วันอังคารที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2564

01 รู้จักอนัตตาในระดับของจิต : เกริ่นนำ

ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ

 

สำหรับคืนนี้ก็จะมาต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว

 

เรื่องเกี่ยวกับสังโยชน์ เป็นเรื่องที่ ถ้าเข้าใจในระดับของจิตแล้ว คุณจะไม่ลืมตลอดชีวิตที่เหลือ แล้วก็รูปแบบ หรือว่าการทำสมาธิ การภาวนาของคุณ จะแตกต่างไปแบบไม่ย้อนกลับ

 

ชีวิตทั้งชีวิตคนนะครับ ถ้าตั้งเวลาไว้ไม่ถึงหนึ่งนาที เห็นหมด ตั้งแต่เกิดจนตาย

 

ความรู้สึกเกี่ยวกับตัวตนของคุณ จะแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิงกับตอนนี้

 

ตอนนี้มันค่อยๆ เปลี่ยน แล้วเรามองไม่เห็น จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน ก็มีความรู้สึกในตัวตนขึ้นมา โดยอาศัยสิ่งกระทบที่เข้าหูเข้าตา มากระตุ้นให้เกิดความรู้สึกในตัวตน

 

แล้วก็ตัวตนที่มีอยู่ชัดๆ มีอยู่แน่ๆ ในขณะนี้นี่แหละ คือผลงานของหลอกหรือว่าเหยื่อล่อ ให้เข้าใจผิด

 

ก็คือมีกายใจแบบนี้เป็นตัวตั้งขึ้นมาตั้งแต่เกิด แล้วก็มีสิ่งกระทบต่างๆ เข้ามาโดนหูโดนตา ล่อตาล่อใจ แล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกในตัวตนขึ้นมา เป็นขณะๆ ว่า ณ ขณะนี้เรามีรูปร่างหน้าตาแบบนี้ มีชื่อเสียงแบบนี้

 

พอเราค่อยๆ มาเจาะรายละเอียดตามลำดับ ที่เราฝึกกันมานะครับ

 

นับตั้งแต่เริ่มรู้ลมหายใจ

รู้อิริยาบถ

รู้ว่ากำลังสุข หรือกำลังทุกข์

รู้ว่าจิตกำลังฟุ้งซ่าน หรือว่าสงบ

มีกิเลส หรือไม่มีกิเลส

 

จนกระทั่งเขยิบขึ้นมา จิตเริ่มผ่องใสขึ้น

แล้วก็สามารถเห็นกายใจเป็นส่วนๆ  โดยความเป็นขันธ์ 5 ได้

 

ตัวนี้ ก็จะเริ่มที่จะมีความแตกต่างทางความรู้สึกขึ้นมา ณ ขณะนี้ ว่าเรากำลังรู้กำลังเห็นอะไร กำลังคิดอะไร แล้วมีอาการยึดมากหรือว่าน้อย

 

ถ้าหากว่ามีอาการยึดมาก ก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีตัวตนของเราแน่ๆ

 

แต่ถ้ายึดน้อยๆ ยึดไม่มากอย่างนี้ ยังมีสิทธิ์ที่จะรับรู้ได้ว่า กายใจ เป็นของหลอกๆ 

 

ซึ่งตอนที่จิตของคุณ เริ่มพ้นจากแรงดึงดูด จะมีประสบการณ์ภายในที่แตกต่างไปได้เรื่อยๆ ตามแต่คน ตามแต่วัน

 

อย่างบางท่าน อาจจะเริ่มมองเห็นกายใจโดยความเป็นปัจจุบัน คือจะเข้าใจคำว่า ปัจจุบัน ลึกซึ้งขึ้น เมื่อจิตมีสติรู้ว่า ก่อนหน้าที่จะมีภาวะปัจจุบัน เป็นอิริยาบถแบบนี้ มันเคยมีอดีตแต่หนหลัง ก่อนที่จะคลี่คลาย กลายมาเป็นอย่างนี้

 

แล้วก็มีสติ มีกำลังของสติมากขนาดที่อาจจะเห็นนิมิต .. โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใครเคยเห็นว่ากายนี้ เน่าเปื่อยผุพังได้ตามธรรมชาติ

 

ธรรมชาติดั้งเดิมของกาย มีความพร้อมจะเน่าเปื่อยผุพัง ติดตั้งไว้อยู่แล้วตั้งแต่เกิด และถ้าสามารถเห็นได้ ตั้งแต่ภาวะเด็ก มาจนกระทั่งถึงภาวะตายในเวลาไม่กี่พริบตา

 

ความรู้สึกของคุณ จะรู้ซึ้งว่า ที่เรียกว่าภาวะปัจจุบัน เป็นอิริยาบถแบบนี้อยู่

 

แต่อิริยาบถแบบนี้ จริงๆ แล้วนี่ตั้งอยู่เป็นของหลอก ของล่อให้เรายึดว่า นี่ตัวเรา หน้าตาแบบนี้ชื่อเสียงแบบนี้

 

ทีนี้ ถ้าคนที่มีความรู้ไปในอดีต แล้วก็ล่วงหน้าไปในอนาคตเกี่ยวกับกายใจนี้ จะเห็นว่านี่เป็นแค่ของแป๊บหนึ่ง เป็นแค่ฉากลวงตาแป๊บหนึ่ง

 

เป็นความรู้สึกออกมาจากภายใน ไม่ใช่คิดนะ

 

คือถ้าคิดจากการอ่านหนังสือว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง กายใจไม่เที่ยง ก็จะรับรู้ในระดับของการคิดว่า .. จริง! กายนี้เคยเป็นเด็กมาก่อน แล้วกายนี้จะต้องแก่หง่อมลง

 

แต่ถ้าออกมาจากระดับของจิต คือพ้นไปจากระดับความคิด มีการรับรู้อยู่ที่ภาวะปัจจุบันนี้ตามจริง แล้วก็เห็นว่า ภาวะตรงนี้ ตั้งอยู่แป๊บเดียว

 

นี่ .. ตัวนี้จะเริ่มอุปาทานจะเริ่มสั่นคลอน

 

เวลารับกระทบอะไรต่างๆ แรงดึงดูดจะไม่เท่าเดิม จะเห็นอะไรต่างไป ซึ่งแต่ละคน จะเห็นแตกต่างไปเรื่อยๆ พิสดารขึ้นเรื่อยๆ

 

พิสดารในทางที่จะทำให้จิตเรียบง่ายลง ไม่ใช่พิสดารในทางที่จะทำให้ฟุ้งซ่านมากขึ้น  

 

จะมอง จะอ่านเกมออกว่าเราถูกหลอกมาได้อย่างไร

 

นี่พูดถึงว่า ถ้าเรายังไม่ได้หลุดจากสังโยชน์จริง แล้วปฏิบัติอยู่อย่างนี้ อยู่ในระหว่างการปฏิบัติอย่างนี้

 

การทำอย่างไรให้เห็นความจริงว่ายากแล้วนะ .. แต่ทำให้ได้เรื่อยๆ ให้ได้ต่อเนื่องยิ่งยากกว่า

 

คือโอกาสที่จะมาฟังธรรมของพระพุทธเจ้า เกี่ยวกับเรื่องของกายใจไม่เที่ยงนี่ยาก

 

แต่วิธีที่จะเห็นกายใจไม่เที่ยงมาตามลำดับ นับแต่ฝึกอานาปานสติ มาจนกระทั่งมีเวทนา มีเห็นสภาพของจิต เห็นขันธ์ 5 นี่

 

ตัวนี้ วิธี .. ต่อให้ยังปรากฏอยู่ในพระไตรปิฏก ก็ไม่ใช่จะมาศึกษา มาเข้าใจได้ง่ายๆ

 

คือคุณจะเห็นนะ ว่ามีขั้นมีตอน แล้วต้องใช้เวลา เป็นไปไม่ได้ที่จะมาพูดในคราวเดียว แล้วเกิดความเข้าใจทั้งหมด แต่ต้องค่อยเป็นค่อยไป

 

ตรงนี้นี่ ถ้ามาถึงจุดที่เรามองเห็น ก็จะรู้ว่า ต่อให้เกิดอีกกี่ครั้ง พบพระพุทธศาสนาอีกกี่หน ก็ไม่ได้ประกันว่าเราจะรอด

 

ต้องยอมเอาชีวิตทั้งชีวิต เป็นเครื่องมือปฏิบัติ

 

คือถ้าขอแค่ทำสมาธิวันละ 10 นาที หรือ ว่าถึงวันเสาร์ค่อยมาปฏิบัตินี่โอกาสที่จะมารู้มาเข้าใจกายใจนี้ อย่างลึกซึ้ง แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย

 

คนที่หายใจได้เรื่อยๆ ระหว่างวัน ถึงจะเข้าใจนะว่า การที่เรามีสิทธิที่จะเข้าถึงด้วยสติ หรือว่าด้วยจิตของเราเองทั้งดวงนี่เป็นอย่างไร

 

ถ้าไม่ทำอย่างต่อเนื่อง ถ้าไม่เกิดสมาธิขึ้นมาเรื่อยๆ จะยาก

 

แต่ว่าก็เป็นไปได้นะ คืออย่างพวกคุณที่ผ่านมานะครับ อย่างน้อยพูดว่า ถึงแม้จะยังไม่ได้อะไรเป็นเรื่องเป็นราว แต่ชีวิตก็มีความสุขขึ้นกว่าเดิมมาก

 

หลายท่านพูดในคอมเม้นท์นะ ผมอ่านผ่านๆ ตาคืออ่านหมดที่ทุกท่านคอมเม้นท์มา เพื่อที่จะดูว่าแต่ละคนคืบหน้าไปถึงไหน

 

แล้วก็รู้สึกว่าหลายๆ คนมีความเข้าใจขึ้นมาข้อหนึ่ง คือ ถึงแม้จะยังไม่ได้มรรคได้ผลเดี๋ยวนี้ แต่ถ้าละความอยากที่จะได้มรรคได้ผลเดี๋ยวนี้ แล้วเอาความพอใจ มาใส่ใจ มามีสติอยู่กับภาวะทางกาย ภาวะทางใจเฉพาะหน้าไปเรื่อยๆ

 

แค่นี้ ก็มีความสุข มีความพอใจ มีความเป็นอิสระ มีความโปร่งความเบามากขึ้นเรื่อยๆ อยู่แล้ว โดยไม่ต้องรีบร้อนไปไหน

 

ตรงนี้แหละ ที่จะทำให้ปฏิบัติได้จริง และปฏิบัติได้ต่อเนื่อง

 

เพราะบางคนก็สงสัย ว่าทำไมพระพุทธเจ้า ถึงต้องให้ทำอานาปานสติ เพราะยากจะตาย

 

แต่จริงๆ ถ้าทำตามเป็นขั้นๆ เลยรู้ว่าหายใจเข้า รู้ว่าหายใจออกอยู่เรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ มีความสุข ค่อยๆ มีความอิ่มใจ และเราก็จะเห็น เราก็จะเข้าใจนะว่าทำไมพระพุทธเจ้าถึงตรัสว่า ผู้เจริญอานาปานสติอยู่เรื่อยๆ จะปิดช่องที่จะให้มารเข้าแทรก

 

โอกาสที่เราจะเขวออกนอกทาง หรือว่าเราจะรู้สึกเลื่อนลอย หรือว่าอยากหยุดภาวนา อยากออกนอกเส้นทาง จะน้อยลงเรื่อยๆ เพราะมีฉันทะ มีความรู้สึกว่าอิ่มใจ มีความสุขหล่อเลี้ยงอยู่ ก็ไม่รู้จะทิ้งภาวะที่น่าพอใจแบบนั้นไปหาอะไรอื่น

 

นี่คือ หลายๆ ท่าน คงได้เข้าใจประจักษ์ด้วยตัวเองอยู่แล้วนะครับ

_____________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน รู้จักอนัตตาในระดับของจิต

ช่วงเกริ่นนำ

วันที่ 9 ตุลาคม 2564

ถอดคำ: เอ้

รับชมคลิป: https://www.youtube.com/watch?v=J_NpO9TFuKs

 

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น