสอนให้เราจินตนาการกันขึ้นมา แล้วก็จะทำให้เกิดความจริงตามหลังมานี่นะ มันเป็นภาพที่ยังไม่ต้องมี แต่เราไปพยายามทำให้มันมีขึ้นมาในใจเราก่อน เสร็จแล้ว จึงพยายามทำให้มันมีขึ้นมาในโลกความจริงตามหลัง  ซึ่งจะสำเร็จ หรือไม่สำเร็จ ขึ้นอยู่กับปัจจัยของแต่ละคนนะ

อย่างบางคน นึกภาพแล้ว แล้วก็พยายามที่จะทำตามคำสอนแบบดั้งเดิมนะ คือว่าพอเห็นภาพชัด ก็รอดูว่าชีวิตจะพาไปเจอหนทางอะไรที่นำไปสู่ภาพเหล่านั้นบ้าง

ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราอยากได้เงินเยอะๆ ตามคำสอนเขาบอกว่า ก็ให้ดูว่าตื่นเช้าขึ้นมาจนถึงเย็น มีอะไรในระหว่างวันที่เป็นนิมิตหมายบอกว่า เราสามารถอยู่ในเส้นทางของการสร้างความร่ำรวยขึ้นมาได้จริง
ยกตัวอย่างนะ บอก เห็นมีประกาศโฆษณาให้ไปร่วมลงทุน หรือว่าไปร่วมทำกิจกรรมอะไรที่เกี่ยวกับธุรกิจการเงิน แล้วเราเข้าไปลองหมดเลย ไม่สนใจว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ สนใจแค่ว่า เราไปดูซิ ว่านี่คือทางที่มันใช่ ที่จะพาเราไปสู่ความร่ำรวยจริงหรือเปล่า ถ้าหากว่าใช่ก็ดิ่งเข้าไปเลย ทำเต็มที่ แต่ถ้ารู้ตัวตั้งแต่เนิ่นๆ ว่าไม่ใช่ เราก็ถอนตัวออกมาก็แค่นั้น เราก็หาทางอื่น

นี่คือพอยต์ (point) ของการสร้างภาพแบบที่เขาสอนกันในแบบฉบับดั้งเดิมนะ คือสร้างภาพให้ร่ำรวยนี่ โอเค มันเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดไฟ ใจนี่ถ้าเห็นภาพอะไรชัด แล้วพยายามทำให้ภาพนั้นมันเกิดขึ้นจริง จะมีหนทาง จะมีลำดับ จะมีขั้นตอน พูดง่ายๆ ว่า ใจนี่ขออย่างเดียว มีเป้าหมายที่ให้ตั้งขึ้นมาให้วิ่งเข้าพุ่งชน ในที่สุดแล้วชีวิตจะพาเราไปสู่เป้าหมายนั้น โดยอาศัยความเพียรพยายามของเรานะ นี่คือต้นฉบับของจริงที่เขาว่ากัน

ทีนี้ ถ้าเรามาพูดถึงนิมิต หรือสิ่งที่เราจะเห็นในการทำสมาธิ เพื่อเจริญสติ หรือทำวิปัสสนา ต่างกันอย่างไร มันเอาเข้ามาในตัว ซึ่งมีของจริงอยู่แล้ว อย่างเช่นลมหายใจ เราเห็นลมหายใจไปเพื่ออะไร เพื่อให้เกิดความช้ดเจนกระจ่าง ที่จิตเลย ณ ขณะที่เห็นเลยว่า มันมีการเข้า มันมีการออก มันแสดงความไม่เที่ยง ไม่เหมือนเดิม ไม่เท่าเดิมอยู่ แล้วแต่ละลมหายใจนั้น มันค่อยๆ พาเราเขยิบคืบคลานเข้ามา เห็นความจริงในส่วนอื่นๆ ของกายของใจ

อย่างเช่น เรากำลังนั่งคอตั้งหลังตรงอยู่ เราก็ไม่ได้เห็นแค่ลมหายใจอย่างเดียว เราเห็นว่าลมหายใจนี้ ผ่านเข้าผ่านออกในอิริยาบถนั่งนี้ แล้วอิริยาบถนั่งนี้ยิ่งปรากฏชัดขึ้นเท่าไหร่ เรายิ่งมีความกระจ่างใจ ว่าเราไม่ได้สร้าง ไม่ได้ทำ ไม่ได้ออกแบบอะไรขึ้นมาเลย เราไม่ได้เป็นคนกำหนดด้วยซ้ำว่า มันควรจะมีอายุขัยเท่าไหร่ อยู่ไปกี่สิบปี กี่ร้อยปี เราไม่ได้เป็นคนออกแบบสร้าง ในสมองนี่ สามารถคิดได้ แต่ก็มีความคิด ผุดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป  
ยิ่งเห็นสายลมหายใจกระจ่างแจ้งชัดเจน แจ่มใสมากขึ้นเท่าไหร่ ตามที่พระพุทธเจ้าสอนในอานาปานสตินี่ ก็ยิ่งเห็นความจริงที่แสดงความไม่เที่ยงอยู่ตลอด 24 ชั่วโมงนี้ กระจ่างใจมากขึ้นเท่านั้น

ยิ่งมีภาพของจิตที่คม มีความตั้งมั่น มีคุณภาพชัดเจน ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะรวมลงสู่ความเป็นสมาธิอีกแบบหนึ่ง เป็นสมาธิในแบบที่ จะรู้แจ้งว่าทั้งกายทั้งใจนี้ ไม่มีอะไรเลยที่เป็นเรา เป็นเขา ที่เป็นบุคคล ที่เป็นตัวตน มีแต่สภาพความไม่เที่ยงทางรูปบ้าง ทางนามบ้าง กำลังปรากฏฟ้องตัวเองอยู่ทนโท่ แต่เรามองไม่เห็น เพราะว่าไม่ได้ดู แล้วก็ไม่ได้มีจิตที่มีความสามารถจะเห็นได้นานพอ เห็นได้นานพอที่จิตจะรวมลงเป็นสมาธิ

พอจิตรวมลงเป็นสมาธิเป็นปกติได้ จะมีแต่ความจริงปรากฏอยู่ง่ายๆ กับจิตแค่ดวงเดียวดวงนั้นแหละ ว่าอะไรๆ มันไม่เคยเป็นเราเลย มันกำลังปรากฏผ่านมา แล้วผ่านไป แม้กระทั่งความคิดในวูบนี้ที่ผมกำลังพูด และคุณกำลังฟัง ก็คือความคิดปรุงแต่งจิตชนิดหนึ่ง เพียงแต่เป็นความปรุงแต่งชนิดที่ ให้เกิดความรู้สึกถอนออกมาจากอาการยึดมั่นถือมั่น

ในขณะที่ถ้าเราสร้างภาพเพื่อความร่ำรวย เพื่อชีวิตที่สุขีสุโข แบบโลกีย์ มันเป็นภาพที่เห็นไหม จริงๆ แล้วยังไม่ต้องมีขึ้นมาจริงๆ ก็ได้ แต่เราสร้างขึ้นมาให้มีจริงในใจ  เสร็จแล้วพยายามไขว่คว้ามาให้ได้ ตามที่เห็นในภาพ นี่คือจุดต่างที่สำคัญที่สุดนะ

ทีนี้เรามาพูดถึงพอยต์ว่า คือภาพ ไม่ว่าจะเป็นภาพในทางโลก ที่เราสร้างขึ้นมา เพื่อให้เกิดความสามารถจะเป็นคนรวยกับเขาคนหนึ่ง หรือ จะเป็นภาพทางวิปัสสนา ของจริงภายในกายใจก็ตาม จะมีจุดที่เหมือนกันอยู่จุดหนึ่งนะ คือว่า ถ้าภาพในใจไม่ชัด จิตจะไม่มีการแล่นเข้าไป ดิ่งเข้าไป ทำให้เกิดความเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นจริงเป็นจังขึ้นมา

ถ้าภาพไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็นจริงเป็นจัง ในทางโลก เราก็จะไม่มีความขวนขวายเพียรพยายามมากพอ จะไม่มีการวางแผน จะมีแต่ความรู้สึกฝันๆ คือคุณนึกออกไหม เวลาที่เราฝันเฟื่อง สร้างวิมานในอากาศลอยๆ นี่ จะรู้อยู่ลึกๆ ในใจที่มันกลวงว่า ภาพที่เราเห็น ที่เราสร้างขึ้นมานี่ มันไม่จริง มันไม่มีทางเกิดขึ้นได้ เป็นอะไรที่เกินตัว เป็นอะไรที่รู้ๆ อยู่ว่า นี่คือภาพที่สร้างด้วยความอยากเฉยๆ ใจนี่กลวงเลยนะ ไม่มีฐานไม่มีอะไรรองรับ

แต่ถ้าภาพนั้น เป็นภาพที่ใกล้เคียงกับความจริง คือเห็นๆ อยู่เลยว่า เราสามารถที่จะเอื้อมไปคว้าได้ เอาง่ายๆ ก่อนวันนี้ ถ้าอยากได้เงินเพิ่ม (ก็) ทำงานเพิ่ม ภาพงานเพิ่มที่เราสามารถที่จะทำได้จริงๆนี่ งานนั้นนี่ จะปรากฏเป็นอะไรที่ เรารู้สึกว่าเอื้อมนิดเดียว มันมาเลย มันถึงตัวเลย ขอแค่พยายามขึ้นอีกนิดเดียว อันนี้ไม่ใช่ความฝันแล้ว ไม่ใช่วิมานลอยแล้ว ภาพนั้นจะทำให้เกิดความรู้สึกเป็นจริงเป็นจัง แล้วก็เงินที่เพิ่มขึ้นมา extra money นี่ มันมาแน่ อันนี้ที่เรียกว่าไม่ใช่ฝันลอยลม

ทีนี้ ที่เขาพยายามสอนกันตามคอร์สต่างๆ มันเขยิบขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง คือไม่ใช่แค่ทำแบบ extra ทำในสิ่งที่ทำอยู่แล้วเพิ่มเติมเข้าไป ... แต่เป็นการทำสิ่งใหม่เลย แต่เป็นสิ่งใหม่ที่เป็นไปได้จริง ว่าเราจะสามารถทำมัน ลงมือทำมัน
ทำไมเราถึงรู้ว่าเป็นไปได้ที่เราจะลงมือทำ เพราะว่า เราเข้าไปศึกษา เราเข้าไปเห็นขั้นตอน 1 2 3 อย่างชัดเจน แล้วคนเรานะ ยิ่งมีความรู้ยิ่งลงมือทำอะไรมากขึ้นเท่าไหร่ ภาพในหัวจะยิ่งกระจ่าง จะยิ่งแตกแขนงออกเป็นความชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ลงรายละเอียดลึกเข้าไปมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วสามารถตัดสินได้ด้วยความรู้สึกของตัวเองว่า นี่ใช่ทางที่จะร่ำรวยหรือเปล่า

พอยต์อยู่ที่ตรงนี้ ถ้าเราอยากได้จริงๆ แล้วเราไปตรงทาง ในที่สุด เราจะพบตัวเองอยู่ในระหว่างทางแห่งความสามารถที่จะปลดหนี้ หรือความสามารถที่จะมีเรือยอร์ช  ท่องเที่ยวทั่วโลกทางทะเลได้อย่างเป็นอิสระอะไรแบบนั้น ความเต็มใจตรงนี้ไม่ใช่เกิดขึ้นจากการนั่งสร้างวิมานลอยในหัวนะ แต่เกิดขึ้นจากการดิ่ง เอาตัวนี่ทุ่มเข้าไป ศึกษาสิ่งที่จะทำตามลำดับอย่างใจเย็นพอ

คนสมัยนี้นี่ ใจเย็นไม่พอจะฟังเรื่องสร้างทางกันเป็นปีๆ เขาว่ากันเป็นหลักวัน หลักเดือน อันนี้แหละที่ทำให้ภาพของวิมานลอย มันเข้ามากลบทับภาพของความจริงที่มันเป็นไปได้นะ

ทีนี้อย่างพอพูดในแง่ความเป็นพุทธ คือความเป็นพุทธนี่นะ ไม่ขายฝัน แต่ว่าชี้ให้เห็นความจริงประการหนึ่ง คือคนในโลกนี่ไม่สามารถรวยกันได้ทุกคน ถ้าทำตามสูตรสำเร็จล้านคน แล้วรวยกันทั้งล้านคน จะเกิดอะไรขึ้นรู้ไหม โลกนี้จะไม่มีที่ยืนให้คนรวย มันจะมีแต่ที่ระดับเดียวกันให้คนที่พยายามจะรวยได้ยืน หรือได้เดิน

ข้อเท็จจริงที่ทางพุทธศาสนาชี้นี่ ไม่ใช่เพื่อบั่นทอนกำลังใจนะ แต่เพื่อแสดงความจริงว่า คนไม่ได้มีเพดานเท่ากัน แต่ละคนมีเพดานจำกัดของบุญของบาป ของแต่ละคน
อันนี้คือ ถ้าไปพูดในพวกคอร์สสร้างความร่ำรวยนี่ โดนโห่เลยนะ โดนโห่ฮาเลย คือผมน่ะเข้าใจ เพราะว่าตอนสมัยต้นๆ ยังไม่รู้จักพุทธศาสนา ผมก็โห่ฮาเหมือนกันเรื่องบุญเรื่องบาป ไม่เคยเชื่อเลยนะ มันไม่รู้น่ะ มนุษย์น่ะ มนุษย์ธรรมดาคนหนึ่ง มันไม่รู้น่ะ แล้วอยู่ๆ จะมาบังคับให้เชื่อมันเชื่อไม่ได้หรอก แต่อันนี้ที่พูด เพื่อที่จะเป็นองค์ประกอบข้อเท็จจริงให้พิจารณาไปด้วยว่า คนเรามีประกันได้อย่างหนึ่งคือ ถ้าสร้างภาพในใจได้ชัด แล้วก็พยายามจริงจัง กับภาพความร่ำรวยที่เราสร้างขึ้นมานี่นะ ในที่สุดมันจะรวยขึ้น แต่ไม่แน่ว่ามันจะไปรวยถึงเพดานที่เราวาดขึ้นมา สร้างจินตนาการของชีวิตอีกแบบ อีกระดับหนึ่งขึ้นมาหรือเปล่า

เพราะว่า ผมเคยเห็นคนๆ หนึ่ง คือ เดี๋ยววันนี้ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียด เพราะไม่แน่ใจกำลังฟังอยู่หรือเปล่านะ แต่จริงๆ ไม่ใช่คนพุทธนะ ฉะนั้นไม่น่าเป็นไปได้ที่กำลังฟังอยู่ คือคนๆ นี้เป็นคนเก่งมากๆ มากคนหนึ่ง ที่ผมเคยเจอในชีวิตเลย เก่งแบบที่เรียกว่าเขาพยายามทำอะไรนี่ ทำได้ดีหมดทุกอย่าง แต่เขาเป็นคนขับรถ เป็นคนขับรถที่พยายามในทุกทาง ที่จะดิ้นรนไปเป็นกุ๊ก ไปเป็นพ่อครัว ไปที่ซาอุฯ เพื่อเก็บเงิน ทำอะไรอีกมากมายมหาศาลเลย เขาลองมาหมดแล้ว แต่สุดท้ายย้อนกลับมาเป็นคนขับ คือเริ่มต้นจากการเป็นคนขับ แล้วก็ย้อนกลับมาเป็นคนขับ เมื่ออายุมากแล้ว

อันนี้ทำให้ผมเห็นอย่างหนึ่ง ชะตาของคนแต่ละคน มีเพดานจำกัดอยู่จริงๆ ถึงแม้จะพยายามที่สุดแล้ว แล้วก็เป็นคนมีความรู้ความสามารถขนาดไหนก็ตาม มันจะมีเหมือนกับโดนกลั่นแกล้งน่ะ แล้วผมก็ดูๆ นะ คือลักษณะที่เขาทำแต่ละอย่าง มันเหนื่อยหนัก เพื่อให้คนอื่น คนที่รวยกว่า หรือคนที่เหนือกว่า ได้สบายทั้งนั้นเลย

คือกรรมแบบนี้ ถ้าว่ากันตามทางพุทธอย่างยกตัวอย่าง อาจเคยใช้พ่อใช้แม่ เหมือนกับเป็นคนใช้ ซึ่งถ้าสมมติว่าทำอยู่ทั้งชาตินี่ เกิดใหม่อย่างไร ก็ต้องเกิดใต้ฤกษ์ของคนใช้ คือไปเป็นลูกจ้างคนอื่นเขาท่าเดียว พยายามจะดิ้นรนเป็นนายตัวเองแค่ไหน ต่อให้เก่ง ต่อให้มีความเพียรพยายามอย่างไร ก็เกินเพดานจำกัดของตัวเองไม่ได้ นี่ผมแค่ยกตัวอย่างให้ฟังนะ

คือคนเรา มีความหวังได้ แต่ความจริงในชีวิตจะคลี่คลาย แสดงตัวออกมาอย่างไร นั่นอีกเรื่องหนึ่งด้วยนะ ไม่ใช่บั่นทอนกำลังใจ คือไม่อยากพูดเป็นสูตรสำเร็จว่าถ้าคุณพยายาม คุณต้องได้

คือในทางพุทธนี่ เราพูดแบบให้ครอบคลุมความจริงแบบสากลเลยว่า ทุกคนมีเพดานจำกัด อยู่ที่วิบากกรรมของตัวเอง คือในชาตินี้ ถ้าเราทำบุญเพิ่ม มีบุญที่จะเอาชนะของเก่า หรือเพดานจำกัดเก่าได้จริงๆนี่ อันนั้นก็โอเค ถ้าใครเจอทาง
แต่คนส่วนใหญ่จะได้แค่ทำบุญแบบตามๆ กัน แล้วก็ไม่มีความคิดริเริ่ม หรือว่าไม่ได้ทำต่อเนื่องมากพอ ที่จะเอาชนะเพดานจำกัดเก่าได้

ถ้าไม่มีบุญมาประกอบ ต่อให้พยายามแค่ไหน บางทีเราก็จะพบแต่ความฝืดเคือง หรือพบความล้มเหลว ซึ่งนั่นก็ทำให้ย้อนกลับไปสาปแช่งพวกโค้ช พวกคนสอนว่า ไหนบอกว่าพยายามแล้วต้องสำเร็จ ... ไม่ใช่นะ
คือในความเป็นจริง โค้ชอาจพูดถูกของเขาในแง่ที่ เขาทำสำเร็จมาแล้ว แล้วก็สามารถทำให้คนอื่น ประสบความสำเร็จตามได้เป็นจำนวนมาก แต่พวกนั้น เขาพยายามอยู่บนเส้นทางที่มีบุญเก่าคอยหนุนหลังด้วย ซึ่งพอพูดเรื่องบุญเก่าไปปุ๊บ มันฟังแล้วก็บั่นทอนกำลังใจมากเลยนะ เพราะไม่รู้ว่าเรามีบุญเก่ามาแค่ไหน

เพราะฉะนั้นนี่ ถ้าให้คำแนะนำแบบพุทธที่ดีที่สุดนะ อย่าหวังแค่บุญเก่า แต่ให้เพิ่มบุญใหม่เข้าไปด้วย เติมบุญใหม่เข้าไปเยอะๆ คือจะเพียรพยายามเพิ่มความร่ำรวยด้วยวิธีทางแบบโลกๆ อย่างไรก็แล้วแต่ พยายามไปเต็มที่ สุดตัว

แต่ในขณะเดียวกัน ไม่ลืมวิธีการทางธรรมด้วย คือ รู้จักช่วยคนอื่น สงเคราะห์คนอื่น คือช่วยด้วยใจอนุเคราะห์ ไม่ใช่ทำบุญทำทานหวังว่า นี่จะมาสนับสนุนให้เราได้รวยเร็วขึ้นกว่าเดิม หรือว่ามีเส้นทางลัดตัดทอนขั้นตอนยุ่งยากต่างๆ ให้เหลือแค่ว่า ทำบุญปุ๊บ พรุ่งนี้ได้ถูกหวยปั๊บอะไรแบบนี้ มันไม่ใช่ความเข้าใจในเรื่องของบุญแบบพุทธ เป็นความเข้าใจเรื่องของบุญแบบเทวดาบันดาล ซึ่งโอเค บางคนไปเจอแล้วบอกว่า ยืนยันว่าไปขอเจ้า ขอศาลที่ไหนแล้วได้จริงๆ นั่นก็ไม่เถียงหรอก ก็มีคนได้แน่ๆ แหละ มีคนลองแล้วต้องได้ ไม่อย่างนั้นไม่มาบอกต่อกันมากมาย แต่ไม่ใช่ทุกคน

คือในแบบของเรานี่ เส้นทางของเรา อาจไม่ได้มาจากการพนัน อาจไม่ได้มาจากการขอเจ้า ขอศาล อาจไมได้มาจากแม้กระทั่งการเพียรพยายาม แต่ละคนมีเส้นทางที่จะแหวกข้อจำกัดหรืออุปสรรคของชีวิตออกไป หรือมีวิธีทำลายหนี้ ที่แตกต่างกัน

แต่จุดร่วมจุดหนึ่งที่ต้องเหมือนกันคือ การทำไว้ในใจว่าเราเหมาะกับเส้นทางแบบไหน ตรงนี้ที่สำคัญนะ คือไม่ใช่สร้างภาพอย่างเดียว แต่รู้จักดูด้วยว่าเส้นทางที่เราเดินไปนั้น เป็นเส้นทางที่ผิดหรือเปล่า เป็นเส้นทางบาป เส้นทางของการหลอกลวงผู้คนหรือเปล่า ตอนนี้โลกไปถึงจุดที่ไม่สนแล้วว่าจะใช้วิธีไหน สนอย่างเดียว ขอให้มีภาพตัวเองเป็นที่จดจำอยู่ในใจคน แล้วก็ขอให้ภาพนั้นในใจคนมาสร้างความร่ำรวยให้ตัวเอง ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีการไหนๆ ความอายหมดไปแล้ว

ทีนี้ถ้าเรามองนะ อย่างคนที่สร้างภาพขึ้นมาด้วยการหลอกลวง ด้วยวิธีหลอกลวงคือ หลอกตัวเองก่อนแล้วไปหลอกคนอื่นต่อ มันไม่จีรัง คนในโลกมนุษย์นี่นะ เกลียดที่สุดคือการหลอกลวง คือถ้าหลอกลวงแบบเนียนไปได้ตลอดชีวิตจนตาย ไม่เป็นไรนะ แต่ถ้าหลอกแล้วถูกจับได้ขึ้นมา อันนี้เป็นเรื่อง
คือผมอยากจะพูดให้ครอบคลุมตรงนี้เลยเพราะว่าปัจจุบัน เวลามีการสอนเรื่องการสร้างภาพในใจขึ้นมา มันมีแต่ภาพของความร่ำรวย แล้วก็ไม่สนใจวิธีการ อย่างพอคนนี่นะ สร้างภาพความร่ำรวยขึ้นมามากๆ เข้า ถึงจุดหนึ่งมันสร้างภาพในแบบหลอกตัวเองโดยอัตโนมัติ หลอกตัวเองว่าจะต้องอย่างนั้น จะต้องอย่างนี้ เสร็จแล้วก็ไปหลอกคนอื่นต่อว่า ฉันเป็นอย่างนั้น ฉันเป็นอย่างนี้ คือมันคล้ายๆ ว่าเข้าใจผิดน่ะ

สูตรเริ่มต้นที่ผมเคยอ่านตั้งแต่เมื่อ 20 -30 ปีก่อน เขาบอกว่าสร้างภาพขึ้นมาเพื่อจูงใจให้ตัวเองค้นหาวิธีที่เหมาะสมเพื่อไปให้ถึงภาพนั้น โดยไม่หยุด โดยไม่เลิกล้มกลางคัน แต่ปัจจุบัน กลายเป็นสร้างภาพขึ้นมาเพื่อที่จะหลอกตัวเอง แล้วก็หลอกคนอื่น ตรงนี้สำคัญนะ แล้วก็เป็นจุดต่าง ระหว่างความรวยแบบโลกๆ กับความร่ำรวยในแบบที่ถูกต้อง ที่พุทธศาสนาสอนนะ ที่เป็นสัมมาอาชีวะนี่

ทีนี้คืออย่างบางทีเราก็อาจถามว่า แล้วทำสมาธิหรือว่าเจริญสติแบบพุทธ มีส่วนช่วย มีส่วนส่งเสริมไหม
ผลพลอยได้ของการทำสมาธิ เพื่อการเจริญสติแบบพุทธนะครับ คือการที่เรามีจิตใจปลอดโปร่ง มีความสบายใจ พูดง่ายๆ หัวแล่น พร้อมจะหัวแล่น คนเราพอพร้อมจะหัวแล่นนะ จะไม่ย่อท้อกับอุปสรรค จะไม่มัวมาเสียดมเสียดาย ไม่มาเสียใจกับสิ่งที่สูญเสียไปแล้ว แต่จะมีพื้นที่ว่างในใจมากพอ ที่จะมองเห็นภาพตรงหน้าอย่างกระจ่าง ว่าอะไรเป็นอะไร

บอกนี่มีหนี้สินใช่ไหม ถ้าใช้วิธีที่เรารับเงินเดือนแล้วก็ค่อยๆ ผ่อนไป มันจะหมดในเวลากี่ปี เท่านั้นเท่านี้ อันนี้เห็นชัดแล้ว เสร็จแล้วเปลี่ยนมุมมองใหม่ คือบอกว่า ถ้าคิดอย่างมนุษย์เงินเดือน ก็ได้ใช้หนี้ไปเท่านี้ปี ก็เกิดความรู้สึกท้อแท้ ก็รู้สึกเหนื่อยรู้สึกแบบนี้เหมือนเดิม
แต่ถ้าเปลี่ยนมุมมองว่า เราไม่ได้ทำงานแบบนี้ เราทำงานเสริม หรือยิ่งไปกว่านั้นเราค่อยๆสร้างคอนเนคชั่น (connection) จนกระทั่งมีวิธีคิดในการทำงานแบบใหม่เลย แล้วก็ได้เงินตอบแทนจากงานใหม่นั้น น่าจะสูงขึ้นกว่าของเก่าแค่ไหน ก็เกิดการคำนวณใหม่ เอ้าถ้าสมมติว่าได้เพิ่มขึ้น ได้รายได้เพิ่มขึ้นสองเท่า อันนี้รู้ตามจริง เห็นภาพชัดๆ เลยว่า มันจะหมดหนี้เร็วขึ้นเป็นสองเท่า ใช้เวลาครึ่งหนึ่งในการทำให้หนี้หมดไป
แต่ถ้ามีวิธีการอื่นอีกที่เป็นไปได้ เอาแบบเป็นไปได้จริง แล้วเราสามารถเริ่มทำ นับก้าวแรกได้กับสิ่งนั้นนี่นะ บอกว่าไม่ใช่แค่สองเท่า มันอาจได้เพิ่มขึ้นเป็นสิบๆ เท่า อย่างนี้คือภาพในใจชัดเจนเช่นกันว่า เราจะหมดหนี้ได้เร็วขึ้นเป็นสิบๆ เท่า

อันนี้คือตัวอย่างนะ ว่าถ้าหัวแล่น ถ้าไม่มาจมอยู่กับอาการสงสารตัวเอง หรือว่าอาการที่ทดท้อ รู้สึกชีวิตอ่อนแอ อะไรต่างๆ มันจะเห็นภาพที่ไม่เคยเห็นมาก่อน นี้คือประโยชน์ของสมาธิแบบรู้ตามจริง แบบการเจริญสติ ที่เอามาประยุกต์กับการทำงานแบบโลกๆ นะ

เพราะฉะนั้นสรุปง่ายๆ ว่า ถ้าคุณเป็นคนที่ เป็นหนึ่งในคนที่อยากจะฐานะดีขึ้น แล้วก็อยากจะภาวนาไปด้วย ไม่อยากให้ชีวิตนี้สูญเปล่าไปอีกชาติหนึ่ง กับการทำงานแบบโลกๆ แล้วก็ตายไป อยากจะภาวนาไปด้วย ถึงไหนไม่ถึงไหน ได้หรือไม่ได้ช่างมันก่อน แต่อย่างน้อยขอให้ได้สะสมไป มีสติเพิ่มขึ้นทุกวัน ...

ต้องตั้งโจทย์ใหม่นะครับว่า ทำสมาธิอย่างไรให้หัวแล่น คือ ไม่ใช่ตั้งโจทย์ว่า ทำสมาธิอย่างไรให้รวย แบบนั้นมันเป็นการออกอ่าว มันมองไม่เห็นฝั่ง คือบางคนนี่พอออกอ่าวไป ก็ฟลุ้คไปเจอเกาะจริงๆ ไปเจอฝั่งจริงๆ แต่คนส่วนใหญ่ถ้าออกอ่าวแล้ว มันไม่เจอเกาะนะ ไม่เจอฝั่งนะ เจอแต่ทะเลเวิ้งว้าง

ทีนี้ถ้าเรามีเป้า มีทิศทางชัดเจน มีเข็มทิศที่ถูกต้องนะ เราจะทำสมาธิแบบพุทธเพื่อให้หัวแล่น เพื่อให้ใจโล่ง แล้วก็สามารถรับมือกับความโหดร้ายของหนี้สินได้ โดยไม่ต้องไปใช้หนทางวิธีอะไรที่มันลัดๆ ที่มันผิดๆ นะ

คือจำไว้เลย ทางพุทธนะ คุณจะสร้างภาพอย่างไรก็ได้ ขออย่างเดียวอย่าหลอกคน!

____________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ทำสมาธิอย่างไรให้รวย?
วันที่ 27 มิถุนายน 2563

ถอดความ : เอ้
รับชมคลิปhttps://www.youtube.com/watch?v=evL-DjbzD9k

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น