วันพฤหัสบดีที่ 28 ตุลาคม พ.ศ. 2564

03 รู้ชาตินี้ ได้ชาตินี้ : บรรยาย มรรค ๘ บรรลุธรรม

ดังตฤณ : มรรคมีองค์ 8 ที่เราเคยได้ยินมากันทั้งชีวิต เรามักจะพูดกันในเชิงที่แยกเป็นต่างหาก บอกว่า ปฏิบัติตามมรรคมีองค์ 8 แล้ว จะได้สิ้นทุกข์สิ้นโศก

 

แต่ถ้าเรามามองว่า .. อันนี้ พระพุทธเจ้าท่านเป็นคนจำแนกนะ เป็นคนจัด .. มองว่ามรรคมีองค์ 8 นี่ เราจะตั้งต้นหลังจากที่ มีจิตใส จิตเบา พร้อมทิ้งแล้ว หลังจากที่เราเห็นกายใจโดยความเป็นขันธ์ 5 อายตนะ 6 มาแล้วนี่ จะแตกต่างเลย คนละเรื่องกันเลยนะ

 

ถ้ามรรค 8 ที่แยกต่างหากออกจากสติปัฏฐาน 4 ขึ้นต้นมาบอกว่า ต้องมีสัมมาทิฏฐิ

 

สัมมาทิฏฐินี้ ก็ไปคุยกันเชิงวิชาการว่า มีโลกียะสัมมาทิฏฐิ มีโลกุตตระสัมมาทิฏฐิ

 

โลกียะสัมมาทิฏฐิ ต้องมีความเข้าใจในเรื่องของการให้ทาน รักษาศีล เห็นโทษของการทุศีลอะไรแบบนี้ .. พูดกันยาว

 

แต่ถ้าหากว่าเรามามองมรรคมีองค์ 8 ในฐานะของผู้ที่เจริญสติปัฏฐานมา จนกระทั่งรู้ว่ากายนี้ใจนี้ เป็นขันธ์ 5 อายตนะ 6 มีจิตผ่องใสไร้นิวรณ์แล้ว

 

สัมมาทิฏฐิในที่นี้ จะแตกต่างไปเป็นคนละเรื่องเลย

 

คือจะมีความเข้าใจ เข้ามาในกายนี้ใจนี้ว่า ไม่ใช่ตัวตน เห็นขึ้นมารำไร ถึงแม้ว่าจะยังไม่แทงขาดว่า กายนี้ใจนี้แสดงความไม่เที่ยงอยู่ตลอด

 

ยิ่งเรามีอานาปานาสติกำกับอยู่ได้บ่อยขึ้นเท่าไหร่ ความชัดเจนตรงนี้ก็จะชัดเจนขึ้นเท่านั้น

 

นี่แหละสำหรับกลุ่มแรก ที่บอกว่ามีความเชื่อมั่นว่า สามารถเห็นกายนี้ใจนี้ทะลุขาดได้ ตรงนี้แหละที่เป็นสัมมาทิฏฐิในธัมมานุปัสสนา ในมรรคมีองค์ 8 ที่อยู่ท้ายสุดของสติปัฎฐาน 4 นี่มีความหมายอย่างนี้

 

จิตมีสัมมาทิฏฐิ มีความรู้ตัว มีความรู้สึกว่าเราสามารถอ่านกายใจออก สามารถแทงทะลุกายใจนี้ขาด

 

ตรงนี้คือความหมายของ สัมมาทิฏฐิ ที่แท้จริงในแง่ของการปฏิบัติ ลัดขั้นตอนไปจนถึงจุดที่เป็นองค์สุดท้ายของมรรค มรรคมีองค์ 8 นี่องค์สุดท้าย

 

องค์แรกขึ้นต้นด้วย สัมมาทิฏฐิ องค์สุดท้าย ลงท้ายด้วย สัมมาทิฏฐิ

 

สัมมาทิฏฐินี่แหละ ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า เป็นที่ที่จะบรรลุมรรคผลนิพพานกัน

 

ถ้าคนมีสัมมาทิฏฐิเป็นหัวหน้า แล้วก็มีสติแข็งแรง จะรู้นะว่ากายนี้ใจนี้ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน แสดงความไม่เที่ยงอยู่ตลอดเวลา  

 

พอเกิดสมาธิ มีความมีจิตเป็นปกติ เห็นกายเห็นใจนี้ เห็นขันธ์ 5 นี้ ว่าไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวตน แล้วก็รวมลงเป็นหนึ่ง ไม่มีความสงสัย

 

ตรงนั้นแหละคือการแทงขาด

 

แล้วกลุ่มแรกที่ตอบมาด้วยความมั่นใจว่า ชาตินี้มีตัวเองมีสิทธิ์แล้ว ก็คือคนที่มีสัมมาทิฏฐิในระดับของการเห็น ว่าตัวเองกำลังเจริญสติปัฎฐาน 4 อยู่จริงๆ แล้วก็มีฐานของสติ คือกาย คือใจนี้

 

ยิ่งวัน จะยิ่งเห็น ยิ่งวัน จะยิ่งรู้สึกว่าเขยิบใกล้เข้าไป

 

ตัวนี้แหละ ที่ผมจะสรุปในคืนนี้ว่า ที่เราทำๆ กันมา เป็นสติปัฏฐาน 4 อย่างไร

 

มาสรุปตรงที่ เราสามารถที่จะอ่านแล้วเข้าใจ ไปศึกษาธรรมเกี่ยวกับเรื่องมรรคมีองค์ 8 แล้วมองเห็นว่า เรามาถึงตรงนี้ ผ่านขั้นบันไดแบบไหนมาบ้าง

 

ทีนี้ พูดถึงกลุ่มสอง กับกลุ่มสามสักเล็กน้อยนะ

 

ที่บอกว่าก้ำกึ่ง ไม่แน่ใจ ยังลังเลสงสัยนี่ส่วนใหญ่ ก็คือว่าสมาธิตั้งมั่นบ้างไม่ตั้งมั่นบ้าง .. ตัวนี้สำคัญ

 

ถ้าเราฝึกมา แล้วเกิดความรู้สึกว่า ทุกวัน อย่างน้อยต้องมีสักช่วงหนึ่ง ที่จิตเราใส จิตเราเบา

 

ลองไปเช็คดูแบบที่ให้อุบายไปเมื่อกี้นี้ ใสเบามากพอที่จะเห็นลมหายใจเข้าออก และไม่มีตัวตนในลมหายใจ

 

แต่บางที ระหว่างวันมีกิเลสครอบงำได้ แบบที่เหมือนกับปุถุชนปกติที่ยังไม่เคยฝึกอะไรเลย แล้วจิตที่แส่ส่าย จิตที่ไม่ตั้งมั่น จะผลิตความคิด ผลิตความรู้สึกออกมาว่า สงสัยไม่มีหวังหรอก

 

ตรงนี้ จะครึ่งๆ กลางๆ บางทีก็ได้บางทีก็ไม่ได้

 

จะทำอย่างไรให้ได้ล่ะ? .. ก็ต้องมีทั้งสมถะและวิปัสสนา เพิ่มพูนยิ่งๆ ขึ้นไป

 

คือจะมาเกี่ยงไม่ได้ ฉันจะเอาวิปัสสนาอย่างเดียว.. พวกจะเอาวิปัสสนาอย่างเดียว ผมเห็นมาเยอะนะ ในที่สุดแล้ว จะอยู่ในพวกที่สองนี่ ก้ำๆ กึ่งๆ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

 

แต่พวกที่มีสมาธิดี มีสมถะดีกำลังสมถะเยอะเหลือเฟือ แล้วก็มีความเข้าใจว่าจะเอาสมถะนั้นมาดูกายใจอย่างไร

 

พวกนี้ เขยิบขึ้นเลื่อนขั้นเลย เป็นมีความเชื่อมั่น

 

คือขอให้ จิต นี่ มีสมาธิ มีความตั้งมั่น มีกำลังสมถะและวิปัสสนาอยู่ด้วยกันจะเลื่อนขั้นมามีความมั่นใจได้

 

ส่วนพวกที่ไม่เชื่อตัวเองนะครับ ก็ชัดเจนอยู่แล้ว พูดง่ายๆ ก็คือว่าจิตยังวอกแวก แล้วก็บางทีความเข้าใจ อาจจะยังรู้สึกเหมือนกับว่า .. โอ้โหทำไมต้องยุ่งยากอะไรขนาดนั้น จะไปนิพพาน

 

คือ ถ้าง่ายนะ .. ไม่ต้องรอพระพุทธเจ้าครับ คิดเอาเล่นๆ เดี๋ยวก็บรรลุมรรคผลนิพพานได้ ในระหว่างการเดินทางเป็นอนันตชาติ ในสังสารวัฎ

 

แต่เพราะว่ามันยากนั่นแหละ พระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสนะ นิพพานเป็นสิ่งที่เห็นได้ยาก

 

นิพพาน

เป็นความจริง เป็นธรรมชาติชนิดหนึ่ง

มีอยู่ แต่เห็นได้ยาก

ที่เห็นได้ยากก็เพราะว่า กายนี้ใจนี้บังอยู่

 

แล้วที่กายนี้ใจนี้บังอยู่ไม่เลิก

ก็เพราะว่าเราไม่รู้ทาง ไม่รู้วิธี

ว่าทำอย่างไรจะมีกำลังของจิต

ที่อยู่ในภาวะโปร่งใส

ที่จะเห็นความจริงว่า

กายใจนี้ไม่เที่ยงไม่ใช่ตัวตน

__________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน รู้ชาตินี้ได้ชาตินี้

- ช่วงบรรยาย มรรค ๘

วันที่ 23 ตุลาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป :

https://www.youtube.com/watch?v=9weB25kRe9g

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น