วันอังคารที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2564

07 วิธีดูสังโยชน์ : บรรยายประกอบ แอนิเมชัน หลังทำสมาธิในท่าที่ ๒

ดังตฤณ : เวลาที่คุณเกิดความนิ่ง ความเงียบ อยู่ในสมาธิ

แล้วเหมือนมีแต่จิต ที่รับรู้ว่ากำลังเกิดอะไรขึ้น

 

อย่างเช่น ถ้าหากว่า โฟกัสอยู่กับลมหายใจ

ก็จะไม่มีอะไรในโลก นอกเหนือไปจากลมหายใจ

ที่ผ่านเข้าผ่านออก อยู่ในถุงลม ที่กำลังโป่ง แล้วก็แฟบ

 

นิมิตของคุณ คือสิ่งที่ปรากฏต่อใจ ก็จะประมาณว่า

ถุงลมนี้ พอโป่งออก ก็มีลมเข้ามา พอถุงลมนี้แฟบลง ลมหายใจก็ออกไป

 

แต่พอทำๆ ไป ภาพที่เห็น นิมิตที่เห็น ว่ามีแค่ลม

มีแค่ถุงลมโป่ง แล้วก็แฟบ สังเกตดูดีๆ

จะมีกระแสความคิด สภาวะความคิดลอยเข้ามาในหัว เป็นครั้งเป็นคราว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตอนที่เรายังไม่ถึงฌาน

จะมีความคิดเข้ามาแน่ๆ มาเป็นบางครั้งบางคราว

 

ซึ่งถ้าเราอยู่ในสมาธิดีๆ ก็เหมือนความคิดนั้น ไม่มีความหมาย

เป็นแมงเม่าที่บินเข้ากองไฟ แล้วก็มอดดับไป

 

แต่ถ้าหากว่า สมาธิของเราเริ่มเสื่อม

ความคิดที่จรเข้ามา จะดูมีตัวมีตน มีความหนาแน่นมากขึ้น

เหมือนกับมีมวลของความคิด ความฟุ้งซ่านที่เพิ่มขึ้น มีน้ำหนักมากขึ้น

 

ตรงนั้นแหละ ถ้าหากว่าเราสังเกตได้

จังหวะก่อนที่ความคิดจะเข้ามากระทบใจ ให้เกิดความรู้สึกหนักๆ

ก่อนหน้านั้น จะมีความรู้สึกว่างๆ จากตัวตนอยู่

แต่พอมีความคิดเข้ามาปุ๊บ กระทบปุ๊บ

จะเหมือนกับมีความรู้สึกในตัวตน ก่อรูปก่อร่างเข้าครอบงำ

หรือว่าเข้าตรึงจิตตรึงใจ ให้เกิดความรู้สึกเป็นตัวเป็นตนขึ้นมา



จะคล้ายๆ แบบนี้ เหมือนกับว่า มีอะไรที่โผล่พรวดเข้ามา

แล้วก็จับจิตจับใจของคุณ ให้เกิดความรู้สึกว่า

เราอยู่กับตรงนั้น เราถูกยึดไว้กับความรู้สึกอย่างนั้น

 

คือเดิม ตอนที่สมาธิของเราดีๆ อยู่ เห็นแต่ลมหายใจ

เห็นแต่ถุงลมโป่งพอง จะเหมือนไม่มีอะไรมาทำให้รู้สึกว่า เป็นตัวเป็นตน

 

แต่พอสมาธิเสื่อมกำลังลง หรือว่ามีความฟุ้งซ่านจรเข้ามา

จะมีอะไรที่โจนเข้ามาจับใจ หมับเลย ทันที

เกิดความรู้สึกเปลี่ยนแปลงแบบฉับพลัน

 

จากเดิมที่เหมือนไม่มีตัวตน อย่างที่เราคุยกันไว้ตั้งแต่ต้น

กลายเป็นมีความรู้สึกว่า เรามี ตัวตนมี อัตตามี

ซึ่งตรงนี้ จะอยู่เลย ถ้าหากว่าใจของเรา สติของเรายังมีกำลังอ่อนอยู่















แต่ถ้าหากว่า ใจของเรามีกำลังของสติ

พอความรู้สึกเป็นตัวเป็นตนโจนเข้ามาจับ จะประมาณนี้

คือความรู้สึกในตัวในตน หรือว่าความยึดมั่นถือมั่น

ความคิดที่เข้ามากระทบ จะเข้ามาแบบลื่นหลุด

 

คือ มาจับแป๊บหนึ่ง แล้วก็ลื่นหลุดหายไป

ลองสังเกตนะ นี่เป็นแบบที่สอง

 

แบบแรกคือ อยู่แล้วอยู่เลย

แต่แบบที่สอง ความรู้สึกในตัวตน มีอุปาทานในตัวตน

เกิดขึ้นมาครอบงำจิตใจแล้วแป๊บหนึ่งจะหายไป

นี่กรณีที่สติของเราดีกว่าเงื่อนไขแรก


เงื่อนไขต่อมา คือคุณรู้อยู่ในขณะที่เป็นสมาธิเลย

เหมือนกับสังโยชน์ หรือว่าความพร้อมจะเกิดอุปาทาน จ่ออยู่

คุณรู้สึกอยู่ว่ามีอยู่ลึกๆ แต่ว่าใจของคุณ ยังเป็นอิสระจากมัน

มันไม่เข้ามาครอบ ไม่เข้ามากระทบจิต ไม่เข้ามาโดนจิตโดนใจ

 

คุณรู้ว่ามันยังมีอยู่ ลึกๆ ยังมีอยู่

พร้อมที่จะกลับมาครอบงำจิตใจได้ใหม่

แต่สมาธิของคุณยังดี เลยเหมือนกับอยู่ห่างๆ

 

แล้วการที่มันอยู่ห่างๆ นั้น คุณก็จะรู้สึกว่า

ถ้าเผลอสติเมื่อไหร่ มันก็กลับมาครอบงำ หรือว่ายึดจิตยึดใจคุณได้ใหม่

 


เวลาที่พระอรหันต์ท่านตัดสังโยชน์ได้หมดแล้ว ไม่มีสังโยชน์เหลืออยู่เลย

จะเป็นจิตแบบเกลี้ยงๆ จะไม่มีความรู้สึกว่า

อะไรๆ ที่เข้ามากระทบ สามารถที่จะก่อความครอบงำ

ก่อสายโซ่ ที่จะมายึดมาโยงให้จิตผูกพันอยู่กับอะไรได้อีก

 

นี่แหละ ที่พระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า

เป็นจิตที่พรากจากขันธ์ทั้ง 5 จิตแยกออกมา ไม่มีสังโยชน์อีกแล้ว

 

แต่อย่างเราๆ ท่านๆ ก็จะต้องสลับไปสลับมา

อย่างบางที ยึดเลย เข้ามาแล้วยึด แล้วก็รู้สึกเป็นตัวเป็นตน

มีตัวมีตนอยู่แน่ๆ มีความอยากโน่น อยากนี่ อันเนื่องด้วยตัวตนอยู่แน่ๆ

 

หรือไม่ก็ เข้ามาแป๊บหนึ่ง ก่อนที่จะลื่นหลุดไป

 

หรืออีกอันหนึ่งคือ มีกำลังสมาธิดี รู้ว่าสังโยชน์จ่ออยู่

แต่ไม่เข้ามากระทบ ไม่เข้ามาครอบงำ

ใจยังไปไม่ถึงจุดที่สังโยชน์ขาดแล้วอย่างสิ้นเชิง

 

เดี๋ยวขอให้ทำท่าที่สอง หรือท่าที่สามก็ได้

ที่มีการเอามือมาซ้อนกัน แล้วให้รู้สึกถึงจิตที่ตั้งมั่น

____________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน วิธีดูสังโยชน์

- ช่วงวิธีดูสังโยชน์ บรรยายประกอบ แอนิเมชัน หลังทำสมาธิในท่าที่ ๒

วันที่ 2 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป :

https://www.youtube.com/watch?v=QCC_-hmqS4o

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น