ดังตฤณ : เครื่องขวางการภาวนา แบ่งออกได้เป็นสองมิติ
มิติแรกคือ
จะมาตามวิบากของกรรมของเราอยู่แล้ว
ถูกกำหนดไว้แล้ว
ถูกพล็อตไว้แล้ว
อย่างเช่นบอกว่า
ถ้าจะเจอคู่แท้ ต้องเจออยู่สองช่วง
อายุ
26 หรือ อายุ 37 อะไรแบบนี้
ถ้าสมมติว่า
ช่วงอายุ 26 หรือ 37 เรามาปฏิบัติธรรมพอดี
ก็อาจรู้สึกว่า
เอ๊ะ มาดึงกันหรือเปล่า
ทั้งๆ
ที่จริงๆ ถูกพล็อตไว้เรียบร้อย
กับอีกอย่างหนึ่ง
มิติที่สองคือ
มิติของแรงดึงดูดจากสังสารวัฏประจำตัวเรา
ทุกคนจะมีแรงดึงดูดประจำตัว
ซึ่งธรรมชาติของตัวเราจะรู้เอง
ว่า
แรงดึงดูดไหน
ที่เอาเราอยู่
และสามารถดึงเรา
ให้เขว
จากเส้นทางการออกจากสังสารวัฏได้
ประเภทที่มาแบบจะดึงให้อยู่
โดยที่ไม่ได้ถูกวางพล็อตไว้ก่อน
พวกนี้มักจะผ่านมาแล้วผ่านไป
ถ้าเราไม่ติดใจ
แต่ถ้ามีพล็อตไว้ก่อน
จะมาผูกในลักษณะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
มีพันธะ
มีเหตุแวดล้อมอะไร ให้อย่างไรๆ ก็ต้องปักเข้ามา แน่วเข้ามา
ส่วนเรื่องของการป้องกัน
ก็ขึ้นอยู่กับใจ
อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน อะไรๆ ออกมาจากใจนี้แหละ
ถ้าหากว่า
ใจของเราจะเอาการปฏิบัติจริงๆ
จะมีอะไรมาขวาง
ใจก็ตัดได้
แต่ถ้าเราไม่เอาจริง
ต่อให้ไม่มีอะไรมาขวาง
เราก็กระโจนเข้าไปใส่สิ่งกีดขวางเอง
ไปเอาสิ่งกีดขวาง
มาตั้งขวางทางตัวเองได้
ท่องไว้คำเดียวเลย
เป็นคาถา ..
ใจเป็นใหญ่
ใจเป็นประธาน
อะไรๆ
ไหลมาแต่ใจนี้ เกิดขึ้นจากใจนี้
ถ้าหากว่าเรานึกถึงว่า
ใจของเรานี่ กำลังอยากได้อะไรอยู่
นั่นแหละ
ที่จะไหลออกมาจากใจของเรา
อย่างที่เราอยากได้นั่นแหละ
___________________
ที่อาจารย์ว่าเมื่อเราปฏิบัติได้ดี
จนความฟุ้งซ่านไม่สามารถทำให้เราหยุดปฏิบัติได้ ธรรมชาติจะส่งเหตุการณ์
หรือคนที่หนักกว่าเดิมมา ของดิฉันเจอเป็นแบบคนค่ะ
ทำให้ไม่ได้ปฏิบัติได้ดีเท่าที่ควรมา ๘ เดือน แต่ตอนนี้กลับมาปฏิบัติแล้วค่ะ คำถาม
คือ ๑) เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญใช่มั้ยคะ อะไรทำให้ธรรมชาติส่งมา ๒)
ถ้าธรรมชาติส่งมาอีก เราจะป้องกันหรือตั้งรับอย่างไรดีคะ
เพื่อให้เราได้ปฏิบัติต่อไปค่ะ?
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน พร้อมรู้ว่าไม่มีตัวตน
- ช่วงถาม ตอบ
วันที่ 16 ตุลาคม 2564
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=TpZU-2qzrdA
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น