ดังตฤณ :
ถ้าหากว่ารู้ตัวว่าเป็นคนหยิบโหย่งไม่ค่อยจะเอาจริงเอาจัง
หรือโดนถูกว่าถูกตำหนิว่า ท่าดีทีเหลวก็ขอให้มองเป็นจิตก็แล้วกัน
จิตของเราเนี่ยไม่พุ่งตรงไปสู่เป้าหมาย จิตของเราเนี่ยอ้อยอิ่งอยู่ หันซ้ายหันขวาเหลียวหน้าเหลียวหลัง อยู่ที่จุดเริ่มต้น หรือไม่ก็ก้าวออกมาจากจุดเริ่มต้นแป๊บๆ เสร็จแล้วก็มีอาการแช่อิ่มอยู่ หรือไม่ก็หนักกว่านั้น ถอยกลับไปก้าวแรก แล้วก็หาทิศทางใหม่ที่จะก้าวเดินต่อ
จิตของเราเนี่ยไม่พุ่งตรงไปสู่เป้าหมาย จิตของเราเนี่ยอ้อยอิ่งอยู่ หันซ้ายหันขวาเหลียวหน้าเหลียวหลัง อยู่ที่จุดเริ่มต้น หรือไม่ก็ก้าวออกมาจากจุดเริ่มต้นแป๊บๆ เสร็จแล้วก็มีอาการแช่อิ่มอยู่ หรือไม่ก็หนักกว่านั้น ถอยกลับไปก้าวแรก แล้วก็หาทิศทางใหม่ที่จะก้าวเดินต่อ
อย่างนั้นเนี่ย
พูดง่ายๆว่า เป็นจิตที่มีความซัดส่าย ไม่มีความแน่นอน ไม่มีความพุ่งตรงไปแบบสมาธิ
เปรียบเทียบง่ายๆก็คือ จิตของเราเป็นจิตที่ฟุ้งซ่าน แล้วก็คิดย้อนไปย้อนมา
แตกต่างจากคนที่ทำอะไรจริงจัง แตกต่างจากคนที่ทำอะไรสำเร็จมุ่งตรงไปหาเส้นชัยตั้งแต่ก้าวแรกจนถึงก้าวสุดท้ายโดยไม่ย่อท้อ
จิตที่มันต่างกัน
ถ้าเราตีโจทย์เป็นจิต มันจะดูง่ายขึ้นว่าจะให้ทำยังไง
ก็เปลี่ยนจากลักษณะของจิตฟุ้งซ่าน ให้กลายเป็นจิตที่มีความเป็นสมาธินั่นเอง
เปลี่ยนจากจิตที่ไม่มีกำลังที่จะก้าวเดินไปที่ละก้าวทีละก้าวตามลำดับ เป็นจิตที่มีกำลังที่จะก้าวไปอย่างคงเส้นคงวา แล้วก็มีจังหวะจะโคนที่ไม่วอกแวกไม่หวั่นไหว
ถ้าหากว่าเรามีวิธีอะไร
ทั้งในเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวัน แล้วก็ในเรื่องของการเจริญสติ
เปลี่ยนลักษณะของจิตที่ซัดส่ายแกว่งไปแกว่งมา ให้กลายเป็นจิตที่พุ่งตรงไปข้างหน้าได้
อันนี้แหละก็เปลี่ยนลักษณะนิสัย และชีวิตทั้งชีวิตของเราออกมาจากข้างในได้เลยทันทีนะครับ
วิธีง่ายๆ อุบายง่ายๆ อาจจะไม่ได้สามารถจะ
Apply ได้กับทุกคน แต่โดยทั่วไป ขอให้อาศัยหลักการที่ว่า ถ้าอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้อาศัยกำลังของบุญกุศลและแสงสว่างเป็นหลักเป็นเครื่องตั้งแล้วจะง่าย คือผมไม่ได้บอกว่า ทุกคนจะต้องมาเริ่มต้นแบบนี้กันทั้งโลก
เพราะว่าศรัทธาของคนแตกต่างกัน
ถ้าหากว่าเราศรัทธาในพุทธศาสนา ศรัทธาพระพุทธเจ้า ศรัทธาในเรื่องของผลแห่งกรรม ศรัทธาในเรื่องของบุญกุศล เราต้องฟังคำแนะนำจากทางพุทธว่า เบื้องต้นที่ใจของเราจะมีกำลังได้ ต้องอาศัยบุญ ต้องอาศัยความสว่าง ต้องอาศัยความเป็นกุศล ไม่ใช่อาศัยบาปหรืออาศัยแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำความเพียรอย่างเดียว
ถ้าหากว่าเราศรัทธาในพุทธศาสนา ศรัทธาพระพุทธเจ้า ศรัทธาในเรื่องของผลแห่งกรรม ศรัทธาในเรื่องของบุญกุศล เราต้องฟังคำแนะนำจากทางพุทธว่า เบื้องต้นที่ใจของเราจะมีกำลังได้ ต้องอาศัยบุญ ต้องอาศัยความสว่าง ต้องอาศัยความเป็นกุศล ไม่ใช่อาศัยบาปหรืออาศัยแต่ตั้งหน้าตั้งตาทำความเพียรอย่างเดียว
เพราะวาตั้งหน้าตั้งตาทำความเพียรอย่างเดียว
บางทีมันแห้งแล้ง จิตใจที่แห้งแล้ง มันไม่มีความชุ่มชื่นมากพอที่จะนิ่ง
พอไม่มีความชุ่มชื่นมากพอที่จะนิ่ง มันก็กวัดแกว่ง มันก็กระสับกระส่ายไม่เป็นสมาธิ
ถ้าตีโจทย์เป็นจิตมันจะมองได้ง่ายๆอย่างนี้
ถ้าหากว่าเรามองเห็นประโยชน์ของบุญของกุศลว่า
เป็นตัวหล่อเลี้ยงเป็นความชุ่มชื่นให้กับจิต เป็นตัวทำให้เกิดความระงับ ความกระสับกระส่ายใจไม่วอกแวกไปไหนได้
แล้วก็จะเห็นนะครับว่า ร่างกายก็จะตอบสนองเป็นความมีกำลัง ที่จะเป็นเครื่องตั้งของสมาธิจิตได้ต่อๆไปได้นานต่อเนื่องไม่ล้มลุกคลุกคลานเสียก่อน
เมื่อทำความเข้าใจโดยภาพรวมแบบนี้แล้วถามว่า
บุญอันเป็นเครื่องตั้งจะให้ทำอะไรล่ะ ทำอะไรก็ได้ ที่เป็นสิ่งที่เราพอใจที่จะทำ
อย่างเช่นจะใส่บาตรพระง่ายๆเลย หรือว่าจะสวดมนต์
หรือว่าจะออกไปเลี้ยงเด็กกำพร้า เลี้ยงคนชราที่ลูกหลานทอดทิ้ง หรือว่าจะไปปล่อยนกปล่อยปลา ไปวัดไปไหว้ครูบาอาจารย์ที่ไหนก็แล้วแต่นะครับ
อะไรก็แล้วแต่ ที่เรารู้อยู่แก่ใจว่า ทำแล้วเกิดความชุ่มชื่น
ทำแล้วเกิดความปีติ ทำแล้วเกิดความสบายใจ อันนั้นแหละ เครื่องตั้งของสมาธิ
สำคัญก็คือว่า ความชุ่มชื่นที่เราจะเอามาหล่อเลี้ยงจิตใจนั้น ต้องมีความต่อเนื่อง ต้องไหลมาเทมาเหมือนกับสายน้ำที่มันไม่หยุด ถ้าหากว่าเราทำแค่ครั้งสองครั้ง อย่างนั้นยังไม่ได้ชื่อว่า เป็นการทำบุญเพื่อที่จะอุดหนุนให้จิตเกิดความตั้งมั่นเป็นสมาธิขึ้นมา
สำคัญก็คือว่า ความชุ่มชื่นที่เราจะเอามาหล่อเลี้ยงจิตใจนั้น ต้องมีความต่อเนื่อง ต้องไหลมาเทมาเหมือนกับสายน้ำที่มันไม่หยุด ถ้าหากว่าเราทำแค่ครั้งสองครั้ง อย่างนั้นยังไม่ได้ชื่อว่า เป็นการทำบุญเพื่อที่จะอุดหนุนให้จิตเกิดความตั้งมั่นเป็นสมาธิขึ้นมา
เราต้องเลือกบุญอะไรบางอย่าง
ที่มันมีความแน่นอน มันเกิดขึ้นซ้ำๆๆทุกวันได้ยิ่งดี
แล้วก็เห็นจะไม่มีอะไรเกินไปกว่าการสวดมนต์ เพราะว่าบางคนอ้างว่ายังทำสมาธิไม่เก่ง
แต่ว่าเรื่องสวดมนต์เนี่ย เป็นของง่ายเป็นของที่ทำได้กันทั้งนั้น
ปัญหาก็คือ หลายคนสวดแล้วรู้สึกว่าจิตใจไม่ได้ชุ่มชื่น
ไม่ได้อินไปกับบทสวด นั่นก็เป็นเพราะว่าสวดน้อยเกินไป หรือไม่ก็สวดแบบตั้งใจมากเกินไป
หรือไม่ก็สวดแบบปล่อยใจฟุ้งซ่านซัดส่าย
ทำอย่างไรถึงจะเป็นสมาธิขึ้นมาได้
สวดมนต์ให้เกิดสมาธินะ วิธีอุบายง่ายๆก็คือ ตั้งใจไว้เลยว่าจะสวดประมาณ ๗ จบ , ๗
จบเนี่ยนะแต่ละจบให้สังเกตเข้ามาดูที่อาการทางกายทางใจ
รอบแรกมีอาการกระสับกระส่ายแค่ไหน มีความฟุ้งซ่านแค่ไหน มันต้องฟุ้งซ่านแน่ๆ
มันต้องกระสับกระส่ายแน่ๆ มันต้องมีความรู้สึกฝืน หรือไม่อยากทำให้สำเร็จ
ไม่อยากต่อให้ครบ ๗ จบแน่ๆ
แต่พอขึ้นรอบ
๒ ลองสังเกตความแตกต่างไป ร่างกายกับจิตใจเนี่ยมีความสงบลงมั้ย มีความระงับอาการกวัดแกว่งลงบ้างมั้ย
ถ้าหากว่ายังไม่ระงับ ก็ไม่ต้องไปบังคับให้มันระงับ แต่ยอมรับตามจริงไปว่ารอบ ๒
ก็ยังไม่ระงับอยู่ดี แต่พอขึ้นรอบ ๓ รอบ ๔ มันต้องมีแน่ๆความแตกต่างไป
อาการทางใจไม่ว่าจะเป็นความชุ่มชื่น
ไม่ว่าจะเป็นความสว่าง ไม่ว่าจะเป็นความโล่ง
ไม่ว่าจะเป็นความสงบระงับของอาการฟุ้งซ่านใดๆก็แล้วแต่ ที่มันเปลี่ยนแปลงไป
นั่นน่ะตรงนั้นให้จำไว้ว่า เออรอบนี้นะมันแตกต่างจากรอบก่อนๆแล้ว
ถ้าหากเราสามารถที่จะเห็นได้ทั้ง
๗ จบว่า แต่ละจบจิตมันไม่เหมือนเดิมเลยสักจบเดียว
นี่เรียกว่า เห็นความไม่เที่ยงของอาการทางใจผ่านการสวดมนต์แล้ว และเกิดอะไรขึ้น
มันจะได้ทั้งมีความปีตินะ เออเราเห็นอะไรบางอย่างที่แตกต่างไป ทั้งความฟุ้งซ่านที่มันลดระดับลง
มันทำให้เกิดกำลังใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่า
จิตของเรามีความสามารถที่จะลดความฟุ้งซ่านลงได้ มีความสามารถที่จะมุ่งมั่นแน่วแน่เอาให้ครบ
๗ จบอย่างมีความสุขได้
แล้วถ้าหากว่า กำลังบุญของเรามีความแน่นหนามากพอ
ยกตัวอย่างเช่น ถ้าหากว่าทำสำเร็จสวดมนต์ได้ ๗ จบทุกวันไปสักหนึ่งเดือน หรือสองเดือน
เราจะมีความรู้สึกมั่นใจในตัวเองขึ้นมาว่า เราทำได้ เราทำสำเร็จ
แล้วเราไม่ใช่คนที่เบี้ยวกับตัวเองอีกต่อไป เราสามารถทำบุญอะไรบางอย่าง ที่มันเป็นหลัก ที่มันเป็นเครื่องตั้งที่จะเป็นคนมีความคงเส้นคงว่ากับตัวเอง รักษาสัตย์กับตัวเองได้
รักษาสัจจะกับตัวเองได้
เมื่อมีความมั่นใจในบุญที่ทำแล้ว
ต่อไปพอจะทำอะไรตั้งใจอะไรเนี่ย จิตมันจะเริ่มพุ่งตรงไปข้างหน้า
มันจะไม่มีอาการกระจัดกระจายซัดส่ายเหมือนอย่างที่ผ่านมา
เราจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลย อาการของจิตที่มีความซัดส่าย มันจะวนๆๆๆอยู่รอบๆตัวเองเนี่ยแหละไม่ไปไหน แล้วคิดเนี่ย มันก็คิดแบบกลับไปกลับมา แบบย้อนไปย้อนมา อุตส่าห์ก้าวไปหนึ่ง สอง สาม แล้วย้อนกลับมาก้าวที่สองใหม่ ย้อนกลับมาก้าวที่หนึ่งใหม่
เราจะสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนเลย อาการของจิตที่มีความซัดส่าย มันจะวนๆๆๆอยู่รอบๆตัวเองเนี่ยแหละไม่ไปไหน แล้วคิดเนี่ย มันก็คิดแบบกลับไปกลับมา แบบย้อนไปย้อนมา อุตส่าห์ก้าวไปหนึ่ง สอง สาม แล้วย้อนกลับมาก้าวที่สองใหม่ ย้อนกลับมาก้าวที่หนึ่งใหม่
แต่ถ้าหากว่า มีความชุ่มชื่นมีความโปร่งโล่ง
มีความรู้สึกชัดเจนว่า เราจะทำอะไรจริงๆนะครับ จิตใจมันจะเหมือนกับเปิด
เหมือนกับฟ้าเปิด เหมือนกับทุ่งโล่งที่ไม่มีพายุซัด
เราสามารถที่จะเดินอย่างสบายๆไปทีละก้าวได้ แล้วเราก็ไม่รีบร้อน
ไม่ได้เร่งว่าเมื่อไหร่จะถึงสักที
---------------------------------------------
ผู้ถอดคำ : แพร์รีส แพร์รีส
รายการดังตฤณวิสัชณา ครั้งที่
๑๔ วันที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕
คำถาม : มีเหตุปัจจัยอะไรทั้งภายในใจตัวเราเอง และสิ่งภายนอกที่ทำให้เราเป็นคนไม่ค่อยจริงจัง
กับเรื่องต่างๆ ทั้งชีวิตและการทำงาน เหมือนจะกลายเป็นคนหยิบโหย่ง ท่าดีทีเหลวตลอด
ทำให้รู้สึกแย่กับตัวเอง มีวิธีตั้งจิตยังไงที่ถึงจะทำให้มีความจริงจังและมุ่งมั่นขึ้นกว่านี้?
กับเรื่องต่างๆ ทั้งชีวิตและการทำงาน เหมือนจะกลายเป็นคนหยิบโหย่ง ท่าดีทีเหลวตลอด
ทำให้รู้สึกแย่กับตัวเอง มีวิธีตั้งจิตยังไงที่ถึงจะทำให้มีความจริงจังและมุ่งมั่นขึ้นกว่านี้?
ความยาวคลิป
๑๐.๔๒ นาที
รับชมทางยูทูบ : https://www.youtube.com/watch?v=8lyKqks8rbw
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น