วันศุกร์ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2564

Q12อยากได้คำแนะนำการปฏิบัติภาวนา สำหรับฆราวาส

ดังตฤณ : เข้าใจคำถามนะ นี่แหละเป็นฆราวาสนี่ ความหมายก็คืออย่างนี้ ที่เรามาปฏิบัติธรรมที่บ้านกันนี่ ถือเป็น extra นะ เป็นอะไรที่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องทำก็ได้

 

ไม่เหมือนพระ ถ้าพระไม่ปฏิบัติธรรม ไม่ทำตามที่ตกลงกับพระพุทธเจ้าไว้ในวันบวชว่า บวชเข้ามาเพื่อทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง อย่างนี้ถือว่าผิด

 

คือถ้าไม่ปฏิบัติธรรม ออกมาทำอะไรอย่างอื่น เอาแต่กิจนิมนต์อย่างเดียว ไปขายของออนไลน์บ้างอะไรบ้าง อย่างนี้ ถือว่าผิด เป็นความผิดที่ต้องมีผล ต้องชดใช้

 

แต่ของพวกเรานี่เป็นฆราวาส โดยความหมายก็คือเป็นอิสระที่จะตัดสินใจเองได้ ว่าจะเลือกอะไร ไม่เลือกอะไร

 

ถ้าไม่ปฏิบัติ ก็ไม่ผิด เพราะไม่ได้ไปทำกติกา ตกลงตามกติกาอะไรกับใครไว้ ข้าวน้ำก็หามากินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ไม่ได้ไปขอใคร

 

อย่างพระสงฆ์นี่ คือทำข้าวทำปลากินเองไม่ได้นะ ท่านต้องฉันจากข้าวในบาตร ที่หามาได้ด้วยลำแข้ง

 

เพราะฉะนั้น พอเราเห็นภาพรวมตรงนี้ไว้ก่อน ก็จะได้เกิดความเข้าใจในลำดับต่อไปว่า การเลือกที่จะปฏิบัติเอาจริงเอาจังแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความสมัครใจ แล้วแต่ละคนก็มีความทนทานต่อกิเลสยั่วยุ หรือว่าแม่เหล็กที่จะมาดึงดูดให้เข้าไปติดอยู่กับโลกแตกต่างกัน

 

ถ้าเราบอกเป็น .. เหมือนกับกฏตายตัว ให้ต้องทำตาม ให้ตกลงกับตัวเองให้ได้ว่า นี่ห้าม นั่นได้ ก็จะไม่ตรงตามจริงกับแต่ละบุคคล ความเหมาะของแต่ละบุคคลนะ

 

อย่างบางคน ถือศีลแปด แล้วภาวนาก้าวหน้า เหมือนกับก้าวกระโดด มีสปริงบอร์ดอะไรมา แต่บางคนถือศีลแปดปุ๊บ การงานทางโลกแย่ลงทันที หิวข้าว แล้วก็ร่างกายอ่อนเพลีย หาอยู่หากินไม่ได้แบบเดิม ไม่พร้อม

 

พอมาภาวนา ก็แสบท้องอีก .. นี่ แต่ละคนจะต่างกัน

 

หรืออย่างหยุดเล่นโซเชียลแบบนี้ บางคนเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกว่า สมองว่าง ใจโปร่งเบาดี แต่บางคนหยุดเล่นโซเชียลปุ๊บ .. งานจากคนนั้นก็มา งานจากคนนี้ก็มาก แล้วบอกว่า ทำไมไม่มาตอบไลน์ ทำไมไม่มาสนใจตรงนี้ .. ไม่ได้น่ะ คือเราไปกะเกณฑ์ หรือไปล็อคให้ฆราวาสทำแบบเดียวกัน ไม่ได้เลยนะ

 

ความแตกต่างของฆราวาสนี่พิสดารมาก แตกต่างมโหฬาร แต่มีจุดๆ หนึ่ง ที่สามารถพูดได้ว่า อันนี้เป็นหลักสากล สำหรับคนทั่วไปที่น่าจะครอบจักรวาล นั่นก็คือ สังเกตเอากับตัวเองว่า หลงไปตามอะไรนานแค่ไหน แล้วจิตเฟ้อไป

 

จะมีอาการเฟ้อ มีอาการเพ้อ มีอาการที่เลื่อนลอย หลุดลอยจากโฟกัส

 

นี่ยังไม่ได้เข้าเรื่องภาวนานะ เอาแค่ว่า หลุดลอยจากโฟกัสของการมีสติ อยู่กับปัจจุบัน ไม่รู้เนื้อรู้ตัว อยากปล่อยเนื้อปล่อยตัว อยากจะงอมืองอเท้า เหลวเป๋ว อย่างนี้ ควรถอยออกมาหลายๆ ก้าว

 

เคยอนุญาตให้ตัวเองเล่นชั่วโมงหนึ่ง กับสิ่งนั้น ก็เปลี่ยนมาเป็นอนุญาตให้ได้ไม่เกิน 10 นาที แล้ววาง หยุด เลิก ห้ามเด็ดขาด ไม่ให้เล่นถึงหนึ่งชั่วโมงอีก อย่างนี้

 

อะไรก็แล้วแต่ ดึงดูดจิตของเราให้เฟ้อ ให้เพ้อ ให้หลุดจากโฟกัสไปได้ เราสมควรเห็นสิ่งนั้นเป็นอันตรายต่อการภาวนา และอาจเป็นอันตรายกับการใช้ชีวิตแบบโลกๆ ด้วยนะ

 

หลักการมีง่ายๆ แค่นี้ หนึ่งเดียว จำไว้ อะไรที่ทำให้จิตหลุดโฟกัส เราอย่าอนุญาตให้ตัวเองไปคลุกอยู่กับมันมากเกินไป ต้องมีลิมิตนะ แล้วลิมิตนี้ ถามว่าควรจะแค่ไหน

 

ก็ดูว่าใช้เวลาอยู่กับมันเพียงใด แล้วจิตยังไม่หลุดออกจากโฟกัส แล้วหยุดก่อนที่มันจะหลุดออกมา อย่างนี้ถือว่าใช่ นะครับ

____________________

เอาว่าตอนนี้สำหรับ คนที่ฝึกตามอ. ซึ่งคิดว่ามาถูกทางแล้ว แต่อยากได้แบบ routine set อาจารย์แนะนำหน่อยสิครับว่าวันนึง ปฏิบัติกี่นาที ทำทีเดียว หรือซอยแบ่ง จำเป็นต้องถืออุโบสถศีลมั้ยครับ เล่น social ควรงดเลยใช่มั้ยอะไรแบบนี้ครับ คือเราเสรีกันแต่พอเสรีไป มันก็ย่อหย่อนขี้เกียจไปครับ?

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน รู้จักอนัตตาในระดับของจิต

ช่วงถาม-ตอบ

วันที่ 9 ตุลาคม 2564

ถอดคำ: เอ้

รับชมคลิป: https://www.youtube.com/watch?v=pPiPJA1UWtg

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น