วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2564

01 ปฏิบัติธรรมที่บ้าน : รู้จักขันธ์ 5 จากสมาธิจิต ช่วงเกริ่นนำ

ดังตฤณ : สวัสดีครับทุกท่าน พบกับรายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน คืนวันเสาร์ สามทุ่ม

 

คืนนี้เรามาว่ากันเรื่อง รู้จักขันธ์ 5 ก็คือกายใจนี้

โดยไม่ใช่ใช้ความคิด ไม่ได้ใช้ทฤษฎี แต่ใช้สมาธิจิต นะครับ

 

แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น เรามาทบทวนอะไรกันนิดหนึ่ง

 

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว.. เสาร์ก่อน เราได้อุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ล่วงลับของจริงนะ เป็นเวิร์กช็อปที่ได้ทำกันไป แล้วก็ถ้าใครอยู่เมื่อเสาร์ที่แล้ว ก็คงได้ทราบนะครับว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร

 

คนทั่วไปก็เถียงกันอยู่ว่า ชีวิตหลังความตายมีจริงหรือเปล่า

 

ส่วนคนที่อุทิศส่วนกุศลเก่งๆ

ยังไม่ต้องมีตาทิพย์ รู้เห็นโลกหลังความตาย ไม่ต้องเห็นโลกวิญญาณ

คนที่อุทิศส่วนกุศลเก่งๆ ก็ข้ามช็อตนั้นไปแล้ว ว่ามีจริงหรือไม่มีจริง

 

เพราะถ้าอุทิศเก่ง อุทิศด้วยสมาธิ

ในขณะที่จิตเป็นสมาธิ ในขณะที่จิตพร้อมจะสัมผัสอะไรๆ

ที่เป็นความรู้สึก เป็นสุขเป็นทุกข์

ทั้งภายใน คือตนเอง แล้วภายนอกคือคนอื่น

ก็จะสามารถรู้ได้ ว่ามีหรือไม่มี

 

คือข้ามช็อตไปแล้ว ว่ามีจริงหรือไม่มีจริง

แต่เห็นว่าคนๆหนึ่ง สามารถตายสว่าง หรือตายมืด

อุทิศส่วนกุศลไปแล้ว เขาดีขึ้น .. ดีขึ้นง่ายๆ หรือ ดีขึ้นอย่างยากเย็น

ก็จะเป็นเรื่องที่รู้เฉพาะตน เป็นปัจจัตตังนะครับ

 

ย้ำนะครับ.. หลายท่านบอกว่าดูภาพ (คุณชู ผู้ล่วงลับ)

ก่อนและหลังการอุทิศส่วนกุศล แล้วเห็นภาพเป็นออร่าสว่างขึ้น

 

ขอย้ำนะครับว่า เป็นจักขุวิญญาณของคุณเองที่สว่างขึ้น

ไม่ใช่ออร่าของผู้ตายนะครับ

 

ถ้าใจคุณสัมผัสว่า เขามีความรู้สึกอย่างไรต่างหาก

อันนั้นแหละ ถึงจะเรียกว่าเป็นสัมผัส

แต่เราไม่ได้มุ่งเน้นไปถึงตรงนั้น

 

เรามีความตั้งใจว่า ที่ฝึกๆ กันไป

ไม่ว่าจะเป็นแผ่เมตตา หรืออุทิศส่วนกุศล

เพื่อที่จะให้เห็นว่า สักแต่เป็นรูปเป็นนามเหมือนกับเรา

 

คราวนี้ผมก็เลยอยากจะขอทำโพลก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวอธิบายนะว่าคำตอบจากโพล เปอร์เซ็นต์ที่ได้จากโพล มีความหมายเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันอย่างไรกับการฝึกในคืนนี้ .. เห็นขันธ์ 5 โดยจิตที่เป็นสมาธิ นะครับ 

 

โพลง่ายๆ เลย คือ

หลังอุทิศส่วนกุศล  คุณรู้สึกว่าตัวเองใจดีกับผู้คนมากขึ้นไหม

ใจดีขึ้นมาก / ใจดีขึ้นบ้าง / ใจร้ายเหมือนเดิม

 

ผม อยากทราบเป็นเปอร์เซ็นต์นะครับว่า

คุณรู้สึกว่าระหว่างสัปดาห์ที่ผ่านมา ตั้งแต่วันอาทิตย์ถึงคืนวันเสาร์นี้

รู้สึกว่า ใจดีกับผู้คนขึ้นหรือเปล่า

 

ตัวคำตอบ จะมีความหมายมากๆ สำหรับที่จะทำความเข้าใจร่วมกัน ในเบื้องต้นนะครับ

 



คำถามจริงๆ คือ หลังอุทิศส่วนกุศลแล้ว ใจดีขึ้นหรือเปล่า

 

ถ้าใจสบายขึ้นเป็นปกติ หรือว่าไม่หมกมุ่นครุ่นคิดเท่าเดิม ก็ถือว่า ใจดีขึ้นนั่นแหละ

 

เพราะว่าคนหมกมุ่นครุ่นคิดมากๆ เจ้าคิดเจ้าแค้น ชอบพยาบาท หรือว่าคิดเล็กคิดน้อย โดยมากแล้ว จะเป็นคนที่มีจิตใจที่ไม่สบาย แล้วก็จะวัดกันได้ เทียบเคียงกันได้อย่างแตกต่างเห็นได้ชัดนะครับ

 

ถ้าหากว่า ใจรู้สึกสบายเป็นปกติ จะรู้สึกอยากใจดีกับผู้คนมากขึ้น

จะมีความรู้สึกว่า เราพร้อมจะเมตตากับผู้คนมากขึ้น

ซึ่งก็ถือว่า ได้คำตอบที่จะเอามาเป็นคำอธิบายนะครับ ว่าเชื่อมโยงกันอย่างไรกับการปฏิบัติคืนนี้

 

การที่เราต้องฝึกอุทิศส่วนกุศล หรือแผ่เมตตา

จะเข้ากันได้ กับคำว่ามีเมตตา

 

พระพุทธเจ้าตรัสว่า

ผู้ใดก็ตาม เจริญเมตตาอยู่ในแบบที่เป็นสมาธิ

แบบที่เราอุทิศส่วนกุศล หรือว่าแบบที่เราแผ่เมตตา

ในลักษณะที่แผ่ออกไปตามทิศต่างๆ อย่างนี้

 

ท่านตรัสว่า เป็นผู้อยู่ใกล้ ฌาน

 

เอาง่ายๆ ถ้าคุณมีจิตใจเมตตาเป็นปกติ ไม่ว่าด้วยวิธีไหนก็ตาม

จะไปแจกข้าวของ หัดให้อภัย หรือมาอุทิศส่วนกุศลพร้อมๆกัน

 

แล้วได้ความรู้สึกว่า เราช่วยใครคนหนึ่งจริงๆ

ทั้งทางตรง แบบจับต้องได้

และทางอ้อม แบบลึกลับอย่างที่เราทำกัน

 

คือลึกลับในแบบที่ ไม่รู้ว่าไปถึงจิตวิญญาณดวงนั้นจริงหรือเปล่า

แต่ว่า คุณรู้อยู่กับตัวเองว่า ใจคุณมีความรู้สึกเป็นสุข

มีความรู้สึกว่า พร้อมจะให้อะไรออกมาจากใจ

 

ทั้งหลายทั้งปวง.. ธรรมทั้งปวงไหลมาแต่ใจ

 

ถ้าหากว่า ใจดีใจสบาย ใจรู้สึกว่ามีความผ่องแผ้ว

มีความพร้อมที่จะให้อะไรใครก็ได้ ทั้งข้างใน และภายนอกที่จำเป็น

เห็นว่าคนลำบากอยู่แล้ว ก็อยากให้

 

ทีนี้คือ พอเรารู้สึกว่าใจดีใจสบาย

คุณลองสังเกตว่า พอนั่งสมาธิ จะสงบง่ายขึ้นไหม

มีความรู้สึก ยักแย่ยักยันน้อยลงไหม

มีความรู้สึกตะขิดตะขวง เหมือนมีอะไรคาใจ

เหมือนมีอะไรต้องคิด ต้องยุ่งอยู่ในหัวหรือเปล่า

 

คุณจะพบว่า การที่ใจของเรามีเมตตา

การที่ใจของเราพร้อมแผ่ออก เป็นความสุข

เอาความสุขแผ่ออกไปจากภายใน

จะเป็นใจที่พร้อมจะเข้าสมาธิ

 

พระพุทธเจ้าใช้คำว่า

ผู้อยู่ในสมาธิแบบเมตตาได้ แม้แต่ชั่ววินาทีเดียว ที่

เรียกว่า ลัดนิ้วมือเดียว .. เป็นผู้อยู่ใกล้ฌาน

คือพร้อมจะเข้าสมาธินั่นเอง

 

แล้วพอพร้อมจะเข้าสมาธิ

เรายังพร้อมที่จะเห็นกายใจ โดยความเป็นขันธ์ ๕ ได้ง่ายขึ้นด้วย

 

เพราะว่า พระพุทธเจ้าตรัสไว้อีกที่หนึ่ง ในธรรมบทนะครับ

ท่านบอกว่า ฌานและปัญญามีอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นใกล้นิพพาน

 

ใกล้นิพพาน หมายความว่าอย่างไร

หมายความว่า มีความพร้อม ที่จะเห็นว่า

สภาพทางกายทางใจ จริงๆ แล้วสักแต่เป็นรูปนาม

แยกแยะออกได้แบบละเอียดเป็นขันธ์ห้า

เป็นขันธ์ห้ากอง เป็นการรวมเอาของหลอก

 

ของหลอกตา หลอกใจ มารวมกันชั่วคราว

ให้นึกว่ามีตัวตน ให้นึกว่ามีตัวเรา

 

แล้วเสร็จแล้วก็เกิดการแบ่งข้าง เกิดการทะเลาะเบาะแว้ง

เกิดการรบพุ่งกัน เกิดการแย่งสมบัติกัน

มีความตระหนี่ มีความรู้สึกว่า ไม่อยากเสียสิ่งที่ตัวเองมีดีๆ ไป

แต่ถ้ามีอะไรร้ายๆ ก็อยากผลักไสออกจากตัว

 

ตรงนี้นี้ถ้าหาก เราเข้าถึงว่า ที่นึกว่ามีตัวเราอยู่

จริงๆ เป็นของหลอกมาประชุมกันห้าอย่าง ห้ากอง

เหมือนกองไฟห้ากองที่ลวงตา

ก่อตัวขึ้นแล้ว ลวงตา ลุกเป็นไฟ ลุกเป็นความร้อน

แต่เรานึกว่าเป็นของดี เป็นความเย็น

 

ทีนี้ เรารู้แล้วว่า ผู้อยู่ในเมตตาสมาธิ คือผู้ไกลฌาน

ผู้มีทั้งฌาน และปัญญา คืออยู่ใกล้นิพพาน

 

เรารู้อย่างนี้แล้ว ปัญหาอยู่ตรงที่

ในทางปฏิบัติ เวลาแผ่เมตตา เราแผ่กันไม่เป็น ก็จะไม่เกิดอะไรขึ้นเลย

และปัญหายังติดอยู่อีก คือพอแผ่แล้ว พอแผ่เป็น

บางทีไปเห็นโน่นเห็นนี่ หรือว่าเกิดความกลัวขึ้นมา

ที่เห็นสิ่งที่ไม่คาดฝันว่าจะได้เห็นนะครับ

 

เพราะฉะนั้น เป็นธรรมดา ถึงแม้ว่าบางทีได้สมาธิแล้ว ก็ยังกลัวผีกันอยู่

 

เราก็เลยจะมาเคลียร์กันให้เห็นชัดๆ เลยนะว่า

มุมมองที่ผิดพลาด จะเคลียร์ออกไปได้อย่างไร

เราจะแผ่เมตตาอย่างไร อุทิศส่วนกุศลอย่างไร

ให้มีแต่ดีกับดีอย่างเดีย วมีแต่ดีกับดีท่าเดียว ของเสียๆ เอาออกไป

 

ซึ่งเรื่องแบบนี้ เรื่องหลังความตาย เรื่องผีเรื่องสาง ที่คนเรามักกลัวกัน

แบบมีเหตุผลบ้างเพราะเคยเจอ

หรือว่าไม่มีเหตุผล คือไม่เคยเจอทั้งชีวิต

แต่ก็กลัวนั่นแหละ กลัวว่าจะเจอผี

 

ฉะนั้นคือเรื่องพรรค์นี้ พอผมมาพูดอยู่คนเดียว

จะเหมือน พูดเอง เออเอง สรุปเอง แล้วก็ไม่รู้ว่าคนฟัง

จะเชื่อหรือไม่เชื่อ ชอบหรือไม่ชอบ

 

คืนนี้ผมมีคนๆ หนึ่งในใจนะครับ ที่อยากได้เป็นเพื่อนคุย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับรายการในคืนนี้ เป็นคนที่ยุคไอทีเราให้การยอมรับ แล้วก็เป็นที่รู้จักกว้างขวางขึ้นเรื่อยๆ ว่ารู้เรื่องผี และเรื่องโลกวิญญาณจริงนะครับ

 

ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะว่าเราไปรู้เห็นตามเขา แต่ว่าเขาเเสดงให้เห็นความจริงว่า เขามีหลักฐาน

 

หลักฐานที่ว่า ก็คือการเห็นสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็น

 

คงไม่ต้องแนะนำกันมากนะครับ หมอบี - เสกสันน์ ทรัพย์สืบสกุล

 

ซึ่งคนก็มักจะเลื่อมใสคุณบี จากความน่ากลัวกว่านายทะเบียน

แต่ผมจะเลื่อมใสคุณบี จากการที่คุณบีใช้ความสามารถของตัวเอง

ช่วยให้คนบนเส้นทางบาป เปลี่ยนมาเดินบนเส้นทางบุญ

เปลี่ยนมิจฉาทิฎฐิ ให้เป็นสัมมาทิฏฐิ

แล้วก็รวมทั้งความเสียสละ อุทิศตัวให้กับการทำสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่าถูกต้อง

ซึ่งสำคัญมาก

 

ถ้าหากว่าเรามีความสามารถ แต่ว่าใช้ความสามารถในทางที่ผิด หรือไม่สามารถช่วยให้คน เปลี่ยนจากมิจฉาทิฏฐิ เป็นสัมมาทิฏฐิได้

 

ความสามารถทั้งหลาย ก็เป็นแค่สิ่งที่ต้องทิ้งไว้ในโลกนี้เฉยๆ เปล่าๆ นะ

 

ดังตฤณ : คุณบี น่าจะอยู่ในสายกับเราแล้ว สวัสดีครับ ขอบคุณมาก เป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่หมอบีมาร่วมรายการปฏิบัติธรรมที่บ้านกับพวกเรานะครับ

 

ก่อนอื่นเลยผมขอถามง่ายๆ เลยนะ อย่างที่หลายคนน่าจะอยากทราบนะครับว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คืนวันเสาร์ เราอุทิศส่วนกุศลให้คุณชู ตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกับคุณชูบ้าง

 

นี่คือไม่ได้เตี๊ยมอะไรกับหมอบีไว้นะครับ แค่บอกเฉยๆ เกริ่นเฉยๆ ก่อนเข้ารายการว่าเราจะคุยกันเรื่องนี้ แต่ยังไม่ได้บอกอะไร ว่าจะมีคำถามแบบไหนเดี๋ยวรอฟังคำตอบจากหมอบีแล้วกัน

 

หมอบี : เรียนตามตรงนะครับ ผมไม่ได้รู้จักเขา ว่าเขาเป็นใคร อะไร อย่างไร แต่ผมเข้าใจว่า .. ด้วยความที่วิถีชีวิตเขา ไม่ได้อยู่ในหนทางที่สุขสบายมาก ประกอบกับมีภาระ และมีความทุกข์ในชีวิตค่อนข้างเยอะ ก่อนที่ก่อนที่จะเสียชีวิต

 

(ดังตฤณ : ใช่ครับ)

 

แล้วเขาก็จะ .. ไม่แน่ใจ .. เหมือนกับว่าเขาต้องไปทำงานที่ไหน เข้าใจว่าเขาน่าจะขับรถบรรทุก

 

(ดังตฤณ : ใช่ครับ เป็นคนขับรถบรรทุก)

 

แล้วก็จริงๆ ในญาติพี่น้องเขา จะมีทั้งคนที่ได้ดีสุดๆไปเลยก็มี แล้วก็ไม่ดีเลยก็มีอะไรแบบนี้ อย่างอยู่ในราชการก็มี ก็เลยเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขารู้สึกว่า มีปม แล้วรู้สึกค่อนข้างเศร้าสร้อยตลอดเวลา

 

(ดังตฤณ : คือพร้อมจะเศร้าตลอดเวลาอยู่แล้ว ก่อนที่จะเสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย)

 

ครับ ฉะนั้นการแผ่เมตตาไปให้เขา ก็ค่อนข้างเป็นเรื่องยากนิดหนึ่ง

 

นอกจากที่เราจะมีใจที่บริสุทธิ์ แล้วก็แผ่เมตตาแบบไม่มีประมาณแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผู้เสียชีวิตจะรับได้ อันนี้ ต้องอาศัยคนที่สามารถแผ่เมตตา ด้วยใจที่เป็นอุเบกขาได้อย่างแท้จริง ถึงจะสามารถส่ง ทะลุเข้าไปถึงถึงเขาได้

 

ดังตฤณ : เอาล่ะ ก็จะมาได้คำตอบจากหมอบีนะ

 

จริงๆแล้ว ผมก็พูด เคยบอกเสมอนะว่า การอุทิศส่วนกุศล ไม่ใช่ว่าใจเรารู้สึกว่าสบาย ใจเรารู้สึกมีความสุขแล้ว หรือแม้กระทั่งว่า ลืมตาขึ้นมาเห็นรูปคนตายสว่างขึ้น จะหมายความว่าเขาเลื่อนขั้น หรือว่าได้ดิบได้ดีแล้ว ไม่ได้ง่ายแบบนั้น

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การฆ่าตัวตายในขณะที่จิตยังโศกเศร้าอยู่ ถึงแม้ว่าได้รับพลังมหาศาล มีความสว่างมีเมตตาไม่มีประมาณไปถึงเขา ก็อาจจะได้กำลังขึ้นมาชั่วระยะหนึ่ง ใช่ไหมหมอบี

 

หมอบี : เหมือนรดน้ำเย็นลงไปครับ

 

ดังตฤณ : ซึ่งตรงนี้ ก็จะได้ทำให้ตระหนักนะ เพราะหลายคน มีนะ บางคนนี่ก่อนฆ่าตัวตาย ยักแย่ยักยันอยู่ว่าจะเอาดีไม่เอาดี

เข้าใจว่าเดี๋ยวคงมีคนอุทิศส่วนกุศลไปให้

แล้วก็เข้าใจว่าพออุทิศส่วนกุศลแล้ว

ก็จะได้เลื่อนขั้น แล้วไปสบายง่ายๆ .. แต่จริงๆมันไม่ใช่

 

ทีนี้ ประเด็นคือที่เราอุทิศส่วนกุศลไป

แน่นอนว่าถ้าเราโฟกัสที่เขาจริงๆ และไปถึง

แต่ไม่ได้หมายความว่า พออุทิศส่วนกุศลให้เขาแล้ว

เขาจะมีกำลังขนาดที่ จะมาขอตาม เอากะลามาขอบุญจากเราไปเรื่อยๆ

หรือว่ามีความเชื่อมโยงอะไร เพราะกำลังวังชาเขาไม่ได้มีมาก

ใช่ไหมหมอบี คือก่อนตายก็เหมือนกับป้อแป้ ถูกไหม

 

หมอบี : จริงๆ คือต้องอาศัยคนที่มีใจที่เป็นอุเบกขา คือการรู้เห็นตามความเป็นจริงได้ในระดับหนึ่ง แล้วก็เหมือนรู้เห็นในขันธ์ห้าพอประมาณระดับหนึ่ง

 

ฉะนั้น ใจที่มีเมตตาและประกอบไปด้วยปัญญา ที่มีสัมมาทิฏฐิ อันนี้ถึงจะพอไปถึงเขาได้ ที่แบบว่าชัดเจนมากขึ้น

 

ดังตฤณ : ครับ คือมีกำลังส่งไปถึง แล้วตอนนี้คืออย่างไร เมื่อกี้ฟังหมอบีพูดอาจจะไม่ถนัด คือเกิดอะไรขึ้นกับคุณชูบ้าง

 

หมอบี : เรียนตามตรงคือเหมือนกับว่า ยังมีความเป็นโมหะจริตอยู่ค่อนข้างในระดับหนึ่งนะครับ แล้วก็อาจจะไม่ได้มีปัญญาในการรับรู้เรื่องขันธ์ ๕ อะไรอย่างนี้ ฉะนั้นเขาอาจจะยังยึดติดในขันธ์บางขันธ์อยู่

 

ดังตฤณ : ยังเข้าใจว่า ยังมีตัวตนอยู่ในโลกเดิม แบบนั้นหรือเปล่า

 

หมอบี : ครับ ใช่ครับ

 

ดังตฤณ : ทีนี่ คำถามสำคัญอยู่ตรงนี้

 

บางคน กลัว .. กลัวว่าพออุทิศส่วนกุศลไปให้กับผู้ตาย แล้วจะเกิดมีความสัมพันธ์ มีความเชื่อมโยงอะไรแบบนี้

 

คือจริงๆ ไม่ใช่ว่าจิตวิญญาณทุกดวง จะมีกำลังพอที่จะมาหาคนในโลกเดิมใช่ไหม เพราะอย่างถ้าดูตามสภาพ ดูตามเนื้อผ้า อย่างคุณชูนี่ ก่อนที่จะเสียชีวิต คือความคิดจะหมกมุ่น แล้วก็จะมีเรื่องของ ความอ่อนแอทางจิตใจ ที่อยากแก้ปัญหาด้วยวิธีลัดสั้น

 

แล้วอย่างที่คุยกับทางภรรยาผู้ตายนะ ก็เล่าให้ฟังว่าก่อนที่คุณชูจะผูกคอตาย ก็ได้เรียกลูกชายเข้าไปดู ซึ่งก็ทำให้ผมเกิดความคาดคะเนสันนิษฐานว่าจริงๆแล้ว อาจจะไม่ได้ตั้งใจตายจริง เพราะว่าถ้าคนตั้งใจตายจริง ส่วนใหญ่ที่ผมเคยเห็นมา ไม่เรียกใครเข้าไปดูหรอก จะทำลับๆแล้วทำจริง ทำแบบเด็ดขาด เด็ดเดี่ยว

 

แต่กรณีนี้ เรียกลูกเข้าไป ก็อาจจะด้วยความคาดหวังว่าจะง้อคุณแม่สำเร็จ คุณแม่จะเข้าไปในห้องได้ทันก่อนที่เขาจะเสียชีวิต อาจจะไปดูหนังมาว่า  ก่อนที่คนเราจะเสียชีวิตจากการผูกคอตาย ต้องดิ้นนิดหนึ่ง

 

แต่ปรากฏว่าผิดคาด คือเสียชีวิตไปจริงๆ อาจจะด้วยน้ำหนักตัวหรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะคนผูกคอตายนี่ มันกร๊อบเดียวนะ ถ้าน้ำหนักตัวมากพอนี่ ไปเลย

 

หมอบีก็ยืนยันว่า จริงๆ เขาก็ยังไม่มีความสามารถอะไร ที่จะไปหาใครได้นะ ตรงนี้ก็จะได้เป็นความเข้าใจเคสหนึ่งว่า คนตายไปไม่ใช่ว่าจะมาหาคนในโลกเดิมได้เสมอไป

 

หมอบีมีอะไรพูดตรงนี้ไหมครับ

 

หมอบี : ถ้าเราไม่ได้มีกรรมสัมพันธ์กัน ไม่ว่าจะในทางตรงทางอ้อมก็ตาม ถ้าไม่ได้ทำกรรมอะไรร่วมกันไว้ ก็แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะมีการมาพบมาเจอกัน สบายใจได้

 

ดังตฤณ : เพราะฉะนั้น เราได้ทำเวิร์กช็อปกันไป ก็คือได้ช่วยนะ แล้วก็ได้รู้จักการแผ่เมตตา

 

พูดง่ายๆว่า เราน่ะได้แน่ๆ ไม่รู้ว่าเขาได้หรือไม่ได้ แต่ว่าเรานี่ได้แน่

 

Graphical user interface, text, application, email

Description automatically generated

อย่างที่โพลบอกมานะครับว่า 62% คือ 232 คนที่เมื่อสัปดาห์ก่อน ได้แผ่เมตตาอุทิศส่วนกุศลให้คุณชู มีใจสบายขึ้น คือใจดีขึ้น อยากช่วยคนมากขึ้น มีเมตตา พร้อมจะเมตตามากขึ้น พร้อมจะให้อภัยมากขึ้น

 

แล้วใจนี่ จะอยู่ในสภาพที่ไม่โน้มเอียงที่จะหมกมุ่น

 

ถึงแม้ว่าคนจะมีหมกมุ่นบ้าง อย่างในตัวเลือกที่สอง ก็สามารถที่จะกลับมาใจสบาย ใจดีเป็นปกติได้

 

ส่วนหมกมุ่นเท่าเดิม มีสี่คน หรือหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้น

 

ซึ่งเดี๋ยววันนี้เราจะมาคุยกันว่า เมตตาจิต หรือว่าจิตที่สบาย เราเอามาต่อยอดเป็นสมาธิที่สูงขึ้นได้อย่างไร

เดี๋ยวเราจะนั่งสมาธิไปพร้อมกับหมอบีด้วย แล้วพอนั่งสมาธิเสร็จ เรามาคุยกับหมอบีต่อ ในอีกประเด็นหนึ่ง

 

สำหรับท่านที่เพิ่งมาเป็นครั้งแรก เราจะใช้เทคโนโลยีทางเสียง เรียกว่าเสียงสติ ต้องใช้หูฟังสเตอริโอ L ซ้าย R ขวา นะครับ

 

ระหว่างฟังเสียงสติ ขอให้ทำความรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออก ว่าเปลี่ยนไปอย่างไร ตอนแรกรู้สึกหายใจติดขัด ฟังๆ ไป 1 – 2 นาที ดีขึ้นแค่ไหน สบายขึ้นไหม นุ่มนวลขึ้นไหม ลมหายใจเป็น Foreground และ เสียงเป็น Background นะครับ

_________________________

รายการปฏิบัติธรรมที่บ้าน ตอน รู้จักขันธ์ ๕ จากสมาธิจิต

- ช่วง เกริ่นนำ

วันที่ ๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๔

ถอดคำ : เอ้

(ไม่มีคลิป Youtube)

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น