วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

04 ร่วมอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับ - ช่วงแผ่เมตตาหลังนั่งสมาธิรอบแรก+ฟีดแบค

ดังตฤณ : อย่าเพิ่งลืมตานะ ฟังที่ผมจะพูดต่อไป

 

ที่เราอยู่ด้วยกันตรงนี้ เรารับรู้ด้วยกัน ตรงกันว่าเราจะอุทิศส่วนกุศลให้ผู้ล่วงลับ ชื่อคุณชู

 

บุญของเราที่จะอุทิศให้เขา ก็คือความรู้สึกที่กำลังปรากฏอยู่ในใจของคุณนี่แหละว่า มีความว่าง มีความเบา หัวโล่ง ตัวโล่ง มีความสว่าง

 

บางคน เห็นเป็นความสว่างที่เจิดจ้ามากๆ

บางคน เห็นเป็นความสว่างนวลๆ

บางคนแค่รู้สึกเบาๆ อันนั้นไม่เป็นไร มีความเป็นกุศลจิตเหมือนกัน

 

ลักษณะที่เป็นกุศลจิต ลักษณะที่เป็นความสุข ลักษณะที่มีความโปร่งเบา ไม่มีความคิดที่เป็นอกุศลนั่นแหละ ที่เป็นทุนที่เราจะใช้ในการอุทิศให้ร่วมกัน

 

คราวนี้ขอให้ทุกคนพนมมือนะ แล้วรับรู้ถึงฝ่ามือที่ประกบกันอยู่

นี้คือลักษณะของธาตุดิน ลักษณะของร่างกายที่มีตัวตนอยู่ในโลกมนุษย์

 

มีกำลังวังชา

มีความปรากฏอันเป็นที่จับต้องได้

มีความแข็งแรง

มีความคงรูป คงสภาพแบบนี้

 

ถึงจิตของคุณจะมีความฟุ้งซ่านวกวน หรือมีความเป็นสมาธิอย่างไร ลักษณะของธาตุดิน ที่ปรากฏเป็นรูปพรรณสัณฐานรูปมือแบบนี้ ก็ยังจะคงอยู่เหมือนเดิม

 

พอเรารู้สึกได้ถึงความเป็นธาตุดิน มีความเป็นมือที่ประกบกัน สัมผัสกันอย่างนี้ แล้วรู้ว่ายังมีธาตุดินแบบเดียวกัน สัมผัสแบบเดียวกันอีกร่วมพัน พูดง่ายๆ ว่า มีขนาดใหญ่เป็นพันเท่า ของความรู้สึกฝ่ามือประกบที่กำลังเกิดขึ้นกับคุณอยู่ ณ บัดนี้

 

ก็จะสามารถที่จะรู้ได้ว่า มีเพื่อนของเรา มีกัลยาณมิตรของเราอีกร่วมพัน ที่นั่งทำสมาธิอยู่ด้วยกัน แล้วก็มีความตั้งใจเดียวกันที่จะอุทิศส่วนกุศล

 

ทีนี้เบื้องหลังฝ่ามือที่เป็นรูปประกบกันนี่ คือใจที่สว่าง ใจที่มีความเบา ใจที่มีความเป็นกุศล แล้วก็พร้อมที่จะทำให้อะไรๆ ดีขึ้น ที่จะทำให้อะไรๆ สว่างขึ้น จากสภาพความมืด กลายเป็นความสว่าง จากสภาพอกุศลธรรม กลายเป็นสภาพกุศลธรรม ตรงนี้แหละที่มีกำลังร่วมกัน

 

คราวนี้ขอให้ทุกท่านลืมตาขึ้นแวบหนึ่ง ผมให้ดูรูปของคุณชูนะครับ

link ภาพ : https://dungtrinanswer.blogspot.com/2021/07/04_13.html 


เอาแค่จูนจิตให้ตรงกับความจริงว่า เขาตายไปแล้ว เขาเสียชีวิตไปแล้วนะครับ หมดโอกาสที่จะสร้างบุญด้วยตัวเองแบบมนุษย์แล้ว


ตอนนี้ เขาไม่มีสัมผัสแบบที่เรากำลังรู้สึกว่ามือประกบกันได้ ธาตุดินประกบเป็นท่าไหว้ได้ เขาไม่มีใจแบบสว่างๆ ที่จะมานั่งทำสมาธิร่วมกัน แต่เราสามารถที่จะน้อมนึกถึงนะครับ


คราวนี้หลับตา ขอให้หลับตาลง .. ลืมตาไม่ได้นะ


พอเราหลับตาลง แล้วเรานึกถึงภาพใบหน้า ที่เมื่อครู่เราเพิ่งเห็นติดตาอยู่ เอาแค่ นึกนิดเดียว ไม่ต้องนึกให้ชัด แต่นึกเป็นเลาๆ ว่าหน้าตาของเขาประมาณไหน


อย่างนี้ เรียกว่าเป็นการหน่วงนึกไว้ด้วยจิต ซึ่งจิตของเรา ถ้าหากว่ามีพลัง มีความเป็นกุศล มีความสว่าง เรานึกนิดเดียว ว่าขอให้ความสุข ขอให้ความรู้สึกโล่งหัว โล่งตัวที่เรากำลังรู้สึกอยู่ทั้งหมดนี้ จงบังเกิดแก่ดวงวิญญาณของคุณชู


เหมือนกับเราอยู่ในสระน้ำ .. สระน้ำที่สว่าง สระน้ำสีขาว มีความกว้าง ยาว ลึก และนึกให้คุณชูได้มาอยู่ในสระด้วยกัน


ผมจะให้เวลาประมาณ หนึ่งนาที จะเงียบเสียง แล้วคุณนึกแค่นั้นแหละ .. เอาแค่ครึ่งนาทีพอ เพราะคนส่วนใหญ่ครึ่งนาทีจะยังไม่วอกแวก


คุณนึกถึงภาพใบหน้าของคุณชู นึกไว้ในใจนะ ไม่ใช่ลืมตาขึ้นดู แล้วก็ทำความรู้สึกว่า ใจของเรามีความสว่าง ใจของเรามีความเต็มร่วมกับเพื่อนๆ อีกเป็นพันเท่า นึกไปด้วยกัน

จุดมุ่งหมายอันเดียวกันคือ เหมือนกับให้ภาพของคุณชู ที่เราระลึกได้ด้วยใจ มาอยู่ในสระ มาอยู่ในความสุขแบบเดียวกันกับเรา


(ระลึกถึงภาพ ครึ่งนาที)

 

ด้วยความรู้สึกว่า

จิตของเรา มีกำลัง

จิตของเรา มีความสุข

จิตของเรา มีความสว่าง


พอนึกถึงหน้าใคร ก็เหมือนกับเขาได้มาร่วมรับความสุข แบบเดียวกับเรา เหมือนมาอยู่ในสระ สระเดียวกันกับเรา


ทีนี้ ลืมตาขึ้นดูรูปนะ แล้วมองนะครับ แค่มองเฉยๆ นะ ว่าความสุขที่มาจากกลางภาพ ใจของคุณ ฝั่งหนึ่งที่มีความสุขอยู่ เท่าที่กำลังรู้สึกอยู่ตามจริง ที่ปรากฏอยู่ในอิริยาบถนั่งบัดนี้ กับความรู้สึกที่อยู่ในรูป อีกฝั่งหนึ่ง


เราจะสามารถแยกได้นะ ฝั่งของเรา คือฝั่งที่อยู่ในอิริยาบถนั่งนี้ ฝั่งของอีกทางหนึ่ง ของคุณชูอยู่ในรูปนะครับ


รู้สึกไหมว่า ความสุขที่มาจากกลางภาพ มีมากขึ้น


จริงๆ ก็ขยายมาจากขอบเขตความรู้สึกของคุณเองนั่นแหละ แต่ว่าถ้าคุณสงสัยว่า อันนี้ไปถึงเจ้าตัวจริงหรือไม่จริง อาจยังคลุมเครือ ถ้าหากว่าคุณแยกไม่ได้นะ ว่าความสุขของคุณ ฝั่งของคุณอยู่ที่อิริยาบถนั่งนี้ ของคุณชูอยู่ในภาพนั้น ที่อยู่ตรงหน้า


จริงๆ แล้วจะรู้ชัด ก็ต่อเมื่อสมาธิคุณมีความตั้งมั่น จิตมีความละเอียด ประณีตระดับสูง แต่อย่างน้อย ถึงแม้ว่าคุณจะแค่รู้สึกเฉยๆ ว่า เหมือนคุณชูมีความสุขมากขึ้น อย่างน้อยคุณได้เกิดความรู้สึกว่า ทำอะไรให้คนตายได้จริงๆ แล้ว


คือสัมผัส รู้สึกอยู่ด้วยตัวเองว่าใจคุณ สงสารเขาน้อยลง หรือว่าเกิดความรู้สึกว่าได้แบ่งอะไรดีๆ ให้เขาไปบ้างแล้ว


ตรงนี้ เราก็มาคุยกันนิดหนึ่ง ก่อนที่จะทำสมาธิรอบสองนะครับ


คือหลายๆ คนน่าจะรู้สึกได้ว่า ในภาพส่งความสุขตอบกลับมา หรือว่ามีความสุขเกิดขึ้นที่ภาพ แต่จะยังไม่แน่ใจว่าอันนี้ เป็นเรื่องจริง หรือไม่จริง ไปถึงหรือไปไม่ถึง


ผมจะเล่าให้ฟังง่ายๆ อย่างนี้ก็แล้วกัน อย่างเช่น การบรรจุความสุข ทะเลเมตตาลงในภาพขององค์พระ อันนี้เท่าที่รับรู้ด้วยตาเปล่า แล้วก็สัมผัสด้วยใจว่าองค์จริงท่านมีความสว่างขึ้นมหาศาลจริงๆ


เพราะฉะนั้น ตรงนี้ ในส่วนของผมบอกได้ว่า พลังเมตตาที่พวกท่านทั้งหลายได้ถวาย บรรจุร่วมกันลงสู่องค์พระ เป็นของจริง ลงมาจริง มาถึงจริง


อันนี้ก็เช่นกัน เวลาที่เราอุทิศส่วนกุศลให้กับคุณชู เราก็จะมาแสดงความรับรู้จากประสบการณ์ตรงร่วมกัน เดี๋ยวช่วยทำโพลนะครับ

 

คำถามง่ายๆ ว่า

คุณรู้สึกถึงความสุขที่ออกมาจากกลางภาพหรือไม่?

รู้สึกชัด / รู้สึกบ้าง / ไม่รู้สึกเลย

 

เอาตามจริงนะครับ สำหรับท่านที่มองไม่เห็นโพลนะครับ วิธีดูโพล ให้ดูขีดสามขีด ที่อยู่ข้างล่าง

 

ภาพนี้สำหรับไอแพด/ ไอโฟน หรือโทรศัพท์แอนดรอยด์นะครับ



แต่ถ้าหากเป็น PC ให้กดที่สามขีดตรงกลางอย่างนี้


เดี๋ยวพอทำโพลเสร็จ เราจะมานั่งกันอีกรอบหนึ่ง แล้วจะได้สร้างสระแห่งความสุข หรือทะเลเมตตาขึ้นมากันอีกแบบหนึ่ง


อันนี้เราทำ workshop กันไปแล้วนะครับ


คิดว่าผลโพลน่าจะออกมาชัดเจนนะ เดี๋ยวจะให้ดูนะครับ

 



อันนี้คือ เท่าที่ทำตามที่ผมไกด์ไปนะ ที่บอกว่าไม่รู้สึกเลย ไม่ใช่ว่าไม่ได้ร่วมนะ คุณก็ร่วมทำสมาธิแล้วก็แผ่เมตตามาด้วยกันนั่นแหละ เพียงแต่จะเห็นหรือไม่เห็น ขึ้นอยู่กับปัจจัยอะไรหลายๆ อย่างนะครับ


แล้วก็เดี๋ยวรอบสอง อย่างไรผมเชื่อว่าจะต้องเห็นความแตกต่างแน่


ตอนนี้ รู้สึกชัด 24% คือ 1 ใน 4 .. จำนวนมากกว่ากลุ่มที่ไม่รู้สึกเลย .. กลุ่มที่ไม่รู้สึกเลยก็ประมาณ 1 ใน 4 แต่ไม่ถึงดี


ที่รู้สึกชัด 24% จากพันคน ถ้ารวมแล้วก็ประมาณ 250 คน ตรงนี้จะรู้สึกนะครับว่า ความสุขของเราฝั่งนี้ ที่อยู่ในอิริยาบถนั่งนี้ ความสุขของเขาที่อยู่ในภาพอีกฝั่งหนึ่ง จะแยกเป็นต่างหากจากกัน


และตรงนั้น พูดกันง่ายๆ พูดกันตรงๆ ผมรู้สึกได้ถึงความมีกำลังมากขึ้น ความมีปีติมากขึ้นของคุณชูนะ ซึ่งอีก 56% บอกว่า รู้สึกบ้าง คุณคงพอเข้าใจว่าผมพูดถึงอะไร คือความรู้สึกที่ดีขึ้นของคนในรูป


ถ้าหากว่าเราไม่ได้เห็นรูปเลย แล้วรู้สึกอย่างเดียวว่าคุณชู .. รู้สึกว่าเขาสว่างขึ้น ก็อาจนึกไม่ออกว่าเป็นความสุขประมาณไหน


แต่พอเราได้เห็นรูปเขาแบบนี้อย่างชัดเจน ก็จะรู้สึกได้ว่าหน้าตาแบบนี้แหละ ที่เราส่งไปให้ หน้าตาแบบนี้แหละ ที่กำลังรู้สึก มีความสุข แชร์ความสุขไปจากเรา


(ฟีดแบ็คหลังแผ่เมตตา)


เดี๋ยวจะอ่านให้ฟังประมาณ 2-3 คนนะครับ เอาแค่ 2-3 คนเพื่อที่จะร่วมรับรู้นะว่ามีความรู้สึกกันอย่างไรแล้วผมจะบอกไปด้วยนะครับว่าที่รู้สึกอย่างนั้น มีที่มาที่ไปอย่างไร

 

- ภาพมีออร่า ดูสว่างนวลขึ้น

 

จริงๆ เป็นจิตของคุณเองนะ ที่สว่างนวลขึ้น แต่ถ้าหากสัมผัสรู้สึกถึงเป้าหมาย คือตัวภาพ ว่ามีความสุขมากขึ้นนี่นะ อันนี้ก็คือเขามีพลัง ที่ได้รับการแชร์ไปจากเราจริงๆ

 

ภาพที่เราเห็น .. ถ้าคุณทำ แล้วทำเป็น ทำบ่อยๆ จะเข้าใจเอง จะแยกชัดออกมาเป็นฝั่งเรา กับฝั่งเขา ได้กระจ่างมากขึ้นเรื่อยๆ นะครับ

 

- เหมือนเห็นหน้าคุณชูสว่างขึ้น

 

อันนี้ไม่ได้นัดหมายกัน แต่พูดตรงกัน และผมก็อธิบายซ้ำอีกที เป็นจักขุวิญญาณของคุณเองนะครับ ที่สว่างขึ้น ที่เห็นตัวภาพสว่างขึ้น

 

แต่ถ้ารู้สึกทางใจว่าคุณชูสว่างขึ้น หรือมีความสุขมากขึ้น อันนั้นเป็นสัมผัสที่เรารู้ว่าคุณชูได้รับจริงๆนะครับ

 

- ตอนแรกรู้สึกมืดดำ เมื่อมองภาพครั้งแรก พอหลังจากได้แผ่เมตตาให้ ก็รู้สึกสว่างขึ้น เหมือนแสงอรุณรุ่ง

 

อันนี้เป็นความรู้สึกที่จะตรงกันนะครับ

 

- ไม่แน่ใจ รู้สึกว่าคุณชูยิ้มนิดๆ

 

จริงๆ คือเราเองที่ยิ้ม เดี๋ยวคุณจะเข้าใจนะครับ ลักษณะของการยิ้ม ลักษณะของความสว่างขึ้น ที่เราสัมผัสได้ กับที่เรารู้สึกอยู่ในฝั่งของเรา จะแตกต่างกันอย่างไร

 

ตอนนี้ ถ้าพูดกันแบบตรงไปตรงมาเลย คุณชูนี่ สว่างขึ้นจริง มีความสว่างอย่างใหญ่ที่ยิงไปที่คุณชูจริงๆ และที่ทุกคนรู้สึกว่าดีขึ้น รู้สึกมีความสุขมากขึ้น ร่วมไปกับคุณชูด้วย นี่คือของจริง ไม่ใช่ของหลอก

 

ถ้าเป็นความรู้สึกเหมือนกับว่า ร่วมอยู่ด้วยกัน กระแสเดียวกัน มีกองทัพของความสุข มีกองทัพของกัลยาณมิตร ที่ช่วยกันอยู่ อันนี้ก็จะทำให้เกิดความรู้สึกดีร่วมกัน เกิดกระแสของกุศลธรรมอย่างใหญ่ไปด้วยกัน

 

เดี๋ยวจะขอคุยกับคุณนุ่นนิดหนึ่ง

 

ดังตฤณ : ตอนนี้ เอาความรู้สึกของผู้เป็นภรรยา คุณนุ่นรู้สึกอย่างไร

 

คุณนุ่น : หนูรู้สึกเบาใจขึ้น แล้วก็ฟังอาจารย์ก็ไม่ค่อยกลัวเขาเท่าไหร่ค่ะ

 

ดังตฤณ : เดิม เรากลัวเขาใช่ไหม ไหนลองเล่าสิ เกิดอะไรขึ้นกับความรู้สึกทางใจของเรา แล้วก็กับลูก

 

คุณนุ่น : หนูมานอนบ้านแรกๆ ก็ไม่คิดอะไร แต่เพื่อนมาก็บอกว่า เขาต้องมาตายซ้ำ คนตายแบบนี้จะไม่ไปไหนนะ จะเฮี้ยน หนูก็จินตนาการตามทุกคนพูด ก็จิตตก ลูกก็กลัวด้วยค่ะ

 

ดังตฤณ : แล้วตอนนี้ นาทีนี้เลยล่ะ

 

คุณนุ่น : ตอนนี้ก็เบาใจขึ้นค่ะ อาจารย์บอกว่าเขาน่าสงสาร แต่หนูไปกลัวเขาค่ะ

 

ดังตฤณ : ใช่ นั่นแหละ คือคนเรากลัวจินตนาการตัวเอง คนเรานี่นะ ไปเอาความจำจากในหนัง ในภาพยนตร์ว่า ผีหน้าตาเละเทะ หน้าเกลียดน่ากลัว

 

คือจริงๆ อันนี้พูดแฟร์ๆ จะมีสภาพที่น่าเวทนาอยู่จริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ตายเพราะการฆ่าตัวตาย

 

แต่สำหรับกรณีคุณชู ไม่ได้ตั้งใจนะ เอาตามความรู้สึกส่วนตัวนะ

 

ทีนี้ ประเด็นคือเมื่อเราอุทิศส่วนกุศลร่วมกัน อุทิศส่วนกุศลในแบบที่เป็นความสุข ทุ่มความสุขใส่เขา ความรู้สึกของเราเอง อันดับแรกเลย แน่นอนก็คือ มีความสุขมากขึ้น ถูกไหม นุ่น .. ตอนนี้เรามีความสุขทางใจมากขึ้นใช่ไหม

 

คุณนุ่น : ค่ะ หนูมีความสุขทางใจ และคิดสงสารเขา

 

ดังตฤณ : ตรงรู้สึกสงสาร ตรงรู้สึกว่าเรามีกำลังที่จะช่วยเขา ไม่ใช่ไร้แรง ไร้กำลังแล้วไปกลัวเขา อันนี้คือสิ่งที่จะเปลี่ยนไป สิ่งที่จะแตกต่างไปนะ แล้วตรงนี้แหละ ที่เราจะมาทำให้เกิดความเข้าใจร่วมกันในคืนนี้ ในรอบสองนะครับ เดี๋ยวเราจะมานั่งสมาธิร่วมกันอีก แต่ว่าครั้งนี้ จะเป็นการนั่งสมาธิแบบ 8 นาทีนะ

 

เมื่อครู่นี้ 16 นาที คราวนี้ เป็น 8 นาที

 

ก่อนที่จะไปถึงตัว 8 นาที เดี๋ยวขอคุยกับคุณนุ่นอีกแป๊บหนึ่ง เพื่อที่จะไกด์ .. เดี๋ยวพอหลัง 8 นาทีนี้เสร็จ เราจะอธิษฐานร่วมกันอีกครั้ง แต่ตอนนี้ ขอให้คุณนุ่น .. อันนี้ทำให้เป็นตัวอย่างกับทุกคนได้เห็นด้วยนะครับ

 

คือใจของเรา เชื่อมต่อกับเขา ด้วยบุญอันเป็นสุข เดิมเราเชื่อมต่อกับเขาด้วยอารมณ์แบบโลกๆ นึกออกไป ผัวเมียกัน จะมีเรื่องน้อยใจกันบ้าง เรื่องเสียใจบ้าง หรือเรื่องอย่างเช่นที่ว่า พอเขาเสียชีวิตในบ้าน เราก็กลัวเขา อันนี้คือลักษณะที่เราเชื่อมใจอยู่กับเขาอยู่

 

แต่พอเราได้อุทิศส่วนกุศลแล้วมีความรู้สึกว่าใจของเราเป็นสุขมากขึ้น ตอนนี้จะไม่ได้เชื่อมต่อกับเขาด้วยลักษณะแบบเดิมๆ แบบโลกๆ แล้ว แต่จะเริ่มมีลักษณะการเชื่อมต่อด้วยบุญ ด้วยความสุขนะครับ

 

ซึ่งคุณนุ่นจะเริ่มมีความสามารถที่จะระลึก นึกถึงบุญกุศลที่เคยทำร่วมกันมา คุณนุ่นพอบอกได้ไหมว่า มีโมเมนท์ไหน ที่เราทำบุญร่วมกับเขา หรือช่วยคนร่วมกับเขา หรือทำอะไรดีๆ ก็ตามร่วมกับเขาแล้วเรามีความสุขมากที่สุด พอเล่าให้ฟังได้ไหม

 

คุณนุ่น : ไปทำบุญพระธาตุ ไปเที่ยวงาน ปล่อยนกปล่อยปลาค่ะ

 

ดังตฤณ : ตรงนี้ พอนึกถึงโมเมนท์ที่มีความสุขที่สุด จังหวะที่เรารู้สึกดีที่สุดกับเขา ที่รู้สึกว่าอุ่นใจอยู่เคียงข้างกัน แล้วก็ทำอะไรดีๆ ด้วยกัน ตอนนี้ คุณนุ่นนึกออกใช่ไหม นึกออกได้ชัดเจนใช่ไหม นึกถึงความรู้สึกนี้ไว้นะ

 

ความรู้สึกนี้ ถ้าหากว่าเราทำไว้ในใจเหมือนกับคุยกับคุณชู ราวกับว่าเขายังมีชีวิตอยู่ตรงหน้า เหมือนกับพูดให้เขานึกถึง พูดในใจนะ ให้เขานึกถึงว่า เคยไปทำบุญที่พระธาตุมา เคยไปเที่ยวงานบุญมาด้วยกัน แล้วก็เกิดความรู้สึกนี้เรายังจำได้อยู่นะ ขอให้เขานึกออกแบบเดียวกันกับเรา

 

นี่จะเป็นการที่เราผูกบุญในแบบที่ทำให้เกิดความรู้สึกว่า พอนึกถึงเขานี่ เป็นความรู้สึกที่ดี ไม่ใช่ความรู้สึกหวาดกลัวอีกต่อไป

 

ตอนนี้คุณนุ่นนึกออกไหม รู้สึกอย่างไร

 

คุณนุ่น : ค่ะอาจารย์ รู้สึกว่าไม่ค่อยจิตตกกับเขาแล้วค่ะ

 

ดังตฤณ : นี่คือสิ่งที่ต้องการ นี่คือสิ่งที่เราจะสามารถรู้ได้ด้วยตัวเองว่า เมื่อไหร่ก็ตาม ที่จิตของเรามีความเข้มแข็งในทางที่เป็นกุศล แล้วนึกถึงบุญกุศลกับผู้เสียชีวิตไปแล้วนะครับ

 

สิ่งที่จะเกิดขึ้นเป็นธรรมดาคือ เราสามารถผูกใจกับเขาในทางที่ดี ในทางที่เป็นบุญ และในทางปฏิบัติ เวลาที่เรานึกถึงอย่างนี้ ด้วยอาการแบบนี้ ตัวเขาเองในอีกโลกหนึ่ง ซึ่งอยู่ซ้อนกันกับเรานี่แหละ ก็จะมีความรู้สึกราวกับว่า เรามาเตือนให้นึกถึงอะไรดีๆ

 

พูดง่ายๆ ว่า เป็นวิญญาณที่สามารถระลึกถึงบุญกุศลแต่หนหลังของตัวเองได้

 

คุณนุ่นเล่านิดหนึ่ง ช่วงที่ผ่านมา เหตุที่กลัวไม่ใช่เพราะนึกอย่างเดียวใช่ไหม แต่มีเสียงด้วยใช่ไหม

 

คุณนุ่น : มีค่ะ แต่บางครั้งอาจเป็นแมวหรืออะไร แต่หนูก็ไปจินตนาการที่คนแก่พูด เพื่อนพูด เพื่อนก็โทรมาถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง กลัวไหม

 

ดังตฤณ : นับจากนี้เป็นต้นไปนะ พอได้ยินเสียงอะไรก็ตาม จะเสียงก๊อกแก๊ก เสียงแมว หรือเสียงใครทักมาก็ตาม ให้เรานึกว่านั่นเป็นเสียงที่กระตุก ให้เรานึกถึงอะไรที่เป็นอกุศล หรือน่ากลัว น่าหวาดกลัว

 

แล้วทุกครั้ง ทันทีที่ได้ยินเสียงแบบนี้ แล้วเกิดความกลัวขึ้นมา ก็ให้ย้อนกลับมานึกถึงตอนนี้ ที่เมื่อกี้ผมบอกว่า นึกถึงตอนที่เราไปทำบุญพระธาตุด้วยกัน แล้วก็คิดเหมือนเขายังมีชีวิตอยู่อย่างนี้

 

เอาโมเมนท์ จังหวะที่เราเคยรู้สึกดีที่สุดที่ได้อยู่กับเขา เหมือนกับเขายังมีชีวิตอยู่ มาเป็นตัวเปลี่ยนให้จิตของเรานึกถึงเขาในทางที่เป็นบุญ ในทางที่เป็นกุศล เข้าใจนะ

_________________

 

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน ร่วมอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับ

- ช่วงแผ่เมตตาหลังนั่งสมาธิรอบแรก+ฟีดแบค

วันที่ 11 กรกฎาคม 2564

ถอดคำ : เอ้

รับชมคลิป :

https://www.youtube.com/watch?v=5Ep6QTxpB5k&t=1159s

 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น