วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ผมฝึกเจริญสติมาตลอด แต่ติดปัญหาคือไม่กล้าคุยหรือมองหน้าคนแปลกหน้าบางคนได้ ยิ่งเวลามีสติรู้เท่าทัน ความเกร็งอาการยิ่งหนัก ทำอย่างไรดีครับ?


ดังตฤณ :  ผมยกอย่างนี้ก่อน อย่างสมัยพุทธกาล เคยมีเหล่าภิกษุที่กระโดดขึ้นไปทำอสุภกรรมฐาน พิจารณากายโดยความเป็นของโสโครก เสร็จแล้วพอเห็นว่าร่างกายมันเต็มไปด้วยความสกปรกเหมือนส้วม ก็อึดอัดระอาแล้วก็ทนไม่ไหว ฆ่าตัวตายบ้าง หรือว่าวานคนอื่นฆ่าบ้าง พระพุทธเจ้าทรงทราบท่านก็เรียกประชุมสงฆ์ แล้วบอกว่าที่ถูกเนี่ยต้องทำอานาปานสติให้เกิดความสุขให้ได้ก่อน

เพราะว่าอะไร เพราะว่าจิตเนี่ย พอมันมีความสุข มันมีความนิ่งเป็นสมาธิแล้ว มันเหมือนมีทุน มีต้นทุน มีความสามารถที่จิตจะไม่อึดอัดระอา ทำตัวเป็นผู้รู้ ผู้ดู แยกออกไปเป็นต่างหากจากสภาพทางกายทางใจได้

พูดง่ายๆพอมีความสุขมีสมาธิ อันเกิดจากการสังเกตลมหายใจเป็นแล้วเนี่ยนะครับ จะทำกรรมฐานข้อไหน หรือว่าจะดูจิตดูใจอย่างไร มันก็จะเกิดความชัดเจนนะครับ แยกตนเป็นต่างหากจากอาการเหล่านั้น สภาวะเหล่านั้น ไม่เข้าไปเกลือกกลั้วกับสภาวะเหล่านั้น

อันนี้ตัวคำถามเนี่ย บ่งบอกว่าคุณเจริญสติแบบที่อยู่ๆกระโดดไปดูไปรู้อาการเกร็งขึ้นมาเฉยๆ คือแบบนั้นมันไม่ได้เรียกว่ารู้อาการเกร็งนะ แต่มันไปเพิ่มอาการเกร็ง ไปโฟกัสอยู่กับความเกร็ง ไปจดจ้องโดยที่มีความสุขไม่เป็น ถ้ามีความสุขเป็นเนี่ย จิตจะถอยออกมาเป็นผู้รู้

แต่ถ้าพยายามดูแบบที่มันมีความสุขไม่ได้ มันจะกลายเป็นเราไปเพิ่มปัญหานะ ไม่ได้ถอนปัญหา ไม่ใช่ถอนตัวออกมาจากไอ้ความเกร็งนะครับ เนี่ยอย่างเมื่อกี้นี้ เราดูแอนิเมชั่นลมหายใจไปเนี่ย กลับมาให้ดูอีกครั้งก็ได้ (ขึ้นแอนิเมชั่นฝึกหายใจยาว) เนี่ยอย่างตอนนี้ คุณลองนึกดูนะ ถ้าคุณสามารถทำอย่างนี้ได้เป็นปกตินะครับ เวลาที่หายใจเข้าพองท้องออกมาเหมือนลูกโป่งที่มันขยายออกมาสบายๆเนี่ย  แล้วหยุดแป๊บนึงก่อนที่ให้ปอดมันยุบคืนกลับไปเข้าที่

เสร็จแล้วเนี่ยพอคุณเจอคนแปลกหน้า แล้วเกิดความรู้สึกเกร็งเนื้อเกร็งตัวขึ้นมา มันจะมีข้อเปรียบเทียบแตกต่างจากตอนที่คุณผ่อนคลาย ตอนที่คุณหายใจอย่างสบายเห็นได้ชัด มีความเกร็งที่ตรงไหน มีความรู้สึกไม่สบายตรงส่วนใดอวัยวะไหนของร่างกายก็ตามเนี่ย มันจะเห็นเป็นของแปลกปลอม มันจะเห็นเหมือนกับของที่แทรกซ้อนขึ้นมาท่ามกลางความสงบความสบายความผ่อนคลาย เนี่ยตัวนี้เนี่ยมันก็จะทำให้เกิดความสามารถของจิตที่จะเป็นผู้รู้ว่า ไอ้ความเกร็งมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ที่ตรงไหน โดยไม่เข้าไปเพิ่มตัวความเกร็งให้มันมากขึ้น

เจริญสติเนี่ยขอให้เข้าใจอย่างนี้ว่า ไม่ใช่การพยายามดูอะไรที่มันเกินความสามารถที่จะดู การเจริญสติที่ถูกต้อง มันต้องมีสติรู้ตามจริงยอมรับตามจริง ณ จุดเกิดเหตุ โดยไม่เข้าไปเพิ่มปัญหาของสภาวะดังกล่าวนะครับ

อย่างเช่นในกรณีนี้เนี่ย คุณเจอคนแปลกหน้าเนี่ย มันจะทำให้เกิดความปรุงแต่งจิตขึ้นมาแบบหนึ่งว่ารู้สึกเป็นทุกข์ ถ้าคุณรู้ความทุกข์ด้วยอาการของใจที่มันแห้งเหี่ยว ที่มันไม่พร้อม ที่มันไม่อยากจะยอมรับความจริง นั่นน่ะมันจะเกิดกระบวนการๆฝืน หรือพยายามที่จะรู้ๆตัวความทุกข์ ฝืนรู้ความทุกข์ก็คือ เพิ่มความทุกข์ขึ้นมานั่นเอง

แต่ถ้าคุณมีทุนรอน มีความสามารถที่จะรู้เห็นว่า การหายใจเข้าออกแต่ละครั้ง เวลาหายใจยาวมันมีความสุขยังไง เวลาหายใจสั้น มันมีความทุกข์ยังไง เปรียบเทียบง่ายๆได้อย่างนี้ คุณก็จะสามารถเปรียบเทียบได้เช่นกันว่า ก่อนที่จะเจอคนแปลกหน้าแล้วเป็นทุกข์เนี่ย อาการทางใจมันสบายๆอยู่เป็นปกติอยู่อย่างไร แล้วพอเจอคนแปลกหน้านะ มีความทุกข์มีความบีบคั้นขึ้นมาทั้งทางกายและทางใจเนี่ย มันแตกต่างไปอย่างไร อันนี้มันก็จะเกิดความรู้สึกชิลๆ (chill)ที่จะรู้ ไม่ใช่ไปพยายามฝืน ไปพยายามฝืด ที่จะรับรู้สภาพความทุกข์ให้ได้แบบนั้น

---------------------------------------

ผู้ถอดคำ                      แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์                  ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม                         ผมฝึกเจริญสติมาตลอด แต่ติดปัญหาคือไม่กล้าคุยหรือมองหน้า
                              คนแปลกหน้าบางคนได้ ยิ่งเวลามีสติรู้เท่าทัน 
                              ความเกร็งอาการยิ่งหนัก ทำอย่างไรดีครับ?            
ระยะเวลาคลิป           ๕.๔๘ นาที
รับชมทางยูทูบ                https://www.youtube.com/watch?v=iWDPNqH_KNE&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=32

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น