ดังตฤณ : นั่งสมาธิ หรือสวดมนต์นี่ ดีที่สุด
เพราะเป็นการตัดตอนความคิด ที่เหมือนกับหมกมุ่น
คือเวลาเราเสพข่าว ลักษณะการปรุงแต่งของจิต
หรือที่เรียกว่า สังขารขันธ์ จะวนลูปเข้าที่เดิม
ไปเทรนให้สมอง กลับเข้าที่ในแบบที่เป็นลบ
หลั่งสารที่แย่ๆ ออกมา อะดรีนาลีนหรืออะไรก็ตาม
สารที่รวมร่างกันแล้ว ก่อให้เกิดความรู้สึกซึมเศร้า
รู้สึกว่าโลกมืด รู้สึกว่าไม่มีทางออก
รู้สึกว่าฉันช่วยอะไรใครไม่ได้ สงสารเหลือเกิน
ยิ่งข่าวที่น่าสงสาร แบบลูกไม่มีพ่อแม่อีกต่อไป
เพราะว่าตายไปจากโควิด
พอเราเสพข่าวแบบนี้บ่อยๆ ในเวลาที่ไล่เลี่ยกัน
เราจะรู้สึกราวกับว่า โลกไม่เหลืออะไรดีแล้ว
แต่จริงๆ ขอให้คิดอย่างนี้ว่า
มีข่าวเศร้าแบบเดียวกัน หรือว่าหนักกว่านี้
เกิดขึ้นทุกวัน ทุกเวลา ทั่วโลก เพียงแต่เราไม่รู้
เพราะมันไม่เป็นข่าว หรือไม่มารวมกระจุกกัน
เป็นอารมณ์ร่วม เหมือนกับยุคโควิดนะ
มีการฆ่ากันตาย มีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
มีการฆ่าด้วยความหวังโลภทรัพย์สมบัติอะไรต่างๆ
เกิดขึ้นทุกหัวระแหงอยู่แล้ว
พอเรามาถูก .. เขาเรียกว่า ทำให้เข้มข้น
ด้วยความรู้สึกว่าโลก หรือประเทศของเรา กำลังเต็มไปด้วยคนตาย
แบบที่ไม่มีทางออก
ก็จะเกิดความรู้สึก เหมือนเราพลอยอยู่ในโลกที่น่าเศร้า
แบบเดียวกัน ระดับเดียวกัน กับพวกเขาไปด้วย
แต่ถ้าเรามาสวดมนต์ หรือว่ามานั่งสมาธิ ให้มีการรีเซ็ตจิต
รีเซ็ตสมอง
กลับไปสู่ความว่าง กลับไปสู่ความโล่ง
ในที่สุดเราจะรู้สึกว่า ข่าวส่วนข่าว ใจเราส่วนใจเรา
เป็นคนละอันกัน
บางที ไม่ต้องไปเกี่ยวข้องกันก็ได้
เราช่วย เรามีใจคิดอนุเคราะห์ ก็ดีที่สุดเท่าที่ใจแบบนี้จะให้กับโลกได้แล้ว
ไม่ใช่ว่า อ่านข่าวเสพข่าวแล้ว ฉันจะต้องเป็นทุกข์
ฉันถึงจะมีความรับผิดชอบ มีจิตสำนึกที่ดี ที่เป็นเพื่อนร่วมโลกกัน
ควรจะร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน ไม่ใช่นะ
วิธีคิด และวิธีเจริญสติ จะเป็นตัวบอกเลยว่า เราเข้าใจธรรมะแค่ไหน
อย่างบางทีเราบอกว่า เราศึกษาธรรมะมาเยอะ
เราเข้าใจหัวข้อธรรมะมากมาย แต่เอาจริงๆ พอเจอกับปัญหาที่ทำให้ต้องตกที่นั่งทุกข์ หรือว่ารู้สึกลำบากใจ
รู้สึกกังวลใจ รู้สึกหมกมุ่น เคร่งเครียดกับข่าวรอบด้าน
นี่บอกได้เลยว่า ธรรมะที่เรามีอยู่ เป็นธรรมะแบบที่
จะเอาแต่สุขอย่างเดียว หรือว่าเป็นธรรมะ แบบที่สามารถพ้นออกจากความทุกข์ วังวนทุกข์ได้ด้วย
พระพุทธเจ้าสอนธรรมะ ท่านสอนธรรมะแบบที่ จะให้พ้นจากวังวนทุกข์ไม่ได้สอนให้มีความสุข
หรือว่าเอาเอาความสุขมาเป็นตัวตั้งทางใจ
ท่านให้ใช้สิ่งกระทบ ไม่ว่าจะอะไรในโลก มาเป็นเครื่องชี้ว่า
เรายังมี โลภะโทสะ โมหะ หลงเหลืออยู่มากน้อยแค่ไหน
ถ้าหากว่าเราเสพข่าว แล้วมีความเศร้า
เรียกว่ามี โทสะ โมหะ อยู่เยอะ
โทสะ นี่ไม่ใช่โกรธเกรี้ยวอย่างเดียวนะ
โทสะ ยังหมายรวมไปถึง ความไม่พอใจความรู้สึกเศร้าโศก
ความรู้สึกว่า อะไรๆ ไม่ดี ใจนี่อยากปฏิเสธ อยากต่อต้าน
อยากผลักไส
เหล่านี้เป็นโทสะหมด
ทีนี้ พอพิจารณาได้ว่า ยอมรับตามจริง
เรายังเศร้าอยู่
ก็มาฝึกตัดตอน ด้วยการสวดมนต์ ทำสมาธิแบบที่เราเคยทำได้
และจากนั้นก็เอาใหม่
เวลาที่ความเศร้าหรือว่าความโศก จะก่อตัวขึ้นมา
มีสติให้ทัน .. จากจิตที่รีเซ็ตแล้วนะ
ไม่ใช่จิตที่ยังหมกมุ่น หรือจมอยู่กับความโศกเศร้า
หรือความทุกข์
จิตที่รู้สึกโล่งแล้ว จิตที่รู้สึกดีแล้ว จิตที่ถูกรีเซ็ตแล้ว
จากการนั่งสมาธิหรือสวดมนต์
เวลาที่เรามาเสพข่าวเศร้า ก็จะเป็นโอกาสครั้งใหม่
ที่ทำให้เราแก้ตัวได้
หมอบี : โดยทั่วไปนะครับ ด้วยความที่
.. โดยตรงนี่ .. ผมจะค่อนข้างต้องออกไปทุกวันเลย ไปพื้นที่เสี่ยง แต่ก็พยายามเซฟตัวเองเพื่อไม่ให้เป็นภาระกับผู้อื่นนะครับ
ก็เห็นกับตา ได้ยินกับหู หรือว่าได้สัมผัสกับตัวเอง
หรือแม้กระทั่งไปเผาศพโควิดด้วยตัวเอง ทำให้บางทีคนรอบข้าง จิตตกไปแบบวูบไป รู้สึก Down มากๆ
เพราะได้ไปเห็นกับตาตัวเอง
แต่กลับกัน บางคนก็รู้สึกว่า โอ้โห! ดีมากเลยที่มีโอกาสได้ช่วย
มีโอกาสได้ทำ มีโอกาสเป็นประโยชน์แม้กระทั่งนิดหนึ่งก็ยังดี
ก็มีความแตกต่างสุดโต่งทั้งสองฝั่ง
ส่วนผมเอง ผมพยายามจะประคองโดยการรักษาสติเอาไว้
เพราะฉะนั้นเราก็เลยจะไม่ค่อยได้ไปอิน ว่าจะสุข หรือจะทุกข์อะไรแบบนี้
ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมากๆ เลยครับว่า เวลาเรามีสติอยู่กับตัว
ใจเราก็จะเป็นกลางๆ โล่งๆ โปร่ง สบาย ทำให้เรามองเห็นหนทาง มองเห็นช่องทางในการที่
เราใช้ทุกวินาทีให้เกิดประโยชน์ ซึ่งตรงนี้ผมว่าโอเค สามารถทำได้กับทุกคนทุกท่าน
การดึงสติกลับมานี่ บางคนอาจรู้สึกว่ายาก อะไรคือการดึงสติกลับมา
แล้วอยู่ที่ไหน
จริงๆ เบสิคง่ายๆ สำหรับผมก็คือ ดึงกลับมาสู่ร่างกาย
เพราะเป็นมนุษย์ มีร่างกาย ทำอย่างไรก็ได้ มีอุบายอะไรก็ได้ ให้สติกลับมาสู่ร่างกาย
จะเป็นอานาปานสติก็ดี เป็นการใช้ร่างกายเยอะๆ ก็ดี ซึ่งได้ผลมากๆ
ดังตฤณ : หมายถึงออกกำลังกายใช่ไหมครับ
หมอบี : ครับ แต่ก็ต้องเป็นแบบไม่ได้เร็วจนเกินไปนะครับ
แบบว่าที่อยู่กับร่างกายเยอะๆ ครับ
อย่างบางคน เป็นคุณแม่บ้านใช่ไหมครับ ก็ยิ่งดีเลย
เราอาจจะไม่ได้ทำ เพื่อต้องการความสะอาด แต่เราต้องการทำ เพื่อรักษาสติเรา
อย่างเช่น เวลาล้างจาน .. จงล้างจาน ล้างจาน ..
สติก็จะอยู่กับเรา
ยิ่งทำอะไรที่เหงื่อออกเยอะๆ อยู่กับร่างกายเยอะๆ
ล้างห้องน้ำ ทำกับข้าวอะไรก็ได้ที่อยู่กับร่างกายเยอะๆ นี่ดีมากเลยครับ ได้ผลมาก เป็นการเรียกสติกลับมา
ดังตฤณ : เข้าใจแล้ว
ที่หมอบีพูดถึงใช้ร่างกายเยอะๆ คือไม่ยอมอยู่นิ่งๆนะ ดีมากเลย ใช้ร่างกายเยอะๆ
จำคำนี้ไว้ แล้วจะรู้สึกว่าตัวเรา ใช้ร่างกายอยู่ หรือว่าปล่อยทอดหุ่ยให้ร่างกายอยู่กับที่นะ
_____________________
ตอนนี้อ่านข่าวโควิด พยายามช่วยเท่าที่ช่วยได้
แต่เครียดและฟุ้งซ่านมากค่ะ สวดมนต์ยังไม่ได้เลย จะไม่อ่านข่าวก็ไม่ได้
ควรทำอย่างไรดี?
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน รู้จักขันธ์ ๕ จากสมาธิจิต
- ช่วง คุยกับหมอบี
วันที่ ๑๗
กรกฎาคม ๒๕๖๔
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=O3TqjlcHaoA
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น