ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านนะครับ
คืนนี้
เราจะมาร่วมอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ล่วงลับกัน เพราะว่าหลายคนถามมากันเยอะมากเลยนะว่า
จะทำอย่างไร ถึงจะอุทิศส่วนกุศลให้กับบุคคลอันเป็นที่รัก ที่ล่วงลับไปแล้ว
แล้วคืนนี้เราก็มีแขกรับเชิญพิเศษด้วยนะครับ
มาเป็นเหมือนกับให้พวกเราได้ทำ
workshop ชั้นเรียนกันของจริง
จากสเตตัสเมื่อเช้า
คุณพิมญาดา .. ผู้ใช้ชื่อว่าพิมญาดา มาบอกว่า สามีได้เสียชีวิตไป แล้วก็อาจจะมีอะไรที่น่าห่วงน่ากังวลนิดหนึ่ง ซึ่งเดี๋ยววันนี้เรามาคุยเรื่องรายละเอียดลงลึกกันนะครับ
สำหรับคืนนี้
จริงๆ แล้วมีประเด็นคุยอยู่สองเรื่องนะ
หลังจากรวมแผ่เมตตาด้วยกันแล้ว
เราจะมาพูดถึงทิศทางของเพจดังตฤณนะครับ ซึ่งทางมูลนิธิบูรณพุทธ ก็จะขยายขอบเขตจากการบริจาคเครื่องมือแพทย์
ไปให้ยา เพื่อผู้ป่วยจะได้รักษาตัวอยู่กับบ้านได้ เพราะว่าถึงวันนี้ โรงพยาบาล
.. อย่างที่ทราบนะครับว่าเตียงไม่พอแล้ว แล้วก็เริ่มที่จะไม่สามารถรับผู้ป่วยเพิ่ม
เพราะฉะนั้นทางเพจดังตฤณ
มูลนิธิบูรณพุทธ และมูลนิธิชลลดา จะร่วมกันทำให้มีช่องทางเลือกมากขึ้น อย่างเช่นอยู่ที่บ้านนั่นแหละ
แล้วเราก็ส่งยาไปให้ อย่างเช่นฟ้าทะลายโจร แล้วเดี๋ยวต่อๆ ไป จะมีทางเลือกอื่นเพิ่มขึ้นมา
หลังแผ่เมตตาจบนี่เรามาคุยกัน
คือสำคัญทั้งคู่นะ
ตอนนี้คนฆ่าตัวตายกันเยอะมาก แล้วก็ไม่มีสำนักข่าวที่ไหน
สามารถที่จะเสนอข่าวให้หมดได้ไหว
ฉะนั้น
เราต้องสร้างตัวเลือกใหม่นะ ว่าจะอ่านข่าวฟังข่าว รับฟังรับเสพข่าว แล้วเศร้าอย่างเดียว
หรือมีโจทย์ในใจนะครับ ว่าพอจะช่วยอะไรพวกเขาเหล่านั้นได้บ้างไหม
ที่โดดตึกโดดสะพานกัน
ซึ่งวันนี้
เราก็มาทำเวิร์คชอปของจริงกันนะครับ แล้วถ้าหากว่าได้ผล อย่างน้อยที่สุด ถึงแม้ว่าคุณจะรู้สึกว่ายังช่วยอะไรไม่ได้มาก
แต่สบายใจขึ้นว่า ได้ช่วยบ้าง ได้ทำอะไรที่ดีขึ้นแล้ว
บางคนนี่ เครียด เสพข่าวแล้วเครียดด้วยความสงสารคน
หรือว่ารู้สึกว่าเราทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ นอกจากกักเก็บตัวอยู่กับบ้าน และคนที่เขาไม่สามารถจะอยู่กับบ้านแบบเรา
ต้องออกไปทำมาหากิน เป็นความจำเป็นบีบบังคับ ขาดไม่ได้ ลาไม่ได้ ด้วยหน้าที่ด้วยธรรมชาติของวิธีการทำงานนี่
หลีกเลี่ยงไม่ได้ ลาไม่ได้ตรงนั้น
เราก็จะได้รู้สึกว่า
นอกจากเรื่องของการบริจาคแล้ว เรายังมีวิธีที่จะช่วยโลกให้ดีขึ้น ช่วยประเทศให้ดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่
แม้กระทั่งว่ามีข่าวฆ่าตัวตาย
แล้วเราเหมือนกับช่วยอะไรไม่ได้ นอกจากต่างคนต่างอุทิศส่วนกุศลนี่นะ คืนนี้เราจะทำให้ทุกท่าน
ร่วมกันรู้สึกว่า มันเป็นอะไรที่ดีกว่า
อุทิศส่วนกุศลแบบไม่แน่ใจว่า ไปถึงหรือเปล่า ไม่แน่ใจว่าเราเป็นส่วนหนึ่ง ที่ช่วยให้เขาพ้นจากความอึดอัดทรมานหลังความตายได้ไหม
ทั้งนี้ทั้งนั้น
ก่อนอื่นใดเลย เราต้องมาทำความเข้าใจ ประเด็นแรกให้ชัดเจนก่อน
เวลาเราอุทิศส่วนกุศล
เวลาเราแผ่เมตตา ในทางปฏิบัติที่เกิดขึ้นจริงๆ
ผลที่เกิดขึ้นจริงๆ นี่ เราช่วยเพิ่มความสุขให้มากขึ้น
หรือไปช่วยเพิ่มความทุกข์ขึ้นมาเปล่าๆ
คนนี่นะ
โดยเฉพาะยุคนี้ เริ่มประสาทกินกัน แล้วก็คิดอะไรแบบไม่เป็นเหตุเป็นผลกันเท่าไหร่ ไม่เป็นไปตามสามัญสำนึกกันเท่าไหร่
คือไปนึกว่า การที่เห็นคนอื่นมีความทุกข์
แล้วจะไปช่วยเขาได้นี่ คือเอาตัวเองเข้าไปเป็นทุกข์กับเขาด้วย
ถ้ายังมีชีวิตจิตใจอยู่
ก็คือไปเครียดร่วมกัน หรือถ้าเขาตายไปแล้ว ก็คือร่วมเศร้าสลดไปกับเขา หรือว่าเสียอกเสียใจไปกับเขา
ซึ่งในทางปฏิบัติ
ในทางโลกวิญญาณ แบบนั้นไม่ถูกต้องนะ ด้วยการตั้งมุมมองไว้อย่างนั้น
อย่างธรรมเนียมการปฏิบัติ โดยเฉพาะไทยเรา
หรือว่าทั่วโลกก็ตาม เวลาใครเสียชีวิต เราก็จะไปพูดกับญาติเขา เวลาเจอหน้าในงานศพว่า
ขอแสดงความเสียใจด้วย
บางคนก็เสียใจจริงๆ
คือหมายความว่า ที่พูดว่าเสียใจคือรู้สึกจริงๆ ว่าเสียใจมาก อยากจะร้องไห้ไปด้วยเลย
ซึ่งตามธรรมเนียมทางโลกน่ะถูก แต่ในโลกวิญญาณ
.. ผิดนะ
การที่เราไปเพิ่มความทุกข์
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าเขาไปแบบไม่ค่อยดีนัก เขาไปแบบรู้ๆ กันคือ เห็นเลย เห็นโดยไม่ต้องใช้เซนส์อะไรทั้งสิ้น
เห็นด้วยตาเปล่านี่ ว่าก่อนตายเขามีความเศร้าหมอง
เราสามารถใช้
common sense คือความรู้สึกทั่วไป
ว่าถ้าจิตเศร้าหมองในขณะที่กำลังขาดใจตายไป เราจะนึกถึงอะไร
เวลาขาดใจด้วยความเศร้าหมอง
ตอนที่เรากำลังร้องไห้หนักๆ ตอนที่เรากำลังเสียใจมากๆ จิตใจเหมือนกับมืดมน โลกทั้งใบเหมือนเต็มไปด้วยความทุกข์
เต็มไปด้วยความอึดอัด เต็มไปด้วยความมืด
สามารถประมาณจากตัวเองได้นะ
เวลาที่อยู่ในอารมณ์เศร้าโศกเสียใจ ว่า คงเหมือนกับเด็กน้อย อยากเรียกร้องขอความช่วยเหลือ
อันนี้คือเราสามารถรู้ได้ด้วยตัวเอง
เพราะฉะนั้น
เวลาที่เราเห็นคนตายไม่ดี เราก็จะพลอยนึกออกว่า ถ้าจะช่วยเขานี่ จะช่วยเเบบเด็กที่ไปร้องไห้ด้วยกัน
หรือจะเป็นผู้ใหญ่ ที่มีแรง มีกำลัง
มีความสามารถจะฉุดให้เด็กนี่ลุกขึ้นมา ..
เอาง่ายๆเลยนะ คิดอย่างนี้นะ
หมายความว่าอะไร
หมายความว่า ถ้าเราเห็นญาติของใครเสียชีวิต ถ้าเราเดินเข้าไปยิ้มย่องผ่องใส บอกว่า เดี๋ยวจะช่วยนะ
ถ้าทางโลกนี่
จะถูกมองไม่ดีว่า ทำหน้ายิ้มย่องผ่องใสทำไม ญาติ บุคคลอันเป็นที่รักของเขาตายไป จะมายิ้มเยาะเหรอ
แต่ในทางโลกวิญญาณนะครับ
ถ้าใครยิ้มย่องผ่องใส บอกว่าเป็นกำลังใจให้นะ แล้วเดี๋ยวจะช่วยเอาความสุข แผ่ไปให้กับผู้ล่วงลับ
อย่างนี้ ในทางโลกวิญญาณถูกต้อง
เพราะเหมือนผู้ใหญ่ที่แข็งแรงดี มีกำลังวังชา มีความสามารถที่จะให้ความอบอุ่นกับเด็กน้อยที่กำลังหลงทาง หรือกำลังร้องไห้
สรุปว่า
ถ้าคุณคิดจะอุทิศส่วนกุศลให้บุคคลอันเป็นที่รัก ในทางโลกวิญญาณนี่..
ต้องช่วยออกมาจากความสุข อย่าช่วยขณะที่กำลังเป็นทุกข์ เพราะจะเหมือนกับเตี้ยอุ้มค่อม
หรือเหมือนช่วยคนจมน้ำ ทั้งที่ตัวเองก็ว่ายน้ำไม่เป็น กระโดดลงจากเรือไปช่วยเขา
ลืมว่าตัวเองยังไม่สามารถว่ายน้ำ หรือว่ายน้ำยังไม่แข็งแล้วก็จะไปช่วยเขา
คืนนี้
เราจะได้เข้าใจร่วมกันว่า การอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับนี่ เป็นอย่างไร รู้ได้ด้วยใจขณะที่เป็นสมาธิ
คือเราแผ่เมตตาร่วมกันมา
แล้วก็ทำสมาธิร่วมกันมา จนผมสามารถรู้สึกได้ว่าหลายๆท่าน อย่างที่เราทำโพลกันมานี่
เอาเป็นว่าตอนนี้เกินครึ่งนะครับที่จิต เริ่มมีความเป็นสมาธิ มีความผ่องใส
มีความรู้สึกโล่งสบาย เหมือนหัวโล่งๆ แล้วก็ใจ เคลียร์จากอกุศลธรรมได้ง่าย มีความสว่างได้ไม่ยาก
ตรงนี้
จะทำให้เรามีความสามารถที่จะให้ความสุข แก่ผู้ที่กำลังเป็นทุกข์ ให้กำลังแก่ผู้ที่กำลังอ่อนแอ
แล้วก็ผลอานิสงส์นี่แน่นอนนะครับ เมื่อเราให้อะไรใคร
เราย่อมได้รับสิ่งนั้นกลับคืนมาไม่ช้าก็เร็ว
คือในที่สุดแล้ว เราก็จะได้ความสุข และความเข้มแข็งย้อนกลับมาเข้าตัวเองเป็นเท่าทวีคูณ
เมื่อถึงเวลาของเราบ้าง
เราๆ
ท่านๆ นี่ยังมีความทุกข์กันได้ เพราะฉะนั้น ถ้าหากว่าจะมีอะไรสักอย่างหนึ่ง มาช่วยเราก็รู้สึกเหมือนสิ่งที่มาช่วยเรานี่ เป็นเทวดา
ทีนี้เรารู้เลยว่า นี่เราทำตัวเป็นเทวดาเสียเอง
คือเราไม่สามารถรู้ได้
ว่าเทวดาท่านจะมาช่วยใครบ้าง ก็มองไม่เห็นน่ะ
ว่ากันไม่ได้นะ พอมองไม่เห็นแล้วจะมาบอกว่า เราจะต้องเชื่ออย่างเดียวนี่ บางทีคนยุคเราจะย้อนแย้ง ขัดแย้งกับความรู้สึก
แต่นี่พวกเราได้สร้าง
เหมือนกับบ่อน้ำ หรือว่าทะเลแห่งความสุขขึ้นมากันได้สำเร็จ แล้วเรามาเอาทะเลความสุขนั้น
ไปใช้ช่วยคนอื่น
อันนี้เรารู้ตัวเองเลยว่า เราสร้างเทวดาขึ้นมา คือเป็นเทวดาของกลางนะ ที่ไม่มีคนใดคนหนึ่ง แค่คนเดียว ที่สามารถสร้างขึ้นมาได้ ต้องสร้างร่วมกัน
แล้วคุณคิดดูแล้วกันว่า
ช่วยให้คนเลิกร้องไห้ได้นี่นะ จะน่ากลัวหรือว่าน่ายิ้ม
วันนี้คือไม่ต้องไม่ต้องกลัวเลยนะ
เพราะว่าจริงๆ แล้วก็คุยกับภรรยาของผู้ล่วงลับไป คือไม่ใช่คนที่น่ากลัวอะไรเลยนะครับ
แล้วถ้าตอนมีชีวิตอยู่ไม่ได้น่ากลัวอะไรเลย พอตายไป ไม่เป็นวิญญาณร้ายหรอก แต่เป็นวิญญาณที่น่าสงสาร แล้วก็รอความช่วยเหลือจากพวกเราอยู่
เดี๋ยวเริ่มต้นขึ้นมา เราจะมาสวดมนต์กันก่อน ปูทางให้จิตใจสว่างนะครับ โดยที่เอาใจของทุกคนไปร่วมอยู่กับศูนย์กลาง คือพระพุทธเจ้านะ
พอเราสวดมนต์เสร็จ เดี๋ยวเราจะ
.. คือแทนการทำพิธีรีตรองอะไรที่มาจุดธูปจุดเทียนอะไรแบบนี้ ซึ่งยังไม่มีใครที่สามารถบอกได้ว่า
จะไปจูนให้เรากับผู้ตาย ผู้ล่วงลับนี่ มาสนิทกันได้อย่างไร .. เราจะใช้อีกวิธีหนึ่ง เดี๋ยวสวดมนต์เสร็จ เรามาว่ากัน ตอนนี้มาสวดมนต์ร่วมกันก่อน
ตรงนี้
ก็อาจจะได้ทำให้เราได้หลัก ได้ที่ตั้งว่าเรามีศูนย์กลางของศรัทธาเป็นพระพุทธเจ้านะครับ
และเมื่อพระองค์ท่านเป็นประธานของพวกเรา สิ่งที่เราจะทำร่วมกัน ก็เป็นสิ่งที่ดีงาม
เป็นสิ่งที่จะเป็นไปในทางช่วย เกื้อกูลแสดงน้ำใจ แม้ว่าบุคคลที่เราคิดถึงนี่ เขาจะล่วงลับไปแล้วนะ
เขาจะจากพวกเราไปแล้ว
เอาละครับเดี๋ยวมาสวดมนต์ร่วมกันนะ
(ตั้งนะโม
สามจบ สวดบทอิติปิโสฯ ร่วมกัน)
ตอนนี้เราก็มีผู้ร่วมสวดมนต์กันประมาณ พันคน นะครับ ขอให้ทำความรู้สึกว่า ฝ่ามือที่ประกบกันอยู่นี้จริงๆ แล้วมีความรู้สึก มีสัมผัสแบบเดียวกันอีกพันเท่า
พันเท่าของความรู้สึกที่กำลังเกิดขึ้นในเรา
ณ บัดนี้ ไม่ว่ามือของคุณจะประกบด้วยความรู้สึกอย่างไร เป็นความรู้สึกที่ดี
เป็นความรู้สึกที่อบอุ่น เป็นความรู้สึกที่เหมือนกับได้สร้างนิมิตของดอกบัว
บูชาพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ คุณจะรู้สึกอย่างไรอยู่ก็ตาม
ตอนนี้มีความรู้สึกแบบเดียวกันนั้น สว่างโอฬาร เพิ่มขึ้นเป็นพันเท่า
เพราะว่าเราสวดมนต์ร่วมกัน สวดพร้อมกัน ซิงค์กัน เป็นไปพร้อมกัน
แล้วก็เราอยู่กับองค์แทนรูปนิมิตของพระพุทธเจ้านะครับ ซึ่งสร้างมาจากไม้ศรีมหาโพธิ์วงที่ 4 คือรุ่นที่ 4 ที่อยู่ในบริเวณเดียวกันกับพระพุทธเจ้าตรัสรู้
เมื่อเราได้รับรู้ถึงกระแสร่วม
ที่พนมมือร่วมกัน สวดมนต์ร่วมกัน ถวายแก้วเสียงเป็นพุทธบูชาด้วยกัน
แล้วก็มีใจที่มีความสว่าง อันเกิดจากศรัทธาในองค์พระพุทธเจ้าร่วมกัน ตรงนี้
จะเกิดพลังอย่างใหญ่ขึ้นมา
แล้วพลังร่วมกันที่ไม่ได้มีความรู้สึก
ต่างคนต่างอยู่ แต่เป็นความรู้สึกว่า เราอยู่ในที่เดียวกัน ถึงแม้ว่าในทางกายภาพ
เราอยู่ห่างกันมาก บางคนอยู่ห่างออกไปหลายร้อยกิโลเมตร
หรืออยู่ห่างออกไปคนละมุมโลก
แต่ว่าในทางจิตวิญญาณ
ในทางความรู้สึกที่ไม่มีขอบเขต พรมแดนหรือว่าระยะทางนะครับ ถ้าหากว่าใจเสมอกัน
มีความใกล้เคียงกัน ก็เท่ากับได้อยู่ด้วยกันแล้ว อยู่ในอีกจักรวาลหนึ่ง
ที่สร้างขึ้นมาด้วยความรู้สึกทางใจเป็น Universe ทางจิตวิญญาณ
ซึ่งถ้าเราร่วมรับรู้ได้ถึงพลังที่เรามาผนึกกัน
ในทางดี ในทางที่เป็นกุศล เราก็จะรู้สึกได้เช่นกันว่า
สามารถเอาไปใช้อะไรในทางดีได้เช่นกัน
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน
ร่วมอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับ
- ช่วงเกริ่นนำ และสวดมนต์ร่วมกัน
วันที่ 11 กรกฎาคม 2564
ถอดคำ
: เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=rwKwFBa7dTo&t=980s
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น