หมอบี : จริงๆ มีคำถามเยอะมากครับ เกี่ยวกับว่า
คนตายแล้วไปไหน
ไปสบายหรือยัง อยู่ที่ไหน
ส่งบุญไปให้
ได้หรือเปล่า เขาจะรับไหม จะเป็นอย่างไร
ดังตฤณ
: มีมาซ้ำๆ นะ วนลูปอยู่แค่ตรงนี้
และจริงๆ
พี่ก็เห็นนะว่า หมอบีไขข้อข้องใจในเรื่องทำนองนี้มาเยอะ
แต่ก็มีคนใหม่ๆ
ที่อาจเพิ่งรู้จัก บางคนอาจเคยได้ยินชื่อหมอบีมาแล้ว
แต่ก็เหมือนกับไปเจอคนอื่น
ที่ทำให้รู้สึกว่า ทำให้ไม่อยากจะเชื่อ อะไรอย่างนี้
สมัยนี้เยอะจริงๆ
ที่แบบว่า ไม่รู้ แล้วบอกว่ารู้
แล้วหมอบี
ก็เหมือนกับพิสูจน์ด้วยหลายๆ วิธี หลายๆ อย่าง
สังเกตอยู่อย่างหนึ่ง ที่เป็นจุดเด่นของหมอบีมากๆ เลยก็คือ
หมอบีจะพูดว่า
ถ้ารู้เรื่องข้างหน้าจริง ถ้ารู้เรื่องโลกวิญญาณจริง
พิสูจน์ได้ง่ายๆ
รู้จริง
เรื่องโลกนี้หรือเปล่า
รู้จริง
เรื่องที่สามารถจับต้องได้ เป็นรูปธรรมเห็นได้หรือเปล่า
ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่า
หมอบีอวดความสามารถ
เรื่องรู้เลขบัตรประชาชน
รู้วันเกิดใคร
หรือแม้กระทั่ง
ชื่อ ของคนที่หมอบีไม่เคยเจอมาก่อน
แต่ผมมองว่า
คือจะต้องมีวิธีที่จะพิสูจน์
คน
มนุษย์ธรรมดาทั่วไป
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคนี้
ที่อวดดื้อถือดีกัน
จะไม่เชื่อเรื่องเหตุและผล
จะไม่เชื่อเรื่องคำจากปากคนอื่น
เพราะถูกสอนมาว่า
ให้ไม่เชื่อไว้ก่อน
แล้วก็ให้ดูถูกความเห็นที่แตกต่างไว้ก่อน
แต่เมื่อมี
หลักฐานว่า มีคนบางคนรู้จริง
ซึ่งอันนี้
เรียนให้ทราบตรงๆ นะ คนแบบหมอบี ก็เคยเจอ
แต่ที่จะทำตัวเปิดเผยได้เหมือนอย่างนี้
มีปัจจัยที่ยากมากๆ นะ
ยากมากๆที่จะ
คือเป็นคนแบบนี้ด้วย เเล้วก็มาทำแบบนี้ด้วย
มีความสามารถแบบนี้
แล้ว มาทำแบบนี้นี่
คือคนทั่วไปจะไม่เข้าใจนะ
ว่ายากขนาดไหน
แต่บอกได้เลย ผมเคยเจอนะ
แต่ว่าที่ทำได้แบบนี้ด้วย
แล้วก็เปิดเผยตัวแบบนี้ด้วย
ไม่ใช่เรื่องง่าย
ทีนี้
ถึงแม้ว่าหมอบีจะได้พิสูจน์ให้เห็น ให้คนเชื่อได้แค่ไหน
อย่างไรก็ต้องมีคนใหม่เข้ามา
ซึ่งตรงนี้
ถ้าหมอบี มีหลักการ หลักเกณฑ์ วิธีอะไร
ที่ช่วยให้ตัวเองไม่ต้องเหนื่อยทุกครั้ง
เพื่ออธิบาย
หรือว่าบอกคนรุ่นต่อๆ
ไป ว่า จะมีวิธีอย่างไร
ที่จะทำให้เกิดสัมมาทิฏฐิ เกี่ยวกับความเชื่อเรื่องหลังความตาย
หมอบี
: อย่างหนึ่ง เราต้องเข้าใจพื้นฐานของมนุษย์ก่อนว่า ทุกคนอยากรู้อยู่แล้ว
บางที
เราฟังใคร หรือ ครูบาอาจารย์อธิบายให้ฟังก็ตาม
สุดท้ายแล้ว
พอมาถึงจังหวะที่เป็นเคสของตัวเอง หรือถึงเราจะรู้ว่าเป็นอย่างไร ก็อดที่จะอยากรู้ไม่ได้ว่า
เฉพาะของตัวเอง แม่ตัวเอง พ่อตัวเอง โอเคหรือยัง
ซึ่งอันนี้คือ
เป็นเรื่องธรรมดา แล้วก็เข้าใจได้ถึงความเป็นมนุษย์คนหนึ่ง นะครับ
ก็อาจจะรู้สึกว่า
โอเค เข้าใจแหละ ว่าต้องเป็นอย่างนี้
แต่ว่าถึงเวลา
ก็รู้สึกว่าสักหน่อยแล้วกัน อย่างไรก็ขอของตัวเอง
อยากรู้เป็นกรณีพิเศษ
.. เข้าใจได้ ไม่ได้แปลก
แต่ถ้าพูดโดยหลักการแล้ว
จริงๆ ก็คือว่า
ลองพิจารณาก่อนว่า
ณ ขณะที่
..
สมมติว่าว่าเป็นใครสักคนหนึ่ง ที่เขาจากไปแล้ว
เราพิจารณาว่า
ตอนที่มีชีวิตอยู่ เขาเป็นอย่างไร
เราจะรู้ว่าอนาคตเป็นอย่างไร
เราดูจากปัจจุบัน
เราดูว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร
ก็คือดูจากอดีต
เพราะฉะนั้น
หากเราอยากรู้ว่า อนาคตจะเป็นอย่างไร ไปแล้วตายดีหรือเปล่า ให้พิจารณาจากปัจจุบันก่อนว่า
ณ ขณะนี้ ตอนนี้ ที่มีชีวิตอยู่ เขาเป็นอย่างไร
บางคนมีโทสะจริตสูง
บางคนมีโมหะจริตสูง บางคนมีความโลภมาก
อย่างนี้
ก็เป็นการบอกเลยว่า ตายไป คุณไปอย่างนั้นแน่นอน
เพราะฉะนั้น
ธรรมชาตินี่รู้เลย
สมมติว่า
คุณพ่อเราเป็นคนโมโหรุนแรงอย่างนี้ใช่ไหม หรือว่า คุณยายคุณย่าเรา มีความเป็นโมหะจริตรุนแรง
ชอบไหว้นับถือในสิ่งที่ไม่ควรจะนับถืออย่างนี้เป็นต้น .. ก็จะมีสภาวะที่ พอเวลาไปแล้ว
ก็จะไม่สงบสุขในการที่ยึดอะไรบางอย่าง
เพราะฉะนั้น
อยากให้พิจารณา เรื่องความเป็นปัจจุบันขณะ
ก็จะเห็นเอง
ว่าเป็นอย่างไร .. อันนี้คือมุมหนึ่ง
อีกมุมหนึ่งคือว่า
ในฐานะที่เรามีการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เช่นคุณพ่อ คุณแม่เสียชีวิตไป แล้วเราอยากรู้ว่าเขาเป็นอย่างไร
อันนี้อีกเรื่องหนึ่ง
ก็คือ
เรารู้แล้วว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร เสร็จแล้ว เราบอกว่าเราอยากจะส่งความปรารถนาดีไปให้
อย่างแผ่เมตตา อุทิศส่วนกุศลให้เขา แล้วเขาได้รับหรือเปล่า
อันนี้ต้องถามตัวเราเอง
ไม่ได้ถามเขา
ถามตัวเองว่า
เรา มีความบริสุทธิ์กาย บริสุทธิ์ใจ มีความตั้งเจตนาไว้ดี
มีความเข้าใจในเรื่องบุญกุศล
อย่างถูกต้องเป็นสัมมาทิฏฐิหรือเปล่า
เช่นยกตัวอย่างง่ายๆ
เหมือนที่เมื่อกี้เราคุยกันใช่ไหมครับว่า ถ้าเรามองว่าความสุขในเบื้องต้น จุดเริ่มต้นที่เป็นเหตุนี่
เรามองว่าคือแค่ความสนุก เป็นแค่ความเบิกบานใจ แบบได้ร้องรำทำเพลง ได้เต้น ได้ดูหนังเกาหลีที่ตัวเองชอบ
แล้วเป็นความสุข แล้วเราก็จะอยากเอาความสุขนี้ แผ่ไปให้
อันนี้
ตัวตั้งต้น สารตั้งต้นไม่ถูก ก็ไปไม่ได้แล้ว
สมมติว่า
เรามีความสุขในเบื้องต้นที่ถูกต้องแล้ว
มีความโล่งโปร่งสบาย
เป็นพื้นฐาน ก็คือใจเกิดบุญ เกิดความสบายใจแล้ว เราก็อยากจะส่งความปรารถนาดี แผ่เมตตาออกไปแบบไม่มีประมาณ
.. คือ ไม่ต้องระบุ ปราศจากอคติใดๆทั้งสิ้น แผ่ออกไปไม่มีประมาณ
รับรองว่าใคร
อะไร อย่างไรก็ตามที่มีกรรมสัมพันธ์กับเรา
โดยเฉพาะเช่น คุณพ่อ
คุณแม่ คุณย่า คุณยาย ลูก หลาน ที่มีกรรมสัมพันธ์
เวลาเราแผ่เมตตาแบบไม่มีประมาณด้วยใจอันบริสุทธิ์
จะเป็นการบอกว่า เขาจะได้รับ เขาจะได้ยิน เขาจะได้เห็น โดยธรรมชาติอยู่แล้วครับ
เพราะฉะนั้น
เราส่งไปนี่ถึงแล้ว แล้วสุดท้าย ก็ค่อยมาพิจารณาว่า เขาได้รับรู้ ได้เห็น ได้ยิน แล้วเขาจะรับหรือเปล่า
ก็ต้องบอก
บอกตามตรงเลยว่าเป็นเรื่องของเขา
แต่อย่างน้อย
เราคิดง่ายๆว่า
ณ
ขณะมีชีวิตอยู่ เราพูด คุณแม่ยังฟังเลย เพราะเป็นแม่เรา
ณ
ขณะยังมีชีวิตอยู่ เราพูด ลูกยังฟังเลย เพราะนี่คือลูกเรา
เพราะฉะนั้น
เมื่อเสียไปแล้ว ตายไปแล้ว เราพูดนี่ เสียงเราต้องดังกว่าเสียงคนอื่นแน่นอน
เพราะฉะนั้นอยากให้สร้างจุดเริ่มต้นที่ดี
มีความเข้าใจอย่างถูกต้อง
แล้วก็ไม่ต้องพึ่งพาในสิ่งที่ไม่ควรจะพึ่งพา
ไปบอกกล่าวกับเทพองค์นั้น
กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นู่นนี่นั่น
หรือว่าจะต้องทำกระบวนการ
ทำพิธีอะไรใดๆ ก็ตามเป็นแค่องค์ประกอบ
สำคัญที่ใจ
ใจเป็นหลักแค่นี้ก็ประเสริฐแล้วครับ
ดังตฤณ
: ดีมากเลย คือจริงๆ ผู้ที่เสียชีวิตไปแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
คนที่มีความรู้สึก
คือเชื่อสัญชาตญาณตัวเอง ว่าคนที่เสียชีวิตไปแล้วนี่ไม่ได้หายไปไหน
คือไม่ได้เป็นแค่อากาศธาตุ แต่ว่ามีความรู้สึก
บางคนที่มีความสนิทกับใครมากๆนี่นะ
จะรู้สึกเข้มข้นมากเลย ชัดเจนมากเลยว่า หลังตายไปแล้วนี่ยังมีความรู้สึกเกี่ยวกับเขาคงอยู่
คือไม่ใช่เรื่องเหลวไหลนะ
อย่างบางคนนี่คุ้นเคยกับแฟน หรือว่าน้อง หรือว่าเพื่อน อยู่ด้วยกันทุกวัน คุยกันทุกวัน
ก็สามารถ เซนส์ถึงความสุขความทุกข์ในแต่ละวันได้
อย่างบอกว่าโทรศัพท์มา
ยังไม่ทันพูดอะไรสักคำ
เอ๊ะ!วันนี้ทำไมรู้สึกเหมือนหัวยุ่ง กระแสหัวยุ่ง
นี่ก็คือกระแสไฟฟ้าจากสมอง
จะผ่านสายโทรศัพท์มา
หรือว่าผ่านอากาศ
มือถือเข้ามือถือ จากมือถือถึงมือถือได้
เราเกิดประสบการณ์กันทุกคน
ไม่มีใครนะไม่เคยไม่เซนส์ความรู้สึกตรงนี้
เคยสังเกตหรือเปล่าเท่านั้นเอง
บางวัน
คนที่เราคุ้นเคยนี่ รู้สึกเลยว่ารับสายปุ๊บ
รู้สึกถึงความทุกข์
ความอลหม่าน ที่ส่งมาตามอากาศ หรือตามสายชัดเจน
จนกระทั่งเราทักถูกเลย
ว่าวันนี้ไปทำอะไรมาหรือเปล่า ทำไมรู้สึกอึนๆ รู้สึกทุกข์ๆ รู้สึกเหมือนกับมีอะไรมาทำให้จิตใจ
ถูกรบกวนอย่างหนัก
แต่บางวัน
รู้สึกเบ่งบานราวกับดอกไม้ จิตใจนี่สว่าง เหมือนอะไรที่เรารู้ได้ว่าคนสนิทคนนี้ของเรา
เขากำลังมีความสุขอย่างใหญ่
นี่เป็นเรื่องของสายสัมพันธ์
ที่ทำให้จุดเชื่อมโยง จากใจถึงใจนี่
มาถึงกันได้ง่าย
เหมือนกับท่อกว้างๆ ใหญ่ๆ ที่ไม่มีอะไรอุดตัน ไหลลื่น
เหมือนกัน ถึงแม้เสียชีวิตไปแล้ว
แต่ความรู้สึกพอนึกถึง ส่งใจนึก
รู้สึกนะว่า
ความสุขความทุกข์แบบที่เราเคยคุ้น ระหว่างเขามีชีวิต
ไม่ได้หายไปไหน
ยังมีความอลหม่านอยู่
หรือว่ามีความรู้สึกเบ่งบานเหมือนดอกไม้ได้อยู่
แต่เอาไปพูดให้ใครฟังไม่ได้
แม้แต่มาตกลงกับตัวเองว่า
นี่จริงหรือไม่จริง บางทียังคลุมเครือ
ยกเว้นแต่จะมีสมาธิ
ยกเว้นแต่ใจจะแยกออก
ว่าฝั่งนี้ของเรา
ฝั่งนั้นของเขา
ฝั่งนี้
เรารู้สึกอย่างไรอยู่ ฝั่งนั้นเขากำลังรู้สึกอย่างไรอยู่
สามารถที่จะจำแนกได้อย่างชัดเจน
ตรงนี้เป็นวิธีเดียว
ที่เราจะแน่ใจ พูดง่ายๆ คือว่า
มีความสนิทแน่นแฟ้นมากๆ
กับอีกทีหนึ่งคือ
มีสมาธิชั้นดี อย่างที่หมอบีใช้คำว่า มีอุเบกขาสูง
มีปัญญา
มีอุเบกขา มีสติ พอ ที่จะแยกแยะได้ ว่าอะไรเป็นอะไร
นี่ของเรา
นี่ของเขา ฝั่งนี้รู้สึกอย่างนี้ ฝั่งนั้นรู้สึกอีกอย่างหนึ่ง
เปรียบเทียบได้ชัด ตรงนี้ถึงจะมั่นใจได้
ฉะนั้น
ตัวสัมมาทิฏฐิเกี่ยวกับเรื่องภพภูมิ เกี่ยวกับเรื่องคนตาย
พูดง่ายๆ
ไม่ใช่เกิดจากความคิด ไม่ใช่เกิดจากการมามองว่าเรา จะแน่ใจได้อย่างไร ว่าเขาตายไปแล้วจะไปไหน
แต่เกิดจากการที่
จิตของเราเอง มีความเข้าใจ มีพื้นฐาน
อย่างน้อยที่สุด
มีความสนิท และรู้จักเขา รู้จักเรา
เคยสนิท
คุ้นเคยกันมา เห็นๆ กันมาอย่างไร
หรือไม่ก็มีปัญญาแบบพุทธ
มีสติ มีจิตที่นิ่ง เป็นสมาธิได้แบบพุทธ
แล้วแยกออกว่า
ฝั่งนี้เรา ฝั่งนั้นเขา
ตรงนี้แหละ
ที่เป็นสัมมาทิฏฐิของจริง
คือจะไม่ใช่แค่ทำให้เราเกิดความเข้าใจว่า
อะไรเป็นอะไร
แต่เกิดความเห็น
.. เห็นแจ้งว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกันเรา
__________________
หลายเคสสอบถามเรื่อง
ผู้เสียชีวิตไปแล้ว เป็นอย่างไรบ้าง ทำบุญแล้วได้รับไหม อยากให้
อ.ตุลย์และพี่บีอธิบายรวมๆ เพื่อให้เกิดสัมมาทิฐิร่วมกันครับ
รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน
ตอน รู้จักขันธ์ ๕ จากสมาธิจิต
- ช่วง คุยกับหมอบี
วันที่ ๑๗
กรกฎาคม ๒๕๖๔
ถอดคำ : เอ้
รับชมคลิป : https://www.youtube.com/watch?v=SnDUY2CTfNQ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น