วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2564

08 รู้ชาตินี้ ได้ชาตินี้ : รวมฟีดแบคหลังโพลที่ 1

- ต้องชาตินี้แหละ ทำให้ดีสุดไว้ก่อน ไม่ได้ก็ช่างมัน

 

ดังตฤณ : นั่นแหละ สัมมาทิฏฐิ เริ่มต้นจากการตัดสินใจแบบนี้นะ เพราะถ้าไม่คิดแบบนี้ แล้วหวังชาติหน้า พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสไว้นะ ถ้าหวังชาติหน้า โอกาสที่จะถึงที่สุดธรรม แบบที่พระองค์ได้ตรัสสอนไว้ ก็ไม่มีนะ

 

เพราะใจผูกไว้แล้วว่า ไม่เอาสิ้นสุดชาตินี้ จะไปเอารางวัลอะไรก็ไม่รู้ชาติหน้า

*

*

- ผมไม่เบื่อว่าผมจะบรรลุ แต่เชื่อว่าสามารถเรียนรู้กายใจ ตามที่มันเป็นไปตามจริงได้ครับ

 

ดังตฤณ : แค่ตั้งความเชื่อไว้ได้อย่างนี้ ก็เรียกว่ามาถูกทางสัมมาทิฏฐิ มาถูกทิศถูกทางแล้ว เรื่องบรรลุ ไม่บรรลุ .. คือ คนยังไม่บรรลุ จะไปมั่นใจในตัวเองได้อย่างไร แต่ถ้าหากว่า เราเรียนรู้ที่จะเห็นลมหายใจนาทีนี้ แล้วรู้สึกว่า เชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็น ว่าไม่เที่ยงจริงๆ ไม่ใช่ตัวของเราจริงๆ ไม่ใช่ของๆ เราจริง นับเริ่มตั้งแต่ลมหายใจเข้าออกนี้ ก็คือ ปากทางแล้ว ที่จะเข้าถึง

*

*

- ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้เลิกปฏิบัติ ในทางตรงกันข้ามกลับ

รู้สึกด้อยปัญญาที่ไม่สามารถเข้าใจสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นได้แจ่มแจ้ง

 

ดังตฤณ : จริงๆ ไม่ใช่เรื่องด้อยปัญญา ไม่ด้อยปัญญา แต่บางทีเป็นเรื่องที่ว่าเรารู้ทางที่จะทำให้จิตอยู่ในภาวะเห็นชัดได้หรือไม่นะครับ

*

*

- ผมเชื่อว่าถ้าทำไปเรื่อยๆ ต้องบรรลุได้ครับ ไม่ชาตินี้ก็ชาติถัดๆไปครับ

 

ดังตฤณ : ถูกครับ

*

*

- พอรู้ลมหายใจ สภาวะปลอดโปร่งขึ้น

 

ดังตฤณ : ถ้ารู้สึกว่ามีความปลอดโปร่ง มีความสบายใจมากขึ้น ถ้าสังเกตเข้าไป อาจเริ่มจากที่เนื้อตัวผ่อนคลาย หายใจได้ยาวขึ้น มีความสุขกับการหายใจมากขึ้น

 

แล้วถ้าหากว่าอาการทางใจจากเดิมเคยหมกมุ่น กลายเป็นว่ามีลักษณะเปิดออก ไม่หมกมุ่นเหมือนเดิม ก็แสดงว่าหายใจแล้ว ไปเปิดใจ ไปง้างให้จิต ออกมาจากที่หมกมุ่น ที่คับแคบ

 

พอเปิดออกกว้าง มนุษย์ทุกคนเคยใจแคบ พอเปิดออกกว้างนี่ จะรู้สึกสบาย รู้สึกว่าชีวิตต่างไปกันทั้งนั้น อนุโมทนานะ

 

- เข้าเรียนตั้งแต่อาจารย์เริ่มสอนค่ะ ทำตามทุกๆ ไลฟ์ เข้าเรียนทุกไลฟ์ และดูย้อนหลังในบางไลฟ์ที่ไม่เข้าใจ และยากสำหรับตัวเอง ตอนนี้ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะจิดบางวันเบา บางวันหนัก แต่ที่สังเกตตัวเองคือ ถ้านั่งสมาธิต่อเนื่องทุกวัน และมีสติระหวางวันที่จะนึกขึ้นมาได้ จะเบากาย และเบาใจ ช่วงเดือนแรกรู้สึกว่าอยูในมรณสติ แต่ตอนนี้จะอยู่กับปัจจุบันค่ะ

 

ดังตฤณ : นี่แหละ คือพัฒนาการของแต่ละคน จะคล้ายๆ กัน คือช่วงแรกๆ จะได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่เสร็จแล้ว จะสังเกตเห็นรายละเอียดถึงเหตุปัจจัยที่ได้บ้าง เพราะมีเหตุปัจจัยอะไรอุดหนุน ไม่ได้บ้าง เพราะมีเหตุปัจจัยอะไรมากดไว้

 

ในที่สุดแล้ว เราจะเห็นตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทุกประการ ในแง่ของการปฏิบัติ ที่เราๆ ท่านๆ สามารถทำตามกันได้ นั่นก็คือว่าเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง จะอยู่ในทิศทางของการให้ทาน การรักษาศีล และการเจริญสติ รู้กายรู้ใจนี่แหละ ไม่พ้นไปจากนี้

 

พอซอยย่อยไป อาจดูพิสดาร ดูเยอะ แต่ว่าโดยทิศทาง โดยหลักการแล้ว อาการทางใจที่ปล่อยออกไป จะปล่อยออกไปตั้งแต่คิดให้ทาน คิดให้อภัยเป็นทาน คิดให้ทรัพย์เป็นทาน คิดให้แรงเป็นทาน อย่างนี้ คิดจะรักษาศีล คือปลดปล่อยบาป อกุศลออกจากจิต ไม่ให้เข้ามา คาย คืน ภาวะที่เรียกว่า ภวตัณหาแบบหยาบๆ ออกจากจิตไป

 

การเจริญสติ ก็คือการสำรอกตัณหา สำรอกความเข้าใจผิดที่เป็นอุปาทานที่เป็นความยึดมั่นสำคัญผิดออกไป ทีละเปลาะๆ เป็นการปล่อยออกทั้งนั้นเลย เป็นการที่เราค่อยๆ ทำให้ใจ คลาย สบาย แล้วก็มีความรู้สึกว่าไม่ยึดไว้ ไม่มีอาการยึดไว้ ไม่มีอาการกำไว้นะ

 

แต่ละขั้น แต่ละตอน แต่ละเดือน แต่ละปี เราจะเห็นตัวเองแตกต่างไปเรื่อยๆ ตามเหตุปัจจัย แต่ถ้าหากว่าอยู่ในทิศทางนี้ ที่จะปล่อยออก ที่จะคายออกไป เราจะพบว่าตัวเองมาไกล เมื่อถึงจุดหนึ่ง ที่มองย้อนกลับไปข้างหลัง ปี สองปี หรือว่าเดือนสองเดือน บางคนเดือนสองเดือน มองย้อนกลับไป โอ้โห มาไกลแล้ว นี่ก็เพราะว่ารู้จักการคาย รู้จักการคืน รู้จักการที่เลิกอม เลิกหวงไว้ เลิกผูกไว้ เลิกยึดไว้ มีอาการคลี่คลาย แผ่ผายออก แค่นี้ ก็อยู่ในทิศทางที่เราจะพบตัวเองก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ

__________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน รู้ชาตินี้ได้ชาตินี้

- ช่วงรวมฟีดแบคหลังโพลที่ 1

วันที่ 23 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=upHRZ2gyJGw&t=17s

 

07 รู้ชาตินี้ ได้ชาตินี้ : รวมคำถามเกี่ยวกับห้องวิปัสสนานุบาล

 (อยู่ระหว่างดำเนินการถอดเสียงค่ะ)

06 รู้ชาตินี้ ได้ชาตินี้ : แอนิเมชั่น ทำสมาธิร่วมกัน

ดังตฤณ : เราจะมาทำสมาธิกันในแบบที่จะทำให้รู้สึกถึงลมหายใจ

 

เอาง่ายๆ ถ้าหากว่า ขึ้นต้นมา สำรวจดูฝ่าเท้า

ถ้าเกร็งอยู่ ให้วางราบ สบาย จะมีความรู้สึกว่างช่วงล่าง

 

จากนั้น ไล่มาที่ฝ่ามือ

ถ้าเกร็งอยู่ ให้วางราบ ผ่อนคลาย

จะเกิดความรู้สึกว่างครึ่งตัวขึ้นมา

 

จากนั้น เรามาดูว่า เมื่อจะมีลมหายใจเข้า

ให้ยกฝ่ามือขึ้นมาดันลม

มีความรุ้สึกเหมือนกับฝ่ามือที่หงาย ดันลมเข้า

แล้วก็พนมครึ่งซีก จังหวะนั้น ลมจะหยุดพักอยู่ในปอดแป๊บหนึ่ง

ก่อนที่คุณจะลากออกมา

 

ลมหายใจที่ถูกผลักเข้า แล้วก็ถูกลากออก

จะมีความเชื่อมโยงกับฝ่ามือ

แล้วฝ่ามือ ที่เหมือนกับมีจังหวะจะโคน ที่ถูกต้อง

ดันลมเข้าช้าๆ หยุดลมแป๊บหนึ่ง แล้วก็ลากลมออกมา

จะทำให้ลมหายใจ มีความสม่ำเสมอ มีความราบรื่น

มีความรู้สึกว่า เราหายใจเป็น

 

ร่างกายดึงลมเข้าเองเป็นอัตโนมัติ

แล้วก็ระบายออกเองเป็นอัตโนมัติอยู่เรื่อยๆ

 

ห้านาทีนะครับ เดี๋ยวเราจะมาทำด้วยกัน แล้วนี่แหละที่จะเป็นสิ่งที่คุณสามารถส่งเข้าห้องได้นะครับ

 

(ทำสมาธิร่วมกัน 5 นาที)

 

เป็นห้านาทีที่เปิดโอกาสให้หลายๆ ท่าน ได้ live ในห้องวิปัสสนานุบาล ซึ่งตอนนี้ก็มีเข้าไปเยอะนะ

 

สำหรับโพลล่าสุด กลุ่มหนึ่งเขยิบขึ้นมานิดหนึ่ง จาก 46% เป็น 49% สำหรับกลุ่มที่เชื่อว่าชาตินี้สามารถเห็นกายใจได้ขาด

 

ก็ขออนุโมทนากับทั้งกลุ่มแรก และกลุ่มสอง

จริงๆ แล้วอาจมีภาษีพอๆ กันก็ได้

 

แล้วกลุ่มสามก็ไม่ใช่ไม่มีภาษี .. แค่ว่าเดี๋ยวคุณเข้าห้องวิปัสสนานุบาลนะครับ แล้วผมจะช่วยให้ ถ้าคุณส่งคลิปมา ไม่ว่าคุณจะทำมา รู้สึกว่าเตาะแตะ อยู่แค่ระดับทารกอะไรแบบนี้

 

เดี๋ยวจะช่วยให้ขาแข็ง แล้วคุณจะรู้นะว่าไม่ใช่เรื่องยาก ขอแค่อย่างเดียว คุณเต็มใจที่จะรับทราบ รับรู้ว่าพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างไรนะครับ

 

คนที่ทำๆ กันมาแล้วบอกมั่นใจ เขาก็เคยไม่มั่นใจมาก่อนนะ

__________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน รู้ชาตินี้ได้ชาตินี้

- ช่วงแอนิเมชัน ทำสมาธิร่วมกัน

วันที่ 23 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิปhttps://www.youtube.com/watch?v=W5euXGW1kts

 

05 รู้ชาตินี้ ได้ชาตินี้ : สวดอิติปิโสฯร่วมกัน

ดังตฤณ : เมื่อสวดอิติปิโสฯ แล้วมีความรู้สึกถึงพระพุทธเจ้า เหมือนกับพระพุทธเจ้าประดิษฐานอยู่ในใจของเรา นั่นเป็นสัญญาณบอก หรือเป็นหลักฐานอย่างใดอย่างหนึ่งคือ คุณระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่ได้ทำให้เห็นว่า กายนี้ใจนี้ สักแต่เป็นรูปนาม ไม่ใช่ตัวตน ไม่ใช่ตัวใคร ไม่มีคุณมาตั้งแต่แรก

 

ถ้าหากว่าคุณพยายามด้วยตัวเอง ก็ไม่สามารถทำได้แน่ ไม่ว่าจะชาตินี้ หรืออีกกี่ชาติ แต่เพราะพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่ตรัสแสดงธรรมไว้เป็นขั้น เป็นลำดับ จากง่ายไปหายาก ทำให้เป็นไปได้ที่คุณจะเห็นกายนี้ใจนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน แล้วก็หลุดพ้นออกจากกรงขังนี้ กรงขังแห่งความทุกข์ออกไปเสียได้

 

หรือ คุณอาจจะระลึกถึงข้อธรรมวิเศษที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ธรรมด้วยพระองค์เอง มีพระหฤทัย หรือว่ามีจิตที่ปราศจากความดิ้นรนแล้ว

 

แค่ระลึกนิดเดียวว่า จิตของพระอรหันต์ คือจิตที่ไม่ดิ้นรน คือจิตที่สว่างโพลงทั้งกลางวันและกลางคืน มีความสุขอยู่กับการไม่ต้องเป็นทุกข์ ไม่มีทุกข์ทางใจเกิดขึ้น หรือกำเริบได้อีกเลยตลอดชีวิต

 

แค่ระลึกถึงความจริงข้อนี้ ใจคุณก็เหมือนกับได้เศษธรรม จากพระองค์มาฟรีๆ เกิดความรู้สึกว่า ใจพร้อมจะสงบลง พร้อมจะระงับความฟุ้งซ่านลง พร้อมจะสว่าง พร้อมจะตื่นขึ้น

 

เดี๋ยวเรามาทำสมาธิกัน ห้านาทีนะครับ

__________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน รู้ชาตินี้ได้ชาตินี้

- ช่วงสวดมนต์ร่วมกัน

วันที่ 23 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิปhttps://www.youtube.com/watch?v=LggGFXAfMhI

 

04 รู้ชาตินี้ ได้ชาตินี้ : เปิดห้องวิปัสสนานุบาล

03 รู้ชาตินี้ ได้ชาตินี้ : บรรยาย มรรค ๘ บรรลุธรรม

ดังตฤณ : มรรคมีองค์ 8 ที่เราเคยได้ยินมากันทั้งชีวิต เรามักจะพูดกันในเชิงที่แยกเป็นต่างหาก บอกว่า ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 แล้ว จะได้สิ้นทุกข์สิ้นโศก

 

แต่ถ้าเรามามองว่า .. อันนี้ พระพุทธเจ้าท่านเป็นคนจำแนกนะ เป็นคนจัด .. มองว่ามรรคมีองค์ 8 นี่ เราจะตั้งต้นหลังจากที่ มีจิตใส จิตเบา พร้อมทิ้งแล้ว หลังจากที่เราเห็นกายใจโดยความเป็นขันธ์ 5 อายตนะ 6 มาแล้วนี่ จะแตกต่างเลย คนละเรื่องกันเลยนะ

 

ถ้ามรรค 8 ที่แยกต่างหากออกจากสติปัฏฐาน 4 ขึ้นต้นมาบอกว่า ต้องมีสัมมาทิฏฐิ

 

สัมมาทิฏฐินี้ ก็ไปคุยกันเชิงวิชาการว่า มีโลกียะสัมมาทิฏฐิ มีโลกุตตระสัมมาทิฏฐิ

 

โลกียะสัมมาทิฏฐิ ต้องมีความเข้าใจในเรื่องของการให้ทาน รักษาศีล เห็นโทษของการทุศีลอะไรแบบนี้ .. พูดกันยาว

 

แต่ถ้าหากว่าเรามามองมรรคมีองค์ 8 ในฐานะของผู้ที่เจริญสติปัฏฐานมา จนกระทั่งรู้ว่ากายนี้ใจนี้ เป็นขันธ์ 5 อายตนะ 6 มีจิตผ่องใสไร้นิวรณ์แล้ว

 

สัมมาทิฏฐิในที่นี้ จะแตกต่างไปเป็นคนละเรื่องเลย

 

คือจะมีความเข้าใจ เข้ามาในกายนี้ใจนี้ว่า ไม่ใช่ตัวตน เห็นขึ้นมารำไร ถึงแม้ว่าจะยังไม่แทงขาดว่า กายนี้ใจนี้แสดงความไม่เที่ยงอยู่ตลอด

 

ยิ่งเรามีอานาปานาสติกำกับอยู่ได้บ่อยขึ้นเท่าไหร่ ความชัดเจนตรงนี้ก็จะชัดเจนขึ้นเท่านั้น

 

นี่แหละสำหรับกลุ่มแรก ที่บอกว่ามีความเชื่อมั่นว่า สามารถเห็นกายนี้ใจนี้ทะลุขาดได้ ตรงนี้แหละที่เป็นสัมมาทิฏฐิในธัมมานุปัสสนา ในมรรคมีองค์ 8 ที่อยู่ท้ายสุดของสติปัฎฐาน 4 นี่มีความหมายอย่างนี้

 

จิตมีสัมมาทิฏฐิ มีความรู้ตัว มีความรู้สึกว่าเราสามารถอ่านกายใจออก สามารถแทงทะลุกายใจนี้ขาด

 

ตรงนี้คือความหมายของ สัมมาทิฏฐิ ที่แท้จริงในแง่ของการปฏิบัติ ลัดขั้นตอนไปจนถึงจุดที่เป็นองค์สุดท้ายของมรรค มรรคมีองค์ 8 นี่องค์สุดท้าย

 

องค์แรกขึ้นต้นด้วย สัมมาทิฏฐิ องค์สุดท้าย ลงท้ายด้วย สัมมาทิฏฐิ

 

สัมมาทิฏฐินี่แหละ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นที่ที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานกัน

 

ถ้าคนมีสัมมาทิฏฐิเป็นหัวหน้า แล้วก็มีสติแข็งแรง จะรู้นะว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แสดงความไม่เที่ยงอยู่ตลอดเวลา  

 

พอเกิดสมาธิ มีความมีจิตเป็นปกติ เห็นกายเห็นใจนี้ เห็นขันธ์ 5 นี้ ว่าไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวตน แล้วก็รวมลงเป็นหนึ่ง ไม่มีความสงสัย

 

ตรงนั้นแหละคือการแทงขาด

 

แล้วกลุ่มแรกที่ตอบมาด้วยความมั่นใจว่า ชาตินี้มีตัวเองมีสิทธิ์แล้ว ก็คือคนที่มีสัมมาทิฏฐิในระดับของการเห็น ว่าตัวเองกำลังเจริญสติปัฎฐาน 4 อยู่จริงๆ แล้วก็มีฐานของสติ คือกาย คือใจนี้

 

ยิ่งวัน จะยิ่งเห็น ยิ่งวัน จะยิ่งรู้สึกว่าเขยิบใกล้เข้าไป

 

ตัวนี้แหละ ที่ผมจะสรุปในคืนนี้ว่า ที่เราทำๆ กันมา เป็นสติปัฏฐาน 4 อย่างไร

 

มาสรุปตรงที่ เราสามารถที่จะอ่านแล้วเข้าใจ ไปศึกษาธรรมเกี่ยวกับเรื่องมรรคมีองค์ 8 แล้วมองเห็นว่า เรามาถึงตรงนี้ ผ่านขั้นบันไดแบบไหนมาบ้าง

 

ทีนี้ พูดถึงกลุ่มสอง กับกลุ่มสามสักเล็กน้อยนะ

 

ที่บอกว่าก้ำกึ่ง ไม่แน่ใจ ยังลังเลสงสัยนี่ส่วนใหญ่ ก็คือว่าสมาธิตั้งมั่นบ้างไม่ตั้งมั่นบ้าง .. ตัวนี้สำคัญ

 

ถ้าเราฝึกมา แล้วเกิดความรู้สึกว่า ทุกวัน อย่างน้อยต้องมีสักช่วงหนึ่ง ที่จิตเราใส จิตเราเบา

 

ลองไปเช็คดูแบบที่ให้อุบายไปเมื่อกี้นี้ ใสเบามากพอที่จะเห็นลมหายใจเข้าออก และไม่มีตัวตนในลมหายใจ

 

แต่บางที ระหว่างวันมีกิเลสครอบงำได้ แบบที่เหมือนกับปุถุชนปกติที่ยังไม่เคยฝึกอะไรเลย แล้วจิตที่แส่ส่าย จิตที่ไม่ตั้งมั่น จะผลิตความคิด ผลิตความรู้สึกออกมาว่า สงสัยไม่มีหวังหรอก

 

ตรงนี้ จะครึ่งๆ กลางๆ บางทีก็ได้บางทีก็ไม่ได้

 

จะทำอย่างไรให้ได้ล่ะ? .. ก็ต้องมีทั้งสมถะและวิปัสสนา เพิ่มพูนยิ่งๆ ขึ้นไป

 

คือจะมาเกี่ยงไม่ได้ ฉันจะเอาวิปัสสนาอย่างเดียว.. พวกจะเอาวิปัสสนาอย่างเดียว ผมเห็นมาเยอะนะ ในที่สุดแล้ว จะอยู่ในพวกที่สองนี่ ก้ำๆ กึ่งๆ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

 

แต่พวกที่มีสมาธิดี มีสมถะดีกำลังสมถะเยอะเหลือเฟือ แล้วก็มีความเข้าใจว่าจะเอาสมถะนั้นมาดูกายใจอย่างไร

 

พวกนี้ เขยิบขึ้นเลื่อนขั้นเลย เป็นมีความเชื่อมั่น

 

คือขอให้ จิต นี่ มีสมาธิ มีความตั้งมั่น มีกำลังสมถะและวิปัสสนาอยู่ด้วยกันจะเลื่อนขั้นมามีความมั่นใจได้

 

ส่วนพวกที่ไม่เชื่อตัวเองนะครับ ก็ชัดเจนอยู่แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือว่าจิตยังวอกแวก แล้วก็บางทีความเข้าใจ อาจจะยังรู้สึกเหมือนกับว่า .. โอ้โหทำไมต้องยุ่งยากอะไรขนาดนั้น จะไปนิพพาน

 

คือ ถ้าง่ายนะ .. ไม่ต้องรอพระพุทธเจ้าครับ คิดเอาเล่นๆ เดี๋ยวก็บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ในระหว่างการเดินทางเป็นอนันตชาติ ในสังสารวัฎ

 

แต่เพราะว่ามันยากนั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสนะ นิพพานเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก

 

นิพพาน

เป็นความจริง เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง

มีอยู่ แต่เห็นได้ยาก

ที่เห็นได้ยากก็เพราะว่า กายนี้ใจนี้บังอยู่

 

แล้วที่กายนี้ใจนี้บังอยู่ไม่เลิก

ก็เพราะว่าเราไม่รู้ทาง ไม่รู้วิธี

ว่าทำอย่างไรจะมีกำลังของจิต

ที่อยู่ในภาวะโปร่งใส

ที่จะเห็นความจริงว่า

กายใจนี้ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวตน

__________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน รู้ชาตินี้ได้ชาตินี้

- ช่วงบรรยาย มรรค ๘

วันที่ 23 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป :

https://www.youtube.com/watch?v=9weB25kRe9g

 

02 รู้ชาตินี้ ได้ชาตินี้ : โพลที่๑ หลังจากเจริญสติปัฏฐาน ๔ มาหลายเดือน ตอนนี้คุณรู้สึก

ดังตฤณ : เรามาทำโพลกันก่อน คุณจะได้เห็นชัดนะครับ จะเชื่อมโยงกัน กับเรื่องของสัมมาทิฏฐินะ .. คำถามของโพลง่ายๆ นะครับ คือว่า

 

หลังจากเจริญสติปัฎฐาน 4 มาหลายเดือน ตอนนี้คุณรู้สึก..

- เชื่อมั่นว่าชีวิตนี้สามารถเห็นกายใจทะลุขาด

- ก้ำกึ่ง ไม่แน่ใจว่าบรรลุมรรคผลได้ไหม

- ไม่เชื่อว่าตัวเองจะบรรลุมรรคผลในชีวิตนี้

 

มีให้เลือกสามชอยส์นะครับ คือ เชื่อมั่นว่าชีวิตนี้สามารถเห็นกายใจทะลุขาดได้ พูดง่ายๆ เห็นว่า มันไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนของคุณ มีความเชื่อมั่นขึ้นมาแล้ว

 

ชอยส์ที่สอง คือก่ำกึ่ง ไม่แน่ใจว่าจะบรรลุมรรคผลได้ไหม

 

คือ พอยต์ในใจของคุณไม่ได้อยู่ที่เรื่องกายใจ แต่ไปฝากอยู่กับคำๆ หนึ่ง .. คำว่าบรรลุมรรคผล นี่แหละ มีแต่ความลังเลสงสัย หรือมีความรู้สึกอยู่ในใจว่า ชาตินี้ฉันจะมีสิทธิ์บรรลุมรรคผลได้ไหม

 

ถ้าหากว่าอยู่ในใจข้อไหน ก็ตอบข้อนั้นนะครับ

 

พอเราได้ผลโพลมา เราจะคุยกันเรื่องนี้ เชื่อมโยงกับเรื่องมรรคมีองค์ 8 ได้นะ

 

ชอยส์ที่สาม ข้อสุดท้ายก็ถือว่า ไม่เชื่อเลยว่าตัวเองจะถึงมรรคผลในชีวิตนี้

 

แตกต่างจากข้อสองนิดเดียวนะ .. ข้อสอง นี่ยังก้ำกึ่ง เหมือนบางทีมีความหวังรำไร

 

แต่ข้อสุดท้ายนี่คือ ไม่เชื่อเลย ไม่รู้สึกว่าตัวเองจะมีสิทธิ์กับใครเขาได้ ถึงแม้ว่า จะได้มาปฏิบัติธรรมร่วมกันในไลฟ์นี้แล้วก็ตาม

 

ก็ขอให้ตอบตามจริงนะครับ ตอบตามความรู้สึกเลย เพราะเราจะได้คุยกันต่อนะ หลังจากจากโพลออกมา

 

ระหว่างนี้ ผมมีคลิปสั้นๆ จะให้คุณดู น่าจะเกิดประโยชน์กับหลายๆ ท่านที่ต้องการจะเช็คสภาพของตัวเองนะ

 

เราคุยกันเรื่องรู้กายใจโดยความเป็นสภาวธรรม  

 

ขึ้นต้นมา ทำจิตให้ผ่องใส ไร้นิวรณ์ หลายคนก็มักจะถามกันมา วนๆ นะครับว่า จะรู้ได้อย่างไรว่า ณ ขณะหนึ่งๆ เรามีความพร้อมจะเห็นกายใจโดยความเป็นรูปนามแล้ว

 

พูดง่ายๆ จะยกระดับจากสมถะ ขึ้นมาเป็นวิปัสสนาได้ ด้วยความมั่นใจแบบไหน

 

เอาง่ายๆ เช็คแบบที่เป็นอุบายลัดนะครับ อันนี้ผมทำขึ้นมานะ


ให้คุณไปยืนอยู่หน้าผนัง ผนังเรียบๆ แล้วเอามือเกาะ

 

ถ้าเอามือเกาะอยู่เฉยๆ คุณก็จะรู้สึกว่ามีตัวของคุณยืนเกาะผนังอยู่

แล้วไม่ได้รู้สึกอะไรมากไปกว่านั้นนะครับ


แต่ถ้าหากว่าคุณลองสังเกต พอคุณยืนเกาะผนัง ถ้าหากว่าคุณกำลังฟุ้งซ่านอยู่ จะมีความรู้สึกเหมือนกับช่องว่างระหว่างคุณกับผนัง เต็มไปด้วยหมอกควันคละคลุ้ง แล้วก็สังเกตลมหายใจได้ยาก อันนี้ในแง่ที่กำลังฟุ้งซ่านอยู่นะ 

แต่ถ้าหากว่า จิตใจของคุณกำลังปลอดโปร่ง แล้วก็แจ่มใสอยู่ จะมีความรู้สึกขึ้นมาอีกแบบหนึ่ง เหมือนมีช่องว่างระหว่างคุณกับผนัง ที่รู้สึกเลย

 

คือหลับตา แล้วทอดตามองผนังตรงๆ จะเห็นเหมือนช่องว่างระหว่างตัวคุณกับผนัง มีความชัด มีความใส แล้วก็ภาวะทางใจแบบนั้นนี่แหละ ที่สามารถเห็นลมหายใจได้อย่างชัดเจน มีลมหายใจเข้า มีลมหายใจออกอยู่

 

อันนี้เป็นเทคนิค เป็นอุบายง่ายๆ ที่จะเช็คนะว่าจิตของคุณ มีความพร้อมที่จะรู้ลมหายใจได้แค่ไหน

 

ก่อนนั่งดูลมหายใจ ก่อนนั่งทำอานาปานาสติ คราวต่อไปลองอย่างนี้ดูก็ได้

 

ถ้าหากว่ายืนเกาะผนัง หลับตาแล้วก็ทอดตามองตรงๆ มีความรู้สึกเหมือนกับว่า ไม่มีม่านหมอกระหว่างตัวคุณกับผนัง มีแต่อะไรที่ว่างๆ โปร่งๆ อยู่

 

นั่นแหละตอนนั้น จิตของคุณมีความพร้อม ที่จะเริ่มต้นรู้ลมหายใจได้อย่างแจ่มชัด

 

แต่ถ้าหากว่ามีหมอกควันอยู่ ตรงนั้นแปลว่า คุณต้องออกแรง ถึงจะรู้สึกถึงลมหายใจได้ ซึ่งถ้าหากว่าจูนดีๆ ให้มีความรู้สึกโปร่ง มีความรู้สึกถึงช่องว่างได้เสียก่อน แล้วค่อยไปนั่งทำอานาปานสติ

 

คุณจะพบว่า จุดเริ่มต้นมีความชัดเจน มีความแจ่มใส มีสติ แล้วก็รู้สึกถึงลมหายใจได้ง่ายขึ้น แล้วจะมีผลให้เกิดกำลังใจ ที่จะรู้ลมหายใจได้ในขั้นต่อไปด้วยนะครับ

 

อันนี้ก็เป็นอุบาย เป็นเทคนิคนะ

 

สรุปให้ฟังง่ายๆ อีกครั้ง แค่ไปยืนเกาะผนังเรียบๆ นะครับ

 

ถ้าหากว่าคุณกำลังฟุ้งซ่าน ก็จะเห็นนะว่า ช่องว่างระหว่างคุณกับผนัง เหมือนกับมีหมอกควัน มีอะไรที่เป็นความคิดฟุ้งซ่าน วกวน แล้วก็บดบังทัศนวิสัย ไม่ให้เห็นลมหายใจได้ชัด

 

แต่ถ้าหากว่าใจของคุณกำลังใส กำลังมีความโปร่งอยู่ พอหลับตาทอดตามองผนังตรงๆ จะมีความรู้สึกเหมือนกับ เกิดช่องว่างระหว่างคุณกับผนังให้เห็น ใสๆ นะครับ

 

แล้วถ้าหากว่าตอนแรกยังเหมือนกับทึบๆ ลมหายใจยังไม่ชัด พอดูๆ ไปสักพักหนึ่ง แล้วรู้สึกถึงช่องว่างระหว่างคุณกับผนังได้อย่างโปร่งใส อันนั้นแหละจิตของคุณถูกปรับแล้ว ให้มีความพร้อมรู้ลมหายใจนะครับ

 

เรามาดูโพล แล้วก็เดี๋ยวพูดถึงกันเกี่ยวกับ ความพร้อมรู้ธรรม หรือว่ากายใจด้วยความเป็นอนัตตา หรือว่าเป็นรูปนามนี่นะ


 โพลออกมาบอกว่า หลายเดือนที่ผ่านมา 46% .. เกือบครึ่งหนึ่งของพวกเรานี่บอกว่า เชื่อมั่นว่า ชาตินี้มีสิทธิ์ที่จะเห็นกายใจทะลุขาดได้

 

ผมใช้คำนี้เพราะอะไร เพราะไม่อยากให้คุณไปผูกใจไว้กับคำยากๆ เช่นมรรคผล หรือว่านิพพาน

 

แต่ถ้าคนที่ได้เพียรปฏิบัติ จนกระทั่งรู้สึกถึงกาย รู้สึกใจนี้ขึ้นมา เวลามองเป้าหมาย จะไม่มองเป็นคำพูดลอยๆ แต่มองเข้ามาเป็นวัตถุ ที่จับต้องได้ปรากฏชัดอยู่กับจิต ปรากฏชัดอยู่ในห้วงมโนทวารว่า ที่เราดูอยู่ เราดูกายนี้ ใจนี้ ให้เห็นว่าเป็นอะไร

 

ถ้าแน่ใจว่า เราดูให้เห็นเป็นอนัตตา ก็เกิดความเชื่อมั่นขึ้นมาว่า ยิ่งวัน สติยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ แล้วเห็นกาย เห็นใจชัดขึ้นเรื่อยๆ

 

เพราะฉะนั้น อยู่แค่เอื้อม อยู่แค่รำไรนี่ว่า วันหนึ่ง ก็คงจะเห็นขาดทะลุไปจากกายใจนี้

 

กายใจนี่ เหมือนกำแพงขวางนิพพาน แต่หากว่าเห็นทะลุไปได้ ก็เจอนิพพาน ซึ่งก็คือได้บรรลุมรรคผลนั้นเอง

 

อีก 46 % ประมาณครึ่งหนึ่ง ก็บอกว่าก่ำกึ่งอยู่ ลังเลอยู่ ไม่แน่ใจ ยังแคลงใจตัวเองอยู่ว่าจะทำได้จริงไหม

 

(ผลโพล) ขอให้ดูเพื่อศึกษานะ ไม่ใช่เพื่อมาซ้ำเติม หรือว่ามาทำให้รู้สึกเหลิงหลงนะ

__________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน รู้ชาตินี้ได้ชาตินี้

- ช่วงโพลที่ 1

วันที่ 23 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=rVFgD12n-S0

01รู้ชาตินี้ ได้ชาตินี้ : เกริ่นนำ

ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ คืนวันเสาร์ 3 ทุ่ม สำหรับคืนนี้ก็มีหลายประเด็นเลยนะครับ ที่จะมาแจ้งกัน

 

ท็อปปิคของวันนี้จริงๆ แล้วก็คือ สรุปสติปัฏฐาน 4 ที่เราได้ทำกันมาตามลำดับหลายเดือนที่ผ่านมานะครับ

 

ที่ขึ้นหัวข้อไว้ว่ารู้ชาตินี้ ได้ชาตินี้ ย่อมาจากสเตตัสเมื่อเช้านี้ ที่เขียนไว้

 

รู้ชาติอื่น ได้ชาติอื่น รู้ชาตินี้ ได้ชาตินี้ .. ก็คือได้เข้าใจถึงธรรมะที่เป็นแก่นสารของพระพุทธศาสนา ถ้าไปรู้ชาติอื่น ก็ได้ชาติอื่นนะ

 

ได้อะไร ได้เป้าหมายของพุทธศาสนา คือความสิ้นทุกข์สิ้นโศกนั่นแหละ

 

แต่ถ้ามีวิธีใดวิธีหนึ่ง หรือว่ามีความเต็มใจของคุณ มารองรับในชาตินี้เลย ที่จะรู้ให้ได้ว่าพระพุทธเจ้าท่านตรัสสอนอะไรไว้ ก็มีสิทธิ์ถึงหรือว่ามีสิทธิ์ได้ในชาตินี้เลย ได้ความพ้นทุกข์ ได้ใบรับประกันจากพุทธศาสนาว่า คุณจะไม่ต้องเดินทางยาวเกินไปนัก

 

หลายคน หลังจากที่ได้ปฏิบัติกันมา ก็จะได้เห็นนะครับว่าเรามีความก้าวหน้าแค่ไหน ตามปัจจัยของแต่ละคน

 

บางคนบอกว่าเข้าใจแล้ว แล้วก็ทำได้แล้ว รู้แล้วว่าพระพุทธเจ้าสอนสติปัฏฐานมาตามลำดับอย่างไรนะครับ

 

แต่บางคนก็บอกว่ายังงงๆ แล้วก็มีความรู้สึกเหมือนกับว่า ทำไม่ได้ ทำไม่ดีหรือว่าทำไม่ได้ผลตลอด บางทีมีสะดุด บางทีมีความรู้สึกว่าไปไม่ได้ถึงไหน เราจะมาแก้ปัญหาตรงนี้กัน

 

ปัจจัยสำคัญที่สุด คือความเต็มใจ

 

แต่ความเต็มใจ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ละคนไม่เหมือนกัน

 

เรามาเริ่มต้นกันที่ตรงนี้ก่อน ดูว่าที่ผ่านมา เราทำอะไรกันมาบ้าง แล้วก็ถ้าหากว่ามองเป็นภาพรวมแล้ว เรายังค้างเติ่งอยู่ที่จุดไหน หรือว่าเรามาไกลจนถึงจุดไหนของโรดแมปแล้ว เรามาดูสิ่งที่เรียกกันว่า สติปัฎฐาน 4

 

สติปัฎฐาน 4 พูดง่ายๆ ที่สุดเลยก็คือ เอากายนี้ ใจนี้เป็นที่ตั้งของสติ

 

แต่ถ้าเราจะพูดให้ครบๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจจริงๆ ว่าเวลาปฏิบัติ เขาลงมือปฏิบัติกันอย่างไร เราต้องแยกนะ จำเป็นต้องแยกออกเป็น

 

การรู้ กาย

การรู้ ความสุขทุกข์ หรือที่เรียกว่า เวทนา

การรู้ จิต เหมือนกับรู้วาระจิตของตัวเอง

 

บางคนไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองคิดอะไร รู้แต่ว่าอยากได้อะไร แต่ไม่เคยรู้เลยว่า มีการปรุงแต่งทางใจ เป็นความคิดดีหรือคิดร้าย

 

มีแต่ความรู้สึก คล้ายๆ กับกำแพงมาบัง .. ความอยากโน่นอยากนี่ เหมือนกำแพงมาบัง ไม่ให้เห็นจิตตัวเองว่ากำลังสว่างหรือมืด รู้แต่ว่านี่แหละ ใจของฉันคิดอย่างนี้เสียอย่าง ใครจะทำไม

 

ทีนี้ถ้ามารู้กาย รู้เวทนา รู้จิต ก็จะมีความเข้าใจตัวเองมากขึ้น อย่างน้อยที่สุดนะ ตอนที่รู้จิตนี่ คำว่ามีสติรู้จิตนี่นะ รู้ว่าจิตกำลังมืดหรือสว่าง กำลังมีกิเลสหรือไม่มีกิเลส

 

บางคนบอกฉันไม่มีกิเลสเลย ทั้งๆ ที่กำลังมีกิเลสท่วมหัวใจอยู่ แต่มองไม่ออก อ่านไม่ขาด เพราะว่าไม่ได้ฝึกสติ มาตามขั้นตามตอน

 

บางคนพยายามจะอ่านจิต เริ่มต้นจากการอ่านจิตตัวเองก่อนเลย แล้วอ่านไม่ออก เพราะว่าไม่มีฐานที่จะดันขึ้นมาตามลำดับขั้น

 

ทีนี้ ถ้าหากว่าเรารู้มาตามลำดับ รู้อย่างไร?

 

รู้กาย ก็คือรู้ลมหายใจ รู้อิริยาบถ รู้นิมิตกายไม่เที่ยง

 

อย่างที่เราเคยเห็นกันมานะครับ รู้ลมหายใจรู้อย่างไร รู้แบบที่เราตั้งต้นจากการนั่ง คอตั้งหลังตรง ก่อน หรือใครจะเอียง หรือใครจะอยู่ในอิริยาบถที่ถูกกับร่างกายของตัวเองอย่างไร แต่อย่างน้อย คอตั้งหลังตรงนี่สำคัญ

 

ถ้าหากว่าเราสามารถรู้สึกถึงลมหายใจ ที่ไหลเข้าไหลออกในอิริยาบถปัจจุบันที่คอตั้งหลังตรงอยู่ จะรู้ทั้งลมหายใจและอิริยาบถไปพร้อมกันนะครับ

 

อันนี้ ก็เป็นสิ่งที่เมื่อปฏิบัติไปแล้ว เห็นทั้งตัวนะ อย่างอิริยาบถนี่ ก็เริ่มฝึกจากการเดินจงกรม รู้เท้ากระทบ พอรู้ลมหายใจชัด ก็จะรู้เท้ากระทบไปได้ไม่ยาก ไม่ต้องเค้น ไม่ต้องพยายามตั้งสติอะไร ก็รู้สึกถึงผัสสะเท้ากระทบได้เอง

 

พอไปประยุกต์เข้ากับการรู้อิริยาบถ ความเคลื่อนไหวต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ก็จะกลายเป็นความสามารถที่จะรู้เข้ามาในกาย อันเป็นปัจจุบันได้เรื่อยๆ

 

จากนั้น ก็จะเริ่มเห็น .. ถ้ามีความเข้าใจ .. จะเริ่มเห็นว่าสิ่งที่เราหายใจเข้าหายใจออก เข้ามาอยู่เรื่อยๆ ถ้าสังเกตดูดีๆ จะมีลักษณะเป็นโครงกระดูกไม่ใช่เป็นก้อนอะไรตันๆ ก้อนหนึ่ง แบบที่เกิดความเข้าใจมาตั้งแต่เด็กๆ

 

คนเรา จะถูกความรู้สึกในตัวตนครอบงำ และทำให้เห็นไปว่า มีอัตตามีตัวตนอะไรของเราก้อนหนึ่ง

 

แต่ถ้าหากว่าเรียนรู้ที่จะดูเข้ามา ตั้งสติดูลมหายใจ ดูอิริยาบถปัจจุบันเรื่อยๆแค่มีการหายใจเข้า รู้สึกถึงอาการที่ซี่โครงพะเยิบพะยาบ

 

พะเยิบพะยาบออก พะเยิบพะยาบเข้า นานๆ ไปกลายเป็นเห็นกะโหลก เห็นกระดูกแขนกระดูกขาตามมาด้วย

 

ยิ่งถ้าหากว่าเดินจงกรมได้ดีๆ จะเห็นโครงกระดูกเดินได้อยู่ตลอดเวลา อันนี้ก็เป็นส่วนของกายนะครับ

 

เรากำลังมาทำความเข้าใจนะว่า ที่ผ่านมาเราเห็นอะไรกันมาบ้าง แต่จริงๆไม่ใช่ทุกคนที่จะเห็นอย่างละเอียดตามลำดับ ขอเพียงว่าเราเข้าใจ ว่ารู้อย่างไร

 

รู้เข้ามาที่ความเป็นที่ตั้งปัจจุบันของท่าทาง ว่ามีจุดเริ่มต้นที่เราสังเกตได้จากการหายใจเข้าออกนั่นแหละ ที่คอตั้งหลังตรงนี้แหละ

 

ถ้าเอาได้แค่นี้นะว่า เรารู้สึกถึงอิริยาบถปัจจุบัน ว่ากำลังอยู่ในท่าทางไหน หายใจเข้าหรือหายใจออก อันนี้แค่นี้เรียกว่ารู้กาย ไม่ว่าจะรู้ลงไปได้ละเอียดกว่านี้ หรือว่ารู้ได้แค่ประมาณนี้ ถือว่ารู้กายในสติปัฏฐาน 4 แล้ว

 

ต่อมา .. รู้เวทนา

 

การรู้เวทนา ก็คือการที่เราเห็นว่า ร่างกาย หรือว่าจิตใจ กำลังอยู่ในความสบาย หรือว่าอึดอัดเป็นทุกข์อยู่ พอรู้สึกถึงความสบาย และอึดอัดได้ ก็จะเห็นว่าสิ่งเหล่านั้นไม่เที่ยง อย่างนี้เรียกว่ารู้เวทนา

 

ส่วนรู้จิตก็คือ พูดง่ายๆ รู้ว่ากำลังมีกิเลส หรือไม่มีกิเลส

 

แบ่งออกเป็น จิตมีราคะ หรือไม่มีราคะ พอเห็นจิตมีราคะด้วยสติ และราคะนั้นไม่แรงเกินไป ราคะก็จะหายไปจากจิตให้ดู

 

เห็นเทียบเคียงได้เลยว่า

จิตมีราคะ กับจิตไม่มีราคะ แตกต่างกันอย่างไร

จิตมีโทสะ กับจิตไม่มีโทสะต่างกันอย่างไร

แล้วในที่สุดก็จะเห็นว่า จิตทุกดวงไม่เที่ยง

 

พอเราได้เบสิค ที่จะรู้ครอบคลุมทั้ง 3 ที่ตั้งของสตินี้

คือ กาย เวทนา และจิต

เราก็ถึงจะพร้อมรู้ธรรม พร้อมรู้สภาพธรรม


อย่างพอรู้เวทนาไป กับรู้ภาวะจิต จะใกล้เคียงกัน

 

ถ้าหากว่าดูเป็นความเทียบเคียงกับลมหายใจนี่ ถ้าเรามีจิตที่เปี่ยมไปด้วยกิเลส จะเหมือนกับมีอะไรมาบดบังลมหายใจ เราจะเห็นได้ชัด


ถ้าฝึกดูลมหายใจมา ก็เอามาประยุกต์ได้ เราจะเห็นเลยว่า ลมหายใจของเรา เต็มไปด้วยสิ่งบดบัง


แต่ถ้าหากว่าคลี่คลายออกไปได้ ก็จะเหมือนกับม่านหมอกเหล่านั้นสลายตัวให้เห็นคาตานะครับ แล้วก็ลมหายใจจะปรากฏชัดขึ้นมาทันที

 

อย่างนี้นะเรียกว่าเราสามารถเห็นภาวะจิต หรือภาวะของตัวเวทนา ทุกข์สุขได้ จากการเข้ามาดูลมหายใจนี่แหละ

 

แต่คนมักจะจ้องแค่ลมหายใจอย่างเดียว ก็เลยไม่ได้สังเกตว่าจริงๆ แล้ว มีตัวสุขตัวทุกข์ หรือว่าตัวจิตที่มีกิเลส หรือไม่มีกิเลส ปรากฏพร้อมกันอยู่ด้วยในลมหายใจหนึ่งๆ

 

ถ้าไม่มีกิเลส พูดง่ายๆ ก็คือจิตจะปลอดโปร่ง และเห็นลมหายใจง่าย

 

แต่ถ้าหากว่าจิตอุดมไปด้วยกิเลส ในที่สุดแล้ว ลมหายใจก็จะถูกบดบังด้วยหมอกที่ ถ้าสังเกต .. แค่สังเกตเข้าไป จะได้อะไร

 

ได้เห็นจิต ได้เห็นเวทนา .. ไม่ได้สูญเปล่านะครับ ไม่ได้เสียเปล่าอะไรไป

 

ทีนี้ ประเด็นคือ พอเราได้จิตที่ปลอดโปร่งจากการดูลมหายใจไปนานๆ เข้า ก็สามารถที่จะเห็นกายใจโดยความเป็นรูปนามได้ทั้งแท่ง ซึ่งอันนี้แหละก็คือถึงจุดที่เราสามารถเห็นกายใจ โดยความเป็นธรรม หรือหมวดธัมมานุปัสสนา

 

หมวดธรรม ดูแล้วอาจจะแยกออกได้เป็นหลายข้อ ดูแล้วไม่ค่อยจะเข้าใจเท่าไหร่

 

แต่ถ้าหากว่า เราเอาง่ายๆ การเห็นกายใจโดยความเป็นรูปนาม ขึ้นต้นจากจิตที่มีความผ่องใส ไร้นิวรณ์ คือพูดง่ายๆ ว่ามีความผ่องใสพอที่จะเห็นสภาพกายภาพใจ โดยปราศจากอคติ ไม่มีกิเลสใดๆ เคลือบแฝง

 

อย่างนี้ ถ้าหากว่าเราดูด้วยความเป็นขันธ์ 5 เราก็จะเห็นกายใจโดยความเป็นขันธ์ 5 ว่าไม่เที่ยง

 

ถ้าดูด้วยความเป็นอายตนะ 6 อันเป็นที่ส่งแรงดึงดูดให้เกิดความยึดติด เป็นสังโยชน์ เราก็จะเห็นนะว่า ที่รู้สึกเป็นตัวเป็นตนอยู่นี่ ก็เพราะว่ามีอะไรยึด มีอะไรโยงอยู่ ระหว่างสภาพกายนี้ ..

 

ตา หู จมูก ลิ้น กาย กับ สภาพภายนอกที่เป็นรูป เสียง กลิ่น รส รวมทั้งความคิดที่มากระทบจิต มากระทบใจ

 

หากว่าเราเห็นว่า สังโยชน์ เป็นแค่อาการยึดอาการโยง เห็นบ่อยๆ จนกระทั่ง สังโยชน์เหือดแห้งไปชั่วคราวได้

 

เราก็จะรู้สึกว่า กายนี้ใจนี้ สักแต่เป็นรูปนาม ไม่มีตัวตนขึ้นมาเอง

 

เสร็จแล้วก็มาถึงความพร้อมทิ้ง ..โพชฌงค์ 7.. พร้อมทิ้งอุปาทาน ซึ่งก็กล่าวถึงกันไปแล้ว คราวที่แล้ว ที่เราจะพูดถึงสิ่งที่มาประกอบกับจิตให้พร้อมตรัสรู้ธรรม โดยพระพุทธเจ้าตรัสว่า จะเกิดขึ้นพร้อมกับอานาปานสตินั่นแหละ

 

ถ้าหากเกิดขึ้นอย่างถูกต้อง จะน้อมไปในทางการสละ ซึ่งพูดง่ายๆ ก็คือว่าจิตมีความใสเบา พร้อมทิ้งนั่นเอง  

 

พอเรามีความใส มีความเบา พร้อมทิ้ง ก็จะเข้าถึงมรรคมีองค์ 8 นะครับ ซึ่งถ้าเอาง่ายที่สุดเลย ก็คือว่ามีสัมมาทิฏฐิในระดับของจิต

 

การมีสัมมาทิฏฐิในระดับของจิต เดี๋ยวเราจะมาพูดกันในลำดับต่อไป เพื่อที่จะได้เห็นจริงๆ นะว่าคุณมาถึงตรงนี้ สัมมาทิฏฐิของคุณเข้าไปประดิษฐานอยู่ในจิตแล้วหรือยัง

__________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน รู้ชาตินี้ได้ชาตินี้

- ช่วงเกริ่นนำ

วันที่ 23 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=TQ0VADgr1VI

วันอังคารที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Q15รู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลางปรากฏการณ์มายาของลมหายใจ

ดังตฤณ : พอรู้สึกได้ว่า เราโดนหลอกอยู่ แล้วของที่ปรากฏห่อหุ้มจิตอยู่นี่ เป็นของหลอก

นี่แหละ เข้าใกล้กับความสำเร็จที่จะเห็นว่า กายใจเป็นรูปนามแล้ว

ที่จะทำได้ต่อเนื่อง ก็คือ สังเกตต่อไปเรื่อยๆ อย่ารีบร้อน เพราะพอคุณเห็นอะไรขึ้นมา แล้วชอบไปจดจ้อง แล้วรีบร้อนจะเอาความก้าวหน้า

ขอให้เอาความเสถียรในการเห็น ดีกว่าเอาความก้าวหน้าแบบทันทีทันใดนะ

___________________

ช่วงนี้เจริญสติแล้วรู้สึกว่าเราอยู่ท่ามกลางปรากฎการณ์มายา ของลมหายใจครับ

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พร้อมรู้ว่าไม่มีตัวตน

- ช่วงถาม ตอบ

วันที่ 16 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=5tN-Qm3TY48

 

Q14รู้สึกความไม่เที่ยงของใจ ว่าคุมไม่ได้ เกิดความกลัว

ดังตฤณ : พอเกิดความกลัวนี่นะ ดูความกลัวโดยความเป็นสังขารขันธ์ ท่องไว้นะ ว่า ความกลัวนี่ คือภาวะปรุงแต่งชั่วคราว อย่าไปพยายามที่จะกลับมาหาลมหายใจ เพื่อหลบลี้หนีภัย

แต่ให้ดูลมหายใจ ควบคู่กันไปกับความกลัวว่า ความกลัว อยู่ได้กี่ลมหายใจ

ถ้าหากว่า อยู่ได้สิบลมหายใจ ก็เอาเลย นั่นแหละ แสดงว่าเป็นความกลัวชนิดแรงนะ ให้อยู่ไปสิบลมหายใจ

แต่ถ้าอยู่ได้สามลมหายใจแล้วแผ่วลง เราก็ได้หลักฐานอีกชิ้นหนึ่งแล้วว่า สังขารขันธ์ไม่เที่ยง ก็ดูความกลัวโดยความเป็นสังขารขันธ์ที่แสดงความไม่เที่ยงไปเถอะ

อย่าไปดูโดยที่ .. นี่เป็นสิ่งน่ากลัว แล้วฉันจะไม่เอาความรู้สึกกลัวแบบนี้ ฉันจะเอาลมหายใจที่เป็นเซฟโซนของฉัน อย่าไปดูแบบนี้

ดูควบคู่กันไปเลยนะครับ กี่ลมหายใจความกลัวถึงหายไปนะ

___________________

เริ่มรู้สึกถึงความไม่เที่ยงของสภาวะใจที่กว้างกว่าที่เคยสัมผัส รู้สึกว่าเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ มีความรู้สึกกลัว แต่พยายามตั้งสติกลับมาดูลมหายใจค่ะ

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พร้อมรู้ว่าไม่มีตัวตน

- ช่วงถาม ตอบ

วันที่ 16 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=lkuEQP4MsDM

 

 

Q12ทำไมถึงใช้บทสวดโพชฌังคปริตร เพื่อปัดเป่าอาการเจ็บป่วย

ดังตฤณ : ในสมัยพุทธกาล มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าทรงประชวรหนัก ท่านก็ให้พระอรหันต์ด้วยกัน มาสวดโพชฌงค์ เพราะว่าโพชฌงค์นี้ เป็นองค์ธรรมที่สูงที่สุด

เพราะสามารถยกปุถุชน ขึ้นเป็นอริยบุคคลได้

ทีนี้ พอมาสวดด้วยความเข้าใจ แบบพระอรหันต์ ความเข้าถึงแล้วแบบพระอรหันต์นี่ ธรรมชาติที่สว่างอย่างใหญ่อยู่แล้วของโพชฌงค์ ก็ยิ่งมีพลังอย่างมาก แล้วก็สามารถที่จะขจัดปัดเป่าโรคภัยได้

คือนึกถึงพลังความสว่างระดับดวงอาทิตย์ แล้วคูณเข้าไปกว่านั้นเป็นร้อยเท่า บางทีอาการประชวรของพระพุทธเจ้า อาจเกิดจากกายก็ได้ หรืออาจเกิดจากวิบากเก่า อันนี้เราไม่รู้ แต่ว่า การที่เรามีพลังด้านสว่างอย่างใหญ่ ใหญ่หลวงขนาดที่ยิ่งกว่าพระอาทิตย์ทางธรรมเป็นร้อยๆ เท่า ก็สามารถขจัดปัดเป่าให้พระพุทธเจ้าหายประชวรได้ในครั้งนั้น

ก็เลยกลายเป็นการจำสืบๆ กันมาว่า ถ้าสวดโพชฌังคปริตร แล้ว จะเป็นการปัดเป่าโรคภัย ซึ่งบางคนก็ได้จริงๆ เพราะคนสวดอาจมีศีลมีธรรม หรือมีบุญสัมพันธ์กับธรรมะบางอย่างนะครับ

แต่คุณไปวัดเป็นเปอร์เซ็นต์เถอะ ไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ ที่สวดโพชฌังคปริตรแล้วจะหายป่วยหายไข้ จะมีเปอร์เซ็นต์ที่ .. ผมก็ไม่รู้หรอก ไม่เคยไปตาม แต่รับประกันว่า ไม่ใช่ร้อยเปอร์เซ็นต์ที่สวดแล้วจะหาย

ต้องทำความเข้าใจด้วยว่า ณ จุดที่พระพุทธเจ้าท่านประชวร แล้วท่านหายก็เพราะว่า คนที่สวดโพชฌังคปริตร หรือจาระไนธรรมอันเป็นองค์ตรัสรู้ ท่านเป็นพระอรหันต์ใหญ่นะครับ ผมจำไม่ได้ว่าเป็นท่านไหนที่สวด แต่เป็นพระอรหันต์แน่นอน

ซึ่งพระอรหันต์สวด กับปุถุชนสวดโพชฌังคปริตรนี่ คนละเรื่องกันนะครับ พลังจะออกมาต่างกัน

 

___________________

จากที่อธิบายมา เกิดความสงสัยว่า ทำไมพระท่านสวดบทโพชฌงคปริตร เพื่อปัดเป่าอาการอาพาธของพระภิกษุสงฆ์คะ เกี่ยวข้องกันอย่างไร?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พร้อมรู้ว่าไม่มีตัวตน

- ช่วงถาม ตอบ

วันที่ 16 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=kUE5ZW-xXp8

 

Q13ชีวิตพบปัญหาหนัก รู้สึกเหมือนเราดูอยู่ห่างๆ ถูกต้องไหม อยากขอคำแนะนำให้ผ่านจุดวิกฤตินี้ไปได้

ดังตฤณ : ที่เรารู้สึกเหมือนห่างๆ ออกมานี่นะ ก็คือจิตของเราไม่เข้าไปยึดมั่นถือมั่นมากนั่นเอง

ก็ฝึกต่อไป ตามแนวทางที่เราเรียนรู้กันมานั่นแหละ คือไม่มีหรอก อุบายอะไรสักอย่างที่เราเพิ่มเข้าไปแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นนะ

แต่ถ้าเราทำมาจนกระทั่งมีความรู้สึกว่าจิตอยู่ห่างๆ อาการยึดน้อยลง เหมือนเป็นคนดูอยู่เฉยๆ แค่นี้น่าพอใจที่สุดแล้ว สำหรับการแก้ปัญหาแบบโลกๆ

เพราะแสดงให้เห็นว่าปัญหาวิ่งมาไม่ถึงหัวใจเรา ชีวิต จะยิง จะลั่นไกใส่หัวใจเรา แต่ไม่ถึง มาไม่ถึง จะสวดมนต์บทไหนก็ตาม ถ้าหากว่าช่วยเป็นต้นทุน ช่วยเป็นความชุ่มชื่น ให้เกิดความรู้สึกดีขึ้นได้ ก็นับว่าประเสริฐทั้งนั้นนะครับ

ที่จะต้องทำเพิ่ม ก็คือทำต่อไปเรื่อยๆ ความต่อเนื่อง คือความก้าวหน้า ท่องไว้เป็นคาถาเลยนะ

___________________

ข่วงนี้ชีวิตมีปัญหาหนักรอบด้าน ทั้งเรื่องงาน ทั้งชีวิตส่วนตัว เห็นปัญหาต่างๆ มันอยู่รอบตัว แต่ตัวเราอยู่ห่างๆ เหมือนกับเราไม่ลงไปคลุกคลีกับปัญหา เราเป็นแค่คนดู เห็นปัญหาต่างๆ มันอยู่เป็นกองๆ ไม่เกี่ยวข้องกัน แล้วพยายามแก้ปัญหาไปทีละจุด สงสัยว่าการเห็นแบบนี้ เราเดินมาถูกทางไหมคะ? และช่วงนี้กําลังจิตอ่อนมาก นั่งสมาธิแล้วเห็นโมหะเยอะมาก เลยอาศัยสวดพระปริตรเกือบทุกวัน อยากขอคําแนะนําว่าต้องทําอะไรอีกบ้าง เพื่อเป็นแนวปฏิบัติให้ผ่านจุดหนักสุดช่วงนี้ไปได้?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พร้อมรู้ว่าไม่มีตัวตน

- ช่วงถาม ตอบ

วันที่ 16 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=ovcyGpK0yqI

 

Q11คนเรามีขันธ์มากกว่า 5 ได้หรือไม่

ดังตฤณ : ไม่ได้ครับ มีแค่ห้านี่แหละ แต่ว่าที่มาก ที่พิสดารคือ สังขารขันธ์นะ แล้วก็บางทีอาจมีสัญญาขันธ์ ที่ซับซ้อน มีอะไรอยู่ในความทรงจำเยอะ ก็เป็นไปได้ที่จะเกิดการปรุงแต่งขึ้น

___________________

มีคนรู้จักเป็นโรคหลายบุคลิก เขาบอกว่ามีวิญญาณ 3 ดวง เลยอยากถามว่าเรามีขันธ์มากกว่า๕ ได้ไหมครับ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พร้อมรู้ว่าไม่มีตัวตน

- ช่วงถาม ตอบ

วันที่ 16 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=4v8YdwdAkHc

 

Q10นั่งสมาธิแล้วคันคอ ไอ ต้องออกจากสมาธิ เพราะอะไร

ดังตฤณ : แต่ละคนมีเหตุปัจจัยแตกต่างกันไปนะ คือผมไม่ได้อยู่ตรงนั้น บางทีก็อาจบอกยากนะ ว่าเหตุปัจจัยของแต่ละคนเป็นอย่างไร

อย่างกรณีของคุณ เอาเป็นว่าพอถึงจุดหนึ่ง เราอาจมีสภาพแบบว่า เค้น ให้กล้ามเนื้อต้องทำงานแบบที่เป็นของมันไปเอง เป็นการไอ หรือเป็นการที่ระบายออก ซึ่งความจุกแน่น

แต่ละคนไม่เหมือนกัน เอาเป็นว่าได้แนวทางไว้อย่างหนึ่ง คือ ถ้าไอ ..ไอครั้งเดียวไม่ต้องไปสนใจ แต่ถ้าไออยู่เรื่อยๆ ลองสังเกตตัวเองดูว่า มีอาการเกร็ง โดยไม่รู้ตัวที่ส่วนใดส่วนหนึ่งหรือเปล่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อาการจดจ้อง

ถ้าหากจดจ้องมากเกินไป พอทำไปเรื่อยๆ จะมีอาการเค้นขึ้นที่คอ หรือที่ส่วนไหนได้นะครับ

___________________

ทำไมเวลานั่งถึงภาวะหนึ่ง มักจะมีอาการคันคอ ทำให้ต้องไอและออกจากสมาธิก่อนอยู่บ่อยๆคะ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พร้อมรู้ว่าไม่มีตัวตน

- ช่วงถาม ตอบ

วันที่ 16 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=POrZzVoP5-A

 

Q09ถ้ามีครอบครัว จะปฏิบัติธรรมได้ดีที่สุดอย่างไร

ดังตฤณ : ก็เอาครอบครัว มาเป็นสิ่งกระทบ เป็นแบบฝึกหัด แล้วก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่า ใจของเรายึดมาก หรือยึดน้อย หรือไม่ยึดเลย

เอาที่ใจอย่างเดียว อย่าเอาที่ข้างนอก อย่าเอาที่เปลือกนอกนะ

___________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พร้อมรู้ว่าไม่มีตัวตน

- ช่วงถาม ตอบ

วันที่ 16 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=3jWc-iy5wvM

 

 

Q08จะป้องกัน หรือตั้งรับการที่ธรรมชาติส่งเหตุการณ์ หรือคนมาทดสอบเราอย่างไร

ดังตฤณ เครื่องขวางการภาวนา แบ่งออกได้เป็นสองมิติ

 

มิติแรกคือ จะมาตามวิบากของกรรมของเราอยู่แล้ว

ถูกกำหนดไว้แล้ว ถูกพล็อตไว้แล้ว

อย่างเช่นบอกว่า ถ้าจะเจอคู่แท้ ต้องเจออยู่สองช่วง

อายุ 26 หรือ อายุ 37 อะไรแบบนี้

 

ถ้าสมมติว่า ช่วงอายุ 26 หรือ 37 เรามาปฏิบัติธรรมพอดี

ก็อาจรู้สึกว่า เอ๊ะ มาดึงกันหรือเปล่า

ทั้งๆ ที่จริงๆ ถูกพล็อตไว้เรียบร้อย

 

กับอีกอย่างหนึ่ง มิติที่สองคือ

มิติของแรงดึงดูดจากสังสารวัฏประจำตัวเรา

 

ทุกคนจะมีแรงดึงดูดประจำตัว

ซึ่งธรรมชาติของตัวเราจะรู้เอง ว่า

แรงดึงดูดไหน ที่เอาเราอยู่

และสามารถดึงเรา ให้เขว

จากเส้นทางการออกจากสังสารวัฏได้

 

ประเภทที่มาแบบจะดึงให้อยู่ โดยที่ไม่ได้ถูกวางพล็อตไว้ก่อน

พวกนี้มักจะผ่านมาแล้วผ่านไป ถ้าเราไม่ติดใจ

 

แต่ถ้ามีพล็อตไว้ก่อน จะมาผูกในลักษณะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

มีพันธะ มีเหตุแวดล้อมอะไร ให้อย่างไรๆ ก็ต้องปักเข้ามา แน่วเข้ามา

 

ส่วนเรื่องของการป้องกัน ก็ขึ้นอยู่กับใจ

อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า

ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน อะไรๆ ออกมาจากใจนี้แหละ

 

ถ้าหากว่า ใจของเราจะเอาการปฏิบัติจริงๆ

จะมีอะไรมาขวาง ใจก็ตัดได้

 

แต่ถ้าเราไม่เอาจริง ต่อให้ไม่มีอะไรมาขวาง

เราก็กระโจนเข้าไปใส่สิ่งกีดขวางเอง

ไปเอาสิ่งกีดขวาง มาตั้งขวางทางตัวเองได้

 

ท่องไว้คำเดียวเลย เป็นคาถา ..

ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน

อะไรๆ ไหลมาแต่ใจนี้ เกิดขึ้นจากใจนี้

 

ถ้าหากว่าเรานึกถึงว่า ใจของเรานี่ กำลังอยากได้อะไรอยู่

นั่นแหละ ที่จะไหลออกมาจากใจของเรา

อย่างที่เราอยากได้นั่นแหละ

___________________

ที่อาจารย์ว่าเมื่อเราปฏิบัติได้ดี จนความฟุ้งซ่านไม่สามารถทำให้เราหยุดปฏิบัติได้ ธรรมชาติจะส่งเหตุการณ์ หรือคนที่หนักกว่าเดิมมา ของดิฉันเจอเป็นแบบคนค่ะ ทำให้ไม่ได้ปฏิบัติได้ดีเท่าที่ควรมา ๘ เดือน แต่ตอนนี้กลับมาปฏิบัติแล้วค่ะ คำถาม คือ ๑) เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่มั้ยคะ อะไรทำให้ธรรมชาติส่งมา ๒) ถ้าธรรมชาติส่งมาอีก เราจะป้องกันหรือตั้งรับอย่างไรดีคะ เพื่อให้เราได้ปฏิบัติต่อไปค่ะ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พร้อมรู้ว่าไม่มีตัวตน

- ช่วงถาม ตอบ

วันที่ 16 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=TpZU-2qzrdA

 

Q07เมื่อมีอารมณ์กระทบ รู้ตัว กลับมาอยู่ที่ลมหายใจ ต้องทำอย่างไรต่อ

ดังตฤณ ที่ทำอยู่ก็โอเคนะ

คือระหว่างวัน แล้วรู้สึกถึงลมหายใจได้เรื่อยๆ

ก็ถือเป็นการทำสมาธิชนิดหนึ่ง

เอาชีวิตประจำวันเป็นการทำสมาธิ

แล้วพิสูจน์ได้ มีร่องรอย มีหลักฐาน

มีสัญญาณบอกว่าสติของเราเจริญขึ้นจริง

ก็เหตุการณ์ตามที่คุณเล่าให้ฟังนี่แหละ

 

คนอื่นตระหนกตกใจขาดสติกัน แต่คุณยังมีสติ

สามารถรู้ สามารถเห็นอยู่

อย่างนี้ก็เป็นเครื่องยืนยันนะว่า

การทำสมาธิของเราใช้ได้นะครับ

___________________

ปกติไม่ค่อยได้นั่งสมาธิ เพราะอยู่หลายคน ไม่สะดวก แต่ในชีวิตประจำวันจะพยายามรู้ลมหายใจตลอด เคยมีอุบัติเหตุในช่วงเวลาเสี้ยววินาที เหมือนมีสติคิดเป็นลำดับขั้นก่อนรถจะชนว่าจะต้องทำอะไร หรือเวลาโดนรถปาดหน้าปกติจะโมโห แต่พอรู้ตัว ใจกลับมาอยู่ที่ลมหายใจ ความโกรธหายไปทันที ควรปฏิบัติต่อไปยังไงดีคะ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พร้อมรู้ว่าไม่มีตัวตน

- ช่วงถาม ตอบ

วันที่ 16 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=ZYb5pwFG7W0

 

Q06รู้สึกร่างกายไม่ใช่ตัวเรา รู้สึกกลัว

ดังตฤณ : การเห็นรูป เห็นกายโดยความเป็นรูปขันธ์

เกิดความรู้สึกอย่างนี้แหละ

เสร็จแล้ว พอเกิดความกลัวขึ้นมา นั่นคือ สังขารขันธ์ เกิดขึ้นตามมา

แต่เราไม่รู้ ไม่ได้ทำความเข้าใจไว้ก่อนว่า

นี่เรียกว่า รูปขันธ์ นี่เรียกว่า สังขารขันธ์

 

แต่ต่อจากนี้ คุณรู้แล้ว

 

ตอนที่รู้สึกตัวเองอยู่ในก้อนอะไรก้อนหนึ่ง ที่หนาๆ

มีระยางค์ มีหัว มีหาง

เราไม่เคยออกแบบ เราไม่เคยสมยอมเลยว่า จะมาอยู่ในร่างแบบนี้

แต่ก็มามีร่างแบบนี้ผุดขึ้นมากักขังเรา

ราวกับว่า อยู่ๆ ตื่นขึ้นมา มีสติขึ้นมา กลางฝัน

ฝันที่ เดิมทึกทักว่ามีตัวเราเป็นนั่นเป็นนี่แน่ๆ

ตอนนี้กลายเป็นว่ามีสติว่า นี่กำลังฝัน

แล้วร่างนี้ นิมิตแบบนี้ มาจากไหนก็ไม่รู้

ตอนนี้รู้แล้วว่า เป็นนิมิตฝัน

 

รูปขันธ์นี่ เป็นนิมิตฝันชนิดหนึ่ง

แต่เป็นนิมิตฝันประเภทที่ ฝันค้าง

ค้างอยู่เรื่อยๆ ค้างคา ไม่ใช่คาใจ

ไม่ใช่ค้างแบบยังไม่ได้ตามฝัน

แต่ค้างคา อยู่ในอะไรที่เหมือนจับต้องได้

แล้วจับต้องได้ไปเรื่อยๆ

แต่ที่แท้แล้ว จะเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนตาไป

โดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

 

ทีนี้ พอคุณเห็นโดยความเป็นรูปขันธ์แบบนั้นแล้ว

แล้วเกิดขึ้นมาเองนะ ความกลัวนี่

ก็ให้รู้ต่อ ว่า เรากำลังรู้รูปขันธ์

แล้วสังขารขันธ์ชนิดมืด ชนิดที่เป็นอกุศล

หรือเกิดอาการกลัว ขึ้นครอบงำจิต จิตหด

 

นี่ก็เป็นกองขันธ์อีกกองหนึ่ง อีกประเภทหนึ่ง

เรียกว่าสังขารขันธ์

 

พอเห็นสังขารขันธ์ โดยความเป็นสังขารขันธ์

ไม่เห็นว่าเป็นความกลัวของเรา

จะพบว่า อาการมืด อาการบีบจิต จะเกิดขึ้นเดี๋ยวเดียว

แล้วก็สลายตัวไป กลายเป็นความรู้สึกว่างๆ ขึ้นมาแทน

 

ถ้าคุณยังมีสติเท่าทันอีกว่า สังขารขันธ์ชนิดมืดผ่านไป

คลี่คลาย กลายเป็นสังขารขันธ์ชนิดสว่าง

ชนิดที่รู้สึกใจว่างๆ สบายๆ ไม่ได้เป็นสุข ไม่ได้เป็นทุกข์

อย่างนี้ เรียกว่า เห็นความไม่เที่ยง

เห็นเหตุปัจจัยของสังขารขันธ์ เป็นปัญญาแบบพุทธ

 

แล้วยิ่งถ้าหากว่า คุณสามารถเห็นกาย โดยความเป็นรูปขันธ์

และ เห็นการปรุงแต่งทางใจ กลัว หรือว่าไม่กลัวก็ตาม

สักแต่เป็นสังขารขันธ์ ไปเรื่อยๆ

นี่นับว่าเป็นการประสบความสำเร็จ

ในการเห็นกายใจเป็นขันธ์ 5 เห็นกายใจโดยความเป็นรูปนามได้

 

ตัวนี้แหละ ที่จะทำให้เราเกิดความเข้าใจ

มีสัมมาทิฏฐิในแบบที่จะพัฒนาต่อ เห็นขันธ์ 5 ได้

ลองดูว่าจะพัฒนาต่อ เป็นการเห็นสังโยชน์ต่อได้ไหม

 

ลองดูย้อนกลับไป

ตอนที่แล้ว พูดถึงตัวที่แอดวานซ์กว่าขันธ์ 5 ขึ้นมา ก็คือเห็นสังโยชน์

และถ้าหากว่ายังไม่เคยดูตามกันมาก่อน

ก็ลองย้อนกลับไปดู ตั้งแต่ ep. แรก

ที่พูดถึงการหายใจให้เป็น

 

เพราะว่าอย่างเห็นภาวะอะไร

ที่ดูเหมือนกับเป็นประสบการณ์ที่ใหญ่ๆ ทางธรรม

ใครๆ ก็เห็นได้กันทั้งนั้น พูดกันจริงๆ นะ

 

แต่ที่จะเห็นได้เรื่อยๆ ที่จะเห็นได้

โดยที่มีพัฒนาการในทางขาขึ้นไปเรื่อยๆ นี่

ต้องมีตัวรองรับที่แรงพอ

 

ถ้าเราได้อานาปานสติ เป็นเครื่องพยุง เป็นหัวหมู่ทลวงฟัน

เป็นเครื่องชักจูงลากพา ให้เกิดความก้าวหน้า ต่อๆ ไป

แล้วก็ขึ้นสูงไปเรื่อยๆ

 

เราจะเห็นเลยว่า การมีวิธีทำสมาธิ ที่ใช่

แล้วก็ที่จะทำให้เห็นกายใจได้เรื่อยๆ นี่

สำคัญขนาดไหนนะครับ

___________________

วันหนึ่งตื่นขึ้นมาแล้วรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในร่างหนาๆ โดยที่รู้สึกว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียว แล้วรู้สึกว่าร่างกายทั้งตัวไม่ใช่ของตัวเอง.... หากไม่มีแขน หรือไม่มีขา ก็ไม่ใช่ของแปลก แต่รู้สึกกลัว กับความรู้สึกแบบนี้ แต่สักพัก ความรู้สึกนี้ก็หายไป รู้สึกแบบนี้ มันคืออะไรครับ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พร้อมรู้ว่าไม่มีตัวตน

- ช่วงถาม ตอบ

วันที่ 16 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=IWFBvEWcYZQ

Q05นั่งสมาธิแล้วง่วง แก้อย่างไร

ดังตฤณจิตคุณดีขึ้นเยอะเลยนะ

ที่หนักๆ หรือว่ารู้สึกว่านั่งสมาธิแล้วมืดๆ นี่ สลายตัวไปเยอะ จะรู้สึกว่าจิตเบาบาง คือยังมีอะไรหน่วงๆ อยู่ แต่ใจจะรู้สึกถึงความเบาได้นะ ทีนี้พอเบาแล้ว คนเราพอเหนื่อยกับเส้นทางที่ผ่านมาเยอะ หนักใจมาเยอะ รู้สึกอ่อนล้ามาเยอะ พอมาเจอความเบา ก็จะเกิดความเพลิน ว่าจะเกิดอาการเผลอหลับเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าช่วงนี้ พอนั่งสมาธิ หรืออยู่ระหว่างวันก็ตาม ถ้าหากเพลีย หรือเกิดอาการง่วง ให้ดู อาการง่วงมีหลายระดับ แบ่งเป็นสามระดับง่ายๆ คือ ง่วงมาก อยากจะคว่ำลงไป ง่วงกลางๆ คือยังทรงอยู่ได้ ยังพอจะฝืนอยู่ได้ กับง่วงอ่อนๆ .. ง่วงอ่อนๆ จะเป็นประโยชน์ที่สุด คือคุณจะเห็นเลยว่า ทันทีที่เราหายใจยาวขึ้น อาการง่วงอ่อนๆ แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง หรือรู้สึกสดชื่นขึ้นทันที การเห็นความต่างระหว่างความง่วง ระดับมาก ระดับกลาง ระดับอ่อน เห็นไปเรื่อยๆ ในที่สุด คุณจะรู้สึกว่า ถ้ามีสติเท่าทัน ความง่วงเล็กๆ ได้ จะค่อยๆ เขยิบขึ้นไป มีกำลังสติ รู้สึกถึงความง่วงระดับปานกลาง และสุดท้าย ความง่วงระดับหัวหน้า สติก็สามารถเท่าทันได้ เท่าทันไปทำไม เพื่อเห็นความต่าง .. ความต่าง ณ ขณะนั้นเลยว่า ตอนนี้ กำลังง่วงอ่อนๆ พอหายใจยาว .. สดชื่นขึ้นมา ความง่วงอ่อนๆ หายเป็นปลิดทิ้ง นี่คือการเห็นความไม่เที่ยงของระดับที่ดูง่าย ระดับกลางๆ ต้องมีอาการยื้อ แล้วหายใจอย่างสดชื่นหลายครั้ง กว่าจะรู้สึกลับมามีกำลัง ไม่ง่วงเหงาหาวนอนได้ กับอีกระดับหนึ่ง ขั้นสุดยอดง่วงอย่างไรๆ คว่ำแน่ ถ้าเป็นแต่ก่อน ขาดสติผึงเลย แต่พอเริ่มมีกำลังของสติ มารู้ความง่วงระดับอ่อนกับระดับกลางบ่อยเข้าๆ จะมีความรู้สึกเหมือนกับว่า แม้กระทั่งตัวหัวหน้าใหญ่ที่เป็นความง่วงระดับพร้อมคว่ำ สติของเราก็มีกำลังที่จะไปทัดทานได้ สามารถที่จะเท่าทันได้ คืออย่าไปคาดหวังว่าจะทำได้ภายในครั้งสองครั้ง หรือว่าจะเอาชนะตัวใหญ่ได้แบบเร็วๆ นี้อะไรอย่างนี้ ต้องค่อยๆ สะสมกำลังไป นะครับ เดินจงกรมน่ะ ดีแล้ว จิตดีขึ้นเยอะนะ

_______________________

แรก ๆ ที่ปฏิบัติ จะรู้สึกง่วงทั้งตอนเดินจงกรมและนั่งสมาธิ แต่หลังจากทำต่อเนื่องกันมาประมาณ ๒ อาทิตย์ เวลาเดินจงกรมจะไม่รู้สึกง่วง แต่ตอนนั่งสมาธิยังเกิดอาการง่วงอยู่ จะแก้ไขอย่างไรเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าคะ (รู้ความคิดที่เข้ามาพร้อมกันรู้ลมหายใจ)

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พร้อมรู้ว่าไม่มีตัวตน

- ช่วงถาม ตอบ

วันที่ 16 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=uvSdPpnYUsA&t=1s