- ต้องชาตินี้แหละ ทำให้ดีสุดไว้ก่อน ไม่ได้ก็ช่างมัน
ดังตฤณ :
นั่นแหละ สัมมาทิฏฐิ เริ่มต้นจากการตัดสินใจแบบนี้นะ เพราะถ้าไม่คิดแบบนี้
แล้วหวังชาติหน้า พระพุทธเจ้าท่านเคยตรัสไว้นะ ถ้าหวังชาติหน้า
โอกาสที่จะถึงที่สุดธรรม แบบที่พระองค์ได้ตรัสสอนไว้ ก็ไม่มีนะ
เพราะใจผูกไว้แล้วว่า
ไม่เอาสิ้นสุดชาตินี้ จะไปเอารางวัลอะไรก็ไม่รู้ชาติหน้า
*
*
- ผมไม่เบื่อว่าผมจะบรรลุ แต่เชื่อว่าสามารถเรียนรู้กายใจ ตามที่มันเป็นไปตามจริงได้ครับ
ดังตฤณ :
แค่ตั้งความเชื่อไว้ได้อย่างนี้ ก็เรียกว่ามาถูกทางสัมมาทิฏฐิ
มาถูกทิศถูกทางแล้ว เรื่องบรรลุ ไม่บรรลุ .. คือ คนยังไม่บรรลุ
จะไปมั่นใจในตัวเองได้อย่างไร แต่ถ้าหากว่า เราเรียนรู้ที่จะเห็นลมหายใจนาทีนี้
แล้วรู้สึกว่า เชื่อสิ่งที่ตัวเองเห็น ว่าไม่เที่ยงจริงๆ ไม่ใช่ตัวของเราจริงๆ
ไม่ใช่ของๆ เราจริง นับเริ่มตั้งแต่ลมหายใจเข้าออกนี้ ก็คือ ปากทางแล้ว
ที่จะเข้าถึง
*
*
- ไม่ได้คาดหวังอะไรเลย แต่ก็ไม่ได้เลิกปฏิบัติ
ในทางตรงกันข้ามกลับ
รู้สึกด้อยปัญญาที่ไม่สามารถเข้าใจสภาวะธรรมที่เกิดขึ้นได้แจ่มแจ้ง
ดังตฤณ :
จริงๆ ไม่ใช่เรื่องด้อยปัญญา ไม่ด้อยปัญญา แต่บางทีเป็นเรื่องที่ว่าเรารู้ทางที่จะทำให้จิตอยู่ในภาวะเห็นชัดได้หรือไม่นะครับ
*
*
- ผมเชื่อว่าถ้าทำไปเรื่อยๆ ต้องบรรลุได้ครับ
ไม่ชาตินี้ก็ชาติถัดๆไปครับ
ดังตฤณ :
ถูกครับ
*
*
- พอรู้ลมหายใจ สภาวะปลอดโปร่งขึ้น
ดังตฤณ :
ถ้ารู้สึกว่ามีความปลอดโปร่ง มีความสบายใจมากขึ้น ถ้าสังเกตเข้าไป
อาจเริ่มจากที่เนื้อตัวผ่อนคลาย หายใจได้ยาวขึ้น มีความสุขกับการหายใจมากขึ้น
แล้วถ้าหากว่าอาการทางใจจากเดิมเคยหมกมุ่น
กลายเป็นว่ามีลักษณะเปิดออก ไม่หมกมุ่นเหมือนเดิม ก็แสดงว่าหายใจแล้ว ไปเปิดใจ
ไปง้างให้จิต ออกมาจากที่หมกมุ่น ที่คับแคบ
พอเปิดออกกว้าง
มนุษย์ทุกคนเคยใจแคบ พอเปิดออกกว้างนี่ จะรู้สึกสบาย รู้สึกว่าชีวิตต่างไปกันทั้งนั้น
อนุโมทนานะ
- เข้าเรียนตั้งแต่อาจารย์เริ่มสอนค่ะ ทำตามทุกๆ ไลฟ์ เข้าเรียนทุกไลฟ์
และดูย้อนหลังในบางไลฟ์ที่ไม่เข้าใจ และยากสำหรับตัวเอง ตอนนี้ก็ทำได้บ้างไม่ได้บ้าง
เพราะจิดบางวันเบา บางวันหนัก แต่ที่สังเกตตัวเองคือ ถ้านั่งสมาธิต่อเนื่องทุกวัน และมีสติระหวางวันที่จะนึกขึ้นมาได้
จะเบากาย และเบาใจ ช่วงเดือนแรกรู้สึกว่าอยูในมรณสติ แต่ตอนนี้จะอยู่กับปัจจุบันค่ะ
ดังตฤณ :
นี่แหละ คือพัฒนาการของแต่ละคน จะคล้ายๆ กัน คือช่วงแรกๆ จะได้บ้าง
ไม่ได้บ้าง แต่เสร็จแล้ว จะสังเกตเห็นรายละเอียดถึงเหตุปัจจัยที่ได้บ้าง เพราะมีเหตุปัจจัยอะไรอุดหนุน
ไม่ได้บ้าง เพราะมีเหตุปัจจัยอะไรมากดไว้
ในที่สุดแล้ว
เราจะเห็นตรงกับที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ทุกประการ ในแง่ของการปฏิบัติ ที่เราๆ ท่านๆ
สามารถทำตามกันได้ นั่นก็คือว่าเหตุปัจจัยที่ถูกต้อง จะอยู่ในทิศทางของการให้ทาน
การรักษาศีล และการเจริญสติ รู้กายรู้ใจนี่แหละ ไม่พ้นไปจากนี้
พอซอยย่อยไป
อาจดูพิสดาร ดูเยอะ แต่ว่าโดยทิศทาง โดยหลักการแล้ว อาการทางใจที่ปล่อยออกไป
จะปล่อยออกไปตั้งแต่คิดให้ทาน คิดให้อภัยเป็นทาน คิดให้ทรัพย์เป็นทาน
คิดให้แรงเป็นทาน อย่างนี้ คิดจะรักษาศีล คือปลดปล่อยบาป อกุศลออกจากจิต
ไม่ให้เข้ามา คาย คืน ภาวะที่เรียกว่า ภวตัณหาแบบหยาบๆ ออกจากจิตไป
การเจริญสติ
ก็คือการสำรอกตัณหา สำรอกความเข้าใจผิดที่เป็นอุปาทานที่เป็นความยึดมั่นสำคัญผิดออกไป
ทีละเปลาะๆ เป็นการปล่อยออกทั้งนั้นเลย เป็นการที่เราค่อยๆ ทำให้ใจ คลาย สบาย
แล้วก็มีความรู้สึกว่าไม่ยึดไว้ ไม่มีอาการยึดไว้ ไม่มีอาการกำไว้นะ
แต่ละขั้น
แต่ละตอน แต่ละเดือน แต่ละปี เราจะเห็นตัวเองแตกต่างไปเรื่อยๆ ตามเหตุปัจจัย
แต่ถ้าหากว่าอยู่ในทิศทางนี้ ที่จะปล่อยออก ที่จะคายออกไป เราจะพบว่าตัวเองมาไกล
เมื่อถึงจุดหนึ่ง ที่มองย้อนกลับไปข้างหลัง ปี สองปี หรือว่าเดือนสองเดือน บางคนเดือนสองเดือน
มองย้อนกลับไป โอ้โห มาไกลแล้ว นี่ก็เพราะว่ารู้จักการคาย รู้จักการคืน
รู้จักการที่เลิกอม เลิกหวงไว้ เลิกผูกไว้ เลิกยึดไว้ มีอาการคลี่คลาย แผ่ผายออก
แค่นี้ ก็อยู่ในทิศทางที่เราจะพบตัวเองก้าวหน้าขึ้นเรื่อยๆ
__________________
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน
รู้ชาตินี้ได้ชาตินี้
- ช่วงรวมฟีดแบคหลังโพลที่ 1
วันที่ 23 ตุลาคม 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=upHRZ2gyJGw&t=17s
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น