- พอเราเห็นมัน มันก็คลายไปเอง
ดังตฤณ : ใช่ ถ้ามีสติ
อย่างที่เรียกว่าเราเห็นมัน ตัวนี้ ก็คือจะเป็นจุดที่ .. เป็น trigger เป็นตัวที่ทำให้เกิดกระบวนการคลายออกไปได้เอง
ตัวสติ มาเมื่อไหร่
เราก็จะเห็นสิ่งที่เรากำลังเห็น หายไป หรือว่าค่อยๆ เสื่อมลงเมื่อนั้นนะครับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สภาวะที่เป็นของภายใน สภาพการปรุงแต่งของจิต ถ้าเราเห็นจริงๆ
จะหายไปให้ดู โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความคิด หรือสภาวะที่ผ่านมาผ่านไป
ยกเว้นแต่ว่า จะเป็นสภาวะคงที่อย่างเช่น
ปีติสุขในสมาธิ ตั้งแต่อุปจารสมาธิขึ้นไป จะล้นหลาม จะยั่งยืนอยู่นาน อะไรแบบนี้
เราเห็นไป ก็จะยังคงอยู่อย่างนั้น
เพียงแต่ว่า ด้วยการเห็นที่ไม่มีอาการยึด
ว่านั่นดีจัง นั่นเป็นสมบัติของฉัน ก็จะสักแต่เป็นการเห็นว่า
ปีติสุขอันล้นหลามนั้น ตั้งอยู่ของมันไป โดยไม่เกี่ยวกับตัวเรา
ไม่มีตัวใครเป็นเจ้าของนะ
- เห็นกายในจิต และไม่ใช่กายเรา
เห็นมันผุดเกิดเอง แล้วมีแรงดูดเข้าหากายใจเราค่ะ
ดังตฤณ : พอเริ่มเห็นแรงดึงดูดของสิ่งที่มาล่อ
จะเป็นเหยื่อล่อชนิดไหนก็ตาม คณจะมีความเข้าใจเรื่องของสังโยชน์สิบมากขึ้นเรื่อยๆ
กลับไปทบทวนดูนี่นะ
คุณสามารถไปดูได้ด้วยตัวเองเลย จะมีอยู่แล้วในพระไตรปิฎก
และมีคนเอามาแจกแจงกันเยอะ แต่ดูด้วยนะว่า ใครเป็นคนแจกแจงนะ
อย่างเรื่องสักกายทิฏฐิ
ถ้าหากว่าเราสามารถเห็นแรงดึงดูดของสิ่งกระทบต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความคิด
กลุ่มความคิดแต่ละกลุ่ม มีความดึงดูดไม่เท่ากัน เห็นไปเรื่อยๆ ตัวสักกายทิฏฐิ
จะเบาบางลงเอง โดยคุณไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ ทั้งสิ้นนะ ลองไปสังเกตดูนะครับ
พอไล่มาตามลำดับ เราเห็นลมหายใจ เห็นเวทนา
เห็นขันธ์ 5 จนกระทั่งมาเห็นสังโยชน์ ในการประจวบของอายตนะภายในภายนอก
คุณจะรู้สึกได้จริงๆ ว่า อนัตตา ก็คงอยู่อย่างนี้มาตลอด ที่เราไม่เห็นก็เพราะว่า
มีแรงดึงดูด มีสังโยชน์นี่แหละ มาเป็นตัวทำให้เกิดความเห็นเพี้ยนไปนะ
-
ครั้งนี้เป็นครั้งที่สำคัญสำหรับผมอย่างที่สุดครั้งหนึ่ แก้ปัญหาที่ผมติดมา
(น่าจะ) หลายครั้งแล้ว รู้สึกลึกๆ ว่าปัญหานี้ผมติดมานานเหลือเกิน
กราบพี่ตุลย์ครับ
- ผมติดกับภาวะ แม่เหล็กแกนกลางจิต มันดูด
"จิตไปแนบติดจิต" มานานแล้ว พอพิจารณาเป็นแม่เหล็ก
มันเข้ากันกับสภาวะแบบพอดีอย่างสมบูรณ์ จนเกิดผลเป็นจิตพลิกเป็นภาวะไม่มีแม่เหล็ก
ไม่มีจิตให้ดูต รู้สึกเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญครับ(ขอโทษอย่างสูงที่ไม่ได้แจกแจงครับ)
ดังตฤณ : แม่เหล็กที่หายไปอย่างถาวร
มีแต่พระอรหันต์นะ แต่ว่าโอเค .. เข้าใจที่คุณอธิบายมาก็คือว่า
ความรู้สึกเป็นอิสระ โล่ง แล้วก็ไม่มีตัวยึดติดแบบเก่าๆ มีตัวแม่เหล็กแบบเก่าๆ
มาคอยทำให้จิตไปหลงติดอยู่นะครับ
นี่เป็นแม่เหล็กเฉพาะกรณี
คือไม่ใช่แม่เหล็กหายไปเลยนะ แต่เป็นแม่เหล็กเฉพาะกรณีของคุณนะ
- นั่งๆ อยู่ เหมือนมีแสงวาบ
แล้วรู้สึกเหมือนไม่มีตัวตน ว่าง เบา
ดังตฤณ : น่าจะจาระไนด้วยนะ
ว่าตอนรู้อยู่ ดูอยู่ ที่นั่งอยู่ เห็นอะไรบ้าง ก่อนที่จะเกิดแสงแว้บขึ้นมา
คืออะไรแบบนี้นี่เป็นของใหญ่นะ
คือเวลาที่เราดูกายใจไป แล้วมีความสว่างวาบขึ้นมา มันวาบขึ้นมาได้จากจิตหลายระดับนะครับ
ถ้าหากว่าเรารู้สึกเหมือนกับว่า .. นี่
หลังจากนี้คุณลองสังเกตตัวเองดู ถ้าหากว่ามีอะไรมาล่อ ให้ยึดมั่นถือมั่น
ให้จิตถูกดูดเข้าไปติด แล้วจิตของเรารู้สึกเหมือน เฉยๆ ตั้งอยู่โดยไม่ถูกดูดเข้าไป
นี่ก็แสดงว่าที่แวบขึ้นมา เป็นภาวะทางธรรมชาติแบบหนึ่ง ที่จิตเริ่มที่จะคาย
เริ่มที่จะคืนออกจากความยึดติดถือมั่น
แต่ถ้าความสว่างแว้บนี้
เกิดขึ้นแบบที่ตอนนั่งอยู่ ไม่ได้รู้อะไรเลย ก็เป็นภาพของสมถะชนิดหนึ่งนะครับ
จริงๆ ถ้าเล่ามาสักนิด
รายละเอียดว่าตอนที่เรานั่งอยู่ ดูอยู่ เราเห็นอะไร เรารู้อะไร
ก็จะมาคุยกันได้ละเอียดขึ้น
- พอทำสมาธิในรอบนี้
ก็เห็นลมหายใจเข้าออกที่ชัดเจนครับ และมีเพิ่มเติมคือ
มีความสุขที่ได้ตามรู้ลมหายใจในทุกๆ ลมเข้าออก มีความคิดจรที่เกิดขึ้นมา
ก็รับรู้ถึงความยึดติดที่มากน้อยของแต่ละความคิด แล้วก็ปล่อยความคิดนั้นออกไปครับ
ดังตฤณ : นี่แหละ
ที่ต้องการสำหรับคืนนี้ .. ก็น่าจะอยู่ในกลุ่มแรกนะ ที่ตอบว่าเข้าใจ
โพลออกมาก็เยอะนะ
ที่บอกว่าเห็นระดับแรงดึงดูดที่ต่างกันของแต่ละความคิดได้ ทั้งหมด 71% พูดง่ายๆ เกือบสามในสี่ ที่สามารถเห็นได้
บรรลุถึงเป้าหมายของการนั่งสมาธิในค่ำคืนนี้นะครับ ก็อนุโมทนากับทุกท่าน
- ตอนโพลแรก ไม่แน่ใจว่าจะตอบข้อไหน
เพราะแล้วแต่เรื่องว่าจะยึดมากยึดน้อยค่ะ ถ้าเป็นเรื่อง ไม่เอาเรื่องเอาราวคนอื่น
จะปล่อยง่าย แต่ถ้าเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวตน เสียหน้าในที่สาธารณะ
จะเห็นว่ายังยึดไม่ยอมปล่อยง่ายๆ แล้วพอความคิดกลับมาใหม่ ก็เห็นใหม่อีกค่ะ
แต่ก็ได้เรียนรู้เพิ่มพอดีวันนี้ จากภาพแม่เหล็ก 3 แบบค่ะ
ดังตฤณ : อย่างนี้อยู่ในกลุ่มที่
2 นะ
คือไม่ใช่ว่า กลุ่มหนึ่งกับกลุ่มสอง
กลุ่มไหนดีกว่ากัน แต่ว่าให้คุณทำโพลเพื่อเข้าใจตัวเอง เห็นไหม สังเกตไหม
พอเราตอบโพลนี่นะ จะได้ทบทวนตัวเอง แล้วก็พอได้ตอบออกไป จะเกิดความแน่ใจ ว่าภาวะที่เกิดขึ้น
ช่วงที่ผ่านมา ประมาณไหน
เรื่องการยึดติดถือมั่น เป็นคนละเรื่องกันแล้ว
กับสมาธิ แต่สมาธิ .. แน่นอน
เป็นฐานให้กับความสามารถที่เราจะมองเห็นความยึดติดถือมั่นได้อย่างชัดเจนนะครับ
- สังเกตเห็นว่า ทั้งความคิด
และรูปที่มองเห็น มีแรงดึงดูดกับใจให้หลงไปยึดไม่เท่ากัน
ดังตฤณ : นี่เป็นกลุ่มแรกนะ
.. ใช่ คือพอเราเห็นแค่ครั้งแรกๆ ว่าความดึงดูดไม่เท่ากัน
ก็จะเหมือนกับแค่เห็นเปรียบเทียบเล่นๆ แต่ว่าพอเห็นไปเรื่อยๆ คุณจะรู้ว่า
นี่ของจริง ไม่ใช่เรื่องเล่นนะ คุณจะเห็นอนัตตา ในระดับของจิตได้ จากตรงนี้แหละ
เพราะว่าพออาการยึด อาการโยง ถูกมองด้วยความเข้าใจจริงๆ ออกมาจากจิตจริงๆ
ว่านี่เป็นสภาพยึด สภาพโยง ที่มีความไม่เท่ากัน
ก็จะมีความเข้าใจกระจ่าง ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ
ว่าที่เราถูกผูกถูกโยงไว้ ที่เราถูกยึดไว้ ด้วยอะไรที่แตกต่าง
มีระดับของความดึงดูด แล้วจิตที่เข้าใจความแตกต่างของแรงดึงดูด ก็จะเข้าใจจริงๆ
ว่าเรายังโดนยึดอยู่ด้วยอะไรได้บ้าง ถูกยึดอยู่มากน้อยแค่ไหน
คุณจะเข้าใจภาพรวมตลอดสาย ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ
นะครับ
- วันนี้ร่างกายเพลียๆ
จะหลับตลอดที่ฟังและปฏิบัติ ตอนนั่งสมาธิก็รู้สึกใจเบาๆ และมีความฟุ้งเบาๆ แทรกมา มีความคิดบางอันที่พุ่งเข้ามา
แล้วเราก็วิ่งตามออกไป แล้วใจมันก็ปล่อยไปของมันเอง
แต่ก็มีบางอันที่เราตามแล้วก็หลุดไปเลย
ดังตฤณ : ก็ขึ้นอยู่กับวัน
ขึ้นอยู่กับช่วงเวลานะ บางทีถ้าเราไม่พร้อม แต่ว่าถ้าเห็นได้แบบนี้
ก็ถือว่าได้อะไรไปแล้วนะครับ เพราะว่าชีวิตที่เหลือของเรายังมีโอกาส
ยังมีเวลาที่จะได้เห็นอะไรแบบนี้ซ้ำๆ
แล้วก็เกิดความเชี่ยวชาญที่จะเข้าสู่ภาวะการเห็นอย่างนี้
เพราะบางทีจิตอยู่ของมัน มันไม่รู้เราต้องทำอะไร
แต่ถ้าหากว่าเราเทรนมัน ให้เห็นอะไรแบบนี้บ่อยๆ ก็จะกลายเป็นความเคยชิน
แล้วพอเห็นได้ ก็จะเกิดอาการทางใจตามมาเอง โดยที่ไม่จำเป็นต้องไปฝืนคิด ฝืนเค้นใดๆ
ทั้งสิ้นนะ
- ระดับการยึดติดของตัวเอง ขึ้นอยู่กับเรื่อง
ขึ้นอยู่กับคน พยายามจะไม่แบ่งระดับ แต่มันมีระดับจริงๆ ค่ะ ต้องฝึกให้มากขึ้นค่ะ
ดังตฤณ : อย่างที่บอกนะครับ
การฝึกที่จะเห็นระดับของความดึงดูด ทั้งหมดทั้งปวง ก็เพื่อที่จะให้เข้าใจ
แล้วก็เห็นแจ้งว่า ความดึงดูด หน้าตาเป็นอย่างไรได้บ้าง
ตอนที่เรายังไม่แยกแยะ ไม่จำแนกประเภทนี่นะ
จะเหมือนกับ .. ก็ดึงดูดเหมือนๆ กันหมด เหมือนเสาร์ที่แล้ว
เราพูดถึงแค่แรงดึงดูดอย่างเดียว แต่เสาร์นี้ เรามาแยกระดับกัน
เพื่อให้สติของเราคมขึ้น มีความละเอียดลออ รู้อะไรลึกซึ้งขึ้น
แล้วพอคุณรู้ถึงความแตกต่างของสิ่งไหน
คุณจะเข้าใจภาพรวมของสิ่งนั้นดีขึ้นเรื่อยๆ เสมอ
นี่คือหลักการที่คุณเห็นอยู่แล้วในชีวิตประจำวันแบบโลกๆ แต่ในทางธรรม
ก็เป็นเช่นนั้น
จิตที่ถูกเทรนให้เห็นความแตกต่างอะไรเยอะๆ
จะมองภาพรวมทั้งหมดออกอย่างเช่นที่พระพุทธเจ้าท่านให้ฝึกสติปัฏฐาน
ตั้งแต่อานาปานสติขึ้นมา ถึงเวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา เห็นไหม
ท่านให้เปรียบเทียบหมดเลย
เวทนา ก็อย่างเช่น สุขกับทุกข์ อทุกขมสุขเวทนา
ท่านให้เปรียบเทียบ แล้วก็ยังมีซอยย่อยออกไปอีก เป็นสุขอันเนื่องด้วยอามิส
คือมีเหยื่อล่อแบบโลกๆ หรือว่า สุขที่ไม่มีอามิสแบบโลกๆ คือมีเหยื่อล่อ
เช่นความรู้สึกอยากได้มรรคผล ความรู้สึกติดใจในฌานอะไรแบบนี้ ก็มีแบ่งแยกไป
ซึ่งถ้าเรายังไม่เข้าใจภาพรวม
จากการทำตามที่พระพุทธองค์บอก เราก็จะยังไม่เห็นพอยต์ว่าจะดูแบบจำแนกไปทำไม
แต่พอเราได้ปฏิบัติจนกระทั่ง .. อ้อ
มีความแตกต่างกันจริงๆ หน้าตาของนามธรรมชนิดต่างๆ นี่ ก็จะกลายเป็นว่า
ทำให้จิตของเราฉลาดขึ้น
ฉลาดที่จะจำแนกแยกแยะ
มีคนเคยไปถามพระสารีบุตรว่า
เพราะเหตุใดท่านถึงมีปัญญามาก ท่านบอกว่า เราเจริญจิตตานุปัสสนา โดยมาก
คือเห็นความต่างระหว่างจิตแบบต่างๆ
คือไม่ใช่ท่านขึ้นมา
ท่านมาเจริญจิตตานุปัสสนาเลยนะ แต่ท่านก็ไล่ขึ้นมาตามลำดับ เจริญอานาปานสติมาก่อน
แล้วก็มารู้เวทนา แต่ว่าพอท่านถึงความอยู่ตัวแล้ว มีสมาธิอยู่ตัว
ท่านจำแนกจิตของท่านเป็นขณะๆ เป็นประเภทต่างๆ
แล้วพอฉลาดที่จะจำแนกจิตเป็นต่างๆ
ท่านเห็นภาพรวมของจิต แบบครบถ้วนบริบูรณ์ ก็เลยมีความฉลาดมาก
คือเห็นความต่างของต้นตอความคิดทั้งปวง
กรรมทั้งปวง มาจากจิต จิตเป็นใหญ่ จิตเป็นประธาน
ถ้าสามารถจำแนกจิตได้อย่างเดียว
ถ้าสามารถที่จะเห็นประเภทต่างๆ ทางจิตได้อย่างเดียวนี่ ฉลาดทั่ว ฉลาดครอบจักรวาลนะ
ก็บอกเหตุผลนะครับว่า
ทำไมคืนนี้เรามาจำแนกกันว่า
มีความต่างระหว่างแรงดึงดูดชนิดที่เข้ามาครอบงำจิตด้วยความคิด
- มีมา เห็นปั๊บ หายเหมือนหมอกจาง
หายไปไวมากค่ะ ทุกครั้งที่เห็น หายทุกครั้งค่ะ สาธุค่ะ
ดังตฤณ : สาธุเช่นกันครับ
- ได้ดูการยึดหนักยึดเบา
กับการคลายของสังโยชน์ต่างๆ เหมือนได้ออกกำลังจิตเลยค่ะ
รู้สึกดีแล้วก็สนุกกับมันไปด้วยค่ะ เหมือนได้ดูหนัง
ดังตฤณ : นี่คือจะเกิดฉันทะ
แล้วพอคุณได้เกิดฉันทะ เห็นแม่เหล็กแบบต่างๆ ในชีวิตประจำวันด้วยจริงๆ
จะไม่ใช่แค่สนุก จะไม่ใช่แค่เกิดฉันทะ แต่คุณจะเห็นความเปลี่ยนแปลง แบบยกระดับขึ้นลิบลับเลย
ผิดหูผิดตาเลยนะ
อย่างเอาง่ายๆ การทำสมาธิของคุณจะเร็วขึ้น
เข้าสมาธิได้เร็วขึ้น คุณภาพของสมาธิ จะละเอียดประณีตขึ้น ดีขึ้น สว่างขึ้น
แล้วก็เวลาที่อยู่ในชีวิตประจำวัน ความคิดที่ไม่ดีจรเข้ามา จะหายไปจากหัว
แบบเหมือนกับ ไอ ที่ระเหยขึ้นไปอย่างรวดเร็ว ด้วยแสงของปัญญา
ที่มีความแรงกล้านะครับ
เดี๋ยวลองดูนะ ดูต่อไป ถ้าหากว่าเกิดฉันทะแบบนี้
จะเป็นไปได้สูงที่จะทำต่อไปเรื่อยๆ ไม่เลิก แล้วก็พอทำซ้ำๆ เรื่อยๆ ไม่เลิก เห็นความดึงดูดของสิ่งต่างๆ
เหยื่อล่อต่างๆ จนกระทั่งจำแนกได้อย่างชำนาญ ว่าแรงดึงดูดจากแม่เหล็กอันนี้
มากหรือน้อยแค่ไหน แตกต่างไปอย่างไร
ในที่สุด คุณจะรู้สึกว่า เข้าใจจริงๆ
เวลาไปอ่านเรื่องสังโยชน์ 10 นะ จะรู้จริงๆ ว่ากิเลส หรือว่าความยึดติดประเภทต่างๆ
ทำไมถึงยึดตัวเราไว้ได้
_____________________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน
รู้จักอนัตตาในระดับของจิต
ช่วงรวมฟีดแบคหลังโพลที่ 2
วันที่ 9 ตุลาคม 2564
ถอดคำ: เอ้
รับชมคลิป: https://www.youtube.com/watch?v=9-YEADU3M0Q
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น