วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

03 คุยกับหมอบี : ความต่างของสมาธิแบบคนปกติ และเจริญปัญญา

ดังตฤณ : ผมถามง่ายๆเลยนะ ว่าการที่เรานั่งสมาธิแล้วรู้ขันธ์ด้วยกัน

หมอบีช่วยอธิบายหน่อยได้ไหมว่า 

ระหว่างคนมีสมาธิปกติ กับคนที่เจริญปัญญา มีความแตกต่างกันอย่างไร

เอาตรงนี้ก่อน 

 

คือมีสมาธิเหมือนกัน

แต่คนหนึ่งมีสมาธิเฉยๆ ทื่อๆ รู้สึกว่า ฉันทำสมาธิได้

กับอีกคนหนึ่ง ที่มีสมาธิเหมือนกัน  

แต่เห็นว่ากายนี้ใจนี้ มีความแยกกันเป็นกองๆ

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อย่างนี้

 

ถ้าหมอบีมอง ระหว่างคนมีสมาธิสองแบบนี้ มีความแตกต่างกันอย่างไร 

 

หมอบี : ถ้าเป็นภาษาบ้านๆ แบบคนทั่วไป ก็คือว่า 

ถ้าเรานั่งสมาธิ อย่างน้อยนี่ ดีทั้งคู่อยู่แล้วล่ะครับ

ไม่ว่าเราจะรู้เห็นตามความเป็นจริงได้ หรืออย่างน้อย รักษาหรือว่าสร้างความสงบเกิดขึ้นได้

 

คราวนี้ ถ้าความสงบนี่ สามารถต่อยอด หรือว่าทำให้เกิดปัญญาขึ้นได้

อย่างน้อย อารมณ์ ความรู้สึกถึงจิตเรา ก็จะมีความแตกต่าง

 

เวลาที่เรานั่งได้แบบสงบๆ นิ่งๆ นี่ เหมือนน้ำที่นิ่ง แล้วก็จะตกตะกอน

พอตกตะกอนได้แล้วนี่ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะทำอย่างไรกับมันต่อไป

 

ถ้าเกิดว่าเราปล่อยให้ตกตะกอนไปเฉยๆ แล้วก็เห็นแต่ความใสเฉยๆ

ก็คือไม่ต่างอะไรกับการที่เราเป็นก้อนหินก้อนหนึ่ง 

แต่ก็เป็นเรื่องที่ดี อย่างน้อยได้มีความสงบ

 

แต่เวลาที่เราค่อนข้างพิจารณาได้แล้วว่า ขุ่นตะกอนนี่คืออะไร

หรือว่า ค่อนข้างเห็นแล้วว่า สิ่งที่เกิดดับในแต่ละอย่าง

ร่างกาย เกิดดับอย่างไร

ความรู้สึกสุขที่นั่งสมาธิ มีเกิดมีดับ มีความต้องการมากขึ้นไปอีก

หรือว่า จบจากสมาธิแล้วรู้สึกดี หรือรู้สึกไม่ดี

ก็จะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน ตรงนี้จะทำให้เกิดปัญญา

 

ดังตฤณ : อย่างตอนที่หมอบีดูคนที่ .. อย่างเมื่อกี้ที่ผมจับจุดนะ หมอบีเปรียบเทียบกับน้ำนี่ ดีเลย เพราะว่ามีน้ำขาวและน้ำใสใช่ไหม

 

น้ำสีขาว ก็อาจจะเหมือนคนที่ทำสมาธิเฉยๆ ที่อาจจะจิตเหมือนกับขาว แต่ว่าเป็นขาวแบบทึบๆ 

 

ส่วนคนที่เจริญปัญญาไปด้วย มีสมาธิและเจริญปัญญาไปด้วย จะเหมือนกับน้ำใส หรือเปล่า

 

คือคล้ายๆ มองไปแล้วรู้สึกว่า จิตคนนี้โปร่งกว่า มีแนวโน้มที่จะสุขมากกว่า เพราะว่าไม่มีความทุกข์ที่มากระทบ แล้วทำให้ความโปร่งตรงนั้น กลับกลายเป็นขุ่นง่ายๆ 

 

หมอบีเห็นแบบนี้ใช่ไหม คือเวลาที่เจอคนทำสมาธิสองแบบ

 

หมอบี : ใช่ครับ คือถ้าเกิดว่าใครที่ใจใส เหมือนอย่างน้อยเราเช็คตัวเองได้ใช่ไหมครับ ว่าเราเห็นอะไรในความใสนั้น

 

บางทีเราเห็นตะกอนที่นอนก้น หลงอยู่ด้านล่าง เห็นพืชพรรณ เห็นปลา เห็นอะไรก็ไม่รู้ที่อยู่ในน้ำ

 

ดังตฤณ : เมล็ดพันธ์แห่งความทุกข์มีอยู่

 

หมอบี : ใช่ครับ คือพอเห็นปุ๊บ พอเราเข้าใจอะไรบางอย่าง เราเห็นชัดเจนขึ้น ก็คือเข้าใจกับมัน แล้วสิ่งๆ นั้นจะกระทบกับเราได้ยากขึ้น 

 

ดังตฤณ : พระอรหันต์ เคยพูดเปรียบเทียบตัวเองไว้กับธาตุต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง อากาศธาตุ

 

ท่านเห็นว่าจิตของท่านนี้ ไม่แตกต่างกับอากาศธาตุ ที่ไม่รับฝุ่นผง หรือว่าไม่รับของสกปรกอะไรมาเก็บไว้ ถ้ามันซัดมาก็ผ่านไป

 

ตรงนี้นี่คือ เราก็จะรู้สึก .. อย่างเมื่อครู่นี้ เรานั่งสมาธิร่วมกัน แล้วเราพูดถึงการเอาสมาธิมาจำแนกพิจารณา ว่าภายในกายภายในใจ มีความเป็น กองๆอย่างไร ตามที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสจำแนกไว้ตามลำดับ

รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ

 

ถ้าหมอบี ทำความรู้สึกไปกว้างๆ ว่าเราได้ทำสมาธิร่วมกัน ประมาณพันคนนะ โดยเจริญสติ เห็นกายใจด้วยความเป็นขันธ์

 

หมอบีเห็นเป็นอย่างไร โดยความเป็นนิมิต ที่เรามานั่งสมาธิร่วมกันแบบนี้

 

หมายถึงว่า เวลาเรานั่งสมาธิด้วยกัน

จะไม่จำกัดว่า จะต้องนั่งในโบสถ์ด้วยกัน นั่งในสถานที่เดียวกัน

แค่นั่งพร้อมกัน ด้วยจุดมุ่งหมายเดียวกัน หรือมีสื่อแบบเดียวกัน

อย่างเช่นเมื่อกี้ มีเสียงสติ เวลาเริ่มพร้อมกันแล้วก็จบพร้อมกัน

เป็นไปพร้อมกัน ซิงค์กันนี่

 

หมอบีมองว่าความสว่างที่เกิดขึ้น มีรูปลักษณะอย่างไร

ขอให้ช่วยอธิบายเป็นนิมิต แบบที่หมอบีเห็นหน่อยได้ไหม 

 

หมอบี : คือผมไม่แน่ใจว่าอธิบายแล้วจะเห็นภาพหรือเปล่านะครับ

อย่างน้อยที่สุด .. โดยส่วนใหญ่แล้วกัน อาจจะไม่ได้ทั้งหมด

แต่ว่าโดยส่วนใหญ่ ผมความรู้สึกได้คล้ายๆ กับว่า น้ำนิ่ง นิ่งขึ้น 

ประมาณนั้นมากกว่า

 

คือปกติแล้วนี่ เราอาจจะมีทั้งภายนอกและภายใน

พอจิตส่งออกนอก หรือจิตภายในวุ่นวาย

ก็จะเป็นคลื่นที่ค่อนข้างจะซัดแรงหน่อย

 

แต่เวลาที่เราได้สงบ และมีสื่ออันเดียวกัน ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนก็ตาม

จะทำให้คลื่นสงบลง คลื่นแทบจะไม่มี

หรือบางท่านนี่ สงบนิ่งเลย เป็นน้ำนิ่งๆได้ 

ผมว่าอันนี้ก็เป็นเรื่องที่ดีมากครับ

 

ดังตฤณ : คือความสงบนี่เหมือนกับมาเสริมกันได้ใช่ไหม ตามความหมายที่หมอบีพูด เพราะว่าหลายคนก็คอมเมนท์มาว่า เวลานั่งสมาธิอยู่คนเดียวไม่เห็นเหมือนอย่างนี้เลย บางทีมีความนิ่ง แต่ไม่ใช่นิ่งแบบเดียวกัน

 

เมื่อกี้คีย์เวิร์ดของหมอบีก็ชัดเจนนะ บอกว่า เป็นความนิ่งที่เหมือนกับมาเสริมกัน ที่จะทำให้เกาะกลุ่มความนิ่ง แล้วก็เป็นแรงเสริมกัน

 

นี่ก็ได้รับคำยืนยัน จากผู้ที่เราก็ทราบนะครับว่า เป็นคนรู้จริงอีกคนหนึ่ง 

 

จริงๆ แล้ว ทุกทีเราจะทำโพลกัน 

มีการโหวตว่า หลังทำสมาธิแล้ว รู้สึกอย่างไร

รู้สึกว่านิ่งใส หรือว่าอย่างกรณีที่เรามาแยกขันธ์ 5 กันแบบนี้

ถ้าเป็นปกติ ผมก็จะถามว่า รู้สึกไหมว่ากายใจ แยกเป็นชั้นๆ

มีการแยกกาย แยกใจออกจากกัน

 

ทีนี้ วันนี้ผมอาจจะไม่ทำโพลเกี่ยวกับตรงนี้ เพราะว่าเดี๋ยวคงมีผู้บอกเล่ามาในคอมเมนท์กันอยู่แล้ว

 

แต่ผมอยากถามหมอบีอย่างนี้ว่า การที่เรามานั่งสมาธิด้วยกัน แล้วก็แยกกายใจเป็นขันธ์ 5 ด้วยกัน ตามที่หมอบีรู้สึก

มีความสว่างที่เกิดขึ้น เป็นกลุ่มเป็นก้อนไหม

 

คืออย่างที่เมื่อกี้บอกว่า ร่างกายของเราอาจจะอยู่คนละบ้าน ห่างกันหลาย 10 กิโลเมตร บางคนนี่อยู่ห่างไปหลายร้อยกิโลเมตรจากอีกมุมโลกหนึ่ง 

หมอบีเห็นไหม มีนิมิตให้รับทราบไหมว่า มีความสว่างร่วมกัน 

 

หมอบี : อย่างน้อยที่สุด ผมรู้สึกว่าเป็นน้ำที่นิ่งขึ้นใช่ไหมครับ

แล้วก็ รู้สึกถึงความเป็น ที่เรียกว่า อิริยาบถสัปปายะ ครับ

เป็นอิริยาบถเดียวกัน

 

ดังตฤณ : ถ้าบอกว่าเป็นเปอร์เซ็นต์นี่หมอบอกได้ไหม ว่ากี่ %

 

หมอบี : ประมาณสักครึ่งหนึ่งนี่ก็ก็ถือว่าโอเคแล้วนะครับ

 

ดังตฤณ : ปกติเวลาเราได้ผลโพลมา จะได้กันเกินครึ่ง ซึ่งโอเคตรงนี้หมอบอกว่าประมาณครึ่งหนึ่ง 

ก็ถือว่าเป็นประสบการณ์ร่วมกัน

ที่เราได้ยินได้ฟังวามเห็น จากคนที่รู้เรื่อง จิตวิญญาณลึกซึ้ง

คือรู้จากการสัมผัสจริงๆ ของตัวเอง ไม่ใช่รู้จากทฤษฎี

 

แล้วก็ หมอบีนี่ บอกได้ว่า

คนๆ หนึ่งตายแล้ว ไปดีหรือไม่ดี ไปมืดไปสว่าง

 

ซึ่งลักษณะความมืดความสว่างนั้น ก็เป็นการปรุงแต่งจิตชนิดหนึ่ง 

ซึ่งเราสามารถเห็นจากตัวเราเอง ณ ขณะที่กำลังมีลมหายใจ

มีชีวิตอยู่อย่างนี้แหละ 

 

หมอบีว่า จะมีความแตกต่างไหม

ระหว่างความมืด หรือความสว่าง ของจิตใจคนเป็น กับคนตาย 

 

หมอบี : จริงๆ แล้วโดยธรรมชาติ แทบจะไม่ต่างกันเลยนะครับ 

 

ดังตฤณ : คีย์เวิร์ดอยู่ตรงนี้ แทบไม่ต่าง เพราะเป็นขันธ์เหมือนกัน

 

หมอบี : ผมไม่รู้ว่าจะอธิบายว่าอย่างไร อาจอธิบายไม่เก่ง แต่ว่า .. แสงสว่างหรืออะไรก็ไม่รู้ .. เหมือนเป็นความคลายใจมากกว่า

เป็นความคลาย เป็นความวาง ไม่ได้เกาะ ไม่ได้เกี่ยว ไม่ได้ยึด 

 

ดังตฤณ : ใจเปิดใช่ไหม

 

หมอบี : ใช่ครับ ซึ่งความโล่ง โปร่ง ตรงนี้สามารถทำได้

ในฐานะที่เรายังมีร่างกาย ยังมีรูปขันธ์อยู่นี่

ทำได้ง่ายกว่าการที่ไม่มีรูป ทำได้ง่ายกว่าเยอะเลยครับ

 

ดังตฤณ : จะพัฒนาไปแค่ไหนก็ได้ อันนี้จริงเลย 

 

บางคน ช่วงนี้จะทำใจยากกับชีวิตที่หักเห มากๆเลยนะ

แล้วบางคนนี่จะรู้สึกราวกับว่า โลกมืด

 

จริงๆโลกไม่ได้มืด หรือสว่างขึ้น

ไม่ได้มืดลงหรือสว่างขึ้น

แต่จิตของเรานี่ มืดลง หรือสว่างขึ้น 

 

ซึ่งบางคนรู้สึกราวกับว่า ตัวเองนี่ตายไปแล้วอยู่ข้างใน

มีความรู้สึกเหมือนผีดิบอยู่ข้างใน

แกล้งยิ้ม แกล้งหัวเราะ แกล้งคุยกับเพื่อนตามปกติไปอย่างนั้น

 

แต่เอาจริงๆ ถ้าตายจริงๆ จะไม่เหมือนกัน 

ไม่เหมือนตรงที่ว่า จะกลับฟื้นคืนชีพไม่ได้

กลับเปลี่ยนให้เป็นดีขึ้นไม่ได้ง่ายๆ

 

อยากให้หมอบีเล่าจากที่เห็นตรงๆ เลยนะว่า

โลกหลังความตาย ของจิตวิญญาณที่มืดแล้วมืดเลย 

มีความกระสับกระส่าย ดิ้นรน อยากกลับมาแก้ตัวไหม

หรือไม่รู้ตัวเลยเหมือนกับฝันร้าย แล้วก็ออกจากฝันร้ายไม่ได้

 

คือเวลาเราอยู่ในฝันนี่ เราก็จะไม่รู้สึกใช่ไหมว่า นี้เป็นของหลอก

เราจะรู้สึกว่าเป็นของจริง

 

อยากให้หมอบีเล่าให้ฟัง จากประสบการณ์ที่ได้เจอจิตวิญญาณหลังความตายมาหลายประเภท

 

เอาประเภทที่ตายมืดก่อน 

 

หมอบี : มืดนี่ มีทั้งมืดแบบไม่รู้ตัวเลยก็มี

หรือว่ามืด แต่ว่ารู้ แต่ว่ามีความตั้งใจ ยังอยากจะมืดอยู่ก็มี 

 

ดังตฤณ : ตั้งใจจะมืดอยู่นี่เพราะว่าโมหะใช่ไหม ก่อนตายมีโมหะเยอะ 

หมอบี : ใช่ครับ ซึ่งจะบอกว่าความยากง่าย ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราไปบอกเขาด้วยอะไร

 

ก็เลยเป็นความยากว่า ถ้าไปถึงจุดนั้นแล้วนี่ยากจริงๆ ครับ

ไม่ว่าจะตั้งใจมืดก็ตาม

หมายความว่า เหมือนกับบุคคลที่ปิดหูปิดตา

ใครมาบอกอะไรก็ไม่ฟัง ใครยื่นความปรารถนาดีก็ไม่ฟัง

 

ดังตฤณ : เห็นเยอะนะ คนบางคนติดใจในความชั่วของตัวเอง

 

คือไม่ใช่ว่า คนอื่นนึกว่า ด่า ไอ้ชั่วหรือว่าด่าอะไรหยาบคาย แล้วนึกว่าเขาจะสำนึก .. หารู้ไม่ ว่าเขาชอบ 

 

มีจริงๆ คนแบบนี้ หมอบีเจอมาเยอะอยู่แล้ว คนทุกประเภท

แต่นี่ผมจะบอกว่า คนนะ ถ้ามีโมหะชอบความชั่ว จะไม่สะเทือนกับคำด่าเพราะฉะนั้นคุณอย่าไปด่า ไม่ต้องไปเปลืองเวลา ไม่ต้องเปลืองแรง

 

หมอบี : เราไม่ควรให้ค่าเขา

 

ดังตฤณ : ใช่ ไม่ควรให้ค่า เพราะว่าถึงเขาตายไป เขาก็ไม่สำนึกอยู่ดี

แล้วก็อาจจะไม่รู้สึกเลยนะว่า นั่นเป็นสิ่งที่ negative เป็นลบ .. ไม่ใช่

เขารู้สึกว่าเขาชอบของเขาอย่างนั้น

 

หมอบี : ถ้าเป็นอีกประเภทหนึ่ง คือประเภทที่ไม่รู้นี่ 

ถ้ามีแสงส่องเข้าไปได้นิดหนึ่ง แล้วทำให้เขาเห็นว่า ยังมีแสงส่องอยู่นะ

อันนี้ อาจจะง่ายกว่านิดหนึ่ง 

 

ดังตฤณ : เขาจะดีใจที่ได้เห็นใช่ไหม

 

หมอบี : ครับเหมือนตอนแรกๆ อาจจะโดนปิดตาไว้ แล้วก็มองไม่เห็นทางแต่ถ้าเกิดมีอะไรมาเปิดนิดหนึ่ง ได้เห็นช่องทาง

โดยธรรมชาติของจิต ก็จะไปหาที่สว่าง อยู่แล้ว

อย่างนี้ อาจจะได้

 

เหมือนเวลาเรากำลังทำสมาธิด้วยกัน แล้วก็เจริญสติ แผ่เมตตา

ด้วยการให้แสงส่องไปถึงบางที่ บางจุด บางมุม

ที่ตรงนั้นไม่เคยมีแสงมาก่อน

หรือว่าโดนปิดตาก่อน แล้วทำให้แสงทะลุไปหาเขาได้อย่างนี้

อันนี้เป็นเรื่องที่ดีครับ มีโอกาสที่เขาจะกลับมาอยู่ในหนทางแสงสว่างได้ 

 

ดังตฤณ : เป็นจุดสรุปที่ดีมากๆเลย

 

คือ บางคน อย่างช่วงนี้ โดยเฉพาะยิ่งช่วงนี้ มืด

แล้วมีความรู้สึกว่า โอ๊ยฉันทำอะไรไม่ได้อีกแล้ว

นี่คือ เห็นผิดอย่างยิ่งเลยใช่ไหมหมอบี คือยังแก้ตัวได้อยู่ชัดๆ

ยังมีร่างกายได้

 

แตกต่างจากตอนที่สิ้นชีวิตไปแล้ว ซึ่งไม่มีร่างกายมาแก้ตัว

 

อันนี้หมอบี มีความรู้สึกเสียดายแทนคนที่ตายไปแบบยึดมั่น

ว่าฉันไม่มีทางแก้ได้ไหม เห็นเขาเป็นอย่างไรบ้าง

 

หมอบี : ต้องบอกว่าต่างกันเยอะ เยอะมากๆครับ

 

เรามีร่างกายอยู่ เราสามารถปรับ หรือเปลี่ยน

หรืออะไรได้ทุกวินาที ทุกลมหายใจ 

 

พอเราไม่มีร่างกายแล้วนี่ บางครั้งเราจะพยายาม

แต่เหมือนแบบว่าเราไม่รู้จะไปทางไหน

ถ้าไม่มีคนมาจูง ไม่มีแสงส่องเข้ามา

หรือเราไม่เปิดหูเปิดตาตัวเองนี่ จะยากมากๆ

 

เพราะฉะนั้นเป็นความแตกต่างที่ เป็นสาเหตุที่ ..

ทำไม เมื่อเราเกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีร่างกาย

ฉะนั้นอย่ารอ อย่ารอจนกว่า หมดแล้วจบ

 

แล้วเราคิดว่า เดี๋ยวมีคนอุทิศส่วนกุศลไปให้ แล้วเราจะโอเค

 

ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ใหญ่มากครับ

 

ดังตฤณ : เป็นเรื่องเข้าใจผิดอย่างมหันต์เลยนะ

 

แล้วก็ อย่างคนไทยส่วนที่ไม่รู้ไม่เห็น ก็จะใช้ความเชื่ออย่างเดียว อาศัยความเชื่อว่า คนตายแล้ว เราอุทิศส่วนกุศลไป เขาก็คงไปดี

 

กับอีกประเภทหนึ่ง คือมีความรู้เห็นอยู่จริงๆ บ้างว่า ตายแล้วไปไหน อะไรอย่างไร

 

แต่บางทีนี่ คือเข้าใจว่าจิตวิญญาณ จะช่วยได้ง่ายๆ

บอกว่าตัวเองขับรถผ่าน แผ่เมตตา

แล้วบอกว่า ผีนี่เลื่อนชั้นกันยกแผง

คือไม่ง่ายแบบนั้นนะ

 

แล้วหมอบีทำงานตรงนี้มา .. เรียกว่าทำงาน ใช้คำนี้เลย

ว่าทำงานตรงนี้มา .. จริงๆ แล้วก็เป็นเวลาหลายปี ต่อเนื่อง 

ก็จะเห็นชัดเจนนะ กว่าจะช่วยจิตวิญญาณบางดวง

แค่ดวงเดียวนี้ ให้รอดให้พ้น

 

โอ้โห .. เหนื่อยนะใช่ไหม คือต้องใช้เวลา

 

หมอบี : แค่คนปกติ ยังยากเลยครับ

แล้วนี่คือ สมมติเราเป็นคนชนชาติเดียวกัน ก็ยากแล้ว

ถ้าเป็นคนต่างชาติ พูดคนละภาษา ยิ่งยากเข้าไปอีก

แต่นี่เป็นสิ่งที่แทบภาษาคำพูด ก็แทบจะพูดไม่ได้ เลยก็ยิ่งยากเข้าไปอีกไม่รู้กี่เท่าตัว ยากมากครับ 

 

ดังตฤณ : คือหมายความว่า เราจะไปเจรจาให้จิตวิญญาณ เลิกหลงผิดหรือว่าเลิกดักดานอยู่กับความมืดของตัวเองนี่ พูดกันไม่รู้เรื่องใช่ไหม

 

หมอบี : ยากมากครับ 

_________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน รู้จักขันธ์ ๕ จากสมาธิจิต

- 03 ความต่างของสมาธิแบบคนปกติ และเจริญปัญญา

วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=4hNq9ggaswU

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น