- เพียงเริ่มกายหลับ ใจสะลึมสะลือ แต่จิตผู้รู้แยกต่างหาก แรกๆ จิตไม่ยอมรับ เพราะเข้าใจว่าเป็นโมหะ แต่วันนี้ระหว่างที่ฟังโพชฌงค์ จิตผู้รู้มองเห็นกายใจ คล้ายอยู่ในการหลับ ต่างกันตรงที่เป็นการหลับที่มีสติ แต่ในภาวะนี้ เจตนาตั้งอยู่ไม่ได้ ตัวตนจึงตั้งอยู่ไม่ได้ตามไปด้วย
ดังตฤณ : นี่เป็นอีกความเข้าในหนึ่งนะครับ ก็คือว่า
ตราบใดเรายังมีเจตนาทำอะไรบางอย่างอยู่ ตราบนั้น
จะยังมีความรู้สึกในตัวตนเป็นเงาตามตัวมาด้วยทันที
*
- เหมือนไฟกระพริบค่ะ เดี๋ยวก้อนเนื้อ เดี๋ยวตัวเรา
แต่มากไปทางตัวเราค่ะ
ดังตฤณ : เข้าใจ
ความรู้สึกของคุณเปรียบเทียบเป็นไฟกระพริบ คือสลับกัน
เดี๋ยวที่รู้สึกว่าเป็นก้อนเนื้อ ก็หมายความว่าเห็นสภาพทางกาย โดยความเป็นรูป
แล้วก็พอสติเสื่อมลง หรือว่าอ่อนกำลังลง ก็กลายเป็นความรู้สึกในตัวเราขึ้นมาใหม่
แต่ขอให้สังเกตนะ จะเหมือนกับเล่นกีฬา หรือเล่นดนตรี
ยิ่งมีความชำนาญ หรือยิ่งมีกำลังมากขึ้นเท่าไหร่
จะยิ่งเกิดความเสถียรมากขึ้นเท่านั้น ไปในทิศทางที่เราพุ่งเป้าไป
เราเจริญสติมา เพื่อพุ่งเป้าว่า จะเห็นกายเห็นใจ
โดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ตัวตน ในที่สุด พอจิตมีความเสถียรมากขึ้น
มีความเชี่ยวชาญที่จะเห็นมากขึ้น ก็เกิดความรู้สึกไม่ใช่ตัวเรา
เป็นสักแต่ก้อนเนื้อยืดยาวขึ้นนะ
นี่ก็เป็นความคืบหน้าอย่างหนึ่งนะ
*
- รู้สึกว่าความคิดไม่ใช่ตัวเรา แต่กาย ลมหายใจยังไม่รู้สึกถึงความไม่ใช่ตัวตน
ดังตฤณ : ความคิด เป็นของละเอียด
ตอนที่เรารู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเราได้นี่ ไม่ใช่ไม่เชื่อ .. เชื่อ
แล้วก็เข้าใจว่าเป็นไปได้ แต่ขอให้สังเกตนะ ว่าการที่เราจะเห็นความคิดไม่ใช่ตัวเรา
เป็นแค่กลุ่มภาวะจรมา แล้วจรไปนี่ จะเห็นได้แป๊บเดียว จะเห็นไม่ได้อย่างต่อเนื่องยืดยาว
ต่อเมื่อเราเจริญอานาปานสติได้ดี แล้วเห็นว่า ภาวะทางกาย
ภาวะทางความรู้สึก รู้สึกเฉยๆ
รู้สึกเหมือนกับว่าเป็นก้อนอะไรสักก้อนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรา
ถ้าการเห็นนั้นตั้งอยู่ได้นาน แล้วเราเห็นภาวะความคิด
ผ่านมาผ่านไป ก็จะรู้สึกว่าความคิดไม่ใช่ตัวเราได้นานขึ้น
เท่ากับที่เห็นฐานที่ตั้ง คือกายนี้ แล้วก็ความรู้สึกนี้ ไม่ใช่ตัวเรา
จะไปควบคู่กัน
แต่ถ้าเห็นความคิดไม่ใช่ตัวเรา แต่ยังเห็นกายเป็นตัวเราอยู่
จะไม่มีฐานที่ตั้งของการเห็นอนัตตา ที่ยั่งยืนนะ
การจะเห็นความคิดไม่ใช่ตัวตนได้นี่ จริงๆ ไม่ใช่เรื่องยากนัก เอาแค่เราเห็นภาวะฟุ้งซ่านที่ผ่านมาผ่านไป
โดยไม่ได้เชื้อเชิญ ไม่ได้ตั้งใจคิด แค่นี้ก็รู้สึกได้แล้วว่า มันไม่ใช่ตัวตน
แต่ที่จะเห็นว่าความคิดนี้เกิดดับ
เกิดดับเป็นสภาวะที่ไม่ใช่ตัวตนได้นานๆ ต้องมีฐานกาย ต้องมีฐานความรู้สึกในการรองรับ
ที่เสถียรด้วยนะครับ
*
- เมื่อสักครู่ พอนั่งๆ ไปรู้สึกขนลุก
และรู้สึกว่าความขนลุกนี้ เราบังคับไม่ได้ มันเกิดขึ้นเอง เลยรู้สึกชัดๆ
ว่าไม่ใช่ของเรา
ดังตฤณ : นี่ก็เป็นอีกหนึ่งการเห็นนะครับ เห็นจริง
เป็นจิกซอว์ชิ้นหนึ่ง เราเจริญสติมาแต่ละครั้ง ก็คือการเก็บจิกซอว์นั่นแหละ
ถ้าหากว่าเก็บได้ชิ้นหนึ่ง แล้วเอามาแปะวางไว้มากขึ้นๆ
อนัตตา จะปรากฏชัดขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง
จิกซอว์หลักครบหมด เห็นเป็นเต็มภาพว่า อนัตตาหน้าตาเป็นอย่างไร นั่นแหละ
ที่จะเกิดภาวะขันธ์ 5 รู้ตัวเองว่าเป็นขันธ์ 5 ไม่มีใครเป็นผู้เห็นขันธ์ 5
ไม่มีใครเป็นผู้รู้ธรรมนะครับ
*
- มีสติ รู้ตัว ตามรู้ลมหายใจเข้าออกว่าไม่เที่ยง
ไม่สามารถควบคุมได้
ดังตฤณ : อนุโมทนานะครับ
*
ผลโพลล่าสุดหลังจากทำสมาธิ
คนที่ยังไม่รู้สึกเลย ว่าเป็นอนัตตา ก็ยังอยู่ที่ 27%
กลุ่มแรกก็ขึ้นลงนิดหน่อย กลุ่มที่ 2 ถือว่ามากที่สุด เป็น%ที่มากที่สุดเช่นกัน
กลุ่มที่ 2 ถือว่าเป็นคนส่วนใหญ่ของพวกเรา ซึ่งหมายความว่า
คนส่วนใหญ่ของพวกเรากำลังก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ นะครับ แล้วก็ในที่สุดแล้ว
ก็จะต้องถึงจนได้ จุดที่เราต้องการนะครับ
- เห็นจิตเกิดดับทีละขณะ เห็นว่ามันเป็นอนัตตา บังคับไม่ได้
ดังตฤณ : อนุโมทนาครับ ยิ่งเห็นบ่อยขึ้นเท่าไหร่ ขันธ์
5 ยิ่งรู้ตัวว่าเป็นขันธ์ 5 มากขึ้นเรื่อยๆ นะครับ
*
- รู้สึกรู้ลม บางครั้งเห็นกายนั่ง
แต่ก็ยังได้ยินเสียงรอบข้างค่ะ
ดังตฤณ : การได้ยินเสียงรอบข้าง ไม่ได้เป็นปัญหา
ไม่ได้เป็นอะไรที่ไม่พึงประสงค์นะครับ
การได้ยินเสียง แล้วรู้ว่าใจของเรา ยึด หรือไม่ยึด
ชอบหรือไม่ชอบ ชอบหรือว่าชัง เห็นสังโยชน์ ที่เกิดขึ้นว่าเป็นบวกหรือเป็นลบ
ยึดหรือว่าปล่อย อันนั้นต่างหากที่เราต้องการ
การได้ยินเสียงเป็นแค่สิ่งล่อใจ หรือว่าเป็นแบบฝึกหัด ว่าเราจะทำผ่านหรือไม่ผ่านนะครับ
*
- วันนี้ช่วงนั่งสมาธิ โล่ง โปร่ง สบายมากครับ
มีอาการเจ็บบ่าแปล๊บๆ แต่นำสติไปจับ เห็นอาการที่ไม่เที่ยงของการเจ็บ แล้วก็หายไป
แล้วอาการเบาสบายก็กลับมาครับ
ดังตฤณ : ก็เป็นหนึ่งในสติอัตโนมัติเช่นกันนะ
อย่างที่หลายๆ คนทำกันได้คืนนี้นะครับ ในขณะนั่งสมาธิ
*
- โพลสุดท้าย เห็นว่าจิตไม่ใช่เรา หลังๆ เห็นเองเป็นปกติค่ะ
คือไม่ต้องเค้นดู จิตรู้เองค่ะ
ดังตฤณ : อนุโมทนานะครับ แล้วยิ่งพวกเราทำกันได้มากขึ้น
ก็จะได้เป็นแรงเสริมกันและกันนะครับ
ในอันที่จะอยู่ในกระแสของการเข้าถึงความรู้สึกแบบเดียวกัน
พอทำมาด้วยกันนี่ จะแตกต่างจากทำคนเดียวก็ตรงนี้
พอได้ยินได้ฟังว่าท่านอื่นเกิดประสบการณ์อย่างไร ใกล้เคียง หรือเหมือนกับเรา
หรือแตกต่างจากเราอย่างไร ในที่สุดก็จะค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ จูน
ไปสู่ทิศทางเดียวกันนี่แหละ คือ รู้สึกว่าไม่ใช่เรา
แล้วก็เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ละเมอเอา ไม่ใช่อุปาทานเอาชั่วคราว
แต่เป็นสิ่งที่อาทิตย์ต่ออาทิตย์ เสาร์ต่อเสาร์ เราเห็นได้นะครับว่า มีความคืบหน้า
มีความแตกต่าง มีพัฒนาการขึ้นจริงๆ นะ
*
- รู้ลมหายใจเข้าออก สั้นยาว การนั่งมีความคิด
มีบางห้วงรู้สึกถึงความโหวงๆ กลวงๆ เบาๆ แล้วก็ตามมาด้วยความคิด
ภาพในความคิดก้อนใหม่ แล้วก็มาที่ลม ท่านั่ง ความกลวงๆ ฯลฯ ประมาณนี้ค่ะ
ดังตฤณ : เป็นประสบการณ์ความเห็นที่
ถึงแม้ว่าจิตจะยังไม่ตั้งมั่น แต่เราเริ่มเข้าสู่ความรู้สึกว่า จิตเบา กายเบา
แล้วก็มีภาวะที่ผ่านมา ผ่านไป อย่างเช่น ความคิด หรือภาพในความคิด
ที่มาสลับสับเปลี่ยน มีของใหม่มากลบกลืนของเก่าเสมอ
อย่างนี้ พอจิตตั้งมั่นแล้ว
ก็จะกลายเป็นความรู้ความเห็นที่เสถียรว่า สิ่งเหล่านั้น ผ่านมาแล้วผ่านไปทั้งหมด
แล้วก็จะไม่ยึดว่าเป็นตัวของเรานะครับ
*
- ที่ยังเหลือตัวตน อาจเป็นเพราะมีห่วงครอบครัวติดอยู่ กับความรับผิดชอบต่อหน้าที่การงาน
แต่ก็ดีใจกับตนเองที่ไม่หลงทาง หลุดออกจากพระพุทธศาสนา
ดังตฤณ : พวกเราเป็นฆราวาส ส่วนใหญ่ในที่นี้
เพราะหลายท่านที่แอดวานซ์นี่ ก็ทราบว่าเป็นพระ แล้วก็ก้าวหน้าจริง ไม่ใช่ตอบเล่นๆ
อย่างเราๆ ท่านๆ ที่เป็นฆราวาส สิ่งที่ต้องทำก็คือ
รับผิดชอบปากท้องของตัวเอง
หลายๆ ท่าน ก็ต้องรับผิดชอบปากท้อง
และชีวิตความเป็นอยู่ของคนรอบข้างด้วย ซึ่งในหัว จะรู้สึกเหมือนกับแบกภาระ
มีอะไรหนักๆ อึ้งๆ บนบ่า
แน่นอนว่าจะมีช่วงขาดตอน เกิดความรู้สึกเหมือนกับว่า
เราจำเป็นต้องอยู่ทางโลก เราจำเป็นต้องมีตัวตน
ไม่สามารถที่จะเว้นวรรคแบบความรู้สึกในตัวตนไปได้นานๆ
จะให้ปฏิบัติอยู่ตลอดเวลาทั้งวันทั้งคืนแบบพระนี่ เป็นไปไม่ได้
แต่สิ่งที่เป็นไปได้คือ
มีความคืบหน้าขึ้นบนฐานที่เรายืนอยู่นี่แหละ เส้นทางที่เรากำลังเดินอยู่นี่แหละ
เราจะเห็นได้ว่า พอทำไปเรื่อยๆ สิ่งที่เคยทำได้แล้ว จะสะสมเพิ่มพูนขึ้นไปเรื่อยๆ
ไม่ได้หายไปไหน
ข้อดีของการเป็นฆราวาสคือ เราเลือกได้ แล้วไม่ต้องมากังวลว่า
เราทำหน้าที่ที่ตกลงไว้กับพระพุทธเจ้า คือตั้งใจทำมรรคผลนิพพานให้แจ้งอย่างเดียว
เราไม่ต้องมากังวลตรงนี้ เราทำหน้าที่ เราแบกภาระในชีวิตไป
แต่ขณะเดียวกัน
ก็ไม่ให้ชีวิตในชาตินี้สูญเปล่าไปบนเส้นทางแบบโลกๆ อย่างเดียว เพราะเราค่อยๆ
พอกพูน ค่อยๆ สะสม ความรู้ความเข้าใจสติปัญญาแบบพุทธ และสมาธิแบบพุทธ
จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง ชีวิตจะบอกเราเองว่า มีเวลาให้เรานานพอที่จะทำให้ชีวิตนี้
เข้าถึงจุดที่เป็นไปได้ ที่จะพ้นอบายภูมิ
ถ้าไม่ระหว่างมีชีวิต ก็ขณะที่กำลังจะตายนี่
อันนี้พระพุทธเจ้าตรัสไว้นะ ขณะกำลังจะตาย มีคนได้บรรลุธรรมกันอยู่
ระหว่างมีชีวิตทำไม่ได้ จะไปได้ตอนตาย
ทีนี้ ถ้าเราค่อยๆ ทำไป เสาร์ต่อเสาร์ เรามาจูนกัน เรามาดูกันว่า
คืบหน้าไปถึงไหน หลายๆ ท่าน อาจพบว่าไม่ต้องรอถึงตอนตายหรอก จะมีความหวังรำไร
มีความรู้สึกอยู่ได้ด้วยตัวเอง
อย่างนี้ ที่ตอบโพลกันนี่ ส่วนใหญ่พวกเรา ผมเชื่อว่า 98 – 99% ตอบตามจริง แล้วการที่เราเห็นว่าตัวเอง
อยู่กลุ่มไหน ไม่ได้หมายความว่าเราน้อยหน้ากว่าใครนะ
แต่เราเห็นว่าตัวเองกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ในทิศทางที่ตามๆ กันไป
ตามรอยพระศาสดา ตามรอยบาทพระศาสดานะ
หลายคน คืออาจมีความรู้สึกว่า ทิ้งภาระทางโลกไม่ได้
ก็อย่าไปทิ้งนะ ต้องรับผิดชอบ ต้องทำกันไปอย่างนี้แหละ ไม่ต้องเสียดาย
คือเราก็สามารถเห็นได้ว่า คืบหน้ากันได้ ทั้งๆ ที่อยู่บนฐานนี้แหละ
อยู่บนฐานของฆราวาสนี่แหละ อยู่บนภาระรับผิดชอบเต็มบ่านี่แหละ
ความรู้สึกในตัวตน จะเกิดขึ้นในขณะทำสมาธิ ในขณะเจริญสติ
ในขณะที่เราอยู่ระหว่างวัน หรืออย่างไรก็ตาม ก็ให้เกิดไป เราแค่รู้ว่ามันบางลงๆ
หรือเปล่า เราแค่รู้ว่า มีพัฒนาการในแบบที่จะค่อยๆ ถอน ค่อยๆ เอาออกมา ค่อยๆ
ปลดเปลื้องอุปาทานที่บังตาบังใจอยู่ วันต่อวันหรือเปล่า
ตรงนี้แหละ
ที่เราได้มาอยู่ในรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านร่วมกันแบบไลฟ์นะครับ
ก็เพื่อจุดประสงค์นี้เลย เพื่อที่จะเห็นความคืบหน้าของตัวเองไปเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ยังเป็นฆราวาสนี่แหละ
*
- เพิ่งลองทำครั้งแรก รู้สึกถึงลมหายใจ แต่หาวหวอดๆ ตลอดเลยค่ะ
จนน้ำตาไหลและคัดจมูก แต่ลมหายใจชัดดีค่ะ
รู้สึกว่าตัวเราเหลือแต่จมูกและทางเดินหายใจ ตัวเหลือแต่ถุงลม
ความคิดมีแทรกเป็นช่วงๆ
ดังตฤณ : นี่แหละ ถ้าทำครั้งแรกก้าวหน้ามาได้ถึงขนาดนี้
ก็อยากให้หลายๆ คนดูนะ บอกว่าทำมาตั้งนาน ทำไมถึงไม่ได้
ทำไมถึงเอาดีแบบคนอื่นไม่ได้
ก็อาจเป็นเรื่องของเหตุปัจจัยในแต่ละท่านนะ
แต่เหตุปัจจัยที่ผมพบว่าสำคัญที่สุด จำเป็นที่สุดคือ
ความเต็มใจที่จะทำเอาจริงเอาจัง แม้แต่ครั้งแรก ถ้าเต็มใจทำ แล้วมีความรู้สึกว่าไม่ขี้เกียจ
มีความมุ่งมั่นว่าจะเอาจริงๆ ได้ผลแบบนี้ หลายคนที่ทำมาเป็นปี แล้วบอกว่า
ยังไม่เคยทำอานาปานสติได้สักครั้งเดียว อยากให้ดูเป็นแรงบันดาลใจนะครับ
*
- ก่อนจะเจอกับอาจารย์ ไม่ค่อยเข้าใจรายละเอียด ตั้งแต่ได้เข้าฟัง
ก้อปฏิบัติทุกวัน รู้ลมหายใจเข้าออก พร้อมกับจิตที่คิดตาม ผลตั้งแต่ปฏิบัติ
รู้ระงับอารมณ์ เวลามีอะไรมากระทบ รู้ทันทีค่ะ
ดังตฤณ : ประเภทรู้ได้ทันทีนี่ เป็นประเภทที่
สติสัมโพชฌงค์จะเกิดขึ้นเป็นปกติ แล้วเกิดขึ้นเป็นอัตโนมัติชัดขึ้นๆ
อย่างที่พระพุทธเจ้าให้สำรวจนะครับว่า ขณะนี้ สติสัมโพชฌงค์มีอยู่ในจิตของเราหรือยัง
คุณจะบอกตัวเองได้เลยนะ ว่าขณะนี้มี
ตรงที่บอกว่า รู้แล้วก็ระงับอารมณ์ได้ เวลามีอะไรมากระทบ
รู้ทันที พวกนี้จะเป็นพวกที่บอกตัวเองได้แบบอย่างภาคภูมิเลยนะว่า ฝึกมาได้
เกิดขึ้นกับเราได้
*
- มาถึงสัปดาห์นี้ หลังนั่งสมาธิวันนี้เห็นกาย ใจ
ความคิดที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ตัวเบา สบาย เห็นลมหายใจเข้าออก เวลาผ่านไปไวมากค่ะ รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนและพัฒนาไปมากกว่าเดิม
กราบอนุโทนาสาธุค่ะ คิดว่าตัวเองต้องปฏิบัติแบบมีรูปแบบ คือนั่งสมาธิหรือเดินจงกรมให้มากขึ้น
เพื่อให้จิตมีกำลังมากขึ้นค่ะ
ดังตฤณ : เป็นความเข้าใจที่ถูกต้องล้วนๆ เลยนะ
อธิบายได้อยู่ในตัวเองอยู่แล้ว ขออนุโมทนานะครับ
*
- รู้สึกถึงลมหายใจ และรู้สึกถึงกาย ที่กำลังนั่ง
แขนขยับขึ้นลง มีความคิดแว็บเข้ามา สลับกับการรู้ว่ากำลังคิด แล้วความคิดก็หายไป
แต่ไม่รู้สึกถึง
ไม่ใช่ตัวตน แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นตัวเราค่ะ
ดังตฤณ : ภาวะที่กำลังครึ่งๆ กลางๆ นี่แหละ
ก็บอกว่าเราคืบหน้ามาเรื่อยๆ นะ
ตรงที่รู้สึกเหมือนกับเบาลง แล้วก็ไม่มีตัวตนหนาแน่น
มวลของตัวตนไม่ได้หนาแน่นเท่าเดิม
จัดเป็นความคืบหน้าบนเส้นทางที่ใช่ทั้งนั้นนะครับ
*
- ขณะนั่งสมาธิ เห็นกายเบาใจเบาโล่ง เป็นสุขค่ะ
เห็นลมหายใจที่เข้าและออกทำงานเองโดยไม่ใช่เรา แต่วันนี้ใช้มือไกด์รู้สึกถึงกายที่เหนื่อยขึ้นมาแวบหนึ่งค่ะ
จึงเห็นความทุกข์ปรากฏขึ้นค่ะ
ดังตฤณ : สังเกตด้วยนะ ตอนใช้มือไกด์
เราเกร็งที่กล้ามเนื้อส่วนใดส่วนหนึ่งหรือเปล่า
ถ้าหากว่ากล้ามเนื้อทั้งหมดผ่อนคลาย ไหล่ไม่ยก คือมีอาการที่พูดง่ายๆ
ว่าเป็นที่สบาย การนั่งของตัวเองก็จะไม่ค่อยเมื่อยนะครับ
*
- ๒๒.๐๐ น. เป็นเวลาง่วงนอน อยากเอาชนะความง่วง จึงยืน
มองจอทีวี ปฏิบัติตามตัวแอนิเมชั่น แต่ไม่ค่อยได้อะไร เป็นตัวเป็นตนไปหมด
เพราะปฏิบัติด้วยความอยาก(โลภะมูลจิต) ซึ่งช่างแตกต่างจากตอนปฏิบัติเอง
ก่อนสามทุ่ม เดินดูลมหายใจเล่นๆ รอรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านมา
รู้สึกสบาย มีความสุขกับการปฏิบัติทั้งวันคืน ยังมีความเพียร
ในการดู รู้ ปฏิบัติเนืองๆ แต่ช่วงสัปดาห์นี้โดนกามฉันทะจู่โจมมากค่ะ คูปองลดราคา
แอปช้อปปิ้งรุมเร้าเหลือเกินค่ะ รบกวนจิตใจ ทำให้จิตเป็นทุกข์มากค่ะ แต่มั่นใจว่า
เดินมาถูกทาง ทำต่อค่ะ ขอบพระคุณค่ะ
ดังตฤณ : แต่ละคน มีรายละเอียดที่แตกต่าง
แต่ว่ามีจุดร่วมเดียวกัน คือความคืบหน้ามาเรื่อยๆ ตามลำดับนะ และก็จะเป็นความรู้สึกเบิกบานร่วมกัน
เป็นความรู้สึกว่าเรากำลังอยู่ท่ามกลางการห้อมล้อมของกัลยาณมิตร ที่ไปทางเดียวกัน
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เจอหน้า
ถึงแม้ว่าจะไม่ได้มานั่งอยู่ในห้องเดียวกันแบบเห็นหน้า แต่ความรู้สึกว่า
มีความอุ่นหนาฝาคั่ง มีความรู้สึกว่าสว่างไปด้วยกัน ยิ้มไปด้วยกัน
ยิ้มในแบบเดียวกัน จิตเบิกบานในแบบเดียวกัน จะเกิดขึ้นเรื่อยๆ เสมอนะครับ
ถ้าหากว่าเราเห็นประโยชน์ตรงนี้
ก็เป็นแรงจูงให้เราไม่ออกนอกทาง
ถึงแม้ว่าเราจะมีธรรมชาตินิสัยในทางโลกอย่างไรก็ตาม ก็ไม่ถูกดึงออกไป
ฉุดถูลู่ถูกังออกนอกเส้นทางอย่างสิ้นเชิงแน่นอน เดี๋ยวก็มีอะไรตบกลับเข้ามา
ถึงแม้ว่าในรายการ เราอาจทำไม่ได้ดีเท่าตอนอยู่นอกรายการ
แต่อย่างน้อย ทุกครั้ง เราก็จะได้ความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ แล้วไปปฏิบัติเอาเอง
เพราะเวลาส่วนใหญ่ในแต่ละสัปดาห์ เราอยู่กับตัวเอง 24 ชั่วโมง
เราอยู่กับรายการนี้แค่ 3 ชั่วโมง จะไม่ค่อย บาลานซ์กันหรอก
ถ้าเราบอกว่า การปฏิบัติตอนอยู่ตามลำพังคืบหน้าไปเรื่อยๆ
นั่นน่าพอใจที่สุดแล้วนะครับ
*
- ขอบคุณมากคะ วันนี้มีเรื่องฟุ้งซ่านพอสมควร
เดี๋ยวจะมาขอย้อนฟังอีกครั้งค่ะ ช่วงนี้พอจะสวดมนต์ หรือปฏิบัติธรรม เหมือนจะมีเหตุอะไรเกิดขึ้นมากั้นขวางหลายครั้งเลยค่ะ
ดังตฤณ : เพราะว่าการตั้งใจให้ทานก็ดี
การตั้งใจถือศีลก็ดี และตั้งใจรักษาศีลให้ได้นี่นะ หรือการตั้งใจภาวนาให้ได้
เป็นสิ่งที่เราจะออกจากเส้นทางของความทุกข์ในสังสารวัฏทั้งนั้นเลย
อย่างการให้ทาน ให้ไปแล้ว ใจละความตระหนี่ได้ มีบุญที่เกิดขึ้น
จะทำให้ร่ำรวย ไม่ต้องทุกข์ยาก ลำบากยากเข็ญ ไม่ต้องอัตคัตขัดสน
ไม่ต้องมีกำแพงมาขวางแล้ว นั่นคือความตระหนี่
ส่วนใหญ่ ไม่ใช่การภายนอก แต่เป็นความรู้สึกภายในว่า
พอถึงเวลาอยากให้ จะไม่อยากให้ตามความตั้งใจ อยากถ่วงไว้
อยากลดลงครึ่งหนึ่งอะไรแบบนี้
นี่เรียกว่าเป็นตัวขวาง ในเรื่องของความตั้งใจอยากจะทำทาน
พอตั้งใจอยากรักษาศีล จริงๆ แล้ว ธรรมชาติส่งมาให้ทันทีเลยนะ
เครื่องยั่วยุให้ผิดศีล ดูซิว่า เราจะรักษาตามความตั้งใจไหม
นี่ก็รู้สึกว่า เหมือนกับเป็นปาฏิหาริย์
หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์มาลองใจหรืออะไร จริงๆ แล้วก็คือธรรมชาตินี่แหละ
เราตั้งใจจะทำอะไร ธรรมชาติจะหยิบยื่นมาให้ ดูว่าจะเอาจริงไหม
ส่วนการภาวนา อันนี้ยิ่งแล้วใหญ่เลย
ถ้าหากว่าเราจะออกจากความยุ่งยากใจ แล้วออกกันได้ง่ายๆ นี่ คงออกกันทุกคนแหละ
แต่ในความเป็นจริง เวลาที่เราตั้งใจภาวนาเพื่อความพ้นทุกข์
เพื่อความหลุดพ้นนี่นะ มักจะมีสิ่งดึงดูด มีเครื่องขวางมาก่อน บอกว่าต้องทำโน่น
ทำนี่ ไม่มีเวลาปฏิบัติ ไม่มีอารมณ์ที่จะ .. ไม่มีแก่ใจที่จะเอาเวลาให้การปฏิบัติ
มีเรื่องโน้น เรื่องนี้มารบกวนราวกับแมลงหวี่แมลงวันมาตอม
ให้เกิดความรู้สึกว่าฉันทำไม่ได้
แต่พอทำได้ พอผ่านขั้นนี้ไปว่ามีเครื่องรบกวนมาโน่นนี่นั่น
แล้วสามารถทำได้ดี ใจพร้อมจะปล่อย ใจพร้อมจะวาง ใจเหมือนกับมาถึงขั้นโพชฌงค์แล้ว
รู้สึกว่าเฉียดแล้ว
จะมีแรงดึงดูดมาอีกแบบหนึ่ง ตรงกันข้ามเลย
คือคราวนี้ไม่รบกวนจิตใจในแบบให้รำคาญ
แต่ว่าสมนาคุณให้ใจเกิดอาการอยากกลับไปมีกิเลสหนาๆ เท่าเก่า หรือว่ายิ่งกว่าเก่า
บางคน ดวงไม่ดีชัดๆ เลยนะ ถ้าไปตรวจตามหลักโหราศาสตร์
บอกช่วงนี้กำลังไม่ดีอยู่ชัดๆ แต่พอปฏิบัติธรรมได้ผล
โดยเฉพาะอย่างนี้ประเภทที่ตอบๆ มา กลุ่ม 1 กลุ่ม 2 เรื่องว่าสามารถเห็นกายใจโดยความเป็นอะไรที่ไม่ใช่ตัวตนได้นี่
พวกนี้ ลองไปถามดูเถอะ จะมีอะไรล่อใจมาแบบที่นึกไม่ถึงเลยว่า จะมีแบบนี้ได้ด้วย
แล้วมาจำเพาะเจาะจงเวลาที่เหมาะสมกันนี่
เหมือนกับพอจะหลุดอยู่แล้วนี่ แรงดึงดูดของสังสารวัฏจะพยายามกระชากลากถูกลับ
ส่งความฟุ้งซ่านมารบกวนไม่ได้แล้ว ก็จะส่งแรงดึงดูดที่เป็นยางเหนียวมาแทน
นี่จะเจอกันหลายคน เอาเป็นว่า คนส่วนใหญ่แล้วกัน
บางคนนี่อยู่ดีๆ ฐานะยกระดับขึ้นไปเฉยๆ ไม่ใช่ถูกหวยนะ ได้ยินมาจริงๆ
คือพอปฏิบัติธรรมได้ก้าวหน้า อยู่ๆ เงินเข้ามาแล้วเนื้อเต้น คุมจิตไม่อยู่
ต้องเตลิดไป แบบนี้ได้ยินบ่อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นฆราวาสนี่ จะง่ายที่จะไปผูกพัน
หรือผูกติดกับตรงนั้น ถูกลากถูกจูง
หรือว่าบางทีไม่ใช่เรื่องเงิน เป็นเรื่องคน อยู่ๆ
คนที่ไม่นึกว่าจะเป็นไปได้ ว่าจะมีตัวตน กลับมีขึ้นมา
แล้วมาเจอในจังหวะที่ใจเหมือนพร้อมจะทิ้งได้ อะไรแบบนี้ คือต้องเจอกันอีกเยอะนะ
แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าเราคุยกันไปเรื่อยๆ แบบนี้ ในที่สุดแล้วก็จะเป็นเครื่องพยุงให้แก่กันและกันนะ
ว่ายังมีการปฏิบัติอยู่นะ เขายังปฏิบัติกันอยู่
เราจะหลุดออกจากกลุ่มแล้วหรือยังอะไรแบบนี้
พอมีความรู้สึก เอ๊ะ ขึ้นมาสักนิดหนึ่ง
ก็ถือว่าได้ผลประโยชน์จากเหล่ากัลยาณมิตรที่เจริญในธรรมมาด้วยกันแล้วนะครับ
*
- วีคนี้ไม่ค่อยรู้สึกถึงลมหายใจเลยค่ะ เหมือนวุ่นวายในใจ
แต่ระหว่างวันมีสติเห็นเอง ว่าเกิดอารมณ์อะไรขึ้นในใจบ่อยขึ้นมากๆ พอรู้ก็ดับค่ะ ส่วนวันนี้นั่งสมาธิแล้ว
รู้สึกเห็นว่ามีปีติสุขเกิดขึ้นในร่างกายมาก จนมีความดีใจเกิดขึ้นด้วย
และกลับมาเห็นลมหายใจชัดเจน สักพักรู้สึกขึ้นมาว่าลมหายใจนี้ไม่ใช่ของเรา เหมือนจิตสะดุ้งตื่นขึ้นมารับรู้ชัดเจนค่ะ
ดังตฤณ : อนุโมทนา เพราะพอเราถึงจุดที่ร่างกาย ..
นี่ที่รู้สึกเลยก็คือ ร่างกายเริ่มตอบสนองภาวะทางใจนะครับ ที่พัฒนาขึ้นมาเรื่อยๆ
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน และในที่สุดร่างกายก็ต้องยอมให้ใจ
จากเดิมที่มีภาวะปั่นป่วน หรือมีภาวะรบกวนอะไรจากร่างกาย ก็จะค่อยๆ ยืดหยุ่น
มีความสบาย แล้วก็พร้อมที่จะเปิดก๊อกตัวสารดีๆ ให้ออกมานะครับ
*
- ได้สวดอิติปิโสด้วยความรู้สึกขอบคุณ เป็นปีติน้ำตาร่วงเลยค่ะ
ขอบพระคุณอาจารย์สำหรับสอนเรื่องโพชฌงค์ (spelling) วันนี้ด้วยค่ะ
ดังตฤณ : ตอนที่ใจของเราเป็นมหากุศล
แล้วก็ผูกอยู่กับพระพุทธเจ้า เราจะรู้สึกว่าเราเป็นลูกศิษย์ของท่านจริงๆ
แล้วเราได้รับการดูแลคุ้มครองจากท่านจริงๆ นะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่เราอยู่บนเส้นทางธรรมของการเจริญสติ
ของการที่จะปลดปล่อยอุปาทานในตัวตนออกไป
ถ้าเรามีศรัทธาปสาทะ ผูกอยู่กับพระพุทธเจ้า
จะเหมือนกับพระองค์ดูแลเราอยู่จริงๆ นะครับ และอะไรๆ ที่เป็นธรรมะภายใน
เวลาปรากฏขึ้นมา เราก็จะรู้สึกว่า นี่เป็นของถูกของจริงของแท้นะ
จะไม่กลับไปกลับมาได้ง่าย ก็เป็นประโยชน์ของศรัทธา ถ้าได้ดุลกับปัญญาแล้ว ในที่สุด
เราจะรู้สึกเหมือนเสือติดปีกนะครับ ก็พิจารณาเวลาที่มีความตื้นตันมากๆ
ให้ถือเป็นโอกาสนะ เราเห็นภาวะของปีติที่แรง ก็รู้ว่า นี่คือปีติที่แรง
แล้วเรารู้สึกว่าปีตินั้น เบาบางลง หรือว่าหายไป ก็ให้เห็นว่า ตัวนี้
ความเสื่อมเกิดขึ้นกับปีติตัวนี้
พอเห็นบ่อยๆ เข้าจนกระทั่งเกิดความคุ้นชิน
ทุกครั้งที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า เราก็จะได้เห็นธรรมะ แสดงความไม่เที่ยงของปีติเช่นกันนะครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ใช่ว่าเราจดจ้องไว้ก่อน
หรือตั้งใจไปเบรคมันนะ แต่ผมพูดจากประสบการณ์ของตัวเองเลยว่า ได้ประโยชน์มากๆ
จากการที่ เวลาเราระลึกถึงพระพุทธเจ้าแล้วเห็นปีติขึ้นมาล้นหลาม
ถ้าเราสังเกตว่านั่นคือสังขารขันธ์ชนิดหนึ่ง นั่นเป็นปีติ
ที่เกิดขึ้นชั่วคราวด้วยเหตุปัจจัย คือเรานึกถึง ระลึกถึงพระพุทธเจ้า
แล้วเกิดความรู้สึกล้นหลามขึ้นมา ให้ถือโอกาสบูชาพระพุทธเจ้า ขอให้ปีติครั้งนี้
จงปรากฏแสดงโดยความเป็นภาวะสังขารขันธ์ ให้เราเห็นชัดๆ ถนัดๆ ว่าอยู่ได้นานแค่ไหน
เป็นชั่วโมงก็ปล่อยให้เป็นชั่วโมง อย่าไปเบรค เต็มที่เลย
จะปีติ สองชั่วโมง สามชั่วโมง ช่างมัน แต่เราไม่เอาตรงนั้น
เราเอาตรงที่มันเสื่อมลง
เมื่อเสื่อมลง แล้วเราจะได้ขอบคุณพระพุทธเจ้าอีกครั้งหนึ่งว่า
ที่เราได้เห็นสังขารขันธ์ นี้ ขอบูชาเป็นพุทธคุณ ขอบูชา
ขอนอบน้อมถวายธรรมอันเกิดขึ้น อย่างมีสติรู้ความจริงนี้ของเรา ให้เป็นพุทธบูชา
จะเป็นทางลัดได้
___________________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน
พร้อมรู้ว่าไม่มีตัวตน
- ช่วงรวมฟีดแบคหลังโพลที่ 2
วันที่ 16 ตุลาคม 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=V5CFGPHea0E
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น