ดังตฤณ : ผมยกอย่างนี้ก่อน อย่างสมัยพุทธกาล เคยมีเหล่าภิกษุที่กระโดดขึ้นไปทำอสุภกรรมฐาน
พิจารณากายโดยความเป็นของโสโครก เสร็จแล้วพอเห็นว่าร่างกายมันเต็มไปด้วยความสกปรกเหมือนส้วม
ก็อึดอัดระอาแล้วก็ทนไม่ไหว ฆ่าตัวตายบ้าง หรือว่าวานคนอื่นฆ่าบ้าง พระพุทธเจ้าทรงทราบท่านก็เรียกประชุมสงฆ์
แล้วบอกว่าที่ถูกเนี่ยต้องทำอานาปานสติให้เกิดความสุขให้ได้ก่อน
เพราะว่าอะไร
เพราะว่าจิตเนี่ย พอมันมีความสุข มันมีความนิ่งเป็นสมาธิแล้ว มันเหมือนมีทุน
มีต้นทุน มีความสามารถที่จิตจะไม่อึดอัดระอา ทำตัวเป็นผู้รู้ ผู้ดู แยกออกไปเป็นต่างหากจากสภาพทางกายทางใจได้
พูดง่ายๆพอมีความสุขมีสมาธิ
อันเกิดจากการสังเกตลมหายใจเป็นแล้วเนี่ยนะครับ จะทำกรรมฐานข้อไหน
หรือว่าจะดูจิตดูใจอย่างไร มันก็จะเกิดความชัดเจนนะครับ
แยกตนเป็นต่างหากจากอาการเหล่านั้น สภาวะเหล่านั้น ไม่เข้าไปเกลือกกลั้วกับสภาวะเหล่านั้น
อันนี้ตัวคำถามเนี่ย
บ่งบอกว่าคุณเจริญสติแบบที่อยู่ๆกระโดดไปดูไปรู้อาการเกร็งขึ้นมาเฉยๆ
คือแบบนั้นมันไม่ได้เรียกว่ารู้อาการเกร็งนะ แต่มันไปเพิ่มอาการเกร็ง
ไปโฟกัสอยู่กับความเกร็ง ไปจดจ้องโดยที่มีความสุขไม่เป็น ถ้ามีความสุขเป็นเนี่ย
จิตจะถอยออกมาเป็นผู้รู้
แต่ถ้าพยายามดูแบบที่มันมีความสุขไม่ได้
มันจะกลายเป็นเราไปเพิ่มปัญหานะ ไม่ได้ถอนปัญหา
ไม่ใช่ถอนตัวออกมาจากไอ้ความเกร็งนะครับ เนี่ยอย่างเมื่อกี้นี้ เราดูแอนิเมชั่นลมหายใจไปเนี่ย
กลับมาให้ดูอีกครั้งก็ได้ (ขึ้นแอนิเมชั่นฝึกหายใจยาว) เนี่ยอย่างตอนนี้ คุณลองนึกดูนะ
ถ้าคุณสามารถทำอย่างนี้ได้เป็นปกตินะครับ
เวลาที่หายใจเข้าพองท้องออกมาเหมือนลูกโป่งที่มันขยายออกมาสบายๆเนี่ย แล้วหยุดแป๊บนึงก่อนที่ให้ปอดมันยุบคืนกลับไปเข้าที่
เสร็จแล้วเนี่ยพอคุณเจอคนแปลกหน้า
แล้วเกิดความรู้สึกเกร็งเนื้อเกร็งตัวขึ้นมา
มันจะมีข้อเปรียบเทียบแตกต่างจากตอนที่คุณผ่อนคลาย
ตอนที่คุณหายใจอย่างสบายเห็นได้ชัด มีความเกร็งที่ตรงไหน
มีความรู้สึกไม่สบายตรงส่วนใดอวัยวะไหนของร่างกายก็ตามเนี่ย
มันจะเห็นเป็นของแปลกปลอม มันจะเห็นเหมือนกับของที่แทรกซ้อนขึ้นมาท่ามกลางความสงบความสบายความผ่อนคลาย
เนี่ยตัวนี้เนี่ยมันก็จะทำให้เกิดความสามารถของจิตที่จะเป็นผู้รู้ว่า
ไอ้ความเกร็งมันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ที่ตรงไหน โดยไม่เข้าไปเพิ่มตัวความเกร็งให้มันมากขึ้น
เจริญสติเนี่ยขอให้เข้าใจอย่างนี้ว่า
ไม่ใช่การพยายามดูอะไรที่มันเกินความสามารถที่จะดู การเจริญสติที่ถูกต้อง
มันต้องมีสติรู้ตามจริงยอมรับตามจริง ณ จุดเกิดเหตุ
โดยไม่เข้าไปเพิ่มปัญหาของสภาวะดังกล่าวนะครับ
อย่างเช่นในกรณีนี้เนี่ย
คุณเจอคนแปลกหน้าเนี่ย มันจะทำให้เกิดความปรุงแต่งจิตขึ้นมาแบบหนึ่งว่ารู้สึกเป็นทุกข์
ถ้าคุณรู้ความทุกข์ด้วยอาการของใจที่มันแห้งเหี่ยว ที่มันไม่พร้อม
ที่มันไม่อยากจะยอมรับความจริง นั่นน่ะมันจะเกิดกระบวนการๆฝืน หรือพยายามที่จะรู้ๆตัวความทุกข์
ฝืนรู้ความทุกข์ก็คือ เพิ่มความทุกข์ขึ้นมานั่นเอง
---------------------------------------
ผู้ถอดคำ แพร์รีส แพร์รีส
วันที่ไลฟ์ ๓๐
พฤษภาคม ๒๕๖๓ (รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน)
คำถาม ผมฝึกเจริญสติมาตลอด
แต่ติดปัญหาคือไม่กล้าคุยหรือมองหน้า
คนแปลกหน้าบางคนได้ ยิ่งเวลามีสติรู้เท่าทัน
ความเกร็งอาการยิ่งหนัก ทำอย่างไรดีครับ?
ระยะเวลาคลิป ๕.๔๘ นาที
รับชมทางยูทูบ https://www.youtube.com/watch?v=iWDPNqH_KNE&list=PLmDLNhxScsWPHpIdf0LAQiQM1j9ZebEMx&index=32
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น