วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2564

10 วิธีดูสังโยชน์ : รวมฟีดแบค

- กราบสาธุค่ะ เงียบสงบมากเลยค่ะครั้งนี้

ดังตฤณ: นี่คือระหว่างสัปดาห์ที่ผ่านมา เงียบสงบ

 

พอเจริญอานาปานสติไปถูกต้องนี่นะ ยังไม่ต้องถึงมรรค ถึงผล แต่ชีวิตคุณจะยกระดับขึ้น เหมือนกับไม่ใช่โลกใบเดิมแล้ว เพราะแตกต่างออกมาจากโลกภายในนะครับ

 

โลก ที่เรียกว่าโลกนี่ พระพุทธเจ้าตรัสว่า กายยาววา หนาคืบนี้แหละ ที่มีจิต มีใจ มีสำนึกแบบมนุษย์แบบนี้แหละ ที่เรียกว่า โลก

 

ถ้าหากว่าจิต ใจของเราเงียบสงบลง โลกทั้งใบ ก็เหมือนเงียบสงบตาม ต่อให้มีส่ำเสียงภายนอก จะมากระทบให้เกิดความขัดเคือง หรือว่าเกิดความโป้งป้างตามโลกภายนอกไปได้ยากขึ้น

 

อันนี้เป็นธรรมชาติ ธรรมดาของสมาธิจิตนะครับ

 

- จริงๆ ด้วยค่ะ จิตเงียบมากขึ้น

ดังตฤณ: นี่คือแค่เราทำกันมาไม่นาน เดี๋ยวเราทำกันไปนานกว่านี้ ก็คงจะได้เห็นอะไรมากกว่านี้

 

- ดีขึ้นตรงที่ว่า ไม่เป็นลบ ค่อนไปทางบวกเพิ่มขึ้นค่ะ

ดังตฤณ: พอจิตที่เป็นสมาธิ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมาธิในแบบพุทธนะครับ เป็นทางขึ้นเขานะ เป็นทางขึ้นที่สูง ยิ่งเดินไปไกลขึ้นเท่าไหร่ คุณยิ่งพบตัวเองสูดลมหายใจ เอาอากาศบริสุทธิ์สดชื่นเข้าปอดมากขึ้นเท่านั้น

 

- ตั้งแต่เริ่มทำสมาธิกับอาจารย์กับทุกคน เกิดปีติน้ำตาไหลบ่อยๆ เห็นถุงลมเต็มๆ แฟบๆ เรื่อยๆ มีความคิดผุดขึ้นบ้าง แต่มองทั้งปีติ ทั้งความคิดเป็นขันธ์ 5 ไม่เที่ยง ขอบพระคุณอาจารย์สำหรับท่ามือ guide ดีๆ ที่ช่วยให้ก้าวหน้าในอานาปานสติค่ะ

ดังตฤณ: ผมดีใจมากเช่นกัน จำได้ว่าช่วงแรกๆ คุณก็เหมือนกับเราๆ ท่านๆ ที่ฝึกแล้วยังเดินเตาะแตะ แล้วก็จะท้อบ้างอะไรบ้าง แต่ตอนนี้.. ไม่แน่ใจผมจำสลับหรือเปล่า.. แต่ทุกคน ตอนเริ่มต้นจะท้อหมดแหละ แต่พอทำไปเรื่อยๆ อย่างถูกทาง จะดีขึ้นเรื่อยๆ อย่างแน่นอน

 

- จริงที่สุดค่ะ และเมื่อมีสมาธิกลับมา ที่เหนียวๆก็เบาลงค่ะ

 

- อาการปวดศีรษะหายไป รู้สึกถึงความโล่ง

ดังตฤณ: สมาธิ จริงๆ แล้วนอกจากจะทำให้คุณรู้สึกสงบ จะยังไปปรับสมดุลทางกายทางใจด้วย อันนี้มีวิทยาศาสตร์รับรอง ไม่รู้มีเปเปอร์กี่พัน กี่หมื่นฉบับ กล่าวตรงกันนะครับว่า ถ้าทำสมาธิได้จริง ทำสมาธิได้ดี สิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ ก็คือ สมดุล หรือ บาลานซ์ของร่างกายกับจิตใจจะดีขึ้นเรื่อยๆ นะ แล้วภาวะผิดปกติทั้งหลาย ก็จะหายตามไป

 

คือถ้าหายได้ก็หาย แต่ถ้าบางอย่าง ไม่ใช่จะหายกันได้จากสมาธิ ก็ต้องรักษาไปตามอาการ แต่ว่าพวกปวดหัว ปวดตามจุดโน้นจุดนี้ มักจะคลี่คลาย กลายเป็นดีขึ้นนะครับ

 

- ทำที่ 2 แบบเดิม ถนัดมากกว่าค่ะ มีความคิดมาตลอดระหว่างที่ทำ และเห็นลมยุบพองชัดเจน สลับกันไปมาค่ะ

ดังตฤณ: อย่างที่บอกนะ ผมให้ไว้เผื่อเลือก แต่ละคนถนัดไม่เหมือนกัน หรือว่าจะรู้สึกดีแตกต่างกันนะ แต่ผลจริงๆ แล้วคือไม่ใช่ทางเลือกอย่างเดียว ท่าใหม่นี่ ที่ให้ยกตรงขึ้นสูง หลายๆ คนถ้าใช้เป็นจุดเริ่มต้น จะเข้าใจง่ายกว่า เพราะว่ามีความต่อเนื่องมากกว่า

 

แต่ท่าวาดแขนไป แล้วใครเก็ต หรือคลิกทันที อันนี้ จะดีมาก เพราะอยู่กับท่าที่สองแบบเดิมไปได้เลย เนื่องจากว่า จะดึงลมได้มากกว่า แล้วก็ทำให้เกิดความสดชื่นได้เร็วกว่านะครับ

 

แต่ท่าใหม่ ดึงลมให้ลึกได้เหมือนกัน แล้วธรรมชาติธรรมดา พอลมหายใจไปได้ลึก ไปได้สุด ก็จะรู้สึกว่าหายใจเต็มอิ่ม แล้วบางทีอาจไปปรับระบบทางเดินหายใจที่กำลังแย่ๆ อยู่ของคุณให้ดีขึ้นได้ด้วย มีคุณภาพมากขึ้นได้ด้วยนะ

 

แล้วปีติสุข จะเกิดก็ต่อเมื่อลมหายใจไปเต็มปอด หายใจได้เต็มอิ่ม โอกาสที่คนหายใจสั้นๆ แล้วจะเกิดปีติสุข แทบไม่มีเลยนะ

 

- ใช่ค่ะ มีความคิดเข้ามา ก็ปล่อยไปอยู่กับลมหายใจออกมันตามความคิดคะ

ดังตฤณ: พอคิด กระทบ แล้วรู้สึกว่าไม่มีความรู้สึกในตัวในตน ที่มาจากความคิดกระทบจิต อันนั้นก็คือสามารถที่จะเห็นว่า สังโยชน์ไม่ก่อตัว ณ ขณะนั้น

 

แต่แน่นอน พอสมาธิเสื่อมลง ความคิดจรเข้ามากระทบปุ๊บ ก็ต้องเกิดความรู้สึกเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาอีก ตรงนี้แหละ ที่เราจะมีความเข้าใจมากขึ้นๆ ในเรื่องของอายตนะ 6 นะครับ ว่ามีตาประจวบรูป หรือความคิดกระทบใจ แล้วเกิดปฏิกิริยาขึ้นมาอย่างไร เป็นยึด หรือว่าเป็นปล่อย

 

ถ้ามีสมาธิอยู่ เป็นสมาธิแบบพุทธ มีความเข้าใจที่ถูกต้องประกอบ ก็จะเห็นว่ากระทบแล้วหายไป แต่ถ้าหากว่าสมาธิเสื่อม หรือไม่มีความเข้าใจแบบพุทธ พอมีความคิดมากระทบ มันก็เรา มันก็เรา อย่างนี้ไปชั่วกัปชั่วกัลป์ ไม่เลิก

 

- มีทั้งสามแบบเลยค่ะ (หมายเหตุ: เห็นสังโยชน์ทั้งสามแบบ)

ดังตฤณ: คือเห็นได้ทั้งสามแบบน่ะ ดี จะได้เกิดความเข้าใจมากขึ้น

 

คือพอเราพูดถึงสังโยชน์ แล้วทำความเข้าใจแบบตื้นๆ แค่ว่า มันยึด หรือว่าเกิดความรู้สึกเป็นกามฉันทะ หรือว่าเกิดเป็นพยาบาท ถ้าเอาแค่ตื้นๆ แค่นี้ บางที จะมองไม่เห็นจริง

 

แต่ถ้าหากเห็นว่า มีทั้งเกาะกุม เหนียวแน่น มีทั้งมาเกาะแป๊บหนึ่งแล้วหลุด กับมีทั้งจ่อๆ อยู่ ยังไม่มาเกาะทีเดียว มองเห็นด้วยการเปรียบเทียบอย่างนี้ไปเรื่อยๆ คุณจะเข้าใจ แล้วก็อ่านออก บอกถูกว่า สังโยชน์เป็นอย่างไร ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ นะครับ

 

ยิ่งเห็นสังโยชน์ได้บ่อยขึ้นเท่าไหร่ โอกาสที่คุณจะตัดสังโยชน์ได้ ยิ่งสูงขึ้นเท่านั้น

 

- สนุกมากๆ ค่ะ

ดังตฤณ: นั่นแหละ คือเห็นสภาวะธรรมนี่นะ ยิ่งเห็นมากขึ้นเท่าไหร่ ละเอียดลึกซึ้งมากขึ้นเท่าไหร่ มีความหลากหลายพิสดารมากขึ้นเท่าไหร่ แล้วรวมลงอยู่จุดเดียว จุดที่ใจมีความนิ่ง มีความตั้งมั่น มีสติรู้ มีความตื่น มีความเบิกบาน เห็นอะไรๆ ด้วยความเข้าใจว่า ไม่ใช่เราไปทั้งหมด

 

อย่างนี้ จะเกิดฉันทะ ตัวความสนุกนี่แหละ คือฉันทะ

 

ยิ่งมีฉันทะมาก ก็ยิ่งมีความเพียรมาก มีความเพียรมาก ก็ยิ่งมีจิตฝักใฝ่มาก มีใจฝักใฝ่ มีใจที่จะอยู่กับการรู้ อยู่กับการดู

 

แล้วก็สามารถที่จะทบทวน สามารถที่จะตริตรองว่า เรามาถึงไหนแล้ว เราทำอะไรได้ดี เราทำอะไรยังไม่ได้บ้าง ตัวนี้เรียกว่า อิทธิบาท 4

 

อิทธิบาท 4 ที่พระพุทธเจ้าท่านใช้ ท่านหมายจำเพาะเจาะจงเอาในเรื่องของการทำสมาธิ การเจริญสติโดยเฉพาะนะ แต่ชาวพุทธทั่วไปมาใช้กันในแบบที่ .. มีอิทธิบาท 4 ในการทำงาน มีอิทธิบาท 4 ในการเล่นกีฬา เล่นดนตรีอะไรแบบนี้

 

จริงๆ ก็เอามาประยุกต์ใช้ได้ แต่เดิมทีอิทธิบาท 4 พระพุทธเจ้าท่านเจาะจงเลยนะ ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับการเจริญสติ เกี่ยวกับการทำสมาธิล้วนๆ เลยนะ

 

- เข้าใจอย่างถ่องแท้ค่ะ กราบขอบคุณพี่ตุลย์ค่ะ

ดังตฤณ: น่าดีใจนะ เพราะจริงๆ คืนนี้ ผมรู้ล่วงหน้า ว่าเป็นเรื่องยาก จะพูดแต่ละคำบางทียังต้องเฟ้นแล้วเฟ้นอีก ก็ไม่นึกว่าจะเข้าใจกันได้เยอะขนาดนี้ ก็รู้สึกดีใจนะ เพราะดูโพลแล้ว โพลที่ 2 นี่ ถือว่าเยอะเลยนะ

 

ปรากฏว่า เป็นกลุ่มแรกที่เยอะที่สุด เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้

 

ถ้าเข้าใจได้ชัด ว่าสังโยชน์หน้าตาเป็นอย่างไร จากประสบการณ์ตรงเลยนี่นะ ที่เหลือ บอกจริงๆ จะง่ายมากเลยนะ ที่คุณจะเจริญสติไป แล้วเห็นว่ามีความสามารถในการตัดทอน ตัดกำลังสังโยชน์

 

จริงๆ พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า

 

สังโยชน์ใดที่เกิดขึ้นแล้ว ทำอย่างไรให้หายไป

สังโยชน์ใดยังไม่เกิดขึ้น ทำอย่างไรจะไม่ให้เกิด

 

ยังมีรายละเอียดอีก แต่ว่า วันนี้เอาแบบง่ายๆ เบสิคก่อน ให้เห็นชัดๆ ก่อนว่า สังโยชน์หน้าตาเป็นอย่างไร ถ้าเห็นได้ คุณรู้เองว่า คุณเต็มใจที่จะทำต่อ แอดวานซ์ถึงขั้นไหนนะครับ

 

เพราะบางที จะหมายถึงการเปลี่ยนนิสัยใจคอ เปลี่ยนวิธีในการใช้ชีวิต หรือกระทั่งเปลี่ยนวิธีคิด

 

คือไม่ใช่คุณไปตั้งใจเปลี่ยนนะ แต่ว่าพอเห็นบ่อยๆ ว่า นี่คือสังโยชน์ และนี่คือสิ่งที่ครอบงำไว้ ไม่ให้คุณเจริญก้าวหน้าไปถึงที่สุดในทางธรรม ใจจะเริ่มฉลาด แล้วก็อยากปล่อยของมันเอง ไม่ต้องตั้งใจ

 

- เจอความมืดดำ โล่ง อิ่มเอมเพลิดเพลิน จับลมหายใจดีขึ้น ตามไปถึงความพองยุบของท้องได้ชัดเจน มีความคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ล่องลอยมาเรื่อยๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ยังรู้สึกถึงลมหายใจ แล้วความคิดนั้นก็หายจางไป ความคิดอื่นก็ค่อยๆเข้ามา แต่เหมือนที่คุณตุลย์บอกว่ามันลื่น มันครอบใจไม่ได้แต่รู้ว่าถ้าเผลอปล่อยลืมลมหายใจไป มันจะเข้ามาเกาะแน่ๆค่ะ แต่พอคุณตุลย์ให้กลับไปทำครั้งที่สอง เข้าสมาธิไม่ได้ รู้สึกแค่ลมหายใจเล็กๆน้อยๆ กับความยุบพองค่ะ

สัปดาห์ที่ผ่านมา ฝึกสมาธิกับมือและเสียงสติ ได้ผลดีมากเลยค่ะ ทำงานได้ดีขึ้น รับมือกับอารมณ์ตัวเอง และคนรอบข้างได้สบายมากขึ้นค่ะ อนุโมทนาสาธุคุณตุลย์ และทีมงานค่ะ

ดังตฤณ: แต่ละคนก็ก้าวหน้าไปเรื่อยๆ นะ นี่เป็นความชื่นใจร่วมกันนะครับ แล้วเราจะรู้สึกเลยว่า เราไม่ได้อยู่คนเดียว เราไม่ได้ทำคนเดียว มีกัลยาณมิตรอีกมากมาย ที่เจริญรุ่งเรืองไปพร้อมๆ กับเรานะ บนเส้นทางธรรมนี้ อนุโมทนาสาธุการกับทุกท่านเลย

 

- จังหวะที่ยังไม่เริ่มทำสมาธิ จิตรวมลงอยู่กับตัวรู้ เข้าใจทันทีว่า ผัสสะตอนนั้นมีแค่ 3 ด้าน ดาเห็นพี่ตุลย์ หูประจวบเสียงพี่ตุลย์ ใจรับทราบสิ่งที่พี่ตุลย์พูด โดยแต่ละตัวหมุนไปมาสลับกันเด่น เห็นอาการ "สักแต่ว่า" อยู่แวบนึง จากนั้นเมื่อตอนทำสมาธิ เห็นลมหายใจอยู่ห่างมาก เห็นวิตักกะ วิจาระอยู่ห่างมาก สุดท้ายทุกอย่างงวดลงมาที่จิต เห็นแกนกลางจิตถูกยกเลื่อนห่างออกไปด้านบน แล้วตัวรู้อยู่ตรงกลาง เห็นสิ่งที่ถูกเลื่อนขึ้นไปคล้ายน้ำโคลนเหนียวที่เคลื่อนไปเรื่อยๆ แล้วมีตัวรู้ยืนดูนิ่งๆ ตัวตนสั่นคลอน จิตสั่นคลอน

ดังตฤณ: ตรงนี้เป็นขั้นตอนหนึ่ง อยู่ระหว่างทางนะ

 

ที่มี vibration เกิดขึ้น หรือว่าเกิดความรู้สึกสะเทือน สะเทือนตัวตน ก็คือตัวตนถูกจับได้ไล่ทัน หรือว่าถูกกระแทก จนรู้สึกว่า เริ่มออกอาการ เริ่มเหมือนกับ .. จับฉันได้แล้วหรือ อะไรแบบนี้ แล้วก็หลายๆ คนคือมีความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ รู้สึกว่า มีความเสียดาย .. เสียดายตัวตน

 

หรือบางทีรู้สึกว่า .. ไม่มีตัวตนของเราอยู่จริงๆ หรือ แล้วเกิดอาการใจหาย

 

จะมีอาการได้สารพัดนะครับ แต่รวมๆ แล้ว ได้ข้อสรุปตรงกันอยู่อย่างหนึ่งคือ เมื่อตัวตนถูกจับได้ไล่ทัน เมื่อตัวตน ตัวอุปาทาน ถูกกระทบกระแทกให้เกิดอาการบอบช้ำ หรือบุบสลาย ก็จะคล้ายๆ กับตอนที่เราถูกใครว่า แล้วเสียเซลฟ์ หรือว่าจิตตก ถูกกระทบอัตตา ถูกกระแทกอัตตาอะไรแบบนั้น จะคล้ายๆ กัน

 

เพียงแต่ว่า อันนี้จะอยู่ลึกกว่า ลงไปได้ลึกกว่า ลงไปถึงเกือบๆ ราก รากของความรู้สึกในตัวตน ว่าตกลงไม่มี

 

ศาสนาพุทธ เป็นศาสนาที่ริบคืน เอาความรู้สึกในตัวตนออกจากพวกเรานะครับ

 

ถ้าเป็นคนในโลกจะโวยวายกันทันทีว่า มาริบเอาความรู้สึกในตัวตน หรือว่ามาริบตัวริบตนฉันไป เป็นเรื่องร้ายแรง หนังบางเรื่องถึงขนาดที่ว่า หนังแฟนตาซีประเภทที่บอกว่า ส่งไปอยู่ในอีกมิติหนึ่ง ที่ไม่เหลือตัวตนเลย เป็นเรื่องน่ากลัวที่สุด

 

แต่จริงๆ แล้ว ถ้าเราทำความเข้าใจตามมุมมองแบบพุทธว่า เกิดตายเป็นทุกข์ กายนี้ใจนี้เป็นที่ตั้งของอุปาทาน เป็นตัวทุกข์ล้วนๆ ทั้งแท่ง

 

มองอย่างนี้ เห็นอย่างนี้ เห็นเป็นแบบข้ามภพข้ามชาติ แล้วก็ต้องเกิดแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ แล้วก็ต้องทำบาปทำกรรมแบบที่ไม่สามารถจะทราบได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

 

ถ้าเห็นอย่างนี้ แล้วค่อยมามองในมุมที่ .. เออ ถูกริบตัวริบตนไปได้เสียก็ดี จะได้ไม่ต้องมาเป็นทุกข์อีก อย่างนี้ถึงจะเห็นว่า พระพุทธศาสนามีบุญคุณกับเรานะ

 

แต่ถ้าอยู่ๆ หวงตัวตน เสร็จแล้วมาเข้าใจคอนเซ็ปต์ที่ลึกมากๆ อย่างนี้ของพระพุทธศาสนา มีแต่ negative นะ ความรู้สึกเป็นลบกับพุทธศาสนาแน่นอนนะครับ

 

แต่ถ้ามีความเข้าใจดีแล้ว ก็จะเห็นว่า การถูกกระทบกระแทกอุปาทานในตัวตน ตัวอัตตานี่ เป็นเรื่องดี เป็นเรื่องที่ค่อยๆ ขึ้นบันไดเลื่อนไปเรื่อยๆ จนกระทั่งในที่สุด ได้หมดความอาลัย หมดความใยดี ว่ามีตัวมีตนนี้อยู่

 

แล้วความเห็นชัดตรงนั้น ด้วยจิตที่เป็นสมาธิจริงๆ ก็จะถึงความบริสุทธิ์ เข้าถึงธรรมชาติที่เรียกว่านิพพาน

 

- หลังทำสมาธิ รู้สึกสว่าง สงบ เย็นมากค่ะมีความคิดผ่านมาแล้วผ่านไปค่ะ

ดังตฤณ: ที่ผ่านมาแล้วผ่านไป ก็คือไม่เกิดตัวตนขึ้นนั่นเองนะ

 

ถ้าเผลอ แค่นิดเดียว สมาธิที่ยังอยู่ในช่วงตั้งไข่อยู่นี่นะ จะล้มไปเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นแหละ ที่ความคิดเข้ามากระทบจิตปุ๊บ มีตัวตนเกิดขึ้นมาทันที

 

ก็เป็นสิ่งที่เราจะเอาไปใช้สังเกตดูนะครับ ในระหว่างวัน หรือว่าในขณะที่ทำสมาธิก็ตาม ถ้าเห็นเรื่อยๆ เห็นบ่อยๆ ก็เท่ากับเลื่อยสังโยชน์ หรือโซ่ที่ร้อยรัดเราอยู่กับความรู้สึกในตัวตน ให้บางลงๆ ทีละน้อยนะครับ

 

- วันนี้ทำสมาธิเห็นท้องพองยุบ เห็นลมหายใจเข้าออกชัดเจนครับ เห็นความคิดจรที่แว่บเข้ามาในหัว และก็เห็นความคิดที่หลุดลอบผ่านออกไป เห็นถึงความจ้องจะยึดเป็นตัวเป็นตนล้อมอยู่รอบๆ เกิดความรู้สึกยึด และ ปล่อยเป็นพักๆครับ

ดังตฤณ: เห็นแบบนี้ดี จะได้เกิดการเปรียบเทียบ แล้วเอาไปใช้ได้เลยในชีวิตประจำวันด้วยนะครับ

 

- ขอบพระคุณมากค่ะ วันนี้สิ่งพี่ตฺลย์อธิบายพร้อมภาพประกอบ ทำให้เข้าใจเรื่องสังโยชน์ สิ่งที่เกิดขึ้นในการนั่งสมาธิทุกครั้งค่ะ

ดังตฤณ: ดีนะ คือถ้าพวกคุณไม่ได้สมาธิกัน ไม่มีทางที่จะเข้าใจเลยนะ เพราะเรื่องที่พูดคืนนี้ เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก แล้วก็เห็นได้ยากมากๆ คนทั่วไป คุณลองไปพูดดู ไปคุยให้เขาฟังดู

 

ตอนที่อยู่ในมุมมอง อยู่ในฐานมุมมองที่รู้สึกว่ามีตัวมีตนอยู่ตลอดเวลานี่ ไม่มีทางเข้าใจเลยนะ สิ่งที่เราคุยกันคืนนี้นะครับ

 

ตอนแรกผมนึกว่าจะเข้าใจน้อยกว่านี้เสียอีก

 

- ยังปฏิบัติไม่เก่ง แต่วันนี้เรียนเข้าใจค่ะตอนแรกสามทุ่มง่วงนอน แต่ตอนนี้ตื่นแจ่มใสค่ะ

ดังตฤณ: ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้ ก็ข้ามพ้นเรื่องเก่ง ไม่เก่งมาแล้วนะ เกือบจะเข้าถึงกลไก หรือว่าธรรมชาติของอุปาทานในตัวตนเข้าไปแล้วนะ

 

ไม่ใช่เรื่องเก่ง หรือไม่เก่งแล้ว มาไกลแล้วนะครับ

 

- ขอบคุณพี่ตุลย์คะเข้าใจคำสังโยชน์ชัดเจนคะ ระหว่างอาทิตย์ทำสมาธิก่อนนอนบ้าง ไม่ได้เปิดไฟ แต่มีแสงสว่างอยู่ขอบๆ แต่ตรงกลางยังมืดอยู่ค่ะ แต่มองเห็นช่วงล่าง เท้าขา นั่งขัดสมาธิอยู่ในความมืด ทั้งๆที่หลับตาอยู่คะ

ดังตฤณ: ความสว่าง หรือสังขารขันธ์ชนิดที่เป็นมหากุศลชนิดนี้นี่ จะค่อยๆ ขึ้นมาตามลำดับ แล้วคุณจะเห็นเลยนะ เห็นแบบชัดๆ เลยว่า ยิ่งสว่างมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งมีความกระจ่างในขณะทำสมาธิมากขึ้นเท่าไหร่

 

วิธีคิด วิธีรู้สึกของคุณจะยิ่งแตกต่างไปเรื่อยๆ ตามไปด้วยเป็นเงานะครับ ขอให้สังเกตดูนะ ชีวิตประจำวันของคุณจะแตกต่างไปด้วย เป็นเงาตามตัว

 

- 1) อยู่ในกลุ่ม 3 ที่ใจยังไม่เคยเงียบแต่ก็เห็นความไม่เป็นตัวตนอยู่บ้างครั้งหนึ่งเคยปฏิบัติทั้งวันจนตอนหลับเกิดตัวรู้ขึ้นมา ไปเห็นแขนที่วางอยู่ข้างตัวเป็นแค่ท่อนเนื้อ จุดนั้นกลัวมากๆ พยายามให้สภาวะนั้นหายไป และตลอดเวลาที่เกิดการเห็นอย่างนั้นเสียงในหัวก็ไม่เงียบเลย ยังคงสงสัยว่าทำไมเป็นอย่างนั้น แต่ก็ไม่ได้เกิดอย่างนี้ซ้ำ และกลัวจนไม่อยากเห็นอีก 2) วันนี้ตอนทำก็ยังคงไม่เงียบ และยังไม่เห็นสังโยชน์ค่ะ

ดังตฤณ: พอเราไปได้ถึงตรงนั้น จะเริ่มระแวง จะเริ่มมีความพะวง ว่าเดี๋ยวจะเห็นอีกหรือเปล่า จะเห็นอะไรน่ากลัวอีกไหม

 

ตรงนี้คือความหมายว่า เงียบกับไม่เงียบต่างกันอย่างไร

ถ้าจิตของคุณมีความเงียบ ไม่มีความฟุ้งซ่าน ไม่มีอาการโฉ่งฉ่าง เงียบแล้วก็รู้อยู่เฉยๆ จะไม่มีความกลัวเกิดขึ้นได้เลย จะไม่เกิดช่องให้ความกลัวเข้ามา

 

ทุกอย่างที่เห็น จะเห็นไปเงียบๆ ซึ่งตรงนี้ ก็จะทำให้คุณเห็นค่า แล้วก็เข้าใจว่า ทำไมเราถึงต้องมาเจริญอานาปานสติกัน

 

ทีนี้เราเพิ่งทำกันมาได้แค่สองสามเดือน ยังเห็นได้ขนาดนี้ แล้วต่อไป ถ้าทำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจิตเงียบได้ตลอดชีวิตที่เหลือ ไม่ต้องห่วง ตอนนี้ เอาเรื่องสมถะให้แน่นหนาให้ได้นะครับ คือทำสมาธิไปแบบที่ ทำแล้วได้ผลนั่นแหละ ทำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง ที่เราจะรู้เองว่า กำลังของสติ กำลังของความเงียบในเรา มีความอิ่มตัวแล้ว คือไม่เคลื่อน ไม่หายไปง่ายๆ มันจะอยู่ติดตัว แล้วก็เป็นอัตโนมัติ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ต้องเค้นต้องฝืน

 

เสร็จแล้วจะเห็นภาวะทางกาย ภาวะทางใจเป็นอย่างไรก็ตาม จะไม่เกิดความกลัวอีกเลย

 

แม้แต่ความกลัว ถ้าหากว่าจะผุดขึ้น จะเกิดขึ้นครอบงำชั่วครั้งชั่วคราว เราก็จะรู้ทันว่า นั่นเป็นสังขารขันธ์ นั่นเป็นความมืดชนิดหนึ่ง เป็ฯอกุศลชนิดหนึ่ง

 

คืออกุศลไม่ใช่ไม่ดีเสมอไป ความกลัวสิ่งที่กำลังปรากฏเป็นประสบการณ์นี่นะ ความกลัวนั้น ถ้าหากถูกรู้ ก็จะมีสติเกิดขึ้นแทนที่ แล้วเปลี่ยนจากอกุศลธรรม เป็นมหากุศลทันทีนะครับ

 

นี่คือหลักการ มีกล่าวไว้ในอภิธรรมด้วยนะ

 

- พอทำสมถะจากสองท่าแรก ได้กำลังมากขึ้นเยอะเลยครับ พอเดินวิปัสสนา ในท่าที่สามเห็นสังโยชน์ดีขึ้นชัดมากเลยครับ มีทั้งสามแบบคือมีทั้งที่มาเกาะเหนียวนึบเป็นตัวตนชัดเจน แต่จะน้อย รองลงมาจะเป็นแบบที่สองคือผุดขึ้นแล้วมาเกาะผิวๆแล้วหลุดไปอย่างรวดเร็ว แต่แบบที่เกิดบ่อยกว่าเพื่อนคือเห็นเป็นมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นโดยยังไม่รู้ว่าเป็นอะไรเห็นแล้วก็ดับไปครับ

ดังตฤณ: พอเห็นไปเรื่อยๆ แบบนี้ จะค่อยๆ จำแนกได้ จะมีความพิสดารมากกว่านี้เยอะนะ การเข้ามาเกาะกุมของสังโยชน์นี่

 

แต่อย่างไรก็ตาม พอเราได้เบสิค แล้วเข้าใจจริงๆ ว่ามีความต่างกัน ระหว่างสังโยชน์ที่มาเกาะแล้วเกาะเลย กับเกาะแล้วหลุด

 

แค่เข้าใจสองตัวนี้ คุณจะเอาไปอ่านออกบอกถูกในชีวิตประจำวันได้มากขึ้นๆ เองนะครับ

 

แล้วจุดที่เราจะคืบหน้าไป จะรุกคืบเข้าไป ก็จะเริ่มเหมือนกับง่าย

 

แต่เดิม จะรุกคืบไปแต่ละก้าว แต่ละขั้น ตอนยังไม่มีสมาธิ จะเหมือนกับ โอ๊ย ไม่มีทาง ไม่มีความหวัง ไม่ค่อยจะดูเป็นไปได้เท่าไหร่

 

แต่พอมีสมาธิขึ้นมา อะไรๆ จะง่ายไปหมด นี่คือสาเหตุที่ทำไมพระพุทธเจ้าถึงสอนมาแบบเป็นขั้นเป็นตอนนะ

 

- ไกด์มือทำให้ลมหายใจไม่อึดอัด และทำให้ลมหายใจเบาสบายขึ้น แต่จะใช้แค่ตอนเริ่ม ครั้งนี้รู้สึกสนุก ทำให้เหมือนเราเตรียมรับรู้ว่า ต้องมีอะไรมากระทบแน่ๆ ขอบคุณอาจารย์ค่ะ

ดังตฤณ: ก็จะมีขั้นมีตอนพัฒนาไปนะ แล้ววันนี้หลายคนพูดคำว่าสนุก ก็คือฉันทะ ถ้าเราสนุกที่จะรู้ สนุกที่จะดูภาวะความเป็นกายใจได้ เรากำลังข้ามเขตอะไรมาเขตหนึ่ง

 

คือพอข้ามเขตนี้มาแล้ว จะไม่กลับ จะไม่ย้อนกลับแล้ว ถ้ามีความสนุกตรงนี้ได้เพราะจะเข้าใจหมดแล้วว่า ทำอย่างไรให้สนุก ทำอย่างไรให้มีพลัง มีกำลัง ขับดันให้เดินต่อไปจนสุดทาง

 

จะแตกต่างจากตอนอยู่เขตเดิม จะรู้สึกว่า ละล้าละลัง พร้อมจะย้อนกลับไปสู่จุดเริ่มต้น พร้อมจะหยุด พร้อมจะถอยหลัง พร้อมจะไม่เอาต่อ

 

แต่พอข้ามเขตนี้มา จะรู้สึกว่า ไปต่อได้เรื่อยๆ เหมือนติดลมบนนะ

 

- เริ่มนั่งสมาธิ เกิดนิ่งสงบ และเริ่มมีปีติก่อนจบท่าแรก เริ่มท่าที่2 เกิดปีติสุขมากขึ้น เกิดสว่างในดวงตามากๆ และมีเสียงหมาเห่าและลูกไอ เสียงกระทบหู เกิดความคิดเข้ามาในหัวว่าเป็นคลื่นรบกวน เห็นอย่างชัดเจน นั่งสมาธิกับอาจารย์ทุกครั้ง เกิดปีติมากกว่านั่งคนเดียว และจิตสว่างมากขึ้น และมองเห็นแค่ลมหายใจชัดมากๆ หูได้ยินเสียงลมหายใจชัดมาก ปีติสุขน้ำตาจะไหล พอออกจากสมาธิ เข้าใจมากขึ้นกับการใช้ชีวิตประจำวัน เรามีความกังวลและยึดกับหน้าที่การงานมากเกินไป จึงทำให้เกิดทุกข์ค่ะ

ดังตฤณ: อนุโมทนาครับ เป็นความก้าวหน้าอย่างชัดเจนนะ

 

- คืนนี้ความคิดจร ผุดขึ้นมาเล็กน้อยก็หายไปเลย จนช่วงท้ายๆ มันก็เลยร้องเพลงที่ฟังเมื่อตอนเย็น พอรู้ทันมันก็เปลี่ยนเพลงไปเรื่อยๆ แต่ก็รู้สึกว่ามันเป็นส่วนที่เกินเข้ามา ไม่ได้รู้สึกอะไรครับ

ดังตฤณ: นี่ก็คือ เกาะแล้วหลุด หรือว่าอาจไม่เกาะเลยก็ได้

 

- วันนี้รู้สึกได้ว่าสงบมากขึ้น เมื่อฝ่ามือฝ่าเท้าอยู่ในท่าสบาย รับรู้ถึงลมหายใจเข้าออกได้ดี แม้มีความคิดแทรกเข้ามา ก็กลับมารับรู้ลมหายใจเหมือนเดิม ไม่ได้ไหลไปคิดต่อ บางทีปฏิบัติในทุกวัน บางวันดีขึ้นบางวันก็เหมือนไม่ก้าวหน้า บางวันถอยหลัง แต่ก็พยายามตั้งใจปฏิบัติต่อไปเรื่อยๆค่ะ ขอบพระคุณอาจารย์และทีมงานมากค่ะ

ดังตฤณ: พอปฏิบัติไปเรื่อยๆ สิ่งที่เกิดขึ้นแน่นอน ก็คือก้าวหน้าไปเรื่อยๆ ถึงแม้คุณจะบอกว่า บางวันเหมือนทำไม่ได้ แต่นั่นก็คือความก้าวหน้าชนิดหนึ่ง คือการเดินทางไปนี่ ความคืบหน้าไปบนเส้นทางนี้ จะมีรอบขึ้น รอบลง รอบขึ้น รอบลง

 

แต่ถึงแม้จะเป็นรอบขึ้น รอบลง ก็จะไปเรื่อยๆ ไม่ซ้ำอยู่กับที่เดิมนะ ไม่ได้พายเรืออยู่ในอ่าง

 

เพราะถ้าคุณมีสติ ถ้าคุณมีความเข้าใจว่าอะไรๆ ไม่เที่ยง เป็นไปตามเหตุปัจจัย แม้ตอนที่สติของคุณลดกำลังลง หรือว่า สมาธิเสื่อมลง ดูไม่ดีหรือฟุ้งซ่านไปไม่ได้อะไรแบบนี้ ไปต่อไม่ได้

 

แต่จริงๆ แล้ว ก็จะรวมอยู่ในภาพของความไม่เที่ยง อะไรๆ ในภาวะกายใจที่ไม่เที่ยงนี้ ยิ่งคุณเห็นบ่อยขึ้นเท่าไหร่ และมีความเป็นกลาง มีความวางเฉย ไม่ไปยินดียินร้ายกับมัน จะยิ่งเข้าสู่ใจ

 

ปัญญาจะยิ่งเจิดจ้ามากขึ้นๆ ทุกที ว่า มันไม่เที่ยงจริงๆ ด้วย แม้กระทั่งสติ และสมาธิที่ดีๆ ของเรา ที่มีคุณภาพ ไม่จำเป็นต้องมีคุณภาพเสมอไปทุกวัน

 

บางวันก็เสื่อมคุณภาพลงได้นะ แต่ตัวปัญญาของเรา ที่เห็นความไม่เที่ยงของคุณภาพนี่แหละ ที่จะรุ่งเรืองขึ้นทุกทีนะครับ

 

พอนานๆ ไปกลับมาทบทวน เอ๊ะ ตอนนี้ไม่ยึดอะไรเลย อะไรๆ เดี๋ยวก็เปลี่ยนไป ก็ไม่เที่ยง ด้วยความรู้สึกอย่างนี้ที่เรียกว่า อนิจจสัญญานี่แหละ ตัวนี้คือความคืบหน้า ที่เราต้องการจริงๆ

 

ความต่อเนื่อง คือความก้าวหน้า นะครับ

 

- ขอบคุณครับ เข้าใจสังโยชน์มากขึ้น

ดังตฤณ: อนุโมทนาครับ

 

- วีคนี้มีไม่สบาย คือหนาวสั่นจากฉีดวัคซีน ควบคุมร่างกายไม่ได้ เกิดสั่นมากๆ และปวดร้าวร่างกาย พอกลับมานั่งสมาธิ การเห็นวิตักกะ วิจาระไม่ค่อยชัดค่ะ ใช้เวลานานขึ้น จากที่เคยชัดแม้ระหว่างวันและมีปีติสุขด้วย มันหายไปหมดเลยค่ะ แต่วันนี้พอคุณดังตฤณให้นึกถึงการปฏิบัติที่ผ่านมา น้อมถวายพระพุทธเจ้า ปรากฏว่าใจกายโล่งเบาสบาย ความรู้สึกข้างในมันเปลี่ยนไปจริงๆ ค่ะ พอนั่งสมาธิดูลมหายใจก็ค่อยเห็นชัดขึ้นมา ดีใจมากค่ะและการเห็นสังโยชน์ เห็นแบบที่ 2 ค่ะ คือ พอความคิดเข้ามา เราเห็นมันก็ดับและหายไปค่ะ และกลับมาเห็นลมหายใจเหมือนเดิมค่ะ จริงๆ พอมาคิดดูในวีคที่ผ่านมา เห็นแบบที่ 1 ด้วยค่ะ โทสะเกาะแน่นอก อึดอัดมากค่ะและนานกว่าจะดับค่ะ คิดเองว่าอาจเป็นเพราะสมาธิไม่นิ่ง โทสะจึงเกาะได้นาน

ดังตฤณ: ต่อไป ถึงแม้ว่าสังโยชน์จะเกิด และเกาะกุมจิตใจคุณได้ แต่สติ และปัญญา ที่เกิดขึ้นจากความจำที่เราได้ปฏิบัติในคืนนี้ จะไม่หายไปไหนตลอดชีวิตนะครับ

 

แปลว่า คุณสามารถดูได้ว่านั่นคือสังโยชน์ชนิดแรก ที่เข้ามาแล้วเกาะกุม คุณก็แค่รู้ว่ามันเกาะกุม ดูสิว่า เกาะกุมไปได้นานแค่ไหน กว่าที่จะหายไปเอง

 

แม้กระทั่งวันที่เสื่อม วันที่ดูเหมือนกับว่า จิตใจถูกยึดอยู่ได้ด้วยสังโยชน์ ก็มีประโยชน์ เห็นไหม ความเข้าใจนี่สำคัญกว่าสมาธินะ

 

สัมมาทิฏฐิ สำคัญเหนือสิ่งอื่นใด ถ้ามีสัมมาทิฏฐิเป็นหัวหมู่ทะลวงฟันแล้ว ในที่สุด จะเกิดสติ และสมาธิแบบที่เป็นสัมมาตามไปด้วย มีสัมมาสติ มีสัมมาสมาธิ

 

ความเข้าใจนะครับ สำคัญที่สุด อันดับหนึ่งนะ

____________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน วิธีดูสังโยชน์

- ช่วงรวมฟีดแบค

วันที่ 2 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป :

https://www.youtube.com/watch?v=RgKwOhqAeMM&t=1270s

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น